ฮิตเลอร์ 5 ทหารเสือ กับ พุทธภูมิ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย Sirichut, 18 ตุลาคม 2010.

  1. มหาวัฎร

    มหาวัฎร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +150
    เมื่อได้สร้างแต่อกุศลกรรมเป็นที่ตั้งแล้ว ปลายทางจักไปสู่สุคติภพได้อย่างไร การปฎิบัตินี้ไม่ได้เป็นไปเพื่อ ประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้ปฏิบัติธรรมและเหล่าพุทธบริษัททั้งหลาย ควรชี้ผิดชี้ถูกว่า ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว ผู้ที่ปฏิบัติดีก็ย่อมมีความหวังมีแรงใจในการปฏิบัติธรรมนั้นๆ มีแรงใจในการสร้างกุศลกรรม มิใช่แต่ปฎิบัติแต่อกุศลกรรม มิเช่นนั้น อนุชนรุ่นหลังก็จักเข้าใจผิดตามเป็นอันมาก ต่อไปก็จะหวังเข้าใจและหลงผิดว่า ไม่ว่าเราจะทำเราจะสร้างแต่อกุศลกรรมมากเพียงเท่าไรก็ตาม เดี๋ยวก็พ้นทุกข์ อีกหน่อยเดี๋ยวก็มีแต่ผู้วิเศษมาช่วยให้ขึ้นสวรรค์เดี๋ยวช่วยให้นิพพาน บุญกุศลตนเองแค่เล็กน้อย หากมีบุญมากจริงๆ คงเกิดในสมัยพระพุทธเจ้าทั้งหลายแล้ว โลกียญาณยังไม่สำเร็จ อภิญญาญาณ สมาบัติต่างๆ เหาะเหินเดินอากาศยังไม่ได้ อิทธิฤทธิ์ก็ยังไม่บริบูรณ์ จะช่วยคนขึ้นสวรรค์ เดี๋ยวช่วยคนนิพพาน คนที่ปราถนาบรรลุโพธิญาณ เขามีบุญจักเตือนตนไม่ให้สร้างอกุศลกรรม มุ่งแต่บำเพ็ญบารมีทั้งชาติอยู่แล้ว สละได้ทุกสิ่งทุกอย่าง จะประสาอะไรกับคนที่ยังไม่หยุดฆ่า หยุดทำร้าย ทำลายผู้อื่น อาศัยบุญเก่าอะไรไปสำเร็จมรรคผลนิพพาน หรือคิดว่าตนเป็นผู้ชี้ทางบอกทางบริสุทธิ์ยิ่งกว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาศัยธรรมของพระพุทธองค์เพื่อเข้าถึง แต่ปฎิบัติบัญญัติสวนกระแสธรรม เหตุผลนี้จักเป็นผลเสียแก่พุทธบริษัท ที่จะประพฤติปฎิบัติตามในภายหลัง เพราะจะนำพาให้พุทธบริษัท ที่ยังไม่เจริญปัญญาในธรรมและเห็นจริงจักประกอบแต่อกุศลกรรม มากกว่าประพฤติในกุศลกรรม ไม่เชื่อเรื่อง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว จนหลงทำตามโดยเข้าใจว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป เราเห็นใจ อนุชนรุ่นหลังจริงๆ ขออนุโมทนาฯ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • lakeoffire.jpg
      lakeoffire.jpg
      ขนาดไฟล์:
      23 KB
      เปิดดู:
      97
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2012
  2. มหาวัฎร

