วิธีใช้งานเทวดา

ในห้อง 'ดูดวง และ ทำนายฝัน' ตั้งกระทู้โดย nachabhol, 13 มิถุนายน 2011.

  1. nachabhol

    nachabhol สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +27
    วิธีใช้งานเทวดา<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    คํานํา ก่อน อ่าน<O:p</O:p
    คนเราแต่ละคนที่เกิดมาในโลกนี้ ล้วนต้องมีถิ่นกําเนิด ผู้ให้กําเนิด พร้อมทั้งหมู่ญาติ พวกพ้องทั้งนั้น จึงจะสามารถดํารงชีวิตอยู่ได้ เราอาศัย ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง เพื่อความเป็นอยู่ ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ก็อาศัยเรา เพื่อความเป็นอยู่ ดูแล ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน จึงกล่าวได้ว่าทุกคนต่างก็ต้องอาศัย ซึ่งกันและกัน ไม่มีใครที่ สามารถอยู่ได้โดยไม่อาศัยผู้อื่น<O:p</O:p
    ดังนั้น การดูแล ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน จึงเป็นสิ่งที่ทุกสังคมและชนชั้น ต่างก็ต้องมีด้วยกันทั้งนั้น นี้คือ การเกี่ยวข้องกันของสังคมมนุษย์ แต่มีการเกี่ยวข้องอีกอย่างหนึ่งที่คนเราไม่ค่อยได้รับรู้หรือสนใจ นั้นคือการ เกี่ยวข้องกับญาติของเราที่อยู่ในโลกวิญญาณ วิญญาณก็คือดวงจิต ดวงชีวิตของค์นผู้หนึ่งๆ ที่ตายจากมนุษย์ไป แล้วไม่ใช่ผีอย่างเดียวเท่านั้น แต่ หมายถึงทุกภพ ทุกภูมิ ที่มีอยู่ในวัฏสงสารนี้ ไม่ว่าจะเป็นเทวดา อินทร์ พรหม ยักษ์ นาค ครุฑ คนธรรพ์ ภุม ภัณฑ์ เปรต ผี ปีศาจ สัตว์นรก เหล่านี้ชื่อว่า จิตวิญญาณในโลกทิพย์หรือโลกวิญญาณ ทั้งสิ้น<O:p</O:p
    เขาเหล่านี้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นญาติมิตรกับเรานั้นมีมากมายนัก ด้วยว่าในโลกของการเวียนว่ายตาย เกิดนี้ กรรมบันดาลให้เป็นไป คนเราทุกคนจึงได้เคยเกิดในที่ต่างๆ ในฐานันดรต่างๆ มากมาย เรียกว่าในโลก นี้มีคนที่ ฐานะ อาชีพ แตกต่างกันเท่าใด เราก็ได้เคยเกิดเป็นอย่างนั้นมาแล้วทั้งสิ้น ญาติมิตรและศัตรูคู่อาฆาต ของแต่ละคนจึงมีอยู่มาก ที่มาใกล้ชิดเกี่ยวข้องกับเรา<O:p</O:p
    อยากให้ศึกษาทําความเข้าใจ และลองทําดูในวิธีที่จะกล่าวต่อไปนี้ เพื่อจะได้เข้าใจวิธีทํา วิธีใช้ ใน การสงเคราะห์ญาติที่อยู่ในโลกลี้ลับ อย่าพึ่งเชื่อ หรือปฏิเสธในทันที ขอจงใคร่ครวญ พิจารณา และปฏิบัติ ดูก่อน จึงค่อยเชื่อหรือปฏิเสธ จึงจะสมภูมิปัญญาของพุทธบริษัท บุญกุศลใดที่เกิดขึ้นจากการรวบรวมเรียบเรียงหนังสือเล่มนี้ ขออุทิศถวายบูชาคุณพระศรีรัตนตรัย คุณแห่งบิดา มารดา ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ ที่ได้เลี้ยงกาย เลี้ยงจิตวิญญาณของข้าพเจ้ามา ขอบุญกุศลนี้ จง บันดาลผลสําเร็จแห่งการกระทําดีแก่ท่านผู้มีจิตศรัทธาร่วมกุศลในการจัดพิมพ์หนังสือนี้ทุกท่าน<O:p</O:p
    หากมีข้อบกพร่องใดๆ ของเนื้อหาและข้อความ ข้าพเจ้าขอน้อมรับ คําแนะนํา จากท่านผู้มีจิตกรุณา ด้วยความยินดียิ่ง ขอให้มีกําลังกาย กําลังใจ กําลังทรัพย์ ที่จะทําความดีตลอดไป ชัย วัชระ<O:p</O:p
    วิสาขบูชา ๒๕๔๙<O:p</O:p
    <O:p</O:p<O:p</O:p
    ๑. สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม คนผู้เกิดมาในโลกนี้ มีความเป็นไปต่างกัน พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงว่า การกระทําของค์นเราเอง นั่นแหละที่ได้จําแนก ให้เกิดมามีรูปร่าง หน้าตา ความสุข ความทุกข์ ยากดีมีจน แตกต่างกัน แต่ละคนก็มีวิถี ชีวิต โชคชะตา ไปตามบุญกรรมที่ตนได้เคยทํามา ด้วยเหตุแห่งการเวียนว่าย ตายเกิด ในภพชาติของ วัฏสงสารอันยาวนาน ทําให้ได้ประสบเรื่องราวต่างๆ ได้กระทําสิ่งต่างๆ เอาไว้ ทั้งทางกาย คําพูด และ ความคิด ทั้งเจตนา หรือด้วยความประมาทเลินเล่อ รู้เท่าไม่ถึงการณ์<O:p</O:p
    สิ่งเหล่านี้ ได้เป็นปัจจัยส่งผลให้หมู่สัตว์ในโลกนี้ เกิดมาใน ลักษณะที่ต่างกันไป ทั้งรูปร่างหน้าตา นิสัยใจคอ สถานะทางอาชีพและสังคม นั่นก็เพราะผลกรรมที่ตนได้เคยทํามาแล้วทั้งนั้น บางคนเกิดมารวย แต่ไม่สวย บางคนสวยแต่ยากจน บางคนขัดสินแต่ปัญญาดี ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จงได้ทรงตรัสสอนพวกเราทั้งหลายว่าอย่า ประมาทในชีวิต อายุ เพศ วัย ของตน อย่าหลงใหลใฝ่ความชั่ว อันจะพาตนให้ตกต่ํา รับผลกรรมคือความทุกข์ ความเดือดร้อน ทั้งโลกนี้ และโลกหน้า อย่าให้เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์สุดประเสริฐ ที่ยากนักหนาที่จะได้เกิดมาเช่นนี้<O:p</O:p
    ทรงสอนให้หมั่นฝึกหัดปฏิบัติ กาย วาจา ใจ แต่ในทางสร้างสรรค์เกิดประโยชน์เป็นคุณงามความดี มีทาน ศีล ภาวนา เป็นต้น ซึ่งจะยังตนให้ได้รับแต่ความสมหวัง ความเจริญรุ่งเรือง ตลอดไป<O:p</O:p
    ๒. บุญ...ทางเดินของค์นฉลาด ในชีวิตของค์นทุกคน ทุกเพศ วัย ต่างก็มีความมุ่งหมายอยู่ที่ความสําเร็จในงานที่ทํา อยากมี รูปสวย รวยทรัพย์ อยู่ดีมีสุข มีคนรักใคร่ เอ็นดู มีคนมาดูแลช่วยเหลือ แต่สิ่งเหล่านี้ ก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นกับผู้ใดได้ง่ายๆ หากต้องมีเหตุผลหลายส่วนมาเกื้อหนุนกันจึงจะเป็นไปได้ ซึ่งในเรื่องนี้ เชื่อว่าทุกคนก็คงรู้อยู่แก่ใจ และรู้มา แต่ไหนแต่ไรแล้ว<O:p</O:p
    ด้วยการหวังผลอย่างนี้ จึงเกิดตัวเลือกขึ้นมากมายในสังคมมนุษย์ การถือเครื่องราง ของขลัง เสน่ห์ เมตตา มหาอุด เทพเจ้า เหล่าองค์ท่าน จึงเป็นทางเลือกที่คนชอบอยู่ไม่น้อย เรื่องพุทธ พราหมณ์ ผี จึงมีให้เห็น อยู่มากมาย การใช้ตัวช่วยเช่นนี้ ที่เกิดผลดี ก็มีอยู่บ้าง แต่ในรายละเอียด แล้วผลเสียมีมาก ดังนั้นในทาง พระพุทธศาสนา จึงมอบตัวเลือกที่มาตรฐาน ถูกต้อง ตรงตามจริงให้แก่มนุษย์ นั่นก็คือการทําบุญให้ทาน การ รักษาศีล และการเจริญภาวนาทําสมาธิ<O:p</O:p
    ในทางเลือกเหล่านี้ การทําบุญจะเป็น พื้นฐาน เป็นเรื่องง่ายที่สุด ที่คนเราสามารถทําได้ทุกเพศ ทุกวัย และทุกสถานที่ การเสียสละสิ่งของ ของตนเพื่อแบ่งปันความสุขให้แก่ผู้นั้น เป็นการผูกมิตร เป็นการเกื้อกูล อนุเคราะห์กัน จัดเป็นคุณธรรมพื้นฐานของโลก ที่ทุกชาติ ทุกภาษา ได้ถือ ปฏิบัติกันมา เราชาวพุทธจึงควร ทําความเข้าใจในเรื่องบุญทาน การกุศลนี้ให้มากขึ้น เพื่อจะได้ทําได้อย่างถูกต้อง ถูกคุณและเป็นผลบุญขึ้นมา ตอบสนองเราจริงๆในชาตินี้ ไม่ต้องรอชาติหน้าให้เสียเวลา<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ๓. ทําบุญเหมือนไม่ได้บุญ มีคนได้เคยตั้งข้อสังเกตว่า ทําไมคนที่ชอบทําบุญสุนทาน เข้าวัด ฟังธรรม จึงชอบได้รับทุกข์ ความ เดือดร้อน จากเหตุต่างๆ อยู่เป็นประจํา บางคนเป็นหนี้สิน เป็นโรคภัยไข้เจ็บ ทําไม่มา ค้าไม่ขึ้น ถ้าคิดอย่าง สามัญก็ดูเหมือนว่า คนที่ไม่สนใจการบุญ การกุศล กลับจะอยู่ดีมีสุขกว่าคนที่ทําดี เสียอีก จนทําให้บางคน หมดไฟท้อถอยต่อการทําความดี เห็นผิดเป็นถูก เห็นถูกเป็นผิดไปเลยก็มี<O:p</O:p
    เหตุอันนี้ พอสรุปได้ ๓ ประการคือ ๑. เพราะเหตุกรรมเก่าตามมาให้ผล ๒. เพราะความซื่อถือความ สัตย์ จนขาดความละเอียดอ่อนในกระแสโลก จึงเสียรูปคนโกง นึกว่าคนอื่นจะคิดดี ทําดี สุจริตใจ เช่นเดียวกับตน ๓. เพราะมีเหล่าเปรตญาติ และเจ้ากรรมนายเวรมาเกาะเกี่ยว อยากได้ผลบุญผลทานของเรา ด้วยกระแสพลังงานทางจิตของเขาจึงทําให้เราเกิดเป็นไปต่างๆ นาๆ ได้<O:p</O:p
    ในสาเหตุ ๓ ประการนั้น ข้อ ๓. เป็นประเด็นที่เราต้องทําความเข้าใจและแก้ไขก่อนเพื่อน เมื่อแก้ไข ในจุดนี้ได้แล้ว ข้อ ๑ ข้อ ๒ ก็ไม่เป็นปัญหานัก จะบรรเทาและดีขึ้นโดยลําดับ ตามสภาวะของจิตในโลกวิญณาณนั้น มันจะมีพลังงานในตัวมันเอง มีผลของบุญหรือบาปเป็นเครื่อง หล่อเลี้ยงจิตนั้นไว้ เหมือนปลาในตู้น้ําสะอาดหรือสกปรกย่อมมีผลต่อปลานั้น ความสุข ความทุกข์ของผู้ที่ ตายไปแล้วก็ฉันนั้น และด้วยสภาพของโลกวิณณาณไม่มีการทําการงานเลี้ยงชีพ ไม่มีการค้าขาย ทําไร่ทํานา ต่างก็เป็นอยู่ด้วยอํานาจบุญบาป ที่ตนเคยทําเอาไว้แล้ว ไม่มีหมอ ไม่มีส่วนแบ่งปันช่วยเหลือกันได้ ของใครก็ ของมัน ตัวไปเป็นเทวดา จะเอาของทรัพย์ของตนแต่งให้เมียที่เกิดเป็นเปรตก็ไม่ได้ หากให้ก็จะเกิดเป็นไฟลุก ไหม้เปรตนั้นทันที จะต้องทําบุญแล้วอุทิศให้จึงจะได้รับ<O:p</O:p
    ดังนั้น สิ่งจําเป็นในโลกวิณญาณก็คือบุญ บุญที่พวกเราได้ทําอยู่เป็นประจํานี้แหละ ที่เราจะสามารถ ส่งไปช่วยเหลือวิณญาณเหล่านั้นได้ และยังมีวิณณาณบาปอีกมากมาย ทั้งที่เป็นญาติ และไม่ใช่ญาติของเรา ที่ ต้องทนทุกข์ทรมาน มาหลายร้อยหลายพันปี เขาเหล่านั้นน่าสงสาร เขาเหล่านั้น รอคอยบุญกุศลที่คนในโลก นี้ จะอุทิศส่งให้ เหมือนผู้ประสบภัย สึนามิ ต้องการความช่วยเหลือทั้งเสื้อผ้า อาหาร ยารักษาโรค และที่อยู่ อาศัย เหล่าเปรตผี ทั้งหลายก็อย่างนั้น<O:p</O:p
