หลักสูตรพุทธภูมิที่หาอ่านได้ในปัจจุบัน

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย j46, 2 มกราคม 2009.

?
  1. ถวายทานตามศรัทธาปสาทะ

    0 vote(s)
    0.0%
  2. สละชีวิตถวายบูชาพระพุทธเจ้าและสัทธรรมเมื่อได้รับการพยากรณ์

    0 vote(s)
    0.0%
  3. ออกบวชในสำนักของพระองค์

    0 vote(s)
    0.0%
  4. ถวายทานต่อพระองค์แล้วปลีกตัวมาบำเพ็ญบารมีตามอัธยาศัย

    0 vote(s)
    0.0%
  5. ขอถึงซึ่งพระไตรสรณคมณ์

    0 vote(s)
    0.0%
Multiple votes are allowed.
  1. j46

    j46 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +238
    สวัสดีครับ ผมก็จะถ่ายทอดในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังจากท่าน อ.กร ต่อ และบางส่วนก็ได้มาจากประสบการณ์จากตัวผมเอง ก็คิดว่าเรื่องบางเรื่องน่าจะเปิดเผยได้ ก็ขอให้ทุกท่านใช้ วิจารณญาณ และ ปัญญา พิจารณาไตร่ตรองกันเอาเองก็แล้วกัน จะใช่ ไม่ใช่ ถูก หรือไม่ถูก จริงหรือไม่จริง ก็ใช้ปัญญาพิจารณาเอา

    ท่าน อ.กร เคยเล่าให้ฟังว่า ทุก ๕๐๐๐ ปี จะมีการเสี่ยงทายดอกบัวกันในหมู่มหาโพธิสัตว์ว่าใครจะได้ตรัสรู้ก่อน โดยจะทำการเสี่ยงทายดอกบัวในถาดทองคำ ถ้าของใครบานก่อนผู้นั้นจะได้ลงมาประกาศศาสนาก่อน ท่านเล่าให้ฟังว่า ดอกบัวของท่านบานตั้งแต่อยู่ในมือแล้ว สุดท้ายท่านก็ต้องลงมาวางรากฐานให้กับศาสนาของท่าน

    ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า ในศาสนาของท่าน ผู้คนจะมีอาชีพ ทำมาหากิน เหมือนกับปัจจุบันนี้ จะมีอายุขัยได้ ๓ แสนปี จะอยู่ในวรรณกษัตริย์ พอมีอายุได้ ๒ แสน ปี ท่านจะออกภิเนษกรมณ์ ทรงม้าออกบรรพชา ใช้เวลา ๑ ราตรี จึงสำเร็จอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ศาสนาของท่านจะทรงได้ ๑ แสนปี การบรรพชาในศาสนาของท่าน แค่กล่าวเพียงไตรสรณคมณ์ ก็ถือว่าสำเร็จแล้ว ปลงผม แต่ไม่ถึงกับศรีษะโล้น อํฐบริขาร สำเร็จได้ด้วยฤทธิ์ การประกาศศาสนาของท่าน จะไม่ตามสอน ท่านจะอยู่กับที่ ให้สรรพสัตว์มาหาท่านเอง สำหรับสีจีวร ท่านเคยบอกว่า สำหรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเป็นผ้าไหมสีขาว ส่วนสาวกจะเป็นผ้าธรรมดาแต่สีขาว เรื่องสีของจีวรบอกความบริสุทธิ์ของศาสนา ถ้าสีจีวรยิ่งหม่นหมอง ศาสนาก็หม่นหมองตามสีจีวร บริษัทของท่าน ไม่มี ภิกษุณี มีอัครสาวก อัครสาวิกา อย่างละ ๘ คู่ ส่วนมหาสาวก หรืออสีติสาวก ผมจำไม่ได้
    นุ่งขาว ห่มขาวกันหมด ชาตินี้จะเป็นชาติสุดท้ายของท่านที่เกิดเป็นมนุษย์ จะเกิดอีกทีในยุคที่ท่านลงมาตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในกาลข้างหน้า ตอนนี้ท่านลงมาวางพื้นฐานเกี่ยวกับศาสนาให้ถูกต้องตรงตามหลักธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศรีศากยมุนีสมณโคดมได้ทรงประกาศไว้ในสมัยพุทธกาลจนล่วงมาถึงปัจจุบันในยุคกึ่งพุธกาล พ.ศ.๒๕๕๓ ท่านเคยเล่าว่า
    ในแต่ละยุคของศาสนาจะมีมหาโพธิสัตว์ใหญ่ที่มีระดับปัญญาและบารมีเต็มเปี่ยมพร้อมตรัสรู้มาช่วยทนุบำรุงพระศาสนา ซึ่งมหาโพธิสัตว์แต่ละพระองค์จะมี ยันต์อักขระ ประจำพระองค์ คือ นะ มะ อะ อุ เป็นลักษณะประจำของแต่ละพระองค์ ซึ่งในตอนนี้ได้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์กันหมดแล้ว ในประเทศไทย หากันเอาเองก็แล้วกัน ถ้าท่านไม่ปิด ใครมีตาใน มีญาณ หรือ ติดต่อกับโลกทิพย์ หรือ ภพภูมิ ได้ ก็ลองดู สิว่าจริงไหม ว่าตอนนี้ โลกธาตุ เปลี่ยนแปลงอย่างไรไปบ้าง สวรรค์ พรหมโลก นรกภูมิ ตำแหน่งสำคัญๆต่างๆเปลี่ยนแปลงอย่างไร การเข้าถึงอนุตรธรรมของมหาโพธิสัตว์นั้นในช่วงที่รอการตรัสรู้นั้นท่านเคยเล่าให้ฟังว่าจะเหมือนกับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกอย่าง ยกเว้นอย่างเดียวคือลักษณะมหาบุรูษ ทัง้ ๘๐ อย่าง อาการ ๓๒ จะไม่บริบูรณ์เหมือนตอนลงมาในชาติสุดท้าย ถ้าพูดกันง่ายๆ ก็คือ พระพุทธเจ้าเดินดิน นั่นเอง แต่สำหรับมหาโพธิสัตว์ที่มีบุญบารมี ระดับปัญญา พร้อมเต็มเปี่ยมที่จะตรัสรู้แล้ว ในระหว่างที่รอการตรัสรู้นั้นถ้าลงเกิดมาเป็นมนุษย์ลักษณะมหาบุรษจะต้องปรากฏไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ผมต้องไปพบกับท่าน อ.กร ที่ศรีสะเกษเพื่อไปดูลักษณะมหาบุรุษของท่าน แล้วก็ใช่จริงๆ เป็นอย่างไรก็ไปดูท่านเองก็แล้วกัน ท่านอ.กร คำสอนของท่านจะเข้าใจง่าย ถึงแก่น เป็นลักษณะ อาเทสนาปาฏิหารยิ์ ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า ระดับปัญญา ของสาวก เปรียบได้กับแก้วน้ำ ของพระปัจเจกพระพุทธเจ้าเหมือนกับตู้เย็น ส่วนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนยอดเขา เคยถามท่านว่ายุคธรรมิกราชถึงหรือยัง ท่านบอกว่าก็คือยุคนี้ ใครเป็นก็พิจารณากันเอาเอง เป็นที่มาของยุค ธรรมิกราช , สามร่มโพธิศรี เพราะเคยได้อ่านในคำทำนายของแถบอิสาณในช่วงที่ไปบวชที่ศรีสะเกษเมื่อปีที่แล้วว่า ศาสนาขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าศรีศากยมุนีสมณโคดม หลังกึ่งพุทธกาลไปแล้วจะตกอยู่ในความดูแลของเหล่า นาค ยักษ์ ครุฑ คนธรรพ์ และภพภูมิที่เป็นทิพย์ทั้งหมดไม่วาจะเป็นอินทร์ พรหม ยม ยักษ์ หรือ อมนุษย์ ทั้งสามโลกธาตุ จึงเป็นที่มาของเสาค้ำจุนพระศาสนา เพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้ศาสนาคงอยู่ครบ ๕๐๐๐ ปี แต่ที่รู้มา อาจถึง ๖๕๐๐ ปี ท่านจึงลงมาช่วยทำงานเพื่อพระศาสนา จริงไหมใครมี ตาใน มีญาณ ก็ พิสูจน์ดู คำกล่าวของท่าน เป็น สัจจะธรรม เป็นอมตะวาจา ว่ากันตามสภาวะธรรม ดังนั้นในสิ่งที่ท่านทำจึงเป็นมติจากเบื้องบน เพราะว่าในตอนนี้มหาโพธิสัตว์ใหญ๋ที่มีระดับบารมีเข้มข้น พร้อมตรัสรู้ ได้ลงมาเกิดในโลกมนุษย์กันหมดแล้ว ทัง้ ๑๐ พระองค์ จริงไหม ลองพิสูจน์ดู สิ่งที่ท่านนำมาสอนท่านได้รับการถ่ายทอดมาจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า รวมทั้งกฎเกณฑ์การบำเพ็ญบารมีของเหล่าพระโพธิสัตว์ก็เปลี่ยนไปมาก
    ท่านเคยบอกว่า ต่อไปผู้ที่จะบำเพ็ญบารมีปรารถนาพุทธภูมิต้อง
    ๑ ต้องมาขอเรียนกับท่านเท่านั้นหรือถ้าท่านละสังขารไปแล้วต้องถอดจิตไปขอกับกัมมัฏฐานกับท่านที่ชั้นดุสิต
    ๒ ต้องมีจิตพรหมวิหาร ๔เป็น อัปปมัญญา บริบูรณ์
    ๓ ต้องสำเร็จ อภิญญา ๕ บริบูรณ์
    ๔ ต้องมีภูมิจิต ภูมิธรรมในระดับ พระโสดาบัน ขึ้นไป
    เพราะฉะนั้นในเวลานี้โอกาสทองได้มาถึงแล้วน่าจะตักตวงให้ได้มากที่สุด ต้องแยกแยะให้ถูก
    อะไรควร อะไร ไม่ควร อะไรไม่ป็นประโยชน์ อะไรเป็นประโยชน์
    เรื่องพระไตรปิฎกท่านเคยบอกว่า มีเก็บอยู่ ๓ ที่ คือ มนุษย์โลก นาคภพภพ และพรหมโลก ในส่วนของมนุษย์โลก เพี้ยนไปมาก ดังนั้นในการนำคำสอนจากพระไตรปิฎก มาสอนจึงต้องขึ้นไปอ่านที่ พรหมโลก หรือ นาคพิภพ ซึ่งจะมีภาษาเฉพาะ จะไม่ผิดเพี้ยนตามพุทธบัญญัติ ซึ่งจะต้องเรียนผ่านครูบาอาจารย์
    เคยคุยกับท่านว่าในอดีตท่ท่านเคยเกิดทำไมจึงแผ่อาณาเขตได้กว้างไกลทุกยค ทุกสมัย ท่านบอกว่า การแผ่ขยายอาณาเขตมี ๒ แบบ คือ ทางโลก และทางธรรม ทางโลกได้แก่ด้านดินแดน ส่วนทางธรรมคือการสอน เผยแผ่พระศาสนา