    มหาวัฎร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +150

    <CENTER>พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖
    มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
    </CENTER><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" background="" align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TR><TD bgColor=darkblue width="100%" vspace="0" hspace="0">[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    <CENTER></CENTER><CENTER>๕. จูฬกัมมวิภังคสูตร (๑๓๕)</CENTER>[๕๗๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้- สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้นแล สุภมาณพ โตเทยยบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ แล้วได้ทักทายปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคครั้นผ่านคำทักทายปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว ได้นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ [๕๘๐] สุภมาณพ โตเทยยบุตร พอนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรหนอแล เป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้พวกมนุษย์ที่เกิดเป็นมนุษย์อยู่ ปรากฏความเลวและความประณีต คือ มนุษย์ทั้งหลายย่อมปรากฏมีอายุสั้น มีอายุยืน มีโรคมาก มีโรคน้อย มีผิวพรรณทรามมีผิวพรรณงาม มีศักดาน้อย มีศักดามาก มีโภคะน้อย มีโภคะมาก เกิดในสกุลต่ำ เกิดในสกุลสูง ไร้ปัญญา มีปัญญา ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรหนอแลเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้พวกมนุษย์ที่เกิดเป็นมนุษย์อยู่ ปรากฏความเลวและความประณีต ฯ [๕๘๑] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรมาณพ สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เลวและประณีตได้ ฯ ส. ข้าพระองค์ย่อมไม่ทราบเนื้อความโดยพิสดารของอุเทศที่พระโคดมผู้-*เจริญตรัสโดยย่อ มิได้จำแนกเนื้อความโดยพิสดารนี้ได้ ขอพระโคดมผู้เจริญได้โปรดแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ โดยประการที่ข้าพระองค์จะพึงทราบเนื้อความแห่งอุเทศนี้โดยพิสดารได้เถิด ฯ พ. ดูกรมาณพ ถ้าอย่างนั้น ท่านจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจะกล่าวต่อไปสุภมาณพ โตเทยยบุตร ทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า ชอบแล้ว พระเจ้าข้า ฯ [๕๘๒] พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรมาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม เป็นผู้มักทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง เป็นคนเหี้ยมโหด มีมือเปื้อนเลือด หมกมุ่นในการประหัตประหาร ไม่เอ็นดูในเหล่าสัตว์มีชีวิต เขาตายไป จะเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อม สมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไป ไม่เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรกถ้ามาเป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนมีอายุสั้น ดูกรมาณพปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีอายุสั้นนี้ คือ เป็นผู้มักทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง เป็นคนเหี้ยมโหด มีมือเปื้อนเลือด หมกมุ่นในการประหัตประหาร ไม่เอ็นดูในเหล่าสัตว์มีชีวิต ฯ [๕๘๓] ดูกรมาณพ ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม ละปาณาติบาตแล้ว เป็นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต วางอาชญา วางศาตราได้มีความละอาย ถึงความเอ็นดู อนุเคราะห์ด้วยความเกื้อกูลในสรรพสัตว์และภูตอยู่เขาตายไป จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อมสมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไป ไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถ้ามาเป็นมนุษย์เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนมีอายุยืน ดูกรมาณพ ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีอายุยืนนี้ คือ ละปาณาติบาตแล้ว เป็นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต วางอาชญาวางศาตราได้ มีความละอาย ถึงความเอ็นดู อนุเคราะห์ด้วยความเกื้อกูลในสรรพสัตว์และภูตอยู่ ฯ [๕๘๔] ดูกรมาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตามเป็นผู้มีปรกติเบียดเบียนสัตว์ด้วยฝ่ามือ หรือก้อนดิน หรือท่อนไม้ หรือศาตราเขาตายไป จะเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อม สมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไป ไม่เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรกถ้ามาเป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนมีโรคมาก ดูกรมาณพปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีโรคมากนี้ คือ เป็นผู้มีปรกติเบียดเบียนสัตว์ด้วยฝ่ามือ หรือก้อนดิน หรือท่อนไม้ หรือศาตรา ฯ [๕๘๕] ดูกรมาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตามเป็นผู้มีปรกติไม่เบียดเบียนสัตว์ด้วยฝ่ามือ หรือก้อนดิน หรือท่อนไม้ หรือศาตราเขาตายไป จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อมสมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไป ไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถ้ามาเป็นมนุษย์เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนมีโรคน้อย ดูกรมาณพ ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีโรคน้อยนี้ คือ เป็นผู้มีปรกติไม่เบียดเบียนสัตว์ด้วยฝ่ามือ หรือก้อนดินหรือท่อนไม้ หรือศาตรา ฯ [๕๘๖] ดูกรมาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตามเป็นคนมักโกรธ มากด้วยความแค้นเคือง ถูกเขาว่าเล็กน้อยก็ขัดใจ โกรธเคืองพยาบาท มาดร้าย ทำความโกรธ ความร้าย และความขึ้งเคียดให้ปรากฏ เขาตายไป จะเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อมสมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไป ไม่เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ถ้ามาเป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนมีผิวพรรณทราม ดูกรมาณพปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีผิวพรรณทรามนี้ คือ เป็นคนมักโกรธ มากด้วยความแค้นเคืองถูกเขาว่าเล็กน้อยก็ขัดใจ โกรธเคือง พยาบาท มาดร้าย ทำความโกรธ ความร้ายและความขึ้งเคียดให้ปรากฏ ฯ [๕๘๗] ดูกรมาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตามเป็นคนไม่มักโกรธ ไม่มากด้วยความแค้นเคือง ถูกเขาว่ามากก็ไม่ขัดใจ ไม่โกรธเคือง ไม่พยาบาท ไม่มาดร้าย ไม่ทำความโกรธ ความร้าย และความขึ้งเคียดให้ปรากฏ เขาตายไป จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อม สมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไป ไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถ้ามาเป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนน่าเลื่อมใส ดูกรมาณพปฏิปทาเป็นไปเพื่อเป็นผู้น่าเลื่อมใสนี้ คือ เป็นคนไม่มักโกรธ ไม่มากด้วยความแค้นเคือง ถูกเขาว่ามากก็ไม่ขัดใจ ไม่โกรธเคือง ไม่พยาบาท ไม่มาดร้าย ไม่ทำความโกรธ ความร้าย ความขึ้งเคียดให้ปรากฏ ฯ [๕๘๘] ดูกรมาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตามมีใจริษยา ย่อมริษยา มุ่งร้าย ผูกใจอิจฉาในลาภสักการะ ความเคารพ ความนับถือ การไหว้ และการบูชาของคนอื่น เขาตายไป จะเข้าถึงอบาย ทุคติวินิบาต นรก เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อม สมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไปไม่เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ถ้ามาเป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลังจะเป็นคนมีศักดาน้อย ดูกรมาณพ ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีศักดาน้อยนี้ คือ มีใจริษยา ย่อมริษยา มุ่งร้าย ผูกใจอิจฉาในลาภสักการะ ความเคารพ ความนับถือการไหว้ และการบูชาของคนอื่น ฯ [๕๘๙] ดูกรมาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตามเป็นผู้มีใจไม่ริษยา ย่อมไม่ริษยา ไม่มุ่งร้าย ไม่ผูกใจอิจฉาในลาภสักการะ ความเคารพ ความนับถือ การไหว้ และการบูชาของคนอื่น เขาตายไป จะเข้าถึงสุคติ-*โลกสวรรค์ เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อม สมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไปไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถ้ามาเป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนมีศักดามาก ดูกรมาณพ ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีศักดามากนี้ คือ มีใจไม่ริษยาย่อมไม่ริษยา ไม่มุ่งร้าย ไม่ผูกใจอิจฉาในลาภสักการะ ความเคารพ ความนับถือการไหว้ และการบูชาของคนอื่น ฯ [๕๙๐] ดูกรมาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตามย่อมไม่เป็นผู้ให้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อาศัยเครื่องตามประทีป แก่สมณะหรือพราหมณ์ เขาตายไป จะเข้าถึงอบาย ทุคติวินิบาต นรก เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อม สมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไปไม่เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ถ้ามาเป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลังจะเป็นคนมีโภคะน้อย ดูกรมาณพ ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีโภคะน้อยนี้ คือ ไม่ให้ข้าวน้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย เครื่องตามประทีปแก่สมณะหรือพราหมณ์ ฯ [๕๙๑] ดูกรมาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตามย่อมเป็นผู้ให้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัยเครื่องตามประทีป แก่สมณะหรือพราหมณ์ เขาตายไป จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อม สมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไป ไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถ้ามาเป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนมีโภคะมาก ดูกรมาณพ ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีโภคะมากนี้ คือ ให้ข้าว น้ำ ผ้า ยานดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย เครื่องตามประทีป แก่สมณะหรือพราหมณ์ ฯ [๕๙๒] ดูกรมาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตามเป็นคนกระด้าง เย่อหยิ่ง ย่อมไม่กราบไหว้คนที่ควรกราบไหว้ ไม่ลุกรับคนที่ควรลุกรับ ไม่ให้อาสนะแก่คนที่สมควรแก่อาสนะ ไม่ให้ทางแก่คนที่สมควรแก่ทางไม่สักการะคนที่ควรสักการะ ไม่เคารพคนที่ควรเคารพ ไม่นับถือคนที่ควรนับถือไม่บูชาคนที่ควรบูชา เขาตายไป จะเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อม สมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไป ไม่เข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก ถ้ามาเป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนเกิดในสกุลต่ำ ดูกรมาณพ ปฏิปทาเป็นไปเพื่อเกิดในสกุลต่ำนี้ คือ เป็นคนกระด้าง เย่อหยิ่ง ย่อมไม่กราบไหว้คนที่ควรกราบไหว้ ไม่ลุกรับคนที่ควรลุกรับไม่ให้อาสนะแก่คนที่สมควรแก่อาสนะ ไม่ให้ทางแก่คนที่สมควรแก่ทาง ไม่สักการะคนที่ควรสักการะ ไม่เคารพคนที่ควรเคารพ ไม่นับถือคนที่ควรนับถือ ไม่บูชาคนที่ควรบูชา ฯ [๕๙๓] ดูกรมาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตามเป็นคนไม่กระด้าง ไม่เย่อหยิ่ง ย่อมกราบไหว้คนที่ควรกราบไหว้ ลุกรับคนที่ควรลุกรับ ให้อาสนะแก่คนที่สมควรแก่อาสนะ ให้ทางแก่คนที่สมควรแก่ทางสักการะคนที่ควรสักการะ เคารพคนที่ควรเคารพ นับถือคนที่ควรนับถือ บูชาคนที่ควรบูชา เขาตายไป จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อม สมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไป ไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนเกิดในสกุลสูง ดูกรมาณพปฏิปทาเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีสกุลสูงนี้ คือ เป็นคนไม่กระด้าง ไม่เย่อหยิ่งย่อมกราบไหว้คนที่ควรกราบไหว้ ลุกรับคนที่ควรลุกรับ ให้อาสนะแก่คนที่สมควรแก่อาสนะ ให้ทางแก่คนที่สมควรแก่ทาง สักการะคนที่ควรสักการะ เคารพคนที่ควรเคารพ นับถือคนที่ควรนับถือ บูชาคนที่ควรบูชา ฯ [๕๙๔] ดูกรมาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตามย่อมไม่เป็นผู้เข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์แล้วสอบถามว่า อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษ อะไรควรเสพ อะไรไม่ควรเสพ อะไรเมื่อทำ ย่อมเป็นไปเพื่อไม่เกื้อกูล เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน หรือว่า อะไรเมื่อทำย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขสิ้นกาลนาน เขาตายไป จะเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อม สมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไป ไม่เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ถ้ามาเป็นมนุษย์ เกิด ณที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนมีปัญญาทราม ดูกรมาณพ ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีปัญญาทรามนี้ คือ ไม่เป็นผู้เข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์แล้วสอบถามว่า อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษ อะไรควรเสพ อะไรไม่ควรเสพ อะไรเมื่อทำ ย่อมเป็นไปเพื่อไม่เกื้อกูล เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน หรือว่าอะไรเมื่อทำ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขสิ้นกาลนาน ฯ [๕๙๕] ดูกรมาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตามย่อมเป็นผู้เข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์แล้วสอบถามว่า อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษ อะไรควรเสพ อะไรไม่ควรเสพ อะไรเมื่อทำย่อมเป็นไปเพื่อไม่เกื้อกูล เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน หรือว่าอะไรเมื่อทำ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขสิ้นกาลนาน เขาตายไป จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อม สมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไปไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถ้ามาเป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนมีปัญญามาก ดูกรมาณพ ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีปัญญามากนี้ คือ เป็นผู้เข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์แล้วสอบถามว่า อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรมีโทษอะไรไม่มีโทษ อะไรควรเสพ อะไรไม่ควรเสพ อะไรเมื่อทำ ย่อมเป็นไปเพื่อไม่เกื้อกูล เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน หรือว่าอะไรเมื่อทำ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขสิ้นกาลนาน ฯ [๕๙๖] ดูกรมาณพ ด้วยประการฉะนี้แล ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีอายุสั้นย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนมีอายุสั้น ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีอายุยืน ย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนมีอายุยืน ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีโรคมากย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนมีโรคมาก ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีโรคน้อย ย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนมีโรคน้อยปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีผิวพรรณทราม ย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนมีผิวพรรณทรามปฏิปทาเป็นไปเพื่อเป็นผู้น่าเลื่อมใส ย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนน่าเลื่อมใสปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีศักดาน้อย ย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนมีศักดาน้อย ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีศักดามาก ย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนมีศักดามาก ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีโภคะน้อย ย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนมีโภคะน้อย ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีโภคะมาก ย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนมีโภคะมาก ปฏิปทาเป็นไปเพื่อเกิดในสกุลต่ำ ย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนเกิดในสกุลต่ำ ปฏิปทาเป็นไปเพื่อเกิดในสกุลสูง ย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนเกิดในสกุลสูง ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีปัญญาทราม ย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนมีปัญญาทราม ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีปัญญามากย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนมีปัญญามาก ดูกรมาณพ สัตว์ทั้งหลาย มีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เลวและประณีต ฯ [๕๙๗] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วอย่างนี้ สุภมาณพ โตเทยยบุตรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า แจ่มแจ้งแล้ว พระเจ้าข้า แจ่มแจ้งแล้วพระเจ้าข้า พระโคดมผู้เจริญทรงประกาศธรรมโดยปริยายมิใช่น้อย เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ หรือเปิดของที่ปิด หรือบอกทางแก่คนหลงทาง หรือตามประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่าผู้มีตาดีจักเห็นรูปได้ฉะนั้น ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระโคดมผู้เจริญพระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระโคดมผู้เจริญ จงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ฯ
    <CENTER>จบ จูฬกัมมวิภังคสูตรที่ ๕</CENTER><CENTER class=l>-----------------------------------------------------</CENTER>
     
  3. มหาวัฎร

    มหาวัฎร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +150
    ถอดความ:

    <CENTER>ทศพลญาณ ๑๐ ประการ</CENTER> ตทนนฺตรํ ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสเทศนา ต่อไปอีกว่า อานนฺท ดูกรอานนท์ ความทุกข์ในนรกและ ความสุขในสวรรค์และพระนิพพานนั้นใครจะช่วยใครไม่ได้ เมื่อใครชอบอย่างใดก็ทำอย่างนั้น แม้เราตถาคตก็ช่วยใคร ให้พ้นทุกข์ และช่วยใครให้ได้สวรรค์และพระนิพพานไม่ได้ ได้แต่เพียงสั่งสอนชี้แจงให้รู้สุขรู้ทุกข์ ให้รู้สวรรค์ ให้รู้ พระนิพพานด้วยวาจาเท่านั้น อันกองทุกข์ โทษ บาป กรรมทั้งปวงนั้น ก็คือตัวกิเลสตัณหา ครั้นดับกิเลสตัณหา ได้แล้ว ก็ไม่ต้องลงนรก ถ้าดับกิเลสตัณหาได้มากก็ขึ้นไป เสวยสุขในสวรรค์ ถ้าดับกิเลสตัณหาได้สิ้นเชิงหาเศษมิได้แล้ว ก็ได้เสวยสุขในพระนิพพานทีเดียว เราตถาคตบอกให้รู้แต่ ทางไปเท่านั้น ถ้าผู้รู้ทางแห่งความสุข แล้วประพฤติปฏิบัติ ตามก็ได้ประสบสุขสมประสงค์ อย่าว่าแต่เราตถาคตเลย แม้พระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ล่วงไปแล้วนับไม่ถ้วนก็ดี และ จะมาตรัสรุ้ในกาลเป็นภายหลังก็ดี จะมาช่วยพาเอา สัตว์ทั้งหลายไปให้พ้นจากทุกข์ แล้วให้ได้เสวยสุขเช่นนั้น ไม่มี มีแต่มาแนะนำสั่งสอนให้รู้สุขรู้ทุกข์ รู้สวรรค์ และ พระนิพพานอย่างเดียวกันกับเราตถาคตนี้ พระพุทธเจ้า ทั้งหลายก็ทรงไว้ซึ่งทศพลญาณ มีอาการเหมือนอย่างเรา ตถาคตนี้ทุกๆ องค์ บุคคลจำพวกใดเข้าใจว่าพระพุทธเจ้า ต่างกันด้วยศีล ด้วยฌาณ ด้วยญาณ ด้วยอิทธิ บุคคล จำพวกนั้นเป็นคนหลง ผู้ที่ได้นามว่าพระพุทธเจ้านั้น ต้องมี ทศพลญาณสำหรับขับขี่เข้าสู่พระนิพพานด้วยกันทุกองค์ จะได้เป็นพระพุทธเจ้าแต่เราพระองค์เดียวนั้นหามิได้ ผู้ใด มีทศพลญาณ ผู้นั้นได้ชื่อว่าพระพุทธเจ้าด้วยกันทุกองค์ ไม่ควรจะมีความสงสัย ญาณ ๑๐ ประการนั้นเป็นเครื่องหมาย ของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีญาณ ๑๐ ประการแล้ว จะรู้ดีมีอิทธิ ดำดินบินบนได้อย่างไรๆ ก็ตาม ก็ไม่เรียกว่าพระพุทธเจ้า ถ้ามีญาณ ๑๐ ประการแล้ว จะไม่มีอิทธาศักดานุภาพ อย่างไรก็ตาม ก็ให้เรียกท่านผู้นั้นว่าพระพุทธเจ้า เพราะ ทศพลญาณ ๑๐ ประการเป็นเครื่องหมายของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีเครื่องหมายอย่างนี้ ผู้ใดมีฤทธิ์มีเดชขึ้น ก็จะตั้งตัว เป็นพระพุทธเจ้าเต็มบ้านเต็มเมือง ก็จะเป็นทางแห่งความ เสียหายวุ่นวายโลกเท่านั้น ดูกรอานนท์ ทศพลญาณ ๑๐ ประการนั้น เป็นของสำคัญตั้งอยู่สำหรับโลก ไม่มีผู้ใดตั้งแต่ง ขึ้น เป็นแต่เราตถาคตเป็นผู้รู้ผู้เห็นก่อนแล้วยกออกตีแผ่ ให้โลกเห็น พระพุทธเจ้าทั้งหลายบำเพ็ญญาณ ๑๐ ประการ ได้แล้ว ก็ขับขี่เข้าสู่พระนิพพาน เมื่อถึงพระนิพพานแล้ว ก็ปล่อยวางญาณนั้นไว้แก่โลกตามเดิม หาได้เอาตัวตน เอาจิตใจเข้าสู่พระนิพพานด้วยไม่ เอาจิตใจไปได้เพียงนรก และสวรรค์ และพรหมโลกเท่านั้น ส่วนพระนิพพานนั้น ถ้าดับจิตใจไม่ได้แล้วก็ไปไม่ได้ ถ้าเข้าใจว่าจักเอาจิตไป เป็นสุขในพระนิพพานแล้ว ต้องหลงขึ้นไปเป็นอรูปพรหม เป็นแน่ ดูกรอานนท์ การตกนรกและขึ้นสวรรค์ จะเอาตัว ไปไม่ได้ เอาแต่จิตไป จิตนั้นใครจะจับต้องลูบคลำไม่ได้ เป็นแต่ลมเท่านั้น เพราะจิตเป็นของละเอียด ใครจะจับถือ ไม่ได้ เมื่อจิตไปตกนรก ใครจะไปช่วยยกขึ้นได้ ถ้าจิตนั้น เป็นตนเป็นตัวก็พอช่วยกันได้ บุคคลจำพวกใด คอยท่าให้ ผู้อื่นมาช่วยยกตัวให้พ้นจากทุกข์ นำตัวไปให้ได้เสวยสุข บุคคลจำพวกนั้นเป็นคนโง่เขลาหาปัญญามิได้ เราตถาคต รู้นรกสวรรค์ทุกข์สุขอยู่แล้ว และหาอุบายที่จะพ้นจากทุกข์ ให้เสวยสุข ก็เป็นการแสนยากแสนลำบาก จะไปพาจิตใจ ของท่านผู้อื่นให้พ้นจากทุกข์ได้อย่างไร ถึงแม้พระพุทธเจ้า องค์จะตรัสรู้ในเบื้องหน้าก็เหมือนกัน มีแต่แนะนำสั่งสอน ให้รู้สุขทุกข์สวรรค์และพระนิพพานเท่านั้น ผู้ที่จะต้องการ สุขทุกข์อย่างใดนั้น แล้วแต่อัธยาศัย แต่ว่าต้องศึกษาให้ รู้แท้แน่นอนแก่ใจเสียก่อนว่าทุกข์ในนรกเป็นอย่างนั้น สุข ในสวรรค์เป็นอย่างนั้น สุขในพระนิพพานเป็นอย่างนั้น เมื่อรู้แล้วยังจะมีทางได้ทางถึงบ้าง คงจะไม่ท่องเที่ยวอยู่ใน วัฏฏสงสารเนิ่นนานเท่าไรนัก ถ้ายังไม่รู้แจ้งแต่เมื่อยังมี ชีวิตอยู่ก็ไม่อาจจะพ้นได้เลย และได้ชื่อว่าเป็นผู้เกิดมา เสียชาติเป็นมนุษย์เสียความปรารถนาเดิม ซึ่งหมายว่าจะ เป็นผู้เกิดมาเพื่อความสุข ครั้นเกิดมาแล้วก็พลอยไม่ให้ตน ได้รับความสุข ซ้ำยังตนให้จมอยู่ในนรก ทำให้เสียสัตย์ ความปรารถนาแห่งตน น่าสังเวชสลดใจยิ่งนัก ข้าแต่ พระมหากัสสปะผู้มีอายุ พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ ดังนี้แล.
    อิโต ปรํ คิริมานนฺทสุตฺตํ อนุสนฺธึ ฆเฏตฺวา ภาสิสฺสามีติ เบื้องหน้าแต่นี้ จะแสดงคิริมานนทสูตรสืบ ต่อไป มีคำพระอานนท์ปฏิญญาว่าดังนี้ ภนฺเตอริยกสฺสป ข้าแต่พระอริยเจ้าทั้งหลาย มีพระมหากัสสปะเป็นประธาน ภควา อันว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า เทเสสิ ก็ตรัสเทศนา แก่ข้าอานนท์สืบต่อไปว่า อานนฺท ดูกรอานนท์ อันว่า ความทุกข์และความสุขนั้น ก็มีอยู่แต่นรกและสวรรค์เท่านั้น ส่วนพระนิพพานมีอยู่นอกสวรรค์และนรกต่างหาก บัดนี้ จะแสดงทุกข์และสุขในนรก และสวรรค์ให้แจ้งก่อน จิตใจ ของเรานี้เมื่อมีทุกข์หรือมีสุขแล้วใครจะสามารถมาช่วย ยกออกจากจิตของเราได้ อย่าว่าแต่ตัวเราเลย แม้ท่าน ผู้อื่นเราก็ไม่สามารถจะช่วยยกออกได้ มีอาการเหมือนกัน ทุกรูปทุกนามทุกตัวตนสัตว์บุคคล อนึ่ง เมื่อท่านมีทุกข์แล้ว จะนำทุกข์ของท่านมา ให้เราก็ไม่ได้ เรามีทุกข์แล้วจะนำทุกข์ไปให้ท่านผู้อื่นก็ ไม่ได้ แม้ความสุขก็มีอาการเช่นกัน สุขและทุกข์ไม่มีใคร จะช่วยกันได้ สิ่งที่จะช่วยให้พ้นจากทุกข์ได้มีแต่อำนาจแห่ง กุศลผลบุญ มีการให้ทานและรักษาศีลเป็นต้นเท่านั้นที่จะ เป็นผู้ช่วยให้พ้นจากทุกข์ได้ มนุษย์และเทวดาอินทร์พรหม และใครๆ จะมาช่วยให้พ้นทุกข์ และให้ได้เสวยสุขนั้น ไม่ได้ ที่สุดแม้เราตถาคตผู้ทรงไว้ซึ่งทศพลญาณเห็นปานนี้ ก็ไม่อาจช่วยใครได้ ได้แต่เป็นผู้ช่วยแนะนำตักเตือนให้รู้สุข ทุกข์และสวรรค์และนรกเท่านั้น