    ฉะนั้น เมื่อเห็นคนทําบุญ เขาจะเข้ามาขอส่วนบุญจากคน แต่ด้วยอยู่คนละภพ ละภูมิกัน เขาเห็นเรา แต่เราไม่เห็นเขา เขารู้จักเรา แต่เราไม่รู้จักเขา จึงเกิดภาวะกดดันอย่างน่าสงสาร ผู้หนึ่งทุกข์ยากอดอยาก ขอ ความช่วยเหลือ อีกฝ่ายไม่รับรู้ ไม่เหลียวแล ความน้อยเนื้อต่ําใจ ความโกรธแค้นก็มีได้เป็นธรรมดา ในธรรมบทพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า เมื่อมนุษย์ทําบุญให้ทานอยู่ เหล่าเปรต ภูต ผี ทั้งหลาย จะรีบ วิ่งมา ณ ที่นั้น ด้วยความดีใจว่า เราจะได้ส่วนบุญกับเขาบ้าง เมื่อได้ก็โสมนัสยินดี เปลี่ยนสภาพจากผีเปรต ผอมแห้ง เปลือยกาย มาเป็นเทวดาผู้สวยงาม บริโภคอาหารอิ่มหนําสําราญ หากคนเราไม่อุทิศให้ก็ต้องร้องไห้ ทุกข์ทรมานต่อไป พระองค์ทรงสอนให้ทําบุญแล้วต้องอุทิศให้แก่เขาเหล่านั้นด้วย เมื่อเขาถึงความสุขแล้ว ก็ ย่อมดูแลช่วยเหลือให้ผู้นั้นถึงความเจริญ<O:p</O:p
    จากการเวียนว่ายตายเกิดหลายภพชาติ เราอาจเป็นญาติเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขาที่ทําบุญอยู่ในโลก นี้ เหมือนบ่อน้ําแห่งเดียวในทะเลทรายอันกว้างไกล เหมือนแสงไฟดวงเดียวในคืนอันมืดมิด ในครั้งพุทธกาล<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เหล่าเปรตญาติต่างก็เฝ้าคอยการเกิดขึ้นและ ทําบุญอุทิศให้แก่พวกตนของพระเจ้าพิมพิสารราชาแห่งแคว้น มคธ ต่างต้องทนทุกข์อดอยากทรมานมาหลายแสนปี เพื่อรอผลบุญในวันนี้ เมื่อพระเจ้าพิมพิสารได้ทําบุญแต่ ลืมอุทิศผลบุญให้กับเปรตเหล่านั้น เขาทั้งหลายก็น้อยเนื้อต่ําใจโกรธเคือง จึงรุกเข้าหลอกหลอนพระราชาใน ห้องพระบรรทม<O:p</O:p
    พระบรมศาสดา จึงทรงตรัสให้พระเจ้าพิมพิสาร ทําบุญแล้วอุทิศให้เปรตเหล่านั้น เมื่อพระราชาได้ ทําบุญในเช้านั้น ก็อุทิศในทันทีว่า ขอทานนี้จงสําเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ทันใดนั้น เสื้อผ้า อาหาร ยานพาหนะ อันเป็นทิพย์ได้เกิดแก่เปรตเหล่านั้น เปรตนั้นได้พ้นจากภูมิเปรต กลายเป็นเทวดาแล้ว ก็ลาไปสู่ วิมานแห่งตน<O:p</O:p
    จากเรื่องนี้ เป็นข้อบ่งชี้ว่า คนๆหนึ่งนั้น มีญาติอยู่มากมาย ทั้งที่ผ่านมาแล้วในอดีตทั้งที่รู้จักกันอยู่ใน ปัจจุบัน เฉพาะในปัจจุบัน เครือญาติของคนผู้หนึ่งๆ นั้นก็นับกันไม่ถ้วน รู้จักกันไม่ครบ ต้องสืบตามถามไถ่ จึงจะรู้จักกันก็มี ล้มตายไปก่อนหน้านี้ก็มี จึงไม่สามารถนับได้ว่ามีมากเท่าไร แม้พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสว่า บุคคลที่เกิดมานั้นต่างได้เคยรู้จักเกี่ยวข้องกันมาแล้วทั้งสิ้น ที่ไม่เคยเกี่ยวข้องกันมานั้นไม่มี<O:p</O:p
    ดังนั้นการมาเกาะเกี่ยวขอส่วนบุญของฝูงเปรต ฝูงผี จึงมีอยู่เป็นธรรมดาของผู้ทําบุญ เมื่อเรารู้เข้าใจ อย่างนี้แล้ว ก็จงอุทิศส่วนบุญ ปลดเปลื้องความทุกข์ ความทรมานของพวกเขาด้วย อันจะเป็นบุญมหาศาลเลย ทีเดียว ลองคิดดูเถิดว่าคนที่ชอบทําบุญและมีโอกาสได้ทํานั้น ทั้งโลกมีน้อยนิดเพียงใด และผู้ที่จะเชื่อเรื่องนี้ แล้วอุทิศบุญให้เขานั้น จะมีน้อยขนาดไหน.? นี้จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่คนใจบุญชอบประสบ เรื่องราวหรือความ วุ่นวาย ความเจ็บป่วยแปลกๆ ซึ่งหากเราได้อุทิศให้เขาเหล่านั้นเป็นประจําแล้ว สิ่งเลวร้ายทั้งหลายก็จะหมด ไป สิ่งดีงาม น่าชื่นใจ จะตามมา เพราะพระพุทธองค์ได้ทรงตรัสบอกเป็นสิทธิ์ขาดไว้แล้วว่า เมื่อคนทั้งหลาย<O:p</O:p
    ทําบุญแล้วอุทิศให้เทวดา ขอเทวดาทั้งหลายจงรักษามนุษย์นั้น เหมือนมารดาเลี้ยงดูลูกน้อยเถิด คนผู้เทวดา รักษาแล้วย่อมเจริณทุกเมื่อ<O:p</O:p
    ๔. การทําบุญให้ถูกบุญ เมื่อคนเราทําบุญนั้น กระแสบุญจะเกิดขึ้นสมบูรณ์ เต็มที่ในขณะให้วัตถุทานนั้นเสร็จ (ทันทีที่ปล่อย มือจากของทานนั้น) กระแสบุญจะสว่างวาบขึ้นชั่วขณะหนึ่ง เหมือนแสงแฟลขถ่ายรูป จากนั้นกระแสบุญก็ จะไปรวมกับกองบุญกองกุศลบนสวรรค์ รอเราตายแล้วจึงจะได้ไปเสวยบุญนั้น ดังเรื่องพระโมคคัลลานะไป เที่ยวตรวจดูบนสวรรค์ได้ไปพบวิมานสวยงามอยู่มากมาย แต่ไม่มีเจ้าของ มีแต่เหล่านางฟ้าบริวารดูแลอยู่ใน วิมานนั้น ท่านสอบถามได้ความว่าเจ้าของวิมานนี้ ยังมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ รอเมื่อสิ้นชีพแล้ว จะได้มาเกิด อยู่ในวิมานนี้ ซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงตรัสรับรองตามที่พระโมคคัลลานะได้เห็นมา<O:p</O:p
    ดังนั้น เมื่อเราทําบุญแล้ว หากไม่ได้อุทิศบุญในขณะกระแสบุญสมบูรณ์แล้ว บุญก็จะเดินทางไป รวมอยู่ในสวรรค์ รอคอยเราอยู่ที่นั้น แต่หากผู้สร้างบุญต้องการให้ผลบุญที่ตนทําแล้วนั้น ให้ผลในปัจจุบัน ทันตาในชาตินี้แล้ว ก็ควรทําการอุทิศบุญ (จ่ายบุญหรือโอนบุญแก่ผู้อื่นก็เรียก) ในทันทีที่เราทําบุญเสร็จ ไม่ ต้องรอกรวดน้ําหรือรับพรจากพระ ให้อุทิศบุญในวินาทีนั้นว่า ขอบุญนี้จงถึงแก่..(ระบุชื่อหรือกลุ่มบุคคล<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    นั้นๆ)..เช่น ต้องการอุทิศให้แก่พ่อผู้ล่วงลับไปแล้ว ก็พึงอุทิศว่า ขอบุญนี้จงถึงแก่ (นาย) คุณพ่อของข้าพเจ้า เถิดดังนี้ทุกครั้งที่ยกของถวายพระหรือแจกสิ่งของแก่ผู้อื่น จากนั้น พึงบอกไปในกระแสจิตกระแสบุญนั้น ว่า ขอให้บุญนี้จงบังเกิดเป็นเสื้อผ้า อาหาร ยานพาหนะ ที่อยู่อาศัยและอํานาจทิพย์แก่พ่อข้าพเจ้าเถิด เป็น ลักษณะบอกให้รับเอาส่วนบุญ แล้วใช้บุญนั้นอธิษฐานสิ่งของต่างๆ เอาตามต้องการ เหมือนให้เงินพ่อไป ๑ แสน แล้วแต่พ่อจะซื้อ จะใช้ตามอัธยาศัย<O:p</O:p
    การถวายของแต่ละอย่างแก่พระสงฆ์ ไม่ว่าจะเป็นการใส่บาตรหรือไปประเค็นของที่วัด หรือการให้ ทานสิ่งของอันใดแก่คนและสัตว์ก็ตามย่อมเกิดกระแสบุญ ที่สามารถอุทิศบุญหรือโอนบุญให้แก่จิตวิญณาณ ชั้นต่างๆ ได้เสมอเหมือนกัน ถึงแม้ผลบุญจะมากน้อยต่างกันก็ตาม เมื่อเราอุทิศให้ กลุ่มเป็นเปรตญาติของเรา ที่วนเวียนอยู่รอบตัวเรา เพื่อขอส่วนบุญ ก็จะได้รับผลบุญ พ้นจากสภาพที่ทุกข์ทรมานไปโดยลําดับ จนพ้นจากเปรต กลายสภาพเป็นเทวดาในที่สุด<O:p</O:p
    กลุ่มที่เป็นเจ้ากรรมนายเวร ที่คอยเบียดเบียน ก่อความเดือดร้อนให้เรา หรือเป็นเชื้อโรคต่างๆ เกาะ กินอยู่ในร่างกายส่วนต่างๆของเรา ก็จะอโหสิกรรมแล้วถอยออกจากร่างกายเรา พร้อมกันนั้น พวกเขาก็จะ เปลี่ยนสภาพจากวิญญาณชั้นต่ํา ไปสู่วิญญาณขั้นสูง พ้นทุกข์ทรมานไป กลุ่มที่เป็นเทวดารักษาตัวเรา หรือภูต ผี ปีศาจ ฝ่ายดีที่คอยคุ้มครองเรา ก็จะเกิดอํานาจทิพย์ สมบัติ ทิพย์ เพิ่มขึ้น มีบริวารมากขึ้น การดูแลคุ้มครองช่วยเหลือเราก็จะสามารถทําได้มาก ง่าย สะดวกกว่าแต่ก่อน เมื่อเป็นดังนี้แล้ว วิถีชีวิตของผู้นั้น ก็จะมีแต่ความสุขกาย สุขใจ รู้สึกเบาเนื้อเบาตัว ความคิดอ่านหรือทําการ งานก็จะรู้สึกคล่องตัวขึ้นกว่าเก่า อุปสรรคในชีวิตและโรคภัยไข้เจ็บจะลดลง ทํามาค้าขึ้น อาชีพการงาน เจริญก้าวหน้า จิตใจสงบเยือกเย็นเป็นอันมาก เมื่อทําคุณถูกบุญแล้วอย่างนี้ ก็จะได้มีกําลังใจในการทํางาน และสร้างความดีสืบไป<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ๕. การน้อมบุญมาใช้ในจวิตประจําวัน หลักการทําบุญนั้นมี ๓ ประการคือ ๑. ก่อนให้ จิตเลื่อมใสจดจ่อในทานของตน ๒. ขณะให้ จิตก็ เลื่อมใสจดจ่อในการให้ของตน ๓. หลังให้ จิตก็เลื่อมใสปลื้มใจในการให้ของตน เวลาทําบุญหรือให้ทาน บริจาคสิ่งของใดๆ ขอจงตั้งจิตเลื่อมใส สดชื่น จดจ่อในการให้ของตนอย่างนี้เอาไว้เสมอ ผลบุญใหญ่ อานิสงส์ ใหญ่จะเกิดขึ้นแก่เรา ถ้าเป็นการค้าการลงทุน ก็ถือว่าประสบความสําเร็จ กิจการเจริญ กําไรมหาศาล ถ้าสักแต่ว่าให้ๆ ทําๆ ตามประเพณีที่เคยชินแล้ว ก็จะกําไรน้อยหรือขาดทุนได้<O:p</O:p