    คนที่เคยเข้ามาพบท่าน อ.กร ถ้าไม่พิจารณาให้ดี และ ไม่ใช้ ปํญญาพิจารณาไตร่ตรอง แล้ว ล่วงเกินท่าน ทั้งกาย วาจา และใจ ก็ดี ผลที่ได้ก็คิดกันเอาเองก็แล้วกัน ไม่อยากจะบรรยาย มันไม่ใช่ยกย่องครูบาอาจารย์ตัวเอง แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ เรื่องบางเรื่อง รู้ได้เฉพาะบุคคลเพราะท่านเปิดให้จึงมีโอกาสได้รู้ สวัสดีครับ
     
  2. นะมัตถุ โพธิยา

    นะมัตถุ โพธิยา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +2,269
    พระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ
    ของสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร มหาเถรเจ้า (สุกไก่เถื่อน)

    เป็นหลักสูตรที่เหมาะสมสำหรับผู้ปรารถนาพุทธภูมิ

    เพราะมีสอนครบ ทั้งสมถกรรมฐานให้ครบทั้ง 40 กอง และวิปัสสนากรรมฐาน คือ มหาสติปัฏฐานครบทั้ง 4 หมวด และสอนยอดวิชาการเจริญแห่งเมตตาธรรม คือ ออกบัวบานพรหมวิหาร


    โดยมีวิธีการสอนที่เป็นขั้นตอน เป็นไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้นตอน
    ตามสภาวะจิตจากหยาบไปละเอียดจนถึงที่สุดแห่งธรรม​

    -----------------------------------------------------------


    ขั้นตอนการปฏิบัติพระกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ


    <O:pสมถะกรรมฐาน มัชฌิมาแบบ ลำดับ
    รูปกรรมฐาน ตอน ๑
    <O:p๑.ห้องพระปีติห้า
    <O:p๒.ห้องพระยุคลหก
    <O:p๓.ห้องพระสุขสมาธิ
    <O:pพระกรรมฐาน ๓ ห้องนี้เป็นพระกรรมฐาน สำหรับฝึกตั้งสมาธิ เป็นพระกรรมฐานต่อเนื่องของจิต จากจิตหยาบ ไปหาจิตที่ละเอียด ถึงขั้นอุปจารสมาธิเต็มขั้น หรือ เรียกว่ารูปเทียมของปฐมฌาน สอบนิมิต เป็นอารมณ์