ตัวต้องยกตัวเอง ถ้ารู้ว่า นรกและสวรรค์อยู่ที่ตัว แล้วยกตัวให้ขึ้นสวรรค์ไม่ได้ ก็ชื่อว่า เกิดมาเสียชาติ และเสียเวลาที่จะเกิดมาพบพระพุทธศาสนา น่าเสียดายชาติที่ได้เกิดเป็นรูปร่างกาย มีอวัยวะ พรักพร้อมบริบูรณ์ทุกอย่าง ทั้งได้พบพระพุทธศาสนา ด้วย สมควรจะได้สวรรค์และพระนิพพานโดยแท้ เหตุไฉนจึงเหยียบย่ำตัวเองให้จมอยู่ในนรกเช่นนั้น น่าสังเวชนัก ดูกรอานนท์ สุขทุกข์นั้นให้หมายเอาที่จิต จิตสุขเป็นสวรรค์ จิตทุกข์เป็นนรก จะเข้าใจว่านรกและ สวรรค์ มีอยู่นอกจิตนอกใจเช่นนั้น ได้ชื่อว่าเป็นคนหลง นรกและสวรรค์ บาปบุญคุณโทษ ย่อมมีอยู่ในอกในใจทั้งสิ้น อยากพ้นทุกข์ก็ให้รักษาจิตใจจากสิ่งที่เป็นบาปเป็นทุกข์เสีย ถ้าต้องการสวรรค์ ก็ทำการงานที่หาโทษมิได้ เพราะการบุญ การกุศลนั้น เมื่อทำก็ไม่เดือดร้อน และเมื่อทำแล้วระลึกถึง ก็ให้เกิดความสุขสำราญบานใจทุกเมื่อ เช่นนี้ชื่อว่าเราได้ ขึ้นสวรรค์ และถ้าอยากได้สุขในพระนิพพาน ก็ให้วางเสีย ซึ่งสุขและทุกข์ คือวางจิตอย่าถือว่าเป็นของของตน ก็ชื่อว่า ได้ถึงพระนิพพาน เพราะว่าใจเป็นใหญ่เป็นประธาน สุขทุกข์ ทั้งสวรรค์และพระนิพพานสำเร็จแล้วด้วยใจ คือว่ามีอยู่ที่ จิตที่ใจของเราทั้งสิ้น บุคคลจำพวกใด ไม่รู้ว่าของเหล่านี้ มีในตนแล้วไปเที่ยวค้นคว้าหาในที่อื่น บุคคลจำพวกนั้น ชื่อว่าเป็นคนหลงคนเมา เป็นผู้หนาอยู่ด้วยกิเลสตัณหา มืดมนอยู่ด้วยมลทินแห่งนรก ดูกรอานนท์ สัตว์ที่ตกอยู่ ในนรกมากมายนับมิได้แน่นอัดยัดเยียดกันอยู่ในนรก ดัง ข้าวสารหรือเมล็ดถั่วเมล็ดงาในกระสอบ แต่ก็ไม่เห็นกันได้ ด้วยเขาไม่รู้ไม่เห็นซึ่งนรก ไม่รู้สุขทุกข์บาปบุญคุณโทษ ไม่รู้ว่าจิตของตนเป็นทุกข์เป็นสุข มีแต่มัวเมาอยู่ด้วยกิเลส กามราคะตัณหา จึงชื่อว่าตกอยู่ในนรก ยัดเยียดกันดัง ข้าวสารหรือเมล็ดถั่วเมล็ดงาในกระสอบ ร้องเรียกหากัน ไม่เห็นกัน คือไม่เห็นทุกข์เห็นสุขแห่งกันและกันเท่านั้นเอง ดูกรอานนท์ จิตใจนั้นใครไม่แลเห็นของกันและกันได้ ผู้ที่ แลเห็นจิตใจของผู้อื่นได้นั้น มีแต่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ เท่านั้น พระพุทธเจ้าที่จะรู้เห็นจิตใจของผู้อื่นได้ ก็ด้วยญาณ แห่งพระอรหันต์ ถ้าละกิเลสตัวร้ายมิได้ คุณความเป็นแห่ง พระอรหันต์ก็ไม่มาตั้งอยู่ในสันดาน จึงไม่อาจหยั่งรู้วาระ จิตใจของสัตว์ทั้งปวงได้ แม้เราตถาคตจะหยั่งรู้วาระจิตของ สัตว์ทั้งปวงได้ ก็เพราะปราศจากกิเลส คือความเป็นไปแห่ง พระอรหันต์ บุคคลผู้ไม่พ้นกิเลส คือไม่ได้สำเร็จพระอรหันต์ และจะมาปฏิญญาว่ารู้เห็นจิตแห่งบุคคลอื่น จะควรเชื่อฟังได้ ด้วยเหตุใด ถึงแม้จะรู้ด้วยวิชาคุณอย่างอื่น มีรู้ด้วยสมาธิคุณ เป็นต้น ก็รู้ไปไม่ถึงไหน แม้จะรู้ก็รู้ผิดๆ ถูกๆ ไปอย่างนั้น จะรู้จริงแจ้งชัดดังที่รู้ด้วยอรหัตตคุณนั้นไม่ได้ ถ้าบุคคลที่ ยังไม่พ้นกิเลสมีความรู้ดียิ่งกว่าเราตถาคตผู้เป็นพระอรหันต์ แล้ว การที่เราตถาคตสละบุตรภรรยา ทรัพย์สมบัติ อันเป็น เครื่องเจริญแห่งความสุขออกบวชนี้ ก็ชื่อว่าเป็นผู้โง่เขลา กว่าบุคคลจำพวกนั้น เพราะเขายังจมอยู่ในกิเลส แต่ มีความรู้ดียิ่งกว่าพระพุทธเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ผู้ไกลจาก กิเลส ข้อที่ละกิเลสไม่ได้ คือไม่ได้สำเร็จพระอรหันต์ แล้ว จะมีปัญญารู้จิตใจแห่งสัตว์ทั้งหลายยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ หรือจะมีปัญญารู้เสมอกันนั้นไม่มีเลย ผู้ที่ ยังละกิเลสไม่ได้ คือยังไม่ได้สำเร็จพระอรหันต์มากล่าวว่า ตนรู้เห็นจิตใจของสัตว์ทั้งหลายนั้น กล่าวอวดเปล่าๆ ความรู้เพียงนั้นยังพ้นนรกไม่ได้ ไม่ควรจะเชื่อถือ ถ้าใคร เชื่อถือก็ชื่อว่าเป็นนอกพระศาสนา ไม่ใช่ลูกศิษย์ของเรา ตถาคต แท้ที่จริง หากเอาศาสนธรรมอันวิเศษของเรานี้ บังหน้าไว้สำหรับหลอกลวงโลกเท่านั้น บุคคลจำพวกนี้แม้ จะทำบุญกุศลเท่าไรก็ไม่พ้นนรก แม้ผู้ที่มาเชื่อถือบุคคล จำพวกนี้ก็มีทุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้าเหมือนกัน ดูกร อานนท์ บุคคลจำพวกที่อวดรู้อวดดีอย่างนี้แหละ จะเป็นผู้ เบียดเบียนศาสนาของเราให้เศร้าหมองเสื่อมทรามลงไป เมื่อเขาเกิดมาแล้วก็จะมาเบียดเบียนพระมหาเถระและ สามเณรน้อยด้วยถ้อยคำอันไม่เจริญใจ ผู้มีปัญญาน้อยใจเบา ก็จะพากันแตกตื่นสึกหาลาเพศออกจากศาสนา พระศาสนา ของเราก็จะเสื่อมถอยลงไป ดูกรอานนท์ บุคคลจำพวกใด หากเบียดเบียนเสียดสีหมิ่นประมาทใจพระสังฆเถระ และ ภิกษุสามเณรที่เป็นศิษย์ของพระตถาคต โดยที่ท่านทั้งหลาย เหล่านั้นมีโทษไม่ถึงปาราชิก และบังคับให้สึกออกจาก เพศพรหมจรรย์ หรือกระทำปัพพาชนียกรรมไปเสียก็ดี บุคคลจำพวกนั้นเป็นบาปยิ่งนักอาจไม่พ้นนรกได้ บุคคล จำพวกใดมีความเชื่อความเลื่อมใสในคุณธรรมคำสั่งสอน ของเราตถาคต แล้วเชิดชูยกย่องไว้ให้ดี มิได้ดูถูกดูหมิ่น บุคคลจำพวกนั้นก็จะมีความเจริญด้วยความสุขทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า แม้ปรารถนาสุขอันใดซึ่งไม่เหลือวิสัย ก็อาจ สำเร็จสุขอันนั้นได้ตามปรารถนา บุคคลที่ทำลายพระพุทธรูป พระสถูปพระเจดีย์ และตัดไม้ศรีมหาโพธิ์ และบุคคลจำพวก ที่กล่าวหมิ่นประมาทเย้ยหยันแก่สานุศิษย์ของเราตถาคต ที่มีโทษไม่ถึงปาราชิก บุคคลจำพวกนี้มีโทษหนักยิ่งกว่า จำพวกที่ทำลายพระพุทธรูป และพระสถูปพระเจดีย์นั้น หลายเท่า บุคคลที่ทำลายพระพุทธรูปเป็นต้นนั้นเป็นบาป มากก็จริงอยู่ แต่ยังไม่นับว่าเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ผู้ที่กล่าวหมิ่นประมาทนั้น ได้ชื่อว่าทำลายศาสนาของ เราตถาคต เพราะว่าผู้ที่มีความผิดโทษไม่ถึงปาราชิกนั้น ยังนับว่าเป็นลูกศิษย์ของเราตถาคตอยู่ ต่อเมื่อเป็นปาราชิก แล้วจึงขาดจากความเป็นลูกศิษย์ของเรา ถ้าเป็นโทษเช่นนั้น แม้จะลงโทษหรือกระทำปัพพาชนียกรรมก็หาโทษมิได้ และ ได้ชื่อว่าช่วยพระศาสนาของเราด้วย การทำลายพระพุทธรูป หรือพระสถูปพระเจดีย์นั้น ยังมีทางเป็นกุศลได้อยู่ ดัง พระพุทธรูปไม่ดีไม่งามแล้วทำลายเสีย แก้ไขให้งามให้ดีขึ้น แม้พระเจดีย์และไม้ศรีมหาโพธิ์ก็เช่นกัน ต้นโพธิ์ที่ตั้งอยู่ ในที่ไม่สมควร เช่นตั้งอยู่ในที่ใกล้ถาวรวัตถุ อาจทำลายวัตถุ นั้นได้ จะตัดเสียก็หาโทษมิได้ ถ้าทำลายเพื่อหาประโยชน์ แก่ตนหรือทำลายโดยความอิจฉาริษยาเช่นนั้น ย่อมเป็น บาปเป็นกรรมโดยแท้ แม้ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ชื่อว่าเป็นการ ทำลายศาสนา พวกที่หมิ่นประมาท ทำให้สงฆ์ที่มีโทษ ยังไม่ถึงอันติมะให้ได้รับความเดือดร้อนถึงแก่เสื่อมจาก พรหมจรรย์ ได้ชื่อว่าทำลายพระพุทธศาสนาโดยแท้ ข้าแต่ พระมหากัสสปะพระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ ดังนี้ แล้วจึงตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์สืบต่อไปอีกว่า