    และในขณะจิตที่ ๓ นี่เอง กระแสบุญจะสว่างวาบเต็มที่ เพราะขณะที่ปล่อยวางมือจากของทานนั้น จิตเรายังนิ่ง ยังซาบซึ้ง ปลื้มใจ ไม่มีความคิดส่ายแส่อื่นเกิดขึ้น จึงเป็นพลังบุญที่สมบูรณ์เต็มที่ เมื่อส่งบุญนั้น ให้แก่จิตวิญญาณใด ย่อมเกิดกระแสบุญวาบขึ้นในจิตวิญญาณนั้น เมื่อเขาอนุโมทนารับเอาแล้วย่อมเกิดเป็น เสื้อผ้า อาหาร ยาพาหนะ ที่อยู่อาศัย อันเป็นทิพย์ ให้เขาได้บริโภคใช้สอย อุปมาเหมือนเราให้เงินและสิ่งของ ถุงยังชีพ แก่ผู้ประสบภัย เมื่อรับ เขาย่อมปลื้มใจ เมื่อได้มาแกะออก พบเสื้อผ้า อาหาร ของใช้สอย เขาก็ยิ่งดีใจ รีบกินอาหารและใช้สอยสิ่งของนั้นๆ พ้นจากความเดือดร้อนไปได้ ถ้าให้น้อยก็พอยังชีพไปได้ ถ้าให้บ่อยๆ ก็<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    อยู่สุขสบาย มีข้าวกิน มีของใช้ มีเงินใช้จ่าย ในสิ่งที่จําเป็น ไม่ต้องไปนอนกลางดิน กินกลางทราย ตากแดด กรําฝนเหมือน ที่แล้ว มา บุญที่เราอุทิศให้เขาก็ฉันนั้น เมื่อเขาได้รับแล้ว ย่อมเกิดเป็นสมบัติทิพย์ตามที่เขาต้องการ เพราะใน โลกวิญณาณนั้น ไม่มีการงานที่เลี้ยงชีพอยู่ได้ด้วยบุญที่มนุษย์ทําอุทิศให้เท่านั้น เหมือนสัตว์เลี้ยงในกรง ในตู้ ต้องอยู่ในสภาพจํายอม เลี้ยงตัวเองหากินเองไม่ได้ แล้วแต่คนเขาจะให้อาหาร<O:p</O:p
    ดังนั้นเมื่อทําบุญทานการกุศลแล้ว จึงควรได้จ่ายบุญให้แก่ผู้อยู่ในโลกวิญญาณเหล่านี้ทันทีว่า ๑. บุญนี้จงถึงแก่เจ้ากรรมนายเวรที่มาถึงข้าพเจ้า (เอาเฉพาะที่มาถึงเท่านั้น ที่ยังไม่มาก็ไม่ต้องให้) ๒. บุญนี้จงถึงแก่เทวดาที่รักษาตัวข้าพเจ้า ๓. บุญนี้จงถึงแก่เทวดาที่รักษาบ้านเรือนข้าพเจ้า ๔. บุญนี้จงถึงแก่ ยักษ์ นาค ครุฑ คนธรรพ์ ที่อาศัยอยู่บริเวณบ้านเรือน ข้าพเจ้า ๕. บุญนี้จงถึงแก่เทวดาที่รักษาอาชีพข้าพเจ้า ๖ บุญนี้จงถึงแก่เทวดาที่รักษาทรัพย์ข้าพเจ้า ๗. บุญนี้จงถึงแก่เหล่าเปรต ผี ปีศาจ ที่อาสัยอยู่ ณ ที่นี้ (จะเป็นที่บ้าน ที่พัก ที่ทํางาน รถ เรือ ก็อุทิศ ได้เสมอ)<O:p</O:p
    หากได้ทําเป็นประจําแล้วก็จะรู้สึกในตัวเองได้ว่า หลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นอุปสรรคในชีวิตใน หน้าที่การงานก็ดี โรคภัยไข้เจ็บก็ดี จะได้รับการคลี่คลายแก้ไข สิ่งใหม่ๆ ดีๆ จะเริ่มเข้ามาสู่ชีวิต ความรู้สึก แปลกใหม่ ความรู้สึกเป็นผู้ใหญ่ สุขุมรอบคอบ จะเกิดแก่ผู้นั้น<O:p</O:p
    ๖. การทําบุญสําาหรับผู้ป่วย นอกจากการทําบุญอุทิศให้กับเหล่าจิตวิญญาณดังที่กล่าวมาแล้ว สําหรับผู้ที่เจ็บป่วย เรื้อรัง หรือพึ่ง เจ็บป่วย หรือเพียงรู้สึกเกิดอาการผิดปกติขึ้นในร่างกาย เช่น หูอื้อ ตาลาย เจ็บปวดหรือชักกระตุก ก็ควรทําบุญ อุทิศให้กับนายเวรที่มาถึงตัว หรือให้กับนายเวรที่เป็นเชื้อโรค เกาะกินอยู่ในร่างกายส่วนต่างๆ รู้ชื่อโรคก็ตาม ไม่รู้ก็ตาม ทําให้บ่อยๆ อาการก็จะค่อยดีขึ้น ด้วยการอุทิศบุญในขณะให้ทานว่า ขอบุญนี้จงถึงแก่ นายเวร (เชื้อโรค) ที่เกาะกินอยู่ในร่างกายข้าพเจ้าจะระบุอวัยวะเป็นส่วนๆ หรือถ้ารู้จักชื่อโรค ก็ระบุชื่อเชื้อโรค ใน ระบบนั้นๆ ได้เลย เช่น โรคหัวใจ ก็ระบุว่า ขอบุญนี้จงถึงแก่นายเวรที่เกาะกินอยู่ในหัวใจของข้าพเจ้าถ้า เป็นมะเร็งในตับ ก็ระบุว่า ขอบุญนี้จงถึงแก่เชื้อมะเร็งในตับของข้าพเจ้าหรือที่เกาะกินอยู่ในตับของข้าพเจ้า<O:p</O:p
    ก็ได้ เมื่อจิตวิญญาณนั้นได้รับบุญแล้วจะค่อยๆ ถอยออกไป บางพวกเปลี่ยนภพภูมิไปเกิด ถ้าเชื้อโรคมีมาก เช่น เชื้อมะเร็งก็ต้องทําบ่อยๆ เพื่อให้เชื้อที่ตายแล้วได้รับบุญ จะได้ไปเกิดในภูมิอื่น เชื้อเก่าตายไปเชื้อใหม่ไม่ เกิด อาการจะค่อยเบาลง กินอาหาร กินยา และออกกําลังกายช่วยไปด้วย อาจใช้เวลาศึกษาน้อยมากต่างกันไป ในแต่ละราย<O:p</O:p
    อีกด้านหนึ่ง เราควรจ่ายบุญให้กับเทวดารักษาตัวเรา ควบคู่กันไปด้วย ขอให้เขาส่งพลังทิพย์มาบํารุง กําลังให้ ขอให้เขาขับไล่เชื้อโรค และหาเอายาทิพย์โอสถมาแทรกเข้าร่างกายเราเพื่อรักษาแผล เสริมสร้าง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เนื้อเยื่อต่างๆ ที่เชื้อโรคกัดกินทําลาย อาการก็จะดีขึ้นโดยเร็ว ยกเว้นแต่อายุขัยวัยสมควร หรือธาตุขันธ์หมด สภาพที่จะเยียวยา นั่นก็ต้องว่ากันไปตามกฎ อนิจจัง ! สําหรับผู้ที่มีญาติมิตรเจ็บป่วยไข้ เรามีจิตกุศลจะอนุเคราะห์ช่วยเหลือ ก็สามารถทําได้ด้วยวิธีเดียวกัน คือ ทําบุญแล้วอุทิศให้ผู้ป่วยนั้น บอกให้ตัวผู้ป่วยอุทิศด้วย ให้ญาติพี่น้อง ลูกหลาน ของผู้ป่วย อุทิศให้ด้วย ถ้า ไม่ใช่สิ้นอายุขัยแล้ว อาการก็จะดีขึ้นตามลําดับ<O:p</O:p
    เมื่ออุทิศอยู่อย่างนี้ นายเวรที่รับบุญแล้ว จะถอยออกไปจากร่างกายผู้นั้น เทวดาที่ดูแลรักษาก็จะ ทํางานได้สะดวกขึ้น ร่างกายจิตใจจะรู้สึกสดชื่นขึ้น ภูมิต้านทานโรคของร่างกายจะแข็งแรงขึ้น แม้การปฏิบัติ ธรรมภาวนา สมาธิ ก็จะง่าย เบาและคล่องตัวขึ้น การรักษาด้วยวิธีนี้ จะเป็นการรักษาทุกระบบ ครบวงจรของชีวิตเป็นการรักษาแบบธรรมชาติที่ยั่งยืน มีผลทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สิ่งแวดล้อม และธรรมะ อีกทั้งได้สร้างบุญใหญ่ด้วยการให้ปลดปล่อย ช่วยเหลือ วิญญาณบาปที่ทุกข์ทรมาน ให้ได้ไปสู่สุคติตามชั้นภูมิ บุญกุศลของตนอีกด้วย เมื่อเขาหมดเวรหมดทุกข์ พวก เขาก็จะคอยติดตามคุ้มครองรักษาเราให้อยู่รอดปลอดภัย มีความสุข ความรุ่งเรืองในชีวิต จึงเป็นการสมควร อย่างยิ่งที่พวกเราเหล่ามนุษย์จะได้ทําบุญกุศล แล้วอุทิศให้เขาเหล่านั้น ซึ่งสามารถทําได้ทุกที่ทกเวลา แม้เพียง การทําความดีที่เราเห็นว่านิดหน่อย เช่น ตักน้ําให้คนกิน ให้ขนมเด็ก แจกผลไม้ ช่วยถือของหิ้วของ กราบ ไหว้พระ กวาดวัด กวาดบ้าน ให้อาหารสัตว์ ยกมือไหว้คารวะพ่อ แม่ ผู้หลักผู้ใหญ่ เป็นต้น เหล่านี้จัดเป็นบ่อ เกิดแห่งบุญ ที่เราสามารถจ่ายบุญอุทิศให้จิตวิญญาณในโลกทิพย์ได้ทั้งสิ้น<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ๗. ความเป็นมาของเชื้อโรค เมื่อพูดถึงว่าเชื้อโรคเป็นนายเวร เชื้อโรคเป็นวิญญาณอาฆาต เชื้อโรคเป็นสัตว์ครึ่งผีชนิดหนึ่ง หลาย คนอาจสงสัย หลายคนก็หัวเราะหาว่าเวอร์เกินไป แต่อย่างไรก็ตามความจริงก็คือความจริงอยู่วันยังค่ํา ขอเรา สงบใจใคร่ครวญดูสักหน่อย ก็จะเข้าใจได้ และสามารถนํามาใช้ให้เกิดผลดีแก่ตัวเรา และเหล่าจิตวิญญาณนั้น ได้อย่างมหาศาล<O:p</O:p
    ในหลักพระพุทธธรรมคําสอน พระบรมศาสดาได้ทรงตรัสถึงกําเนิด สัตว์ในโลกพิภพนี้ว่ามี ๔ จําพวก คือ ๑. สัตว์ที่เกิดในครรภ์ เช่น คน ข้าง ม้า วัว ควาย ลิง สุนัข แมว เป็นต้น ๒. สัตว์ที่เกิดในไข่ เช่น เป็ด ไก่ นก ปลา งู เต่า เป็นต้น<O:p</O:p
    ๓. สัตว์ที่เกิดในเถ้าไคล คือที่มืดที่หมักหมม ที่สกปรก เช่น ไวรัส เชื้อโรคต่างๆ หรือ แมลงบางขนิด ๔. สัตว์ที่เกิดผุดขึ้นเอง ด้วยอํานาจบุญกรรม ไม่มีพ่อแม่ ไม่ต้อง เลี้ยงดู เกิดขึ้นก็เป็นสภาพอย่างนั้น เลย เช่น เทวดา พรหม เปรต สัตว์อยู่ในนรก เป็นต้น เชื้อโรคที่มาเกาะกินอยู่ในร่างกายคนเราก็คือ วิญณาณสัตวที่เกิดในเถ้าไคล หนึ่งในสี่จําพวกนั้น คิดดู เถิดว่าในร่างกายของเรานั้น มืดทึบ สกปรก เหม็นเนาขนาดไหน แต่ภายนอกร่างกายก็ต้อง ชําระล้าง ขัดสี สิ่ง<O:p</O:p
    สกปรกต่างๆ ทั่วร่างกายอยู่เสมอทุกวัน เพื่อรักษาสุขภาพอนามัยและเข้าใกล้คนอื่นได้ ขนาดนั้นยังเกิดมี<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    โรคภัยไข้เจ็บรบกวน หากไม่ใส่ใจดูแลแล้วจะเป็นอย่างไร? แล้วภายในร่างกายอันมีระบบโครงสร้างซับซ้อน นั้น จะสกปรกขนาดไหน จะเปราะบางต่อการเข้าทําลายของเชื้อโรคเพียงใด? ด้วยสภาพเช่นนี้ เมื่อร่างกายเป็นบาดแผล หรืออ่อนแอลง ก็จะเกิดติดเชื้อโรคชนิดต่างๆ ขึ้น ทั้ง ภายนอกและภายในร่างกาย อุปมาเหมือนประเทศที่การเมือง การทหาร อ่อนแอ แตกแยกสามัคคี ข้าศึกศัตรูก็ แทรกซึมและทําลายได้โดยง่าย<O:p</O:p
    ผู้มีจิตผูกเวรกันก็อย่างนั้น ดวงจิตของเขาพกพาความแค้น ความพยาบาท มาช้านาน บางดวงก็หลาย ภพ หลายชาติ ต่างก็มุ่งมารุมล้อมตัวเราไว้ เพื่อทวงหนี้แค้นคืน เหมือนคนเราปกตินั่นแหละ เมื่อโกรธเคือง ทะเลาะกัน ก็อยากระบายโทสะนั้นออกมาให้หายคับแค้น ให้สะใจ จึงต้องแผดเสียงด่าทอให้เจ็บแสบ เข้าทุบ ตีกัน หรือทําอะไรไม่ได้ก็อาละวาด ขว้างปาข้าวของ ไม่มีสติยับยั้งว่าจะเสียหายอย่างไร ขอได้ตอบโต้ให้ สะใจเป็นพอ ขนาดมนุษย์ผู้ถือว่าประเสริฐ มีสติปัญณา มีสมอง มีการศึกษาอบรม ยังทําได้ถึงเพียงนี้ แล้วจิต วิญญาณอาฆาตนั้นอยู่ภูมิต่ํา ไม่มีสมอง ไม่มีการศึกษาอบรม ไม่มีขนบธรรมเนียมที่ต้องรักษาหน้าตาใน สังคม ขอเพียงล้างแค้นได้เป็นพอ เขาจึงไม่สนว่าผู้นั้นจะเป็นใคร ปุถุน คนหนา สาธุชน หรือพระอริยะเจ้า หากมีเวรกรรมกันมาก็จะหาช่องเข้าทําลาย ทุก รูปแบบ<O:p</O:p
    จิตสัตว์เล็กๆ นี้จะแทรกซึมเข้าสู่ระบบต่างๆ ของร่างกาย แล้วเกาะกินเลือดเนื้อน้ําเหลือง หรือเข้าอุด ตันในระบบต่อมท่อ ที่สําคัญของร่างกาย ทําให้เลือดลม น้ําเหลือง ไขมันติดขัดไม่สะดวก ทําให้มีอาการ เจ็บปวดทรมาน หรือมีภาวะแทรกซ้อนเกิดเป็นโรคขึ้น เมื่อระบบเอื้ออํานวย เชื้อโรคอื่นก็เข้าแทรก ทําให้ ป่วยหนักขึ้น เป็นหลายโรคขึ้น แม้เจ้ากรรมนายเวรขั้นหยาบๆ เช่น เปรต ผี ก็อาจเข้ารบกวนภายนอก เช่น เกิดอุบัติเหตุ ติดขัดทางอาชีพการงาน เกิดวุ่นวายในครอบครัว หมู่ญาติ เป็นต้น<O:p</O:p
