ไหว้พระ ทำบุญ รับปีใหม่ที่...พม่า

ในห้อง 'วัดและศาสนสถาน' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 21 มกราคม 2007.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,492
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width=567 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>ไหว้พระ ทำบุญ รับปีใหม่ที่...พม่า</TD></TR><TR><TD class=Text_Story vAlign=top><!-- [​IMG][/IMG] [​IMG] ดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์ ผู้อำนวยการหลักสูตรสหสาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นับเป็นผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์พม่ามากที่สุดท่านหนึ่ง


    จนได้รับการยกย่องจากนักวิชาการทั่วโลกมาแล้ว เมื่อทราบว่า อ.สุเนตร ได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรในการเดินทางไปท่องเที่ยว ไหว้พระ ทำบุญ ณ ประเทศพม่า ในช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา ผมจึงรีบสมัครขอร่วมเดินทางด้วยทันที
    การเดินทางครั้งนี้ คุณช่อผกาพร กิไพโรจน์ แห่ง วันเดอร์แลนด์ทัวร์ เป็นผู้จัดขึ้น มีผู้ร่วมเดินทางทั้งหมด ๓๙ คน โดยสายการบินเมียนมาร์แอร์เวย์ จากสนามบินสุวรรณภูมิ ใช้เวลาบินเพียงแค่ ๑ ชั่วโมงเล็กน้อย โบอิ้ง เอ็มดี ๘๒ ก็ร่อนลงยังสนามบินมิงกาลาดอ ชานกรุงย่างกุ้ง ประเทศพม่า
    ที่สนามบิน ไกด์ชาวพม่าซึ่งพูดไทยได้อย่างชัดเจน เพราะเคยมาศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในเมืองไทยมาแล้ว รอต้อนรับและอำนวยความสะดวกทุกอย่าง จากนั้นคณะของเราออกเดินทางด้วยรถโค้ชสำหรับนักท่องเที่ยว มุ่งสู่ เมืองพะโค หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในนามของ เมืองหงสาวดี ระยะทางประมาณ ๘๐ กม. โดยใช้เวลา ๒ ชั่วโมง ที่ต้องใช้เวลามากขนาดนี้ก็เพราะสภาพถนนไม่ดีพอนั่นเอง
    ขณะอยู่บนรถ คุณไกด์บอกกล่าวถึงความเป็นมาของ ประเทศพม่า ว่า ได้เปลี่ยนชื่อประเทศเป็น เมียนมาร์ เมื่อปี ๒๕๓๕ ซึ่งคนไทยออกเสียงว่า "เมียนมาร์" แต่ชาวพม่าเขาออกเสียงว่า "มยะหม่า"
    การเปลี่ยนชื่อประเทศก็ด้วยเหตุผลคำว่า พม่า นั้นเป็นเพียงชนเผ่าหนึ่งบนแผ่นดินนี้ แม้จะมีจำนวนประชากรมากที่สุดคือประมาณ ๗๕% ก็ตาม แต่ในประเทศนี้ยังมีชนเผ่าอื่นๆ อีก ๑๓๕ เผ่า ที่รู้จักกันดีมี ๘ เผ่า คือ พม่า ฉิ่น กะฉิ่น กะเหรี่ยง กะยา มอญ ยะไข่ ฉาน (หรือไทใหญ่)
    การเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มกราคม 2007
  2. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,492
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width=567 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>ไหว้พระ ทำบุญ รับปีใหม่ที่...พม่า (๒)</TD></TR><TR><TD class=Text_Story vAlign=top><!-- [​IMG][/IMG] [​IMG] อ.สุเนตร ชุตินธรานนท์ กล่าวถึง เมืองพะโค ว่า เป็นเมืองที่คนไทยรู้จักกันดีในนามของ เมืองหงสาวดี ซึ่งเดิมเป็นราชธานีเก่าของชาวมอญมาก่อน ต่อมาถูก พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ กษัตริย์พม่าซึ่งมีราชธานีอยู่เมืองตองอู ยกทัพมาตี และยึดครองเมืองหงสาวดีไว้ได้ จึงย้ายราชธานีมาอยู่ที่นี่