    <CENTER>ดับกิเลสทั้งห้า</CENTER> อานนฺท ดูกรอานนท์ บุคคลที่ปรารถนาซึ่งสวรรค์ และพระนิพพาน ก็จงรีบพากเพียรกระทำให้ได้ให้ถึงแต่ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ เพราะมีอยู่ที่ใจของเราทุกอย่าง จะเป็น การลำบากมากอยู่ก็แต่พระนิพพาน ผู้ที่ปรารถนาความสุข ในพระนิพพาน จงทำตัวให้เหมือนแผ่นดินหรือเหมือน ดังคนตายแล้ว คือให้ปล่อยความสุขและความทุกข์เสีย ข้อสำคัญก็คือให้ดับกิเลส ๑,๕๐๐ นั้นเสีย กิเลส๑,๕๐๐ นั้น เมื่อย่นลงให้สั้นแล้วก็เหลืออยู่ ๕ เท่านั้น คือ โลภะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ๑ มานะ๑ ทิฏฐิ๑ โลภะนั้น คือ ความทะเยอทะยานมุ่งหวังอยากได้กิเลสกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ๑ อยากได้วัตถุกาม คือสมบัติข้าวของ ซึ่งมีวิญญาณและหาวิญญาณมิได้๑ เหล่านี้ชื่อว่าโลภะ, โทสะนั้นได้แก่ความเคืองแค้น ประทุษร้ายเบียดเบียน ท่านผู้อื่น ชื่อว่าโทสะ, โมหะนั้นคือความหลงมีหลงรัก หลงชังหลงลาภหลงยศเป็นต้น ชื่อว่าโมหะ, มานะ, นั้นคือ ความถือตัวถือตน ดูถูกดูหมิ่นท่านผู้อื่น ชื่อว่ามานะทิฏฐินั้น คือความถือมั่นในลัทธิอันผิด เห็นเป็นอุจเฉททิฏฐิและ สัสสตทิฏฐิไป ปล่อยวางความเห็นผิดไม่ได้ชื่อว่าทิฏฐิ ถ้า ดับกิเลสทั้ง ๕ นี้ได้แล้ว ก็ชื่อว่าดับกิเลสได้สิ้นทั้ง ๑,๕๐๐ ถ้าดับกิเลสทั้ง ๕ นี้ไม่ได้ ก็ชื่อว่าดับกิเลสไม่ได้เลย ดูกร อานนท์ ปุถุชนคนหนาทั้งหลาย ที่ปรารถนาพระนิพพาน ได้ด้วยยากนั้น ก็เพราะเหตุที่ไม่รู้จักดับกิเลสตัณหา เข้าใจ เสียว่าทำบุญทำกุศลให้มากแล้ว บุญกุศลนั้นจักเลื่อนลอย มาจากอากาศเวหา นำตัวขึ้นไปสู่พระนิพพาน ส่วนว่า พระนิพพานนั้นจะอยู่แห่งหนตำบลใดก็หารู้ไม่ เป็นแต่ คาดคะเนเอาอย่างนั้น จึงได้พระนิพพานด้วยยาก แท้ที่จริง พระนิพพานนั้นไม่มีอยู่ในที่อื่นไกลเลย หากมีอยู่ที่จิตใจ นั้นเอง ครั้นดับ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ ได้ขาด แล้ว ก็ถึงพระนิพพานเท่านั้น ถ้าไม่รู้และดับกิเลสตัณหา ยังไม่ได้ เป็นแต่ปรารถนาว่า ขอให้ได้พระนิพพานๆ ดังนี้ แม้สิ้นหมื่นชาติแสนชาติก็ไม่ได้พบปะเลย เพราะกิเลส ตัณหาทั้งหลาย ย่อมมีอยู่ที่ตนตัวของเราทั้งสิ้น เมื่อตัว ไม่รู้จักระงับกิเลสตัณหาที่มีอยู่ให้หมดไปก็ไม่ถึงเท่านั้น จะคอยท่าให้บุญกุศลมาช่วยระงับดับกิเลสของตัวเช่นนี้ ไม่ใช่ฐานะที่จะพึงคิด บุญกุศลนั้นก็คือตัวเรานี้เอง เราแล จะเป็นผู้ระงับดับกิเลสให้สิ้นไปหมดไปจึงจะสำเร็จได้สม ประสงค์ ดูกรอานนท์ ปุถุชนคนเขลาทั้งหลายที่ได้ถึง พระนิพพานด้วยยากนั้น เพราะเขาปรารถนาเปล่าๆ จึง ไม่ได้ไม่ถึง เขาไม่รู้ว่าพระนิพพานอยู่ที่ในใจของเขา มีแต่ คิดในใจว่าจะไปเอาในชาติหน้า หารู้ไม่ว่า นรกและสวรรค์ และพระนิพพานมีอยู่ในตน เหตุฉะนั้นจึงพากันตกทุกข์ ได้ยากลำบากยิ่งนัก พากันเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสาร นี้ ถือเอากำเนิดในภพน้อยภพใหญ่อยู่ไม่มีที่สิ้นที่สุด ข้าแต่ พระมหากัสสปะ พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ ด้วยประการดังนี้ แล้วจึงตรัสเทศนาต่อไปอีกว่า อานนฺท ดูกรอานนท์ บุคคลผู้มีปัญญาพึงคิดถึงตนแล้วปราบใจ ของตนให้พ้นจากทุกข์และความลำบาก และให้ออกจากบ่วง แห่งกิเลสมารให้ได้เถิด ถ้าไม่คิดอย่างนี้ แม้จะมีปัญญาก็มี เสียเปล่า ไม่นับเข้าในจำนวนที่มีปัญญา กิริยาที่พ้นทุกข์ และ พ้นออกจากบ่วงแห่งกิเลสมารได้ ก็คือพ้นจากกิเลสตัณหา ของเรา เมื่อพ้นจากกิเลสตัณหาได้เช่นนั้น ก็ได้ชื่อว่าพ้นจาก ความทุกข์ยากโดยสิ้นเชิง ถ้ายังไม่พ้น ก็ได้ชื่อว่ายังไม่พ้น จากความทุกข์ยาก เมื่อตนยังไม่หลุดไม่พ้น ก็ไม่ควรจะ สั่งสอนผู้อื่นเพราะตัวยังไม่พ้น จะสั่งสอนผู้อื่นให้พ้นได้ด้วย อาการอย่างไร เปรียบเหมือนบุคคลจะข้ามแม่น้ำ ถ้าตัว ของเราข้ามไปถึงฝั่งฟากโน้นแล้ว จึงร้องบอกให้ท่านผู้อื่น ข้ามมาตามตนเช่นนี้สมควรแท้ เมื่อเราร้องบอกเขาแล้ว เขาจะพอใจไปหรือหาไม่ก็แล้วแต่ใจเขาส่วนตัวของเราข้ามไป ได้สมประสงค์แล้ว ข้ออุปมานี้ฉันใด ผู้ที่จะเป็นครูเป็น อาจารย์สอนให้ผู้อื่นพ้นจากทุกข์ ก็ต้องทำตัวให้พ้นทุกข์ เสียก่อน จึงสมควรจะสอนคนอื่น มีอุปไมยเหมือนผู้ที่ จะพาข้ามแม่น้ำฉะนั้น บุคคลที่เปลื้องตัวให้พ้นออกจาก กองกิเลสยังไม่ได้ และจะไปเปลื้องปลดสัตว์ในป่าช้า ผี ทั้งหลายเขาจะหัวเราะเยาะเย้ยว่า อโห โอหนอ! ตัวของ ท่านก็ยังไม่พ้นทุกข์ แล้วจะมาพาเอาพวกข้าพเจ้าออกจาก ทุกข์ได้อย่างไร ตัวของท่านและพวกข้าพเจ้าก็ยังไม่พ้นนรก อยู่เหมือนกัน จะมาพาพวกข้าพเจ้าให้พ้นจากนรกได้ด้วย อาการอย่างไร ดูกรอานนท์ บุคคลจำพวกใด ที่ให้ผีในป่าช้า หัวเราะเยาะเย้ยเล่นเช่นนี้ บุคคลจำพวกนั้นถ้ามีขึ้นก็เป็นเหตุ ให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บอันตรายต่างๆ หาความสุขความเจริญ มิได้ ดูกรอานนท์ คฤหัสถ์ก็ดี นักบวชก็ดี มากล่าวว่าตัวรู้ ตัวเห็นและได้พูดจากับด้วยผี ดังนี้ก็พึงให้รู้ว่าคนจำพวกนั้น ไม่ใช่ลูกศิษย์ของเราตถาคต เป็นพวกมิจฉาทิฏฐิภายนอก พระศาสนา ไม่ควรเชื่อถือเอาเป็นครูเป็นอาจารย์ เพราะเขา เป็นคนเจ้าอุบายเจ้าเล่ห์เจ้ากลเท่านั้น ที่มีความรู้จริงเห็นจริง พูดจาสนทนากับผีได้ มีแต่พระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์ เท่านั้น นอกนั้นไม่มีใครรู้จริงเห็นจริง เป็นคนอุตริทั้งนั้น ดูกรอานนท์ เราจะทำนายไว้ให้เห็นในอนาคตกาลเบื้องหน้า จะเกิดมีพวกมิจฉาทิฏฐิภายนอกศาสนาอวดอ้างว่าตัวรู้ ตัวเห็นผีได้พูดจากับด้วยผี ครั้นบุคคลจำพวกนั้นเกิดขึ้นแล้ว ก็จะเบียดเบียนพระศาสนาของเราให้เสื่อมถอยลงไปด้วย วาทะถ้อยคำเสียดสีต่างๆ พระสงฆ์สามเณรก็จะเกิดระส่ำ ระสายหาความสบายมิได้ เขาจะสอนทิฏฐิวัตร์อย่างเคร่งครัด ถืออรัญญิกธุดงค์อย่างพระเทวทัตต์ ภายหลังก็จะเกิด พระบ้านพระป่ากันขึ้นแล้วก็จะแตกกันออกเป็นพวกๆ ไม่สามัคคีกัน ต่างพวกก็ถือแต่ตัวดี ศาสนาของเราก็จะ เสื่อมถอยลงไปเพราะพวกมิจฉาทิฏฐิเห็นแก่ลาภและยศ หาความสุขมิได้ มรรคผลธรรมอันวิเศษก็จะไม่เกิดขึ้นแก่เขา เขาจะเรียนเอาแต่วิชาศีลธรรมอันพวกมิจฉาทิฏฐิสอนให้ รู้อะไรกันขึ้นเล็กน้อยก็อวดดีกันไป แท้ที่จริงความรู้เหล่านั้น ล้วนแต่รู้ดีสำหรับไปสู่นรก เขาจักไม่พ้นจตุราบายได้เลย ดูกรอานนท์ ในอนาคตกาลภายหน้าจะมีอย่างนี้ไม่ต้องสงสัย ถ้าผู้ใดรู้ลัทธิทิฏฐิอย่างนี้ไว้แล้ว เมื่อได้เห็นก็จงเพียรพยายาม ละเว้นก็จะได้ประสบความสุข การที่จะระงับดับกิเลส ก็ให้ ระงับบริโภค ๒ ประการ ให้เบาบางลง บริโภค ๒ นั้น คือจีวรปัจจัย และเสนาสนะปัจจัย ๒ อย่างนี้ ชื่อว่าบริโภค ภายนอกนับเป็น๑ บิณฑบาตปัจจัย และคิลานะปัจจัย ๒ อย่างนี้ชื่อว่าบริโภคภายในนับเป็นอย่าง๑ บริโภคทั้ง๒ นี้ เป็นตัวกิเลสตัวทุกข์ตัวสุขสิ้นทั้งนั้น ถ้าบริโภคทั้ง๒ นี้ มากขึ้นเท่าใด ทุกข์ก็มากขึ้นไปตามเท่านั้น ถ้าบริโภค ๒ นี้ น้อยลง ความสุขก็มากขึ้น คือว่าบาปน้อยลงเท่าใด บุญ กุศลก็มากขึ้นเท่านั้น อันบุญกุศลก็มีอยู่ที่ตัวบุคคลทั้งสิ้น ผู้ที่ละบริโภค ๒ นั้นได้แล้ว นรกก็พ้นสวรรค์และพระนิพพาน สิ่งใดๆก็ได้ในที่นั้น ดูกรอานนท์ บุคคลที่บวชเข้าแล้ว ไม่รู้จะระงับดับกิเลสคือบริโภค ๒ ให้เบาบาง เข้าใจว่า บวชรักษาศีลถือครองวัตรเอาบุญไม่หาอุบายระงับดับ กิเลสและบริโภค ๒ จะได้บุญได้ความสุขมาแต่ที่ไหน ถ้าคิดอย่างนั้น แม้จะรักษาศีลตลอดพระปาฏิโมกข์และ ธุดงควัตร ก็หากเป็นอันรักษาเปล่ารักษาให้เหนื่อยยาก ลำบากกายเปล่าไม่อาจเป็นบุญกุศลได้ พระปาฏิโมกข์ ธุดงควัตรทั้งหลายที่ทรงบัญญัติแต่ตั้งไว้นั้น ก็เพื่อให้เป็น เครื่องระงับดับกิเลสตัณหา คือบริโภคทั้ง ๒ ถ้าระงับไม่ได้ ก็ไม่เป็นบุญเป็นกุศล ผู้ที่ทำความเข้าใจว่า พระปาฏิโมกข์ และธุดงควัตรจะช่วยยกตัวให้ขึ้นไปสวรรค์และพระนิพพาน เช่นนี้เป็นความเห็นของคนที่โง่เขลาเบาปัญญา จะไม่พ้น ทุกข์เลย บริโภคทั้ง ๒ นั้นได้ชื่อว่าปลิโพธ ๒ ที่แปลว่า ความกังวล การรักษาพระปาฏิโมกข์และธุดงควัตรก็เพื่อจะ ตัดปลิโพธความกังวลให้เบาบางลงได้เท่าใดก็เป็นบุญเป็น กุศลเป็นสวรรค์และพระนิพพานขึ้นไปเท่านั้น พระพุทธเจ้า ย่นโอวาทคำสั่งสอนลงสู่ปลิโพธ ๒ ว่าเป็นที่สุดโดยสิ้นเชิง คือว่านรกสวรรค์และพระนิพพานมีอยู่ที่ปลิโพธ ๒ ครบ บริบูรณ์ ผู้ศึกษาเล่าเรียนจะรู้มากรู้น้อยเท่าไรไม่นิยม รู้มาก หรือรู้น้อยถ้าระงับปลิโพธนั้นได้ก็เป็นดี จะอยู่วัดบ้านหรือ วัดป่าประการใดก็ตาม ถ้าระงับปลิโพธ ๒ นั้นได้ ย่อมเป็น ความดีความชอบทั้งสิ้น ถ้าระงับปลิโพธ ๒ นั้นไม่ได้ แม้ จะรู้มากมายและอยู่วัดบ้านวัดป่าประการใด ย่อมไม่ดีทั้งสิ้น พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาเป็นใจความอย่างนี้ อันดับนั้น จึงตรัสเทศนาต่อไปอีกว่า อานนฺท ดูกรอานนท์ ธรรมนี้ ชื่อว่าพระยาธรรมมิกราช เพราะเป็นใหญ่กว่าธรรมทั้งหลาย ข้อที่เราตถาคตได้ตรัสไว้แล้วในธรรมหมวดนี้ คือได้ชี้นรก สวรรค์และพระนิพพาน กิเลสตัณหาโดยจะแจ้งสิ้นเชิง เมื่อผู้ใดได้ฟังแล้วปรารถนาสุขทุกข์ประการใด ก็จงเลือก ประพฤติตามความปรารถนา เมื่อพระพุทธเจ้าตรัส ฉะนี้ แล้ว จึงซ้ำตรัสอนุญาตปัจฉิมบรรพชาไว้แก่ข้าฯ อานนท์ อานนฺท ดูกรอานนท์ แม้ในปัจฉิมกาลเมื่อหาพระสงฆ์ ครบคณะบรรพชาไม่ได้ โดยที่สุดแม้ภิกษุองค์เดียว เมื่อ กุลบุตรมีศรัทธาเลื่อมใสในคุณแห่งเราตถาคต อยากจะบวช เป็นภิกษุในสำนักแห่งภิกษุองค์เดียว ก็จงบวชเถิด โดยที่ สุดลงไปอีก แม้จะหาภิกษุสักองค์เดียวไม่ได้ กุลบุตรผู้มี ศรัทธาใคร่จะบวชสืบศาสนาแห่งเราตถาคต ก็ให้ศึกษา จตุตถปาราชิก และบริโภค ๒ นั้นให้เข้าใจ แล้วเข้าสู่เฉพาะ พระพุทธรูปหรือพระสถูปหรือพระเจดีย์ หรือแม้หาที่ควร เคารพเช่นนั้นไม่ได้ ก็ให้ระลึกถึงเราตถาคตแล้วบวชเป็น ภิกษุเถิด ให้ตั้งใจสมาทานว่า อิมํ ปพฺพชฺชํ สมาทิยามิ. ทุติยมฺปิ ตติยมฺปิ. อิมํ ปพฺพชฺชํ สมาทิยามิ. แล้ว ให้สมาทานจตุตถปาราชิก ว่า ปฐมํ ปาราชิกํ สมาทิยามิ ทุติยํ ตติยํ จตุตฺถํ ปาราชิกํ สมาทิยามิ. แล้วบวชเป็น ภิกษุเถิด ถ้าหากพระสงฆ์ยังมีอยู่อย่างน้อยเพียงองค์เดียว แล้วจะบวชโดยลำพังไม่ได้ ถ้าขืนบวชชื่อว่าดูถูกดูหมิ่น พระศาสนา เป็นบาปยิ่งนักอย่าทำเลย เมื่อบวชโดยวิธีนี้ ผู้ใดคัดค้านว่าไม่ควร จะเป็นบาปเป็นกรรมยิ่งนัก เราอนุญาต ไว้สำหรับคราวอันตรธานต่างหาก ข้าแต่พระมหากัสสปะ พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ดังนี้ ขอพระ อริยสงฆ์ทั้งหลายจงทราบด้วยพลญาณของตน โดยนัยดัง ข้าพเจ้าอานนท์แสดงมานี้เทอญ แล้วพระองค์ก็หยุดไม่ทรง ตรัสเทศนาอีกต่อไป ข้าพเจ้ากราบถวายบังคมแล้ว ก็กลับ ไปสู่สำนักท่านคิริมานนท์ แสดงสัญญาทั้ง ๒ ประการ คือ รูปสัญญา นามสัญญา ให้พระผู้เป็นเจ้าฟังโดยพุทธบริหาร ทุกประการ ท่านคิริมานนท์กำหนดตามพระธรรมเทศนา ก็ได้บรรลุพระอรหัตตผล ในขณะที่วางธุระในรูปในนาม โรคภัยของท่านที่เจ็บปวดเวทนา ก็อันตรธานหายในขณะนั้น ข้าแต่พระมหากัสสปะผู้มีอายุ พระสูตรนี้จะได้ชื่อว่าพระยา ธรรมมิกสูตร ตามรับสั่งนั้นก็จะเสียนิมิตไป เพราะอาศัย พระผู้เป็นเจ้าคิริมานนท์เป็นนิมิต
    พระสูตรนี้พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาที่วัดเชตวนาราม ปรารภ พระคิริมานนท์เกิดอาพาธให้เป็นเหตุ จึงได้ชื่อว่า คิริมานนทสูตร มีเนื้อความดังแสดงมานี้แล.
     