    เชื้อโรคนี้จะเวียนตาย เวียนเกิดอยู่ในร่างกาย เพราะแรงแค้นบวกบาปกรรมของตนที่เคยทํามา จิตจึง มืดมนไม่รู้ทางไป ต้องวนเวียนอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะหมดเวรต่อกัน หรือหมดกรรมของตน ดังนั้นเมื่อเรา ทําบุญแล้วโอนบุญนั้นให้เขาเขาก็จะสบายขึ้น หายอาฆาตพยาบาท เปลี่ยนแปร สภาพแล้วค่อยทยอยออกไป จากร่างกายเรา เชื้อโรคจะน้อยลงเรื่อยๆ จนหมดไป อาการเจ็บป่วยก็จะหายหรือทุเลาเบาบางไป พอได้มี กําลังทํางานประกอบอาชีพ ต่อไป ได้<O:p></O:p>
    แต่ในที่นี้ต้องเข้าใจหลักธรรมชาติของร่างกายเอาไว้ด้วยว่า มีธรรมดาของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย มี สภาพทรุดโทรมไปตามอายุขัยวัยเวลาและสาเหตุของการเกิดโรคก็ไม่ใช่มีอย่างเดียว ในหลักธรรมกล่าวว่า สาเหตุของการเจ็บป่วยมี ๔ ประการ คือ ๑. เพราะอาหารการบริโภคที่เราดื่มกินอยู่ประจําที่อาจแสลงโรคทําลายสุขภาพ หรือได้รับ สารอาหารมากหรือน้อยกว่าความจําเป็นของร่างกาย<O:p</O:p
    ๒. อากาศหรือสภาพสิ่งแวดล้อม พวกฝุ่นละออง สารพิษ มลภาวะ อากาศตามฤดูกาล สุขภาพ อนามัยของร่างกาย ของที่อยู่อาศัย หรือแม้แต่สภาพของจิตใจ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ๓. กรรมคือผลของบาปกรรมที่ตามมาสนอง เช่นประเด็นของเชื้อโรค และเจ้ากรรมนายเวรที่กําลัง พูดถึงนี้ อีกอย่างคือโรคติดต่อทางกรรมพันธุ์ชนิดถาวร ที่ยากต่อการแก้ไขด้วยวิธีนี้ อาจต้องอาศัยวิทยาการ ของแพทย์เข้าช่วย เช่น การผ่าตัด การทําสัลยกรรม เป็นต้น ๔. เพราะความเพียรกล้า คือหักโหมเกินกําลัง เรียกว่าโรคของคนขยัน ทํางาน หรือกิน เที่ยว เล่น จน ไม่มีเวลาพักผ่อน ยกของหนักเกินกําลังใช้สมองมากเกินไป เหล่านี้ก็เป็นสาเหตุของโรคต่างๆ ในร่างและ จิตใจได้เช่นกัน<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ๘. ความเป็นมาของเทวดารักษาตัว ในดวงจิตชีวิตของคนหนึ่งๆ ต่างเวียนวนไปเกิดตายในภพภูมิ ในสถานที่ต่างๆ ในฐานะ อาชีพ ที่ แตกต่างตามบุญกรรมของตน ในห้วงเวลาเหล่านี้ ผู้ที่เคยทําลายเบียดเบียนกันมาก็ได้มาเป็นเจ้ากรรมนายเวร ติดตามจองล้างจองผลาญทําความเสียหายให้แก่กัน ซึ่งถ้าไม่ตกลงสันติไมตรีกันแล้ว ต่างฝ่ายต่างก็จะแก้ลํา กันคืน ผูกเวรกันไปไม่สิ้นสุด พระพุทธองค์จงทรงตรัสว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร พร้อมกับทรง สอนให้ระมัดระวังตัว ไม่ประมาทเลินเล่อไปก่อเวรกับผู้ใดเข้าไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ใดๆก็ตาม ด้วยการให้ หมั่นทําทาน รักษาศีล มีจิตเมตตาและเจริญสมาธิภาวนาเพื่อรักษาใจ<O:p</O:p
    สําหรับผู้ที่ได้เคยช่วยเหลือ เกื้อกูลกันมา ก็จะได้มาเกี่ยวข้องกันส่วนหนึ่งด้วยกรรมผูกพันกัน ก็จะมา คอยติดตามรักษา จึงเป็นเทวดาที่คอยติดตามศึกษาผู้นั้นอยู่ ที่เป็นมนุษย์ก็จะอุปการะช่วยเหลือกัน เป็น พ่อ แม่ ลูก สามี ภรรยา ญาติมิตรกัน หรือผู้อุปถัมภ์ค้ําจุนกัน อาจมีหลายคนบ่นว่า ถ้าจริง ! เทวดามัวทําอะไรอยู่ ไม่เห็นมาช่วยเหลืออะไร ! ที่จริงเทวดาเขาช่วย แต่เราไม่ค่อยรู้สึก เพราะสามัญมนุษย์เราชอบมากๆ (โลภ) เร็วๆ ยิ่งได้ยินว่าเทวดาบันดาลด้วยแล้ว ยิ่งไปกัน ใหญ่ ขอและหวังจนเกินกําลังฤทธิ์ของเทวดา เกินบุญวาสนาบารมีของตนเอง คุณไม่ทํา วัดไม่เข้า พระสงฆ์ องค์เจ้าไม่น้อมนบกราบไหว้ แต่ขอจนเกิน วิสัยที่จะเป็นไปได้ เมื่อไม่ได้เลยกล่าวหาผี สาง เทวดา แม้แต่บุญ ทานการศุลไปต่างๆนาๆ หมดศรัทเาหันหน้าไปทางอบายเลยก็มี...<O:p</O:p
    มีวิธีใช้เทวดาทํางานช่วยเรา ด้วยการจ้างเทวดาให้ช่วยงานเราแต่ต้องอยู่ในวิสัยที่ควรมีควรเป็น เท่านั้น ไม่ใช่ขอจนมากมายหรือเกินวิสัยรรมชาติ) โดยเราทําบุญให้ทานแล้วอุทิศบุญให้กับเทวดาที่รักษาตัว เมื่อขารับเอาบุญนั้นแล้ว จะเกิดเป็นของทิพย์แก่เทวดานั้นดามปรารถนา บุญนั้นจะไปเพิ่มอํานาจทิพย์ ทําให้ สามารถใช้อํานาจนั้นเข้าคุ้มครองช่วยเหลือเราได้ ท่านจะเชื่อเรื่องนี้หรือไม่ก็ตาม ! แต่ลองทําดูก่อนเถิด จะ ได้รู้ด้วยตัวท่านเอง<O:p</O:p
    ถามว่า เมื่อส่งบุญให้นายเวรของผู้อื่นได้ ! จะอุทิศให้เทวดารักษาตัวของผู้อื่นได้หรือไม่ ? ขอตอบว่า ได้ ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นบิดา มารดา สามีภรรยา บุตร หลาน ญาติมิตร หรือกับผู้ที่เราต้องการช่วยเหลือ ผลจะ เกิดขึ้นกับเทวดาของผู้นั้นได้เช่นเดียวกัน พร้อมกับการส่งบุญเราก็ฝากงานให้เทวดานั้น ช่วยดูแลรักษา หรือ ให้ช่วยส่งพลังทิพย์เข้าสู่กระแสจิตของผู้นั้นให้เกิดสติฉุกคิด กลับเนื้อ กลับตัวมาอยู่ในแนวทางของคุณงาน ความดี ทําเช่นนี้บ่อยๆ จะหายสงสัย ! พร้อมทั้งเกิดทักษะในการใช้งานเทวดา<O:p</O:p
    ๑๐<O:p</O:p
    ๙. การเบิกบุญจากสวรรค์มาใช้ในปัจจุบัน ดังที่พูดมาแล้วว่า บุญที่เราทําแล้วถ้าไม่รีบจ่ายส่งบุญให้จิตวิญญาณใดแล้ว บุญนั้นจะไปรวมอยู่ที่ คลังหรือธนาคารบุญประจําตัวบนสวรรค์ รอสิ้นชีวิตแล้วค่อยไปเสวยผลบุญนั้น แล้วถ้าเราจําเป็นอยากเบิก บุญนั้นมาใช้ในปัจจุบันวันนี้ จะทําได้หรือไม่ ? ถ้าได้จัต้องทําอย่างไรบ้าง ?<O:p</O:p
    ในเรื่องนี้ครูบาอาจารย์ผู้ทรงความรู้ คือหลวงพ่อเกษม อาจิณฺณสีโล วัดสามแยก อ.น้ําหนาว จ.<O:p</O:p
    เพชรบูรณ์ ท่านได้สอนวิธีทําไว้ดังนี้ อันดับแรกให้น้อมจิตระลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัย เพื่อขออํานาจ อานุภาพของพระรัตนตรัย มาเป็นใบเบิกบุญของเราบนสวรรค์ เพื่อโอนจ่ายไปให้แก่ผู้ที่เราต้องการ ด้วยการ ระลึกในใจว่า ขออํานาจของคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงบันดาลบุญที่ข้าพเจ้าได้ทํามาแล้วในทาน ศีล ภาวนา ให้มาถึงแก่....”<O:p</O:p
    (เที่ยวที่) ๑. เจ้ากรรมนายเวรที่มาถึงตัวข้าพเจ้า ๒. เทวดาที่รักษาตัวข้าพเจ้า ๓. เทวดาที่รักษาบ้านเมืองของข้าพเจ้า ๔. ยักษ์ นาค ครุฑ คนธรรพ์ ที่อยู่ ณ ที่นี้ ๕. เปรต ผี ปีศาจ ที่อยู่ ณ ที่นี้ ๖. เทวดาที่รักษาอาชีพของข้าพเจ้า ๗. เทวดาที่รักษาทรัพย์ของข้าพเจ้า ถ้าจะใช้บุญรักษาโรค อาการเจ็บป่วย ก็ใช้ว่า ให้มาถึงแม้นายเวรที่เกาะกินอยู่ในตัวข้าพเจ้า...ขออํานาจของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทุกครั้ง ทุกรอบ ที่โอนจ่ายบุญ และก็เช่นเดียวกันการ ทําบุญอุทิศ คือเน้นโอนจ่ายบุญให้เจ้ากรรมนายเวรที่มาถึงตัว กับเทวดาที่รักษาตัวเป็นหลัก อีก ๕ กลุ่มนั้น โอนจ่ายวันละ ๒-๓ เที่ยวก็พอ นอกเสียจากต้องการโอนจ่ายให้กลุ่มใดเป็นพิเศษ ก็สามารถทําได้เรื่อยๆ<O:p</O:p
    สามารถใช้วิธีนี้โอนจ่ายบุญบ่อยๆ ซึ่งสามารถทําได้ทุกที่ ทุกเวลาแล้วจะรู้สึกดีขึ้น สิ่งเป็นอุปสรรค ขัดข้องในชีวิตจะค่อยๆบรรเทาไป สิ่งดีๆจะเข้ามาในวิถีชีวิต จะเห็นคุณค่าของบุญกุศลด้วยตัวเอง และไม่ ต้องกลัวว่าเบิกบุญมาใช้บ่อยๆแล้วบุญจะหมด อย่าวิตกคิดมากไปเลย เพราะแต่ละคนได้สั่งสมบุญกุศลมา หลายภพหลายชาติ เบิกมาใช้แค่นี้หมดไม่เท่าไรหรอก...<O:p</O:p
    หากจะโอนบุญจ่ายไปเพื่ออนุเคราะห์ช่วยเหลือผู้อื่นและบ้านเรือนกิจการของผู้อื่นก็สามารถทําได้ เช่นเดียวกัน เพียงแต่เปลี่ยนจากตัวเราเป็นชื่อผู้นั้น หรือบ้านเรือน กิจการอาชีพ โรคภัย อาการเจ็บป่วยของผู้ นั้น การขออํานาจพระรัตนตรัย โอนจ่ายบุญเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยนั้น ควรทําอย่างต่อเนื่องเป็นระยะ ในแต่ละวัน และแต่ละครั้งควรโอนบุญจ่ายสลับกัน ระหว่าง นายเวรที่ทําให้เจ็บป่วยกับเทวดารักษาตัว สลับกันอย่างละ ๕-๑๐ นาที นาทีละ ๓-๔ เที่ยว<O:p</O:p
    ๑๐. เส้นทางแห่งบุญ<O:p</O:p
    ๑๑<O:p</O:p
    เมื่อพูดถึงบุญหรือการทําบุญคนเรามักแสดงอาการหนักใจ เพราะดูว่าเป็นเรื่องใหญ่ ต้องมีเงิน ต้องมี พิธีการที่เยินเย่อ ต้องจัดเตรียมข้าวของมากมาย มีบางคนก็บอกว่าไม่รู้จักพระ ไม่รู้ระเบียบพิธีว่าจะทําอย่างไร หนักไปกว่านั้นบางคนไม่รู้จักวัดเลยก็มี ! ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป ถ้าเรามาทําความเข้าใจวิธีสร้างบุญหรือ ทําบุญแบบง่ายๆ ที่คนแก่หรือวัยรุ่นสามารถทาได้โดยไม่เซ็ง !<O:p</O:p