    <O:p<O:p
    รูปกรรมฐาน ตอน ๒
    <O:p๔.ห้อง อานาปานสติ ๙ จุด ทำให้จิตละเอียดขึ้น ถึงอัปปนาสมาธิ หรืออัปปนาฌาน<O:p</O:p
    ๕.ห้อง กายคตาสติกรรมฐาน
    <O:p๖.ห้องกสิณ ๑๐ ประการ
    <O:p๗.ห้องอสุภ ๑๐ ประการ เพื่อละราคะ
    <O:p๘.ห้องปัญจมฌาน
    <O:pห้องพระอานาปานกรรมฐาน ถึงห้องปัญจมฌาน เป็นรูปกรรมฐาน สอบนิมิต เป็นพระกรรมฐานต่อเนื่องใน<O:pกายคตาสติกรรมฐาน และกายานุปัสสนาสติปัฎฐาน
    <O:pพระโยคาวจร ผู้เจริญอานาปานสติ เจริญอาการ ๓๒ เจริญกสิณ ๑๐ ประการ เจริญอสุภะ ๑๐ ประการ <O:pเจริญปัญจมฌาน พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า เป็นการเจริญกายคตาสติกรรมฐานทั้งสิ้น ย่อมได้รับอานิสงส์<O:pมากมาย เปรียบเหมือน น้ำเต็มขอบสระ กาบินมาแต่ทิศใดย่อมดื่มกินน้ำได้ทุกทิศ

    <O:p<O:p
    อรูปกรรมฐาน (สอบสภาวธรรม)
    <O:p๙.ห้อง อนุสสติ เจ็ดประการ เป็นคุณธรรม ของพระโสดาบัน
    <O:p๑๐.ห้อง อัปปมัญญาพรหมวิหาร
    <O:p๑๑. ห้อง อาหาเรปฎิกูลสัญญา<O:p
    ๑๒.ห้อง จตุธาตุววัฏฐาน
    <O:p๑๓.ห้อง อรูปฌาน
    <O:pตั้งแต่ห้อง อนุสสติ ๗ ประการ ถึงห้องอรูปฌาน เป็นอรูปกรรมฐาน สอบอารมณ์ สอบสภาวธรรม <O:pจิตได้สภาวธรรมเต็มที่ การเจริญวิปัสสนา ก็แจ่มแจ้งยิ่งขึ้น เมื่อจะขึ้นวิปัสสนาฌาน ให้ทำฌานสมาบัติแปด ถอยมาถึง ตติยฌาน แล้วเจริญ พระวิปัสสนา
    <O:p


    (จบสมถะ)


    <O:p
    วิปัสสนากรรมฐาน มัชฌิมาแบบ ลำดับ
    <O:p๑.เจริญวิสุทธิเจ็ดประการ เอาองค์ฌาน เป็นบาทฐาน<O:p
    ๒.พระไตรลักษณะญาณ ๓<O:p
    ๓.พระอนุวิปัสสนา ๓<O:p
    ๔.พระวิโมกข์ ๓ ประการ<O:p
    ๕.พระอนุวิปัสสนาวิโมกข์ ๓
    <O:p
    ๖.พระวิปัสสนาญาณ ๑๐<O:p
    ๗.พระโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ เป็นบาทรองรับวิปัสสนา<O:p
    ๘.สัญโญชน์ ๑๐ เพื่อให้รู้กิเลสที่จะละ<O:p
    ๙.ออกบัวบานพรหมวิหาร เจริญเพื่อละพยาบาท เป็นหนทางสู่ มรรค ผล นิพพาน


    <O:p
    (จบ-สมถะ-วิปัสสนามัชฌิมา แบบลำดับ)


    ---------------------------------------------------------------------------------------------------