  4. makcloud

    makcloud เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    424
    ค่าพลัง:
    +535
    เชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่ใช่ดูถูก แต่ปฏิบัติถึงหรือยัง เหมือนกับว่าเห็นด้วยตาเนื้อหรือตาจิตหรือยัง ถ้ายัง ก็ต้องเชื่อแบบครึ่ง ๆ ไปก่อน พระพุทธเจ้าท่านยังสอนไม่ให้เชื่อ 10 ข้อเลย ปฏิบัติถึงก่อนแล้วค่อยเชื่อเต็มร้อยก็ไม่สาย
    ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ
     
  5. มหาวัฎร

    มหาวัฎร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +150
    สัจจธรรม คือธรรมะที่มีจริง เป็นจริงแท้ ไม่วิปริต
    พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 298

    ว่า ภาวะใด เมื่อบุคคลเพ่งอยู่ด้วยปัญญาจักษุ ย่อมไม่วิปริตเหมือนมายากล

    ไม่ลวงตาเหมือนพยับแดด ไม่เป็นสภาวะที่ใคร ๆ หาไม่ได้เหมือนอัตตาของ

    พวกเดียรถีย์ โดยที่แท้เป็นโคจร (อารมณ์) ของอริยญาณ โดยประการมี

    การเบียดเบียน (ทุกขสัจจ์) มีเหตุเป็นแดนเกิด (สมุทัยสัจจ์) มีความสงบ

    (นิโรธสัจจ์) มีการนำออก (มรรคสัจจ์) ซึ่งเป็นของแท้ ไม่วิปริต เป็นของจริง

    ทีเดียว ภาวะที่สัจจะเป็นของแท้ ไม่วิปริต เป็นของจริง เป็นดังลักษณะไฟ

    และเป็นดังธรรมดาของสัตว์โลก (ต้องเกิดแก่เจ็บตาย) นั้น บัณฑิตพึงทราบว่า

    เป็นอรรถของสัจจะ เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า อิทํ ทุกฺขนฺติ โข ภิกฺขเว

    ตถเมตํ อวิตเมตํ อนญฺญถเมตํ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คำว่า นี้ทุกข์

    ดังนี้แล นั่นเป็นของแท้จริง นั่นเป็นของไม่ผิด นั่นไม่เป็นไปโดยประการอื่น

    ________________ความแตกต่าง_______________


    สมมติฐาน (หรือสะกดว่า สมมุติฐาน) หรือ ข้อสันนิษฐาน คือการอธิบายความคาดหมายล่วงหน้าสำหรับปรากฏการณ์ที่สามารถสังเกตได้ มักใช้เป็นมูลฐานแห่งการหาเหตุผล
    การทดลอง หรือการวิจัย ในทางวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์จะตั้งสมมติฐานจากสิ่งที่สังเกตการณ์ได้ก่อนหน้านี้ ซึ่งอาจไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนด้วยทฤษฎีที่มีอยู่ในปัจจุบัน สำหรับในความหมายอื่น สมมติฐานอาจเป็นบรรพบทหรือญัตติที่จัดตั้งขึ้น เพื่อใช้ในการสรุปคำตอบของปัญหาประเภท ถ้าเป็นเช่นนี้ แล้วจะเป็นเช่นไร


    __________________________________________________

    ประเด็นของเรื่องนี้ก็คือ หลักธรรมต่างๆขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงไว้ เพื่อดำรงค์ไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา ด้วยน้ำพระทัยอันมีเมตตาทรงเอ็นดูและอนุเคราะห์ แก่เหล่าเวไนยสัตว์ทั้งหลายในปัจจุบัน ได้ถูกโยงมาเชื่อมต่อกันระหว่าง"สัจธรรมและสันนิษฐาน" เพราะเหตุผลเดียวคือ ไม่มีผู้ใดหรือหาผู้รู้จริงได้น้อยในการแสดงธรรมทั้งหลาย ไม่ว่าจะมาจากในที่ใดก็ตาม นี่คือ"ภัยร้าย"ที่จักทำลายเหตุและผลของความเข้าใจใ นความหมายของคำว่า"สัจธรรม" หากเป็นอย่างนี้เรื่อยไป พระพุทธศาสนาจะหลงเหลือเพียงแค่ความหมายของคำว่า"สันนิษฐาน"เพียงเท่านั้น เพราะเหตุใด ? .....
    องค์คุณธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ล้วนแสดงธรรมโดยมีเหตุและผล ชัดเจน แต่ในปัจจุบันนี้ เหตุไฉน จึงมีคำว่า" ทำอย่างนั้นอาจมีผลอย่างนั้นก็ได้ , อาจจะเป็นอย่างนั้นบ้าง,อาจจะเป็นอย่างนี้บ้าง เหมือนสำนัก"อะไรก็ได้ เป็นอย่างนี้ก็ได้, เดี๋ยว ,ยัง ,ระวัง ,จะ เป็นอย่างนั้นก็ได้ ออกมาเพียบ ก็เพราะไม่เคยรู้ยิ่งเห็นจริง ในสิ่งนั้นๆ เพราะเหตุใด ?เป็นภาระของผู้ใด มิใช่ภาระของเหล่าพุทธบริษัททั้งหลายดอกหรือ ที่ได้สืบทอดพระพุทธศาสนาแล้วนำออกมาแสดง สั่งสอนอนุชนรุ่นต่อๆมาด้วยความเอ็นดูและอนุเคราะห์ ที่นี้สิ่งที่ควรระมัดระวังและควรจะใส่ใจคือ ไม่ควรประมาทในธรรม ก็คือในธรรมที่นำเอาออกมาแสดงแก่กันและกันนั่นเอง " ไม่เข้าถึงและเข้าใจหรืออย่างไรว่า" ที่สุดของการประพฤติพรหมจรรย์ของพุทธศาสนานี้ เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ เพียงเท่านั้น ! " ฉนั้น เมื่อยังไม่รู้ยิ่งเห็นจริง ในสิ่งที่ควรรู้ควรเห็น ควรปฎิบัติ ควรแจกจ่าย ควรทำให้ถึงที่สุดก่อน ก็ไม่ควรนำมาแสดง นำมาสั่งสอน นำมาวิจาร์ณกันให้เสียกาล เพราะมาเสียเวลาเปล่าๆไปกับการค้นหา สืบหาข้อเท็จจริง ฉนั้น ในพุทธศาสนานี้ จึงไม่มีคำว่า" เป็นไปไม่ได้ คือ ทำอย่างไรย่อมได้รับผลอย่างนั้น อย่างแน่นอน ไม่มีคำว่า ทำอย่างนั้น แล้วจะได้อย่างอื่น อุปมา เหมือนแม่โคท้องย่อมออกลูกเป็นโค จัก ออกลูกเป็น พืชผักผลไม้ ได้ที่ไหน "