    นั่นคือวิธีทําบุณัตามแบบฉบับชาวพุทธ ๑๐ ประการ ได้แก่ ๑. บุญเกิดจากการบริจาคทาน และแบ่งปันสิ่งของของตนแก่ผู้อื่นอะไรก็ได้ ทอฟฟี่สักเม็ด ส้มสักลูก น้ําสักแก้ว ขนมสักชิ้น ก็จัดเป็นบุญเหลือ หลาย ๒. บุญเกิดจากการรักษาศีล ง่ายๆ แค่พูดจาอ่อนหวาน ไม่ด่า ไม่โกหก ทําได้มั้ย?<O:p</O:p
    ๓. บุญเกิดจากการเจริญภาวนา ไหว้พระสวดมนต์ ทําสมาธิ ง่ายๆ ก็คือพุทโธๆ เอาไว้เรื่อยๆ ๔. บุญเกิดจากการประพฤติ อ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักสัมมาคารวะ รู้จักฐานะที่ต่ําที่สูง ๕. บุญเกิดจากการช่วยเหลือการงานของผู้อื่น ไม่มีเงินออกแรงก็ได้ช่วยยกของ ล้างจาน ช่วยปัด กวาดเช็ดถู ช่วยดูแลช่วยเหลือในส่วนที่ตนจะช่วยได้ บุญทั้งนั้น กุศลทั้งนั้นที่เกิดขึ้น ๖. บุญเกิดจากการให้ส่วนบุญแก่ผู้อื่น คืออุทิศบุญจ่ายส่งบุญนั้นแหละเกิดเป็นบุญขึ้นมา ๗. บุญเกิดจากการอนุโมทนายินดีในการทําดีของผู้อื่น ง่ายๆไม่เสียสักบาท แค่ทําใจให้ชื่นชมยินดี ในการทําดีของคนอื่น ไปวัดวา สถานเจดีย์ ก็สาธุอนุโมทนากับผู้ที่ท่านได้ก่อสร้างไว้ ไปไหว้พระธาตุเจดีย์ พระพุทธรูปที่วัดไหน ก็สาธุ โมทนาบุญกับผู้ที่ท่านได้สร้างไว้ ๘. บุญเกิดจากการฟังธรรม ได้ยินเสียงเทศน์เสียงธรรม ที่ท่านบอกทางบุญทางกุศล ก็ตั้งใจฟัง ๙. บุญเกิดจากการบอกสอนผู้อื่น ให้รู้จักวิธีทําบุญกุศล คุณงามความดี เช่นสอนลูกไหว้พระ สอนลูก ใส่บาตร หัดให้ประเคนถวายของพระ แม้การทําตนเป็นตัวอย่างที่ดี นั้นก็คือการสอนเช่นกัน ๑๐. บุญเกิดจากการตั้งใจแน่แน่วในการทําคุณงามความดี ไม่คลอนแคลน ด้วยคําพูดผู้ใด เชื่อมั่นใน เหตุและผลในหลักความดีที่ตนทํา ถือหลักที่ว่า ให้ทานด้วยศรัทธา ใช้ปัญญาอย่างตรงตามเหตุผล ในหลัก ๑๐ ประการนี้ หากว่าเราได้ทําสักข้อใดข้อหนึ่ง มากน้อยก็ตาม นั่นก็จงทราบเถิดว่าเราได้ ทําบุญเข้าให้แล้ว หนีไม่พ้นผลบุญเกิดขึ้นแน่นอน จะฝากสะสมหรือจ่ายส่งอุทิศก็ได้ทั้งนั้น หรือหากจะ ทําบุญเพื่อเอาบุญเหล่านี้มาอุทิศแล้วก็สามารถทําได้ทันที เช่น ในขณะถวายของพระหรือให้ทานแจกสิ่งของ แก่ใครคนหรือสัตว์ก็ตาม จงตั้งใจจ่ายบุญอุทิศในทันทีนั้นว่า ขอบุญนี้จงถึงแก่.. (กล่าวเหมือนบทก่อนๆ )จะระบุเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่มก็ได้ บอกให้เขารับ ส่วนบุญแล้ว เนรมิตเอาสิ่งของตามที่เขาต้องการไม่ว่า จะเป็น เสื้อผ้า อาหาร ยานพาหนะ ที่อยู่อาสัย ด้วยพลังบุญนั้น ผลจะเกิดแก่พวกเขาตามปรารถนา ได้พ้นทุกข์ มาอยู่ดีมีสุขต่อแต่นั้น พวกเขาจะคอยช่วยเหลือในกิจการงานของผู้อุทิศบุญ นั้น แม้เรากวาดบ้าน ก็พึงตั้งใจว่าการกวาด การทําความสะอาดที่อยู่อาสัยนี้ พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ เราจะทําตามคําของพระองค์ แล้วปัดกวาด เช็ดถูไป ด้วยใจอันเบิกบาน นึกถึงใครขึ้นมาก็โอนบุญให้เรื่อยไป เดินไปก็ตาม นั่งรถไปทํางานก็ตาม เห็นพระเดินบิณฑบาต เห็นคนใฟบาตร ฯลฯ ก็ทําใจให้ชื่นชมในการบุญ<O:p</O:p
    ๑๒<O:p</O:p
    ของท่านเหล่านั้น เกิดกระแสบุญขึ้น จะจ่ายอุทิศแก่เปรต ผี ปีศาจ ที่เกิดอุบิตเหตุล้มตายตามถนนหรือจิต วิญญาณใดก็ตามอัธยาศัย<O:p</O:p
    ๑๑. การนับถือฟ้งศักดื้สิทธ็ ในฐานะของชาวพุทธ เราไม่ควรไปเอาสิ่งอื่นมาเป็นที่พึ่งที่ระลึกนอกจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และคุณแห่ง พ่อ แม่ ครู อุปัฌาย์อาจารย์ การไปนบถือ ผีเจ้า เข้าทรง องค์ท่าน อะไรนั้นไม่สมควร แก่ฐานะชาวพุทธ ลูกศิษย์แห่งศาสดาเอกของโลก แต่ก็ไม่ใช่ว่าให้ไปเหยียดหยามดูหมิ่น ดูแคลน เทพไท้ เทวา องค์ครูทั้งหลายเหล่านั้น ด้วยพระบรมศาสดาได้ทรงสอนชาวพุทธ คือมนุษย์เราทั้งหลายนี้ว่า ต้องมีจิต เมตตา ปรารถนาประโยชน์เกื้อกูลต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายทุกภพทุกภูมิทั้งที่เป็นมนุษย์ด้วยกัน ทุกชาติชั้น วรรณะ และเปรต ผี เทวดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ มาร นาคครุฑ คนธรรพ์ ทุกหมู่เหล่า ทรงสอนให้ทําบุญ แล้วอุทิศให้พวกเขาเหล่านั้นด้วย เพราะในภพภูมิเหล่านั้นไม่มีการทํามาหาเลี้ยงชีพ ไม่มีการซื้อขาย อาศัยบุญ บาป ของตนนั่นแหละเป็นอาหาร เป็นเครื่องเลี้ยงชีพ ผู้มีบุญเป็นเทวดาก็กินของทิพย์ใช้ของทิพย์ พวกมีบาป เป็นเปรต ผี ก็กินของสกปรก ฉีกกินเลือดเนื้อของตนเองได้รับทุกข์ทรมานแสนสาหัส เขาเหล่านี้จะกระเซอะ กระเซิงไปตามบ้านญาติ เพื่อขอส่วนบุญ ไปแสดงสิ่งแปลกๆ น่ากลัวให้คนเห็น เพื่อสื่อสารบอกให้รู้ว่าตนมา ขอส่วนบุญ แต่คนไม่รู้จึงหาเครื่องป้องกันหาวิธีขับไล่ จึงเกิดเทคนิควิชาและอาชีพทางนี้ขึ้นแล้วขยายผลไป อย่างรวดเร็วตามความนิยมการทําบุญอุทิศบุญเท่านั้น ที่จะส่งผลเกื้อกูลแก่จิตวิณณาณเหล่านั้นได้เต็มที่ พร้อมทั้งสามารถปลดปล่อยพวกเขาจากห้วงความทุกข์ อดอยากนี้ ไปผุดไปเกิดในสุคติภพได้ มนุษย์เราจึง ควรทําบุญช่วยเหลือเขา มีเมตตาจิตต่อเขา แต่ไม่ใช่ว่ายกเขามาอยู่ในฐานะที่สักการะเซ่นไหว้อะไรให้วุ่นวาย ด้วยว่าเขาอยู่ในโลกทิพย์ ไม่สามารถมากินอาหารของมนุษย์ใด้เขาจะอยู่ดีกินดีได้ด้วยอํานาจผลบุญเท่านั้น แม้แต่สัตว์ในโลกนี้ก็ยังมีสภาพความเป็นอยู่ต่างกัน มีอาหารต่างกันตามประเภทของตน ในฐานะเพื่อนร่วม ทุกข์ เรามีหน้าที่คืออุทิศบุญที่ทําแล้วแก่พวกเขา ที่มาเกี่ยวข้องมาขอส่วนบุญหรือมาอาศัยอยู่ด้วยเพราะความ ผูกพัน และต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า การอุทิศนั้นให้อุทิศเฉพาะพวกที่มาถึงแล้ว ที่อาศัยอยู่กับเราวนเวียนอยู่ รอบตัวเรา (แต่เรามองไม่เห็น) หรือในบริเวณที่อยู่อาศัยเท่านั้นไม่ต้องใช้คําว่า ทั้งหลายเพราะมันจะ ครอบคลุมไปหมดโลก ผลจะเกิดแก่เขาน้อย เหมือนน้ําแก้วเดียวแบ่งกินร้อยคน ข้าวจานเดียวแบ่งใหร้อยคน มันไม่พอกิน ไม่ช่วยบรรเทาความหิว กระหายได้<O:p</O:p
    เพราะอะไร ! เพราะว่าบุญที่เราทํานั้น ไม่ใช่ของบุคคลชั้นอริยะที่สูงด้วยภูมิจิต ภูมิธรรม ท่านเหมือน เศรษฐี ทําทานได้มาก เราเป็นสามัณชนเบี้ยน้อยหอยน้อย ก็ต้องจํากัดจํานวนผู้รับ เหมือนจัดงานต้องเชิญแขก ให้สมกับกําลังของเราที่จะเลี้ยงดูต้อนรับได้ จึงจะไปด้วยดีทั้งสองฝ่าย การอุทิศจึงจําเป็นต้องเจาะจงเป็นกลุ่ม เป็นคน ในส่วนหรือบริเวณที่ต้องการเท่านั้น เขาจึงจะได้รับ ผลเต็มที่ และมีกําลังที่จะช่วยเราได้ ยิ่งเป็นการจ้างบุญเพื่อใช้งานเทวดาด้วยแล้ว ยิ่งจําเป็นต้องเจาะจง เดี๋ยวจะ ว่าอุทิศให้แล้วก็ไม่เห็นช่วยให้อะไรดีขึ้น โถ ! ก็เงินหนึ่งล้าน จ้างคนงานล้านคน ได้คนละบาท ถามซิว่าใคร เขาจะมาทํางานให้ ลองหนึ่งล้าน จ้างร้อยคนสิ !!<O:p</O:p
    ๑๓<O:p</O:p
    เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้ว ภูต ผี ปีศาจ เทวดา อินทร์ พรหมพระภูมิเจ้าที่อะไร ก็ไม่จําเป็นต้องเอามาตั้ง บูชา เซ่นไหว้ เพราะอํานาจพระพุทธเจ้านั้นสูงสุด และอํานาจบุญกุศลที่เราส่งให้นั้นยิ่งใหญ่ ล้ําค่ามากมาย กว่าเครื่องเซ่นสรวงทั้งหมด คุณสามารถจะแปรสภาพเป็นของทิพย์แก่เขาได้มากมายเหลือความต้องการ ทั้ง เสื้อผ้า อาหาร ยานพาหนะปราสาทวิมาน พวกเขาย่อมยินดีกว่าการเซ่นไหว้ ซึ่งให้ความสุขเพียงชั่วคราว แล้ว ก็อดอยากต่อไป เหมือนมอบช่อดอกไม้ให้ดีใจหน่อย พอเหี่ยวเฉาก็เอาทิ้งไป แต่ถ้าให้แหวนเพชรวงใหญ่ ความสุขใจและใช้ประโยขน์ได้ยาวนานด้วยเหตุที่ดีมีผลที่น่าปรารถนาเช่นนี้แหละ อ่งค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้า จึงได้ทรงตรัสสอนให้พุทธบริษัท (ก็พวกเรานั่นแหละ) ว่าเมื่อหาทรัพย์มาได้แล้ว พึงทําพลี ๕ อย่าง หนึ่งในห้านั้นคือ เทวตาพลี การทําบุญให้เทวดา...ก็คือทําบุญอย่างนี้แล !<O:p</O:p
    อีกอย่างหนึ่งหากสังเกตให้ดี คนที่ชอบ เซ่นไหว้ บูชา ชอบเสาะหารูปเทพ พรหม องค์ท้าว ฤๅษี นารี นารอด มาไว้ที่บ้านเยอะๆนั้น ส่วนมากชอบมีเหตุวุ่นวายในบ้าน ในกิจการอาชีพตามมา บางคนสุขภาพ ร่างกายอ่อนแอลง มีอาการป่วยแปลกๆ สภาพจิตใจว้าวุ่น หงุดหงิดโกรธง่าย พวกหนึ่งก็บอกว่าเซ่นไหว้ไม่ ถูกพิธีกรรม เลยต้องวุ่นวายไปแก้ไปทําพิธี เสียเงินทองไปมากมาย อยากรวยกลับกลายเป็นว่าจนลง ชักหน้า ไม่ถึงหลัง<O:p</O:p
    สาเหตุเพราะ การเอาจิตวิญญาณอดอยากเหล่านั้น เข้ามาอยู่ในบ้าน พวกก็แย่งกันอยู่แย่งกันกิน เข้า สิงในตัวคนก็มี คลื่นจิตของเขาจะเข้าก่อกวน กดทับระบบเลือด ลม สมอง ประสาทของคนในบ้าน ยิ่งจิตใจ ขาตที่พึ่งยิ่งอ่อนแอ เขาก็ยิ่งเขาข่ม กดทับระบบประสาทในร่างกายมากยิ่งขึ้นพวกเจ้ากรรมนายเวรก็คอยหา โอกาสเข้าแทรกได้ง่าย<O:p</O:p