    กษัตริย์พม่าที่สร้างความยิ่งใหญ่ให้เมืองหงสาวดี ก็คือ พระเจ้าบุเรงนอง ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ โดยตรง และเป็นกษัตริย์พม่าที่เป็นคู่ศึกของกรุงศรีอยุธยามาโดยตลอด
    โบราณสถานสำคัญๆ จำนวนมากในเมืองหงสาวดี จึงเป็นสิ่งก่อสร้างที่มาตั้งแต่สมัยมอญปกครองเมืองนี้ เช่น พระธาตุมุเตา พระพุทธรูปสี่ทิศ ฯลฯ
    เมืองหงสาวดี มี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 2804_copy.jpg
      2804_copy.jpg
      ขนาดไฟล์:
      29.7 KB
      เปิดดู:
      312
  3. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,492
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width=567 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>ไหว้พระ ทำบุญ ที่...พม่า (๓)</TD></TR><TR><TD class=Text_Story vAlign=top><!-- [​IMG] [​IMG] (ต่อจากฉบับเมื่อวานนี้) ปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์ของพม่า ที่ชาวพุทธถือว่าจะต้องไปกราบไหว้ให้จงได้ในชั่วชีวิตหนึ่ง มีอยู่ ๓ แห่ง คือ พระธาตุอินทร์แขวน พระมหาเจดีย์ชเวดากอง และ พระมหามุนี นอกจากนี้ยังมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ อีกมากมายหลายแห่งที่ควรจะได้ไปสักการบูชาตามแต่โอกาสจะอำนวย


    พระมหาเจดีย์ชเวดากอง ตั้งอยู่ในกรุงย่างกุ้ง เป็นพระมหาเจดีย์ที่ชาวมอญสร้างขึ้นในสมัยที่ปกครองเมืองนี้ ก่อนถูกพม่ายึดครองในเวลาต่อมา นับเป็นพระมหาเจดีย์คู่บ้านคู่เมืองพม่าอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ชาวพุทธทั่วโลกต่างปรารถนาอย่างยิ่งที่จะได้ไปสักการบูชาให้จงได้
    ตามตำนานเล่าว่า ภายในพระมหาเจดีย์องค์นี้ ได้บรรจุ พระเกศาของพระพุทธเจ้า จำนวน ๘ เส้น ซึ่งประทานให้แก่นายวาณิชสองพี่น้อง เพื่อให้นำมาสร้างพระมหาเจดีย์แล้วบรรจุเส้นพระเกศาทั้ง ๘ เส้นนี้
    องค์พระมหาเจดีย์มีอายุประมาณ ๒,๕๐๐ ปี ความสูง ๙๘ เมตร บนยอดสูงสุดหุ้มด้วยทองคำแท้หนัก ๒ ตัน ประดับด้วยเพชร ๕,๔๔๘ เม็ด ทับทิม นิล และบุษราคัม อีก ๒,๓๑๗ เม็ด โดยมีมรกตเม็ดใหญ่อยู่ตรงกลาง เพื่อรับลำแสงแรก และลำแสงสุดท้ายของแสงพระอาทิตย์ในแต่ละวัน
    นอกจากนี้ยังมีทับทิมขนาดใหญ่เท่ากับไข่ไก่ อยู่บนยอดพระมหาเจดีย์องค์นี้ด้วย นับเป็นพระมหาเจดีย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และสวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว
    ชาวพม่ารู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่มีคนไทยบางคนมักจะพูดกันว่า ทองคำที่ปิดองค์ พระเจดีย์มหาธาตุชเวดากอง นี้ เป็นทองคำที่ลอกไปจากกรุงศรีอยุธยาในคราวเสียกรุงทั้ง ๒ ครั้ง เพราะโดยข้อเท็จจริงแล้ว ทองคำที่ปิดรอบองค์พระมหาเจดีย์ชเวดากองนั้น มีมาก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยาเสียอีก และทองคำที่เห็นเหลืองอร่ามอย่างวิจิตรงดงามนั้น เป็นทองคำบริสุทธิ์จำนวนมากกว่า ๑๐๐ กก. (บางแห่งบอกว่า ๖๐ ตัน) ทั้งนี้ โดยมีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงบูรณะองค์พระมหาเจดีย์ได้บริจาคให้ ๒ คราวใหญ่ๆ เท่ากับน้ำหนักพระวรกายของทั้ง ๒ พระองค์ ซึ่งนับว่ามากมายมหาศาลจริงๆ
    พระมหาเจดีย์ชเวดากอง เนื้อแท้ด้านในเป็นปูนทั้งหมด โดยปูทับด้วยแผ่นทองที่เรียกว่า ทองจังโก เหมือนกับพระเจดีย์วัดพระธาตุหริภุญชัย จ.ลำพูน และเจดีย์อื่นๆ ทางภาคเหนือของไทย จากนั้นได้นำแผ่นทองคำเปลวแท้ปิดทับรอบองค์พระมหาเจดีย์ทั้งหมด ทำให้มีความงดงามอลังการอย่างที่เห็น
    นอกจากพระมหาเจดีย์องค์ใหญ่เป็นประธานอยู่ตรงกลางแล้ว ยังมีเจดีย์ขนาดย่อมลงมาอยู่โดยรอบพระมหาเจดีย์ใหญ่อีกนับร้อยๆ องค์ ปิดทองคำเปลวแท้ทุกองค์
    สิ่งก่อสร้างทั้งหมดภายในลานพระมหาเจดีย์ชเวดากอง ล้วนแต่เป็นสถาปัตยกรรมชั้นบรมครูทั้งสิ้น เป็นศิลปะของชาวมอญแต่โบราณกาล ประณีตวิจิตรงดงามสุดพรรณนา ช่างคุ้มค่ากับการที่ได้เดินทางมาสักการบูชาสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้จริงๆ
    ทุกคนที่เดินทางเข้ามาชมสถานที่แห่งนี้ จะต้องถอดรองเท้า ถุงเท้า ถุงน่อง รวมทั้งการสวมใส่เสื้อผ้าที่สุภาพเรียบร้อย ไม่อย่างนั้นเขาไม่ให้เข้าชมอย่างเด็ดขาด
    รอบๆ องค์พระมหาเจดีย์จะมีชาวพม่านั่งสวดมนต์ภาวนา นั่งสมาธิเต็มไปหมด ว่ากันว่าบางคนมานั่งเป็นวันๆ ก็มี มุมหนึ่งมีผู้คนจำนวนมาก กำลังเข้าแถวกันอย่างยาวเหยียด สอบถามได้ความว่าเป็นผู้ที่มีจิตศรัทธาอย่างแก่กล้า ที่จะขอเข้าไปสวดมนต์ภาวนา นั่งสมาธิ ด้านในตรงฐานองค์พระมหาเจดีย์ ซึ่งจะต้องทำหนังสือขออนุญาตล่วงหน้าเป็นเดือนๆ ถึงจะได้รับอนุญาต ทางราชการจะพิจารณาถึงความเหมาะสมในหลายๆ ด้านประกอบด้วย เพราะอาณาเขตชั้นในนั้นมีทรัพย์สินเงินทองของมีค่ามากมายมหาศาล โดยเฉพาะพื้นผิวเจดีย์แต่ละองค์ ล้วนเป็นทองคำแท้ทั้งนั้น เป็นที่น่าสังเกตว่า การจำหน่าย แผ่นทองคำเปลว ตามสถานที่ต่างๆ ของพม่า เขากำหนดให้เป็น แผ่นทองคำเปลวแท้ เท่านั้น ทองเก๊ทองวิทยาศาสตร์ห้ามใช้เด็ดขาด พม่าเป็นประเทศที่ได้ชื่อว่า รวยทองคำ จนได้รับสมญานามจากชาวโลกว่า ดินแดนแห่งทองคำ
    0 เต๋อ สมิหลา สงขลา 0