    เรารู้ดีโดยธรรมด้วยตนเอง ว่าผู้ที่ทราบว่าอะไรผิดอะไรถูกก็คือ ผู้ที่อยู่มานานแล้ว ในพรหมโลกก็ดี ในสวรรค์โลกก็ดี ในมารโลกก็ดี แม้แต่ในบาดาลนรกภูมิ พวกเขาเหล่านั้น บ้างก็เคยเข้าเฝ้าพระพุทธองค์มาแล้ว บ้างก็ได้รับพรพุทธทำนายมาแล้ว ได้รับฟังคำสั่งสอนมาบ้างแล้ว อย่างมากมายท่วมท้น ชนเหล่านั้น สามารถที่จะชี้แจง บอกข้อมูลในเมื่อครั้งอดีตกาล สมัยพุทธกาลแก่เราได้อย่างชัดเจน และไม่ผิดเพี้ยน หากเขาเหล่านั้นประสงค์จะให้ทราบ ด้วยบุญเก่าก็ดี เหมือนกับที่เคยมาถวายพระปริตรแก่เรา เราก็ย่อมจักสำเร็จ การนั้นเป็นแน่แท้
    ท่านทั้งหลาย ในอรรถาธิบาย ในปัจจุบันมีการดัดแปลงแก้ไขเป็นอันมาก จนทำให้เราสามารถเข้าใจผิดและหลงทางได้ แม้แต่ในความเข้าใจ ในเนื้อความจะมีมากก็ตาม รู้มากในอรรถในประโยคมากก็ตาม แต่จะยังไม่สามารถเข้าถึงเส้นทางที่แท้จริงได้ หากไปนำมาปฎิบัติ เสมือนมีแผนที่ทางเดินที่สร้างมาผิดแบบ มีความสลับซับซ้อน ย่อมเข้าใจผิดเป็นอันมาก และแม้มีแผ่นที่่ทีสามารถชี้บอกทางได้ถูกต้อง แต่ไปถามคนผิดก็ย่อมบอกทางผิดไปเรื่อยๆ ตามความคิดของตนเอง ความเข้าใจของตนเอง ตามจริตของตนเอง หรือมีจริตประสงค์ให้ งุนงง สงสัยไข่วเขว ไม่กระจ่าง อุปมาเสมือนคนตาบอดสนิท ที่มีความปราถนาคบไฟเพื่อต้องการแสงสว่างนำทาง จักจะเป็นประโยช์นอันใด ขอให้ท่านเฝ้าพิจารณาให้ดีๆ และปฎิบัติให้ถึง ความวิเวก หวังว่ากุศลผลบุญของท่าน ที่ได้เคยทำไว้แต่ชาติปางก่อนจะชี้นำทางที่ถูกต้อง ความรู้เหล่านี้ จักเป็นประโยชน์ต่อไป ในภายภาคหน้า แก่พระพุทธศาสนา ซึ่งจะมีการถกเถียง กันในเรื่องราวต่างๆ ใครมีบุญมากๆ ที่เหลือก็ค่อยถาม เอากับชาวทิพย์เอานะครับ เพราะเขาอยู่มานาน รู้เห็นอะไรที่เป็นจริงมากกว่าเราหลายอย่าง เอาที่มีธรรมสูงๆล่ะครับ เพราะส่วนหนึ่งก็ตกอยู่ในมิจฉาทิฏฐิ เพราะถูกกับดักของมารครอบ เอาไว้เหมือนกัน ขออนุโมทนาบุญฯ<!-- google_ad_section_end -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. Sagen1994

    Sagen1994 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +202
    แล้วกรรมที่สั่งฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวล่ะครับ?
    มันไม่ใช่แค่เรื่องเยอรมันจะอดตายนะครับ ...
     
  7. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    กรรมก็ส่วนกรรม มันแยกกัน มาเป็น ๒ ดีกับชั่ว แต่ใครจะเอาแบบไหนต่างหาก การเชื่อเกินไป เป็นการงมงาย ต้องวางไว้ทั้ง ๒ แบบ ๕๐-๕๐ เมื่อเราค้นคว้า และพิสูตรได้จึงเชื่อได้ ๑๐๐ ปอร์เซ็น แต่เราก็พิสูตรมาได้ระดับหนึ่ง จึงกล้ากล่าวได้ว่า อย่างที่เรากล่าวมาแล้ว จะไม่อธิบายเรื่องอื่นเพราะมันใช้เวลามาก จะเข้าเรื่องเลยดีกว่า เราขอยืนยันตามทุกท่านที่ว่า ท่านฮิตเลอร์ มาเป็นเทวดารักษาอยู่วัดท่าซุง ตามที่หลวงพ่อฤาษีบอก พ.ศ.๒,๗๐๐ ปีล่วง ท่านจะมาเกิดเป็นลูกกษัตย์ และเป็นพระราชาธรรมมิกราช หลวงพ่อท่านได้ พยากรณ์ ไว้ในแผ่นทองคำ ฝังไว้ใต้ฐานพระประธานพระอุโบสถ วัดท่าซุง

    และคนสนิทของฮิตเลอร์ มือขวาได้มาเกิดเป็นหลวงพี่สมพงษ์ สมจิตโต มรณะเมื่อปีที่แล้ว ได้ปีกว่าๆแล้ว ๒๖ พรรษา หลวงพ่อท่านบอก ผมสนิทกับท่านหลวงพี่สมพงษ์ ท่านบอก ท่านเจ้าอาวาสกับพระอาจารย์อาจินต ที่อยู่เยอรมัน ลูกศิษย์ หลวงพ่อ มาหาท่านหลวงพี่ให้ไปเยอรมัน แต่ท่านไม่ไป เมื่อมาชวนหนักเข้าเมื่อปี ๕๓ ท่านได้ไป มาทนคำขอร้องจากเจ้าอาวาสไม่ไหว จึงต้องไป พอกับมาท่านกล่าวกับผมว่า บุญทรงหลวงพี่ไม่ไปอีกแล้ว เจ้ากรรมนายเวร ที่เคยเป็นจอมวางแผน ก็คือท่านสั่งฆ่า พวกยิวต้องตายไป ๒ ล้านกว่าคน เพราะท่านวางแผน จัดการฆ่า ท่านบอกมือพวกผีต่างๆ ให้ยั้วเยี้ยหมด จะคว้าร่างท่าน ๆ ขนลุกและกลัว ท่านบอกไม่ไปอีกแล้วเยอรมันนี

    และปีที่แล้วท่านป่วยเป็นเมร็งที่สมองและได้มรณะภาพลง ปลายปี ๕๔ สิงหาคม จะเล่าละเอียดไม่ไหวเพราะเรื่องมันยาว ผมสัมผัสมาหลายเรื่องๆของท่านฮิตเลอร์ และท่านเป็นคนเชื้อสายมาจากเชียงแสนครับ เห็นการเกิดไหม โลกไม่เที่ยงจริงๆ ไปเกิดได้หลายๆที่ไม่จำเป็นต้องเป็นคนไทยเพราะทุกเชื้อชาติก็เป็นพี่น้องร่วมเกิดแก่ เจ็บและตายเหมือนกับเรา ใครจะเดินทางไหน ก็เลือกเอาไม่มีใครบังคับครับท่าน เรื่องบางอย่าง พระพุทธเจ้าไม่ได้พยากรณ์หมดทั้งโลก แต่ละประเทศและที่ และสมัย อย่างประเทศไทยของเรา แต่ละยุกก็จะมีพระอรหันต์ที่มีหน้าที่นี้มาพยากรณ์ เรื่องละเอียดต่อไป ตัวอย่าง สมัยอยุธยา กรุงเทพ ท่านสังเกตุดูกันไหม (พ้นจาก ร.๑๐ ไปไม่มีการพยากรณ์ต่อเลย แต่ผมคิดเอาหน้าจะมีการพยากรณ์ต่อจาก สมัยท่านฮิตเลอร์ ผมเดาเอาน่ะครับไม่ได้ให้เชื่อ) และหลักฐานที่ผมเคยไปช่วยที่หลังโบสถวัดท่าซุง ผมหนึ่งในนั้นก็ไปช่วยขน แต่ไม่ขอเอ่ยครับผม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กันยายน 2012
  8. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    :cool:({)หลวงพ่อองคุลีมาร ท่านฆ่าคนเกือบหมื่น แต่ไม่ได้นับไว้ ตอนหลังเลยตัดนิ้วมาร้อยเป็นพวงมาลัยนับต้นใหม่ เลยฆ่าคนไปหลายพันคน แต่ท่านยังได้จบกิจเป็นพระอรหันต์ เลย แต่เมื่อจบกิจแล้ว มันปิดอบายภูมิทั้งสี่หมดเวรกรรม อยู่เหนือบุญและบาปไม่เอาทั้ง ๒ อย่าง อยู่ช่วยประกาศพระศาสนา แล้วก็นิพพานครับ ละคนที่ทำบุญหนีบาป ให้กรรมมันตามไม่ทันไง ถ้ามันตามทันก็ต้องไปใช้เขาเหมือนกัน แค่นี้แหละนะพูดมากไปก็ไม่ดีครับสวัสดี :cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...