    ทางที่ดีที่ถูกเราชาวพุทธอย่าไปเอามาทับถมตัวเอง ใครมีอยู่หรือเคยเซ่นไหว้นับถือก็จัดการทําบุญ อุทิศให้เขาแล้วเอาออกจากบ้านไปเสียแล้วทําบ้านเรือนให้สะอาด ตั้งโต๊ะหมู่บูชาหรือหิ้งพระ ประดิษฐาน พระพุทธรูปที่ถูกใจสักองค์ หมั่นกราบไหว้บูชา จัดเป็นมงคลยิ่ง ทําบุญอุทิศให้พวกวิญญาณเหล่านั้นไป เรื่อยๆ กระแสฝ่ายลบจะหมดไป กระแสฝ่ายดีจะค่อยเพิ่มขึ้น (ทิศที่ควรหันหน้าพระพุทธรูปมี ๓ ทิศ คือทิศ ตะวันออก ทิศอีสาน และทิศเหนือ)<O:p</O:p
    อนึ่งผู้ที่ชอบทําวัตรสวดมนตที่บ้านเป็นประจํา หรือบ่อยๆนั้น มีข้อแนะนําว่าควรตั้งเจตนาในการ สวดว่าเพื่อบูชาพระรัตนตรัย เพื่อความเป็นสิริมงคลผาสุกแก่มนุษย์และสรรพสัตว์ หากกระแสมนต์คาถานี้ กระจายแผ่ไปถึงไหน ขอผู้ที่ได้ยินจงชื่นชมยินดีและมีความสุขเถิด ด้วยว่า พระพุทธมนต์บางบทมีอานุภาพ ขับไล่ ภูตผี ปีศาจ ทําให้เขาเดือดร้อนเพราะบางครั้งเขามาอาศัยรับส่วนบุญจากเราหรือมารักษาบ้านเมืองเราก็ มี เป็นญาติแต่ปางก่อนก็มี เป็นญาติในชาตินี้ก็มี อํานาจมนต์คาถานั้นจะทําให้เขาเจ็บปวด ทรมาน เลยกลับ โกรธแค้นจองเวรเรา ต้องจําไว้ว่า สัตว์ในภพภูมิต่ําๆ ไม่มีการศึกษาเรียนรู้ อย่างมนุษย์ เสวยทุกข์อยู่ด้วยเวร กรรมของตน จะให้มามีความคิดอ่านอย่างคนเราก็ยาก บางพวกเมื่อส่งบุญให้จึงต้องบอกสอนให้ อธิษฐานรับ เอาบุญแล้วบันดาลเป็นของกินของใช้เอาด้วยคุณนั้น บางพวกต้องบอกให้ตั้งใจรับส่วนบุญนะ เขาจึงจะได้สติ แล้วทําตามที่เราบอก<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ๑๔<O:p</O:p
    ๑๒. การทําบุญที่ให้ผลในปัจจุบัน เมื่อทําบุญแล้วจ่ายบุญอยู่อย่างนี้ วิถีชีวิตก็จะดีขึ้น บ้านเรือนน่าอยู่ขึ้น สมาชิกในครอบครัวก็จะรัก ใคร่สามัคคีกัน เพราะอํานาจบุญทําให้เกิดความอบอุ่น ปลอดภัย มีสุข คนเราเมื่ออบอุ่น จิตใจจะหนักแน่น จึง ไม่ขี้ระแวง ไม่อารมณเสียง่าย การกระทบกระทั่งกับใครๆก็น้อย สุขภาพร่างกายดี จิตใจปลอดโปร่ง ปัญหา หรืออุปสรรคในชีวิตก็จะลดน้อยลงไปด้วย นั่นย่อมถือได้ว่าเป็นการเสวยบุญในชาติปัจจุบัน<O:p</O:p
    การจ่ายบุญในทันทีที่ให้ทานก็ดี การเบิกบุญเก่ามาจ่ายอุทิศในเวลาทั่วไปก็ดี จึงเป็นกิจที่เราต้องทําไว้ เป็นประจําวัน ถือว่าเป็นบ่อเกิดแห่งบุญและจัดเป็นภาวนาด้วยจาคานุสสติ คือระลึกถึงท่านที่ตนได้ทํามาเเล้ว จัดเป็นการประพฤติตามข้อแห่งมงคล ๓๘ อีกด้วย เมื่อคิด พูด ทํา เป็นมงคลอยู่อย่างนี้แล้ว ธรรมมงคลนั่น แหละจะคุ้มครองรักษาเอาดังพระพุทธพจน์ที่ว่า ธรรมแลยอมรักษาผู้ประพฤติธรรมไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว”<O:p</O:p
    การได้ทําบุญทานการกุศล เสริมสร้างคุณความดีของตนนั้น นับว่าเกิดมาโชคดีแล้ว การได้ทําบุญ แล้ว ส่งจ่ายผลบุญนั้น ไปเพื่ออนุเคราะห์ เกื้อกูลต่อจิตวิญญาณที่กําลังประสบกับความอดอยากหิวโหย ความ ทุกข์ทรมานอีกด้วยนั้น นับว่าได้สร้างบารมีธรรมอันใหญ่หลวงเลยทีเดียว คีดดูเถิดว่าในประเทศนี้มีผู้เชื่อและทําแบบนี้สักเท่าไร และในจํานวนนี้จะมีผู้สามารถสัมผัส รับรู้<O:p</O:p
    เกี่ยวกับจิตวิณัญาณได้สักกี่คน แม้มีผู้หวังดีช่วยเหลือก็จะมีสักกี่คนเล่าที่ช่วยพวกเราได้ถูกวิธี ตรงตามความ ต้องการของเหล่าวิญญาณนั้น ดังนั้นพวกเราผู้ได้ศึกษาเรียนรู้ ได้เข้าใจวิธีช่วยเหลือแล้ว จงมีอุสาหะ จงมี เมตตาจิต มีกรุณาธรรมต่อสัตว์ในโลกวิญญาณไปตลอดเถิด ใครจะรู้ เล่าว่า ! ในวิญญาณเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับเราในฐานะใดบ้าง บางทีเขาอาจเป็นผู้มีพระคุณต่อ<O:p</O:p
    เรา เป็นพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ทวด ลูกหลานของเรา เป็นวิญญาณของสามีหรือภรรยา บุตร สุดที่รักของเรา ญาติ ผู้ใหญ่ เพื่อนผู้รักใคร่รู้ใจเคยร่วมสุขร่วมทุกข์กันมา ด้วยบาปกรรมที่ได้เคยทําไว้แต่หนหลัง จึงต้องเซซังไป บนวิถีแห่งความทุกข์ ทรมาน สุดวิสัยจะหลีกเลี่ยงได้ คนเราเมื่ออยู่สบายอาจลืมบุญคุณพี่น้อง แต่เมื่อประสบชะตากรรม จิตใจก็พร่ําหาผู้ช่วยเหลือนึกถึง ผู้ใด ก็ไปขอความเมตตาสงสาร ดังเรื่องเปรต ผู้เป็นพ่อ แม่ และพี่ชาย ของพระเถระรูปหนึ่งในครั้งพุทธกาล ที่ตอนเป็นมนุษย์อยู่ด้วยกัน ก็ด่าว่า ขับไล่ท่านหนี ข้อหามัวแต่อายชั่วกลัวบาปไม่ยอมทําสิ่งอันเป็นบาป ร่วมกับครอบครัว ท่านต้องเดินทางออกจากบ้านไปตายเอาดาบหน้า ภายหลังได้บวช บรรลุพระอรหันต์ ส่วน พ่อ แม่กับพี่ชาย ตายแล้วเกิดเป็นเปรต เปลือยกาย อดอยาก ก็นึกหาคนช่วยเหลือ จึงร่อนเร่ติดตามหาพระลูก ชาย เพื่อขอส่วนบุญ รอนแรมตามหาหลายปีกว่าจะได้พบและช่วยเหลือกัน ท่านก็ทําบุญอุทิศให้ ในทันทีที่ อุทิศบุญนั้น เปรตก็พ้นทุกข์เกิดเป็นเทวดา มีรูปร่างโสภา มีเสื้อผ้า อาหาร การกิน บริบูรณ์<O:p</O:p
    การทําคุณอย่าคิดว่า เราทําเพียงเล็กน้อย คงไม่เป็นผล พอที่จะอุทิศได้ เพราะชื่อว่าบุญแล้วไม่เคย น้อยค่า เหมือนเพชรพลอย แม้เม็ดเล็กเม็ดน้อย ก็ทรงคุณค่า ราคาอยู่เสมอ มีคําถามเข้ามาว่า ทําบุญชาตินี้ คุณก็ไปสวรรค์หมด ถ้าบุญเก่าหมดก็ไม่ต้องทําบุญต่อพอดี อันนี้ต้อง ทําความเข้าใจให้ถูกต้องกันสักหน่อย เพราะบางครั้งตําราหรือคนพูด ก็ใช่ว่าจะบอกละเอียดไปเสียทุกอย่าง<O:p</O:p
    ๑๕<O:p</O:p
    ได้ แม้เรื่องเดียวกันพูดต่างกาล ต่างวาระกันมันก็ให้รายละเอียดปลีกยอยลึกตื้นต่างกัน เราผู้ศึกษาต้องรู้จักคิด เพิ่ม ต่อยอด ขยายผลกันสักหน่อย จะได้เกิดทักษะในการปฏิบัติให้สําเร็จตามปรารถนา บุญและผลบุญ อุปมาได้กับชาวสวนปลูกมะม่วง เมื่อปลูกดูแลดีแล้วก็ผลิดอกออกผล เมื่อผลมะม่วง แก่ก็เก็บไปขาย เอาเงินไปฝากธนาคารถามว่าต้นมะม่วงยังอยู่ไหม ? ยังอยู่และจะให้ผลผลิตแก่ชาวสวนผู้นั้น ตลอดไป เท่าที่ต้นยังไม่ตาย เมื่อมีผลผลิตก็เก็บไปขายได้เงิน แล้วดูแลสวนมะม่วงต่อไป<O:p</O:p
    การทําบุญก็เหมือนปลูกดูแลต้นมะม่วง ผลบุญเหมือนผลมะม่วงที่เก็บขายเป็นเงิน เงินก็กลายเป็น ข้าวของเครื่องใช้ เมื่อทําบุญอยู่อานุภาพก็อยู่ตอบแทนผู้นั้น เพียงแต่ผลกําไรบุญนั้นไปอยู่สวรรค์อันเป็น ธนาคารบุญ ชาวสวนได้อาศัยผลผลิตในสวนนั้นแหละเลี้ยงชีพ สิ่งใดไม่มีก็จึงได้ซื้อคนทําบุญก็อาศัย อานุภาพบุญนั้นแหละเป็นอยู่ หากต้องการใช้บุญมากกว่ารายได้ประจําวัน ก็ต้องเบิกบุญเก่ามาใช้ ชาวสวน เลิกทําสวน ก็เหลือแต่เงินในธนาคาร คนเบื่อหน่ายเลิกทําบุญ ก็เหลือแต่บุญเก่าในธนาคารบุญ ชาวสวนเบิก เงินมาลงทุนทําอาชีพต่อ เพิ่มพูนกําไร ชาวบุญเบิกบุญมาลงทุน (อุทิศ) ต่อ เพิ่มพูนบุญยิ่งขึ้น<O:p</O:p
    ด้วยวิธีอย่างนี้ ผู้ที่รู้สึกว่าดวงซวย ดวงตก โชคไม่ดี อยากเสริมดวงชะตาราศี สะเดาะเคราะห์ สะเดาะ โศก ก็พึงทําบุญ (ดูเรื่องบุญ ๑๐ ประการ) แล้วอุทิศผลบุญดังที่กล่าวมาแล้วนั้น พระพุทธเจ้าพระองค์ตรัสว่า เป็นยัญ (การเซ่นสรวง) ที่ลงทุนน้อย ตระเตรียมการน้อย แต่มีผลมาก มีอานิสงสัมาก เป็นไปเพื่อเกื้อกูลแก่ มนุษย์ เทวดา และสัตว์ทั้งหลาย<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ๑๓. การใช้บุญในลักษณะพิเศษ ๛ การใช้บุญเพื่อคุ้มครอง ช่วยเหลือผู้อื่นไม่ว่า จะเป็นการงาน อาชีพการศึกษาเล่าเรียน แก้ไขนิสัย ที่ไม่ดี สามารถทําการอุทิศหรือเบิกบุญมาโอนให้ เจ้ากรรมนายเวรที่มาถึงผู้นั้น สลับกับให้เทวดาที่รักษา ตัว ผู้นั้นอยู่บอกเจ้ากรรมนายเวร อโนสิกรรม เลิกลากันไปให้เทวดารักษาตัวจงคุ้มครอง ช่วยเหลือผู้นั้นตามที่เรา ต้องการ<O:p</O:p
    ๛ ด้านอาชีพ ส่งบุญให้เทวดารักษาตัวของหัวหน้า ผู้จัดการ เพื่อนร่วมงาน ลูกค้า ลูกน้อง และ เทวดาผู้รักษากิจการนั้นๆ (เจ้าที่บ้าง ญาติเดิมของเจ้าของกิจการบ้าง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เขานับถือบ้าง จิตวิณณาณ ที่หวงแหน ติดตามมากับสินค้าวัตถุนั้นบ้าง) ให้เมตตาสนับสนุนงานดี เงินดี ๛ ด้านการศึกษา ส่งบุญให้เทวดาที่รักษาสถานศึกษา เทวดาที่รักษาตัวครู อาจารย์ คณะกรรมการ ตรวจข้อสอบ ให้เมตตา ให้สั่งสอนดีให้เด็กตั้งใจเรียนดี สมองแจ่มใส<O:p</O:p
    ๛ ด้านอุปนิสัย ขออํานาจทิพย์ของเทวดาประจําตัวผู้นั้น เปลี่ยนแปลงคลื่นจิตให้สงบ เยือกเย็น รู้จัก คิด รู้จักยับยั้งชั่งใจ รู้จักการให้อภัย ขยัน หมั่นทําความดี หรือง่ายๆว่าจงให้มีนิสัย จิตใจเหมือน ข้าพเจ้า ๛ การส่งบุญให้พร้อมกับส่งกระแสเมตตาเป็นมโนภาพเข้าสนิทสนมกับ ลูก (หรือสามี ภรรยา เพื่อน บิดา มารดา) เช่น จับมือ โอบไหลหรือสวมกอด พร้อมกับพูดบอกสอน อ่อนโยนว่า อะไรดี ไม่ดี ควร เว้นสิ่งไหน ควรจะทําเรื่องใด จึงจะดี ทําทุกวันวันละ ๕-๑๐ นาที เขาก็จะดีขึ้น พร้อมกันนั้น เราก็จะสามารถรู้ ว่าเขาขาดอะไรจึงเป็นอย่างนี้ จะได้แก้ไข และเพิ่มเติมในสิ่งที่เขาขาดพร่อง<O:p</O:p