    -->[​IMG]
    (ต่อจากฉบับเมื่อวานนี้) ปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์ของพม่า ที่ชาวพุทธถือว่าจะต้องไปกราบไหว้ให้จงได้ในชั่วชีวิตหนึ่ง มีอยู่ ๓ แห่ง คือ พระธาตุอินทร์แขวน พระมหาเจดีย์ชเวดากอง และ พระมหามุนี นอกจากนี้ยังมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ อีกมากมายหลายแห่งที่ควรจะได้ไปสักการบูชาตามแต่โอกาสจะอำนวย
    พระมหาเจดีย์ชเวดากอง ตั้งอยู่ในกรุงย่างกุ้ง เป็นพระมหาเจดีย์ที่ชาวมอญสร้างขึ้นในสมัยที่ปกครองเมืองนี้ ก่อนถูกพม่ายึดครองในเวลาต่อมา นับเป็นพระมหาเจดีย์คู่บ้านคู่เมืองพม่าอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ชาวพุทธทั่วโลกต่างปรารถนาอย่างยิ่งที่จะได้ไปสักการบูชาให้จงได้
    ตามตำนานเล่าว่า ภายในพระมหาเจดีย์องค์นี้ ได้บรรจุ พระเกศาของพระพุทธเจ้า จำนวน ๘ เส้น ซึ่งประทานให้แก่นายวาณิชสองพี่น้อง เพื่อให้นำมาสร้างพระมหาเจดีย์แล้วบรรจุเส้นพระเกศาทั้ง ๘ เส้นนี้
    องค์พระมหาเจดีย์มีอายุประมาณ ๒,๕๐๐ ปี ความสูง ๙๘ เมตร บนยอดสูงสุดหุ้มด้วยทองคำแท้หนัก ๒ ตัน ประดับด้วยเพชร ๕,๔๔๘ เม็ด ทับทิม นิล และบุษราคัม อีก ๒,๓๑๗ เม็ด โดยมีมรกตเม็ดใหญ่อยู่ตรงกลาง เพื่อรับลำแสงแรก และลำแสงสุดท้ายของแสงพระอาทิตย์ในแต่ละวัน
    นอกจากนี้ยังมีทับทิมขนาดใหญ่เท่ากับไข่ไก่ อยู่บนยอดพระมหาเจดีย์องค์นี้ด้วย นับเป็นพระมหาเจดีย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และสวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว
    ชาวพม่ารู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่มีคนไทยบางคนมักจะพูดกันว่า ทองคำที่ปิดองค์ พระเจดีย์มหาธาตุชเวดากอง นี้ เป็นทองคำที่ลอกไปจากกรุงศรีอยุธยาในคราวเสียกรุงทั้ง ๒ ครั้ง เพราะโดยข้อเท็จจริงแล้ว ทองคำที่ปิดรอบองค์พระมหาเจดีย์ชเวดากองนั้น มีมาก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยาเสียอีก และทองคำที่เห็นเหลืองอร่ามอย่างวิจิตรงดงามนั้น เป็นทองคำบริสุทธิ์จำนวนมากกว่า ๑๐๐ กก. (บางแห่งบอกว่า ๖๐ ตัน) ทั้งนี้ โดยมีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงบูรณะองค์พระมหาเจดีย์ได้บริจาคให้ ๒ คราวใหญ่ๆ เท่ากับน้ำหนักพระวรกายของทั้ง ๒ พระองค์ ซึ่งนับว่ามากมายมหาศาลจริงๆ
    พระมหาเจดีย์ชเวดากอง เนื้อแท้ด้านในเป็นปูนทั้งหมด โดยปูทับด้วยแผ่นทองที่เรียกว่า ทองจังโก เหมือนกับพระเจดีย์วัดพระธาตุหริภุญชัย จ.ลำพูน และเจดีย์อื่นๆ ทางภาคเหนือของไทย จากนั้นได้นำแผ่นทองคำเปลวแท้ปิดทับรอบองค์พระมหาเจดีย์ทั้งหมด ทำให้มีความงดงามอลังการอย่างที่เห็น
    นอกจากพระมหาเจดีย์องค์ใหญ่เป็นประธานอยู่ตรงกลางแล้ว ยังมีเจดีย์ขนาดย่อมลงมาอยู่โดยรอบพระมหาเจดีย์ใหญ่อีกนับร้อยๆ องค์ ปิดทองคำเปลวแท้ทุกองค์
    สิ่งก่อสร้างทั้งหมดภายในลานพระมหาเจดีย์ชเวดากอง ล้วนแต่เป็นสถาปัตยกรรมชั้นบรมครูทั้งสิ้น เป็นศิลปะของชาวมอญแต่โบราณกาล ประณีตวิจิตรงดงามสุดพรรณนา ช่างคุ้มค่ากับการที่ได้เดินทางมาสักการบูชาสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้จริงๆ
    ทุกคนที่เดินทางเข้ามาชมสถานที่แห่งนี้ จะต้องถอดรองเท้า ถุงเท้า ถุงน่อง รวมทั้งการสวมใส่เสื้อผ้าที่สุภาพเรียบร้อย ไม่อย่างนั้นเขาไม่ให้เข้าชมอย่างเด็ดขาด
    รอบๆ องค์พระมหาเจดีย์จะมีชาวพม่านั่งสวดมนต์ภาวนา นั่งสมาธิเต็มไปหมด ว่ากันว่าบางคนมานั่งเป็นวันๆ ก็มี มุมหนึ่งมีผู้คนจำนวนมาก กำลังเข้าแถวกันอย่างยาวเหยียด สอบถามได้ความว่าเป็นผู้ที่มีจิตศรัทธาอย่างแก่กล้า ที่จะขอเข้าไปสวดมนต์ภาวนา นั่งสมาธิ ด้านในตรงฐานองค์พระมหาเจดีย์ ซึ่งจะต้องทำหนังสือขออนุญาตล่วงหน้าเป็นเดือนๆ ถึงจะได้รับอนุญาต ทางราชการจะพิจารณาถึงความเหมาะสมในหลายๆ ด้านประกอบด้วย เพราะอาณาเขตชั้นในนั้นมีทรัพย์สินเงินทองของมีค่ามากมายมหาศาล โดยเฉพาะพื้นผิวเจดีย์แต่ละองค์ ล้วนเป็นทองคำแท้ทั้งนั้น เป็นที่น่าสังเกตว่า การจำหน่าย แผ่นทองคำเปลว ตามสถานที่ต่างๆ ของพม่า เขากำหนดให้เป็น แผ่นทองคำเปลวแท้ เท่านั้น ทองเก๊ทองวิทยาศาสตร์ห้ามใช้เด็ดขาด พม่าเป็นประเทศที่ได้ชื่อว่า รวยทองคำ จนได้รับสมญานามจากชาวโลกว่า ดินแดนแห่งทองคำ 0 เต๋อ สมิหลา สงขลา 0
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ---------------------
    Ref.
    http://www.komchadluek.net/2007/01/28/j001_85824.php?news_id=85824
     

แชร์หน้านี้

Loading...