    ๑๖<O:p</O:p
    ๛ การเปลี่ยนเทวดา ทําได้ในกรณีเราก็เป็นผู้ตั้งอยู่ในคุณงามความดี จ่ายบุญอุทิศบุญให้กับเทวดา เจ้าที่เจ้าทาง มานานนับปี ขออะไร บอกอะไรก็ไม่ช่วยให้ดีขึ้นเลย เเสดงว่าเทวดาอารักษ์เหล่านั้น เกียจคร้าน ขี้โกง หวังเอาแต่ได้ เป็นมิจจาทิฏฐิ เพราะเทวดาก็คือปุถุชนเรานี้เอง เทวดาอย่างนี้ต้องขอเปลี่ยน โดยการ ทําบุญแล้วจ่ายอุทิศไปยังท้าวโลกบาล (ท้าวจาตุมมหาราช) ขอให้ท่านหยั่งทราบด้วยกระแสบุญนี้ว่า เราได้ทํา อย่างนี้ๆ แล้วไม่เป็นผลดีอะไรเลย ขอท่านได้เรียกเทวดาเหล่านี้กลับไป แล้วขอได้ส่งเทวดาอารักษ์ ที่ขยัน ที่ เป็นสัมมาทิฏฐิมาอยู่คุ้มครอง ช่วยเหลือข้าพเจ้าด้วยเถิด... การเปลี่ยนแปลงในกระแสทิพย์จะเกิดขึ้น แต่ถ้าเขา ก็ช่วยตามกําลังอยู่แล้ว ส่วนเรานั้นโลภมากขอเกินไป อย่างนี้ไม่ควรทํา<O:p</O:p
    ๛ เจ้าหนี้ ทวงหนี้ยาก พึงส่งบุญให้เทวดาประจําตัวเขา บอกให้เขาใช้หนี้เสียโดยเร็ว เราจะใช้เงิน ส่วนหนึ่งทําบุญให้ ส่งและสั่งบ่อยเมื่อเขาใช้หนี้แล้วอย่าลืมทําบุญให้ตามที่บอก ๛ การใช้เทวดาเข้าตรวจสอบภายในร่างกาย เพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วยการอุทิศบุญให้กับเทวดา รักษาตัว แล้วอธิษฐานขอพึ่งอํานาจคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอเปิดช่องในร่างกายในเวลาหลับ เพื่อให้เทวดารักษาตัว เข้าตรวจสอบขับไล่เชื้อโรคและเอายาไปรักษาหรือฟื้นฟูสภาพเนื้อเยื่อที่เชื้อโรคเกาะ กินทําลายให้กลับคืนสภาพเดิม จงเข้าในเวลาที่หลับและออกในทันทีที่ตื่น จับเชื้อโรคออกมา ข้าฯจะอุทิศบุญ ให้ ตื่นเช้าก็เบิกบุญมาให้เชื้อโรคเหล่านั้น<O:p</O:p
    ๛ ขณะนั่งภาวนา พึงอธิษฐานแผ่บุญเอาไว้ก่อนว่า บุญที่เกิดขึ้นในขณะนั่งภาวนานี้ จงถึงแก่เจ้า กรรมนายเวรที่มาถึงข้าพเจ้า จงถึงแก่เทวดาที่รักษาตัวข้าพเจ้าแล้วกําหนดจิตภาวนาไปตามปกติ บุญที่ เกิดขึ้นนั้นจะแผ่อยู่รอบตัว พวกเขาได้รับเลยเข้ามาก่อกวนร่างกาย จิตใจไม่ได้ จิตจะแจ่มใสดี ไม่มีอุปสรรค การภาวนาสะดวกสบาย ไปได้ไว<O:p</O:p
    ๛ ภิกษุอยากทําบุญอุทิศให้ผู้ใด ก็ทําได้ง่ายๆ คือเช้ามาตั้งใจก่อนออกบิณฑบาตว่า วันนี้เราจะเอา อาหารของบิณฑบาตทั้งหมดมาถวายสังฆทานเดินบิณฑบาตไป สํารวมไป กลับมาถึงวัด พึงจัดอาหาร ตามปกติพร้อมตั้งเจตนาอุทิศผลแห่งท่านในขณะที่จัดอาหารเสร็จนั้น ทันทีว่า (บุญนี้จะอุทิศแก่ผู้ใด ก็พึง อุทิศตามนั้นทําทุกวัน จะมีผลอานิสงสัอันยิ่งใหญ่<O:p</O:p
    ๑๔. การอุทิศบุญสําหรับผู้ต้องการบุตร ลูกเป็นสายใยรักของพ่อแม่ การมีลูกถือว่าชีวิตครอบครัวสมบูรณ์สามีภรรยาที่อยู่กินกันมานาน ถ้า ไม่มีลูกเป็นสายใยเป็นเครื่องผูกพันแล้วก็รู้สึกจะมีเรื่องระหองระแหงผิดใจกันบ่อย การมีลูกจึงเป็นความ ต้องการของคู่สามีภรรยาทั้งหลาย ซึ่งก็ถือว่าเป็นกฎของธรรมชาติแห่งการสืบเผ่าพันธุ์ มนุษย์<O:p></O:p>
    มีสามีภรรยาบางคู่ที่มีบุตรยาก แต่งงานมานานปี ฐานะการงานก็ดี แต่หาทายาทสืบสกุลไม่ได้ นับเป็นความทุกข์ของมนุษย์อีกนิดหนึ่งสําหรับผู้มีลูกยากนั้น ท่านผู้รู้ได้กล่าวไว้หลายสาเหตุ แต่ในที่นี้พอ สรุป ๓ประการ คือ ๑. เพราะจิตวิญญาณที่จะเกิดกับผู้นั้น ยังโคจรมาไม่ถึง พูดง่ายๆ คือยังไม่พบกัน ก็ต้องรอไปก่อน คล้ายกับคนที่หาเนื้อคู่ยาก บางคนรอจนอายุมากแล้วจึงได้แต่งงานก็มี<O:p</O:p
    ๑๗<O:p</O:p
    ๒. เพราะกรรมเก่าที่เคยทําหมัน หรือทําแท้งให้ผู้อื่น หรือได้เคยทําแท้งเสียเอง กรรมนั้นมาถึงเข้าจึง ไม่มีบุตร เพราะดวงจิตที่อยากเกิดด้วยนั้น ไม่กล้าเข้ามาใกล้ เขากลัวถูกฆ่าตาย ๓. เพราะผลกรรมที่ทําการเบียดเบียนชีวิตสัตว์มามาก ส่งผลให้เกิดมามีร่างกายผิดปกติจนไม่ สามารถมีลูกได้ เช่น คนที่เป็นหมัน เป็นต้น<O:p</O:p
    เมื่อมีลูกยาก จึงเกิดมีวิธีการต่างๆ ที่จะทําให้มีลูกสมปรารถนาตามความเชื่อและวิธีการของแต่ละคน ทั้งด้านไสยศาสตร์ วิทยาศาสตร์หรือแม้แต่พุทธศาสตร์ ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง ตามเหตุปัจจัย ในที่นี้จะขอ เสนอแนวทางเพิ่มเติมเป็นข้อพิจารณา คือให้คู่สามีภรรยาทําบุญให้กับดวงจิตที่ต้องการมาเกิด ขอให้รับส่วน บุญนั้นแล้วให้มาเกิดกับตน ซึ่งมีขั้นตอน ดังนี้ คือ<O:p</O:p
    อันดับแรก ให้ตั้งตนอยู่ในคุณงามความดี หมั่นทําบุญสุนทาน ทําอารมณ์ให้เบิกบานแจ่มใส มีเมตตา จิต เป็นการเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อให้ดวงจิตที่มีบุญญาธิการมาเกิด ต่อแต่นั้นทุกครั้งที่ทําบุญให้ทาน ก็พึง อุทิศบุญไปให้แก่ดวงจิต หรือนางฟ้า เทวดาที่ต้องการจะมาเกิดเพื่อสร้างบุญบารมี ขอจงรับเอาส่วนบุญนี้แล้ว จงมาเกิดกับข้าพเจ้า ทําบุญทานการกุศลใดๆ ก็ให้ตั้งจิตอุทิศบุญเอาไว้ดั่งนี้เสมอๆ บุญของเราก็จะมากขึ้น บุญของดวงจิตที่จะมาเกิดกับเราก็เพิ่มขึ้น เกิดการเกี่ยวพัน ผูกพันกันด้วยบุญกุศลเป็นกระแสทิพย์ให้เขามา เกิดกับเราได้ ลูกที่เกิดมาก็จะมีสุขภาพ อนามัย สมบูรณ์มีอุปนิสัย จิตใจงดงาม ด้วยอํานาจบุญนั้นปั้นแต่งให้ เป็นไป แม้ขณะตั้งครรภ์ก็ควรจ่ายบุญให้เทวดาที่รักษาลูกในท้องบ่อยๆ <O:p</O:p
    ข้อสําคัญคือ เมื่อมีลูกแล้วก็พึงเอาใจใส่ดูแล ให้การศึกษาอบรมในทางที่ดีที่ถูกต้อง ขอเน้นตรง อบรมให้ถูกต้องนี้เป็นข้อใหญ่ เป็นสําคัญ เพื่อให้เขาโตขึ้นเป็นคนที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ อย่าหลง เลี้ยงกายซะดีเลิศจนเป็นเทวดา แต่ลืมเลี้ยงใจให้เขามีคุณความดีที่มนุษย์ควรจะมีจะเป็น ! จนกลายมาเป็นบ่อ เกิดของค์วามทุกข์ ความวุ่นวาย ในหัวอกพ่อแม่ หรือใครต่อใครอย่างที่รู้ๆ เห็นๆ กันอยู่<O:p</O:p
    ๑๕. ขัลลาติยเปติวัตถุ (ย่อ) ว่าด้วยพ่อค้าให้ผ้าแก่นางเปรต ในอดีตกาล ในกรุงพาราณสี มีหญิงผู้หนึ่ง รูปร่างสวยน่าดู น่าชมมีผมดํายาวละเอียด อ่อนนุ่ม คน หนุ่มเห็นความงามแห่งเสันผมของนางโดยมากหลงรักนาง มีเพื่อนหญิงของเธอ ๒-๓ คน เกิดอิจฉาริษยา ทน ต่อความงามของผมนางไม่ได้ จึงหลอกล่อติดสินบนคนใช้ของนาง ให้เอายาผสมในยาสระผม เมื่อนางไป อาบน้ําสระผมที่แม่น้ําคงคา พอดําน้ําเท่านั้นเส้นผมก็หลุดร่วง กระทั่งราก นางได้รับความอับอายยิ่งนัก ต้อง ใช้ผ้าโพกคลุมศีรษะเป็นประจํา<O:p</O:p
    นางได้หันมายึดอาชีพค้าน้ํามันงาและสุรา วันหนึ่งเห็นคน ๒-๓ คนเมาสุราหลับสนิทจึงขโมยเอา ผ้านุ่งผ้าห่มของคนเหล่านั้น อยู่ต่อมานางได้ถวายอาหารคือแป้ง ผสมน้ํามันงาแก่พระอรหันต์รูปหนึ่ง แล้ว ตั้งดวามปรารถนาขอให้ผมของนางยาวละเอียด นุ่มสนีท ปลายงอนเถิด กาลต่อมา นางได้ถึงแก่กรรม เพราะผลกรรมที่คละกัน จึงเกิดเป็นหญิงเปลือยอยู่ในวีมาน บนเกาะ แห่งหนึ่ง นางเกิดตายๆอยู่ในวิมานทองนั้นตลอดกาลยาวนาน วันหนึ่งพวกพ่อค้ากรุงสาวัตถี ๗๐๐ คน แล่น<O:p</O:p
    ๑๘<O:p</O:p
    เรือไปสู่มหาสมุทร มุ่งไปยังสุวรรณภูมิ เรือถูกคลื่นพายุหมุนปั่นป่วน จนไปเกยตื้นที่เกาะของนางเปรตนั้น นางเวมานิกเปรตนั้น จึงแสดงตนพร้อมวิมาน ให้เห็นตนเฉพาะใบหน้าที่ช่องหน้าต่าง พวกพ่อค้าเห็นดังนั้นจึงถามว่า น้องสาวเป็นใครหนอ อยู่ในวิมานนี้เห็นแต่หน้า จงออกมาให้เห็นตัว ที่ข้างนอกนี้เถิด นางเปรตกล่าวตอบว่าดิฉันเปลือยกายมีแต่ผมปิตบังไว้ ละอายที่จะออกไปข้างนอก ดิฉัน ทําบุญไว้น้อย พวกพ่อค้าจึงว่า พวกเราจะให้ผ้านุ่งผ้าห่มแก่เธอ นุ่งห่มแล้วออกมาข้างนอกเถิด นางเปรตตอบ ว่า ผ้านั้นถึงจะให้กับมือก็ไม่เกิดผลดอก แต่หากในหมู่ท่านมีคนผู้เป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านจง ให้ทานผ้าแก่อุบาสกนั้น แล้วอุทิศส่วนกุศลให้ฉัน ฉันจึงจะได้นุ่งห่มผ้านี้สมปรารถนา<O:p</O:p
    พวกพ่อค้า จึงทําบุญด้วยผ้ากับอุบาสกผู้หนึ่ง อุทิศส่วนกุศลให้นางเปรตนั้น ในทันตาเห็นนั่นเอง เสื้อผ้า โภชนาและน้ําดื่ม ก็เกิดขึ้นแก่นางนางดีใจเตินยิ้มออกมาจากวิมาน พร้อมประกาศว่า นี้เป็นผลแห่งบุญ ทีพวกท่านทําให้เรา พอค้าทั้งหลายเห็นเหตุนั้นแล้ว เกิดอัศจรรย์ใจ จึงขอฟังธรรมและสมาทานศีลกับอุบาสก นั้น<O:p</O:p
    จากนั้นได้ถามนางถึงบุพกรรมที่เคยทํามา นางได้เล่าให้ฟังว่าที่ได้มาอยู่ในวิมานเพราะผลการถวาย แป้งผสมน้ํามัน ที่ต้องเปลือยกายเพราะกรรมที่ขโมยผ้าเขาและบอกด้วยว่าบุญเก่านางไม่มี อีกสี่เดือนข้างหน้า นางก็จะต้องไปใช้กรรมเก่าในนรกอีกยาวนาน นางกลัวเหลือเกิน พวกพ่อค้าจึงรับปากว่าเมื่อกลับไป บ้านเมืองตนแล้วจะทําบุญอุทิศให้ นางจึงฝากผ้าคู่หนึ่งไปถวายพระพุทธเจ้า พร้อมกับจัดแก้ว แหวน เงินทอง<O:p</O:p
    ให้กับพ่อค้า เหล่านั้นเมื่อพ่อค้าเหล่านั้นไปถึงกรุงสาวัตถีแล้ว ได้ไปเฝ้าพระบรมศาสดาที่วัดพระเชตวัน เล่า เรื่องถวายแล้ว ได้จัดมหาทาน อุทิศบุญให้นางเปรตนั้นนางได้พ้นจากสภาพเปรต ไปบังเกิดในวิมานทอง มี นางอัปสร ๑๐๐๐ นางเป็นบริวาร ในชั้นดาวดึงส์<O:p</O:p
    ๑๖. สารีปุตตเถรมาตุเปติวัตถุ (ย่อ) ว่าด้วยนางเปรตผู้เคยเป็นมารดาพระสารีบุตร ในกรุงพารานาสี มีพราหมณ์คนหนึ่ง เป็นคนมั่งคั่งมีทรัพย์มาก มีลาภมาก เป็นคนใจบุญ ได้ให้ทาน สิ่งของข้าวน้ํา ผ้าและที่นอน เป็นต้น แก่คนทั้งหลาย ทั้งยังถวายข้าวน้ําแก่ภิกษุสงฆ์ ไม่เคยขาด เมื่อจะไปธุระ ต่างเมืองจึงสั่งภรรยาให้ดูแล ทานวิธีนั้นให้เรียบร้อยด้วย นางรับคํา แต่ไม่ได้ทําตาม ซ้ํายังด่าว่าผู้มารับทาน เหล่านั้นว่า จะมากินข้าวน้ําที่นี้ทําไม ? จงดื่มกิน อุจจาระ ปัสสาวะ น้ําเลือด กินมันสมองมารดาพวกท่านเอง เถิด แล้วถ่มน้ําลายรด<O:p</O:p
    สมัยต่อมา นางได้ตายลง บาปกรรมพาไปเกิดเป็นเปรต ได้รับทุกข์ทรมาน แสวงหาทีพึ่ง จึงไปหา พระสารีบุตร เพราะระลึกได้ว่าชาติก่อนโน้นตนได้เคยเป็นมารดาของพระสารีบุตร พระเถระได้เห็นแล้วมีใจ กรุณาจึงถามว่า ท่านเป็นผู้เปลือยกาย มีรูปร่างน่าเกลียด ซูบผอม มีตัวสะพรั่งใปด้วยเอ็น มีแต่ซี่โครง ท่าน เป็นใคร จึงมายืนอยู่ในที่นี้<O:p</O:p
    ๑๙<O:p</O:p
    นางเปรตตอบว่า เมื่อก่อนดิฉันเป็นมารดาของท่าน ขณะนี้เป็นเปรตเต็มไปด้วยหิวกระหาย ต้องกิน เลือด เนื้อ น้ํามูก น้ําลายที่เขาถ่มทิ้ง กินน้ําเลือด น้ําหนองของซากศพตามป่าช้า เร่ร่อนนอนในป่าข้า ลูกเอ๋ย ขอลูกจงให้ทานแล้วอุทิศส่วนคุณแก่แม่บ้าง จะได้พ้นจากการกินหนองและเลือด พระสารีบุตร จึงได้ถวายพระพรแก่พระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสารได้สร้างกุฎีถวาย ๔ หลัง พระ สารีบุตรได้ถวายกุฎีนั้นแก่ภิกษุสงฆ์ผู้มาจากทิศทั้ง ๔ แล้วอุทิศส่วนกุศลแก่นางเปรต นางเปรตได้อนุโมทนา ส่วนบุญนั้นแล้วบังเกิดในเทวโลก ในวันต่อมานางเทพธิดานั้น ได้เข้าใปหาพระโมคัลลานะ แสดงผลบุญและ ฝากขอบคุณพระสารีบุตร<O:p</O:p
    <O:p></O:p>
    ๑๗. สังสารโมจกเปติวัตถุ (ย่อ) ว่าด้วยไม่ทําบุญเกิดเป็นนางเปรต มีเด็กหญิงคนหนึ่งในกรุงราขคฤห์ ไม่มีศรัทธา ไม่รู้จักทําบุญ ด้วยเกิดในตระกูลมิจจาทิฎฐิ บิดา มาร ตา มิได้สั่งสอนในทางกุศล พบเห็นพระสงฆ์ก็ไม่รู้จักกราบไหว้ พระสารีบุตร เข้าไปบิณฑบาต เห็นเด็กหญิง ยืนเฉยอยู่ในขณะที่เพื่อนๆ ต่างพากันนั่งไหว้ ท่านพิจารณาเห็นธรรมในอดีตและผลในอนาคตแล้วมีจิตกรุณา จึงพูดกับเด็กๆ ว่าพวกเจ้าไหว้ภิกษุทั้งหลาย แต่เด็กหญิงคนนี้ ยืนอยู่เหมือนคนไม่มีโชค เด็กหญิงเหล่านั้นจึง พากันจับมือฉุดคร่ามาให้ไหว้เท้าพระเถระโดยพลการเมื่อนางเจริญวัย พ่อแม่ จึงจัดการแต่งงานให้ นางตั้ง ท้องพอครรภ์แก่ก็ตายไปเกิดเป็นเปรตปลือยกายมีรูปร่างน่าเกลียด ถูกความหิวกระหายครอบงํา เร่ร่อนไปใน เวลากลางคืน ได้ไปแสดงตนแก่พระสารีบุตร ท่านจึงถามว่า ท่านเปลือยกาย มีรูปร่างน่าเกลียด ผอมแห้ง มีแต่ ซี่โครงท่านเป็นใคร มายืนอยู่ในที่นี้<O:p</O:p
    นางบอกให้ทราบว่าตนเป็นเปรต เพราะไม่ได้ทําบุญไว้เลย ตอนเป็นมนุษย์ บิดา มารดา หรือญาติ มิตร ที่จะชักชวนแนะนาให้ทําบุญบริจาคทาน ก็ไม่มี ดิฉันจะต้องทรมานอยู่ในสภาพนี้ถึง ๕๐๐ ปี แล้วอ้อน วอนขอให้ท่านทําบุญอุทิศให้ด้วย ทรมานเหลือเกินพระสารีบุตรผู้มีใจอนุเคราะห์ รับคํานางแล้ว ตอนเช้าจึง ได้ถวายข้าวคําหนึ่ง น้ํา ๑ ขัน พร้อมผ้าขนาดเท่าฝ่ามือ แก่ภิกษุรูปหนึ่ง แล้วอุทิศผลบุญไปให้นางเปรตนั้น พอพระสารีบุตรอุทิศสวนบุญให้เท่านั้น ข้าวน้ําและเครื่องนุ่งห่ม ก็เกิดขึ้นทันที ภายหลังนางมีร่างกายบริสุทธิ์ นุ่งห่มผ้าอันสะอาด มีราคามาก มีสีสันวิจิตรงดงาม เข้าไปกราบขอบคุณพระเถระเล่าถึงความสุข ความ บริบูรณ์ของสมบัติของตนที่เกิดจากบุญที่ท่านทําอุทิศ ให้<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ๑๘. อุตตรมาตุเปติวัตถุ (ย่อ) ว่าด้วยลูกให้ทานไม่พอใจตายไปเป็นเปรต นางเปรตมีผิวพรรณน่าเกลียดน่ากลัว มีผมยาวห้อยลงมาจดพื้นดิน เข้าไปหาภิกษุผู้นั่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ํา คงคา พูดว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันตั้งแต่ตายมายังไม่ได้กินข้าวหรือดื่มน้ําเลยตลอดเวลา ๕๕ ปีแล้ว ขอท่าน จงให้น้ําดื่มแก่ดิฉันด้วยเถิด ภิกษุนั้นบอกให้ตักน้ําในแม่น้ําคงคานั้นกินเองก็ได้ มาขอเราทําไม ?<O:p</O:p
    ๒๐<O:p</O:p
    นางกล่าวว่า ถ้าดิฉันตกน้ําในแม่น้ําคงคานี้ น้ําที่ได้ย่อมกลายเป็นเลือด เหม็นคาวกินไม่ได้ เพราะฉะนั้น ดิฉันจึงขอน้ํากับท่าน ภิกษุนั้นถามว่า ทําไมจึงเป็นอย่างนั้นเล่า ? นางตอบว่า ตอนเป็นคน ดิฉัน มีบุตรคนหนึ่ง ใจบุญสุนทาน รักษาศีลให้ทานอยู่เป็นประจํา ดิฉันถูกความตระหนี เข้าครอบงํา เสียดายทรัพย์ จึงด่าลูกชายว่าของที่เจ้าให้ทานไปทุกอย่างนั้นจงกลายเป็นเลือดให้เจ้ากินในชาติหน้า เพราะกรรมนั่น น้ําจึง กลายเป็นเลือดปรากฏแก่ดิฉัน<O:p</O:p
    พระเถระมีใจกรุณา จึงได้ถวายน้ําดื่มแก่สงฆ์ ไปเที่ยวบิณฑบาตนํามาถวายแก่ภิกษุทั้งหลาย เที่ยว แสวงหาผ้าบังสุกุล มาซักสะอาด แล้วเย็บเป็นฟูกและหมอน ถวายแก่ภิกษุทั้งหลาย อุทิศบุญเหล่านั้นให้นาง เปรต นางพ้นจากสภาพเปรตได้ทิพยสมบัติ รูปสวยดุจเทพธิดา ได้เข้าไปกราบขอบคุณพระเถระ ที่ได้ ช่วยเหลือให้พ้นจากความอดอยาก หิวโหย<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ๑๙. นันทาเปติวัตถุ (ย่อ) ว่าด้วยผู้ดุร้ายตายเป็นนางเปรต นันทิเสนอุบาสก พบนางเปรตตนหนึ่งที่ท้ายหมู่บ้าน จึงถามว่าท่านมีผิวพรรณดํา รูปร่างน่าเกลียด ตัวขรุขระดูน่ากลัว มีตาเหลือง เขี้ยวงอกออกเหมือนหมู ท่านเป็นใคร ? นางเปรตตอบว่า ข้าแต่ท่านนันทิเสน เมื่อก่อนฉันชื่อ นันทา เป็นภรรยาของท่าน ทํากรรมชั่วจึงไปเกิดเป็นเปรตเมื่อก่อนฉันเป็นหญิงดุร้าย หยาบ คาย ไม่เคารพท่าน พูดคําชั่วหยาบกะท่านจึงเกิดเป็นเปรตเช่นนี้ นันทิเสน ได้ยินแล้วสงสาร จึงพูดว่า เอาล่ะ เราจะให้ผ้านุ่งแก่ท่าน จงนุ่งห่มผ้านี้แล้วกลับไปเรือนด้วยกัน จะได้เสื้อผ้า บริโภคข้าว น้ํา อาหาร ได้พบหน้า ลูกหลานและสะใภ้ของท่าน นางตอบว่าผ้านั้นแม้จะให้กับมือก็ไม่เกิดมีแก่ฉัน ขอท่านจงให้ทานเลี้ยงดูภิกษุ ให้อิ่มหน่ําด้วยข้าวและน้ํา แล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้ฉัน ฉันจึงจะมีความสุขได้สิ่ง ที่ ปรารถนา<O:p</O:p
    เขารับคําแล้วได้ให้ทานเป็นอันมากคือ ข้าว น้ํา ของเคี้ยว ของฉัน ผ้า เสนาสนะ ร่ม เครื่องลูบไล้ (ปัจจุบัน แฟ้บ สบู่ ยาสีฟัน) ดอกไม้และรองเท้า เลี้ยงดูภิกษุผู้ทรงศีล แล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้นางนันทา ภรรยาที่ตายไปเป็นเปรต ทันใดนั้นข้าว น้ํา เครื่องนุ่งห่ม ก็บังเกิดแก่นางทันตาเห็น นี้เป็นผลของการทําบุญ นางเปรตเปลี่ยนสภาพเป็นเทพธิดา งดงามพร้อมทิพยสมบัติ จึงไปปรากฏแก่สามี ขอบคุณ และอวยพรให้มี อายุยืนนาน<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    † † † † † † † † † † † † † † † † † † † † † † † † †<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ขออุทิศผลบุญกุศลในการเผยแพร่ครั้งนี้ให้กับ บิดา มารดา ภรรยา บุตร เจ้ากรรมนายเวรที่มาถึงข้าพเจ้า เทวดาที่รายล้อมอยู่รอบตัวข้าพเจ้าและครอบครัว
     
  2. สุทธิมา

    สุทธิมา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2010
    โพสต์:
    784
    ค่าพลัง:
    +2,119
    อนุโมทนาสาธุค่ะ
    ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆ ค่ะ
    เมตตาธรรมค้ำจุนโลก
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image001.jpg
      image001.jpg
      ขนาดไฟล์:
      43.3 KB
      เปิดดู:
      1,171
  3. meephoo

    meephoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    ค่าพลัง:
    +2,133
    อนุโมทนาสาธุ ครับ ขออำนาจพุทธ ธรรม สงฆ์ จงบันดาลบุญข้าให้แก่ มนุษย์และอมนุษย์ทั้งทั่วทุกภพ จงรับบุญที่ข้าโอนมาให้ เมื่อรับบุญแล้วขอให้โมทนาบุญร่วมกัน ทำบุญร่วมกัน มีสุขร่วมกันตลอดไป และได้ช่วยเหลือข้าพเจ้าให้ ร่ำรวย รุ่งเรือง แข็งแรง มีพลังและมีความสุข ขอจงเป็นสุขจากบุญข้าเถิดสาธุ สาธุ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...