    ขอบพระคุณที่มา
    เว็บสมเด็จสุก
    http://somdechsuk.com
     
  3. j46

    j46 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +238
    ต่อนะครับ ท่าน อ.กรได้รับการถ่ายทอดคำสอนจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดม และในสมัยพุทธกาลท่านก็อยู่ในสำนักขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เคยเป็นศิษย์อาจารย์กันมาก่อน ท่าน อ.กรบอกว่า เราต้องเทิดทูนท่าน
    เมื่อไม่นานมานี้ท่านได้ไปแถว จ.ชัยภูมิไปพบหลวงปู่องค์หนึ่ง มีอายุ ๓๙๕ ปี เคยมีความเกี่ยวข้องกับท่านในช่วงสมัยสมเด็จพระนารายณ์และในสมัยรัชกาลที่ ๑ ท่านได้พาไปหาหมอที่โรงพยาบาล เนื่องจากได้ป่วยเป็นไข้เลือดออก แต่ก็มรณภาพ ก่อนที่ท่าน อ.กร จะกลับ ท่านไปลาหลวงปู่ ก่อนที่จะมรณภาพหลวงปู่บอกกับท่าน อ.กรว่าอย่าเพิ่งกลับอยู่ช่วยงานก่อน ท่านยังไม่ทันถาม หลวงปู่ท่านก็มรณภาพเลย เนื่องจากท่านอายุตั้ง ๓๙๕ ปีลูกหลานก็ตายไปหมด ท่าน อ.กร ก็ได้ช่วยฌาปนกิจจนเสร็จ ท่านเล่าให้ฟังว่า กลิ่นกายของหลวงปู่หอมโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลยท่านบอกว่า พระแบบหลวงปู่องค์นี้มีอีกมาก ประมาณ ๓๐ องค์ในแถบ ชัยภูมิ ทุ่งแสลงหลวง บางองค์มีอายุ ๗๐๐ ปีในสมัยพ่อขุนรามคำแหง ท่านอยู่ของท่าน อยู่กับ ภพภูมิ อาหารเป็นทิพย์ ถ้ามีความเกี่ยวข้องกันมาก่อนก็จะได้พบได้เจอ
    สำหรับท่านใดได้เคยปฏิบัติธรรมกับท่าน อ.กร บางครั้งจะได้ยินท่าน อ.กร กล่าวสัจจะวาจาว่า

    " ข้าพเจ้า นาย กร พงษ์พานภักดี หรือ รังสีมุนีนาทโพธิสัตว์ผู้ที่ยงแท้ต่อการตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาล.................."

    ผมได้ฟังครั้งแรกขนลุก ไปทั้งตัว และน้ำตาไหลด้วยความปลื้มปีติอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยเลย ถามว่าในปัจจุบันนี้เคยได้ยินที่ไหนมาก่อนหรือปล่าว และมีใครเคยประกาศแบบนี้หรือปล่าว ท่านประกาศต่อหน้าสาธารณะชน และลูกศิษย์ ที่ได้ไปอบรมกัมมัฏฐานกับท่าน ทุกครั้งที่ท่านกล่าวสัจจะวาจานี้ผมแทบจะมีอาการแบบนี้ทุกครั้งไม่รวมถึง โลกทิพย์ทั้ง ๓๒ ภูมิ ต่างกล่าวสาธุการกันพร้อมเพรียง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤษภาคม 2010
  4. พิมพ์ฉัตร

    พิมพ์ฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +472
    ไปกับทัวร์ ขสมก. สายอุทัยธานี ก็ได้ค่ะ ได้ทัวร์ 3 จังหวัด นครสวรรค์ (วัดหนองโพ) ท่าซุง แล้วก็ปางคลอมมะขามเฒ่า (ชัยนาท) วันดังๆทั้งนั้นเลยค่ะ แต่จำชื่อไม่ได้
     
  5. Armarmy

    Armarmy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +1,659
    อ่านแล้วก็จำ เอามาเล่า ..... บารมีจะเต็มตอนไหนจ้ะ -*-
    สัญญา ถ้า ไม่ เดินให้ถึง ปัญญา ก็ อาจ เป็น วิปลาศ อันตรายแท้ๆ
     
  6. j46

    j46 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +238
    สวัสดีครับ มีเรื่องมาบอกกล่าวครับ ได้คุยกับท่าน อ.กร ท่านก็เตือนมา

    ผู้ที่นำพุทธพจน์ และ พระสูตร ของพระพุทธองค์ นำมาอ้าง มา สนับสนุน คำกล่าวของตนเอง ไม่จัดเเป็นธรรมทาน แต่เข้าข่ายอวดอ้าง บิดเบือน เพราะสิ่งที่นำมา ไม่ได้เกิดจากคุณธรรมของตนเองที่แท้จริง และได้นำมากล่าวมาเผยแพร่เกินกว่าคุณธรรมที่ตนเองมีจึงไม่ถือว่าเป็น ธรรมทาน เพราะคำว่า ธรรม หมายรวมถึง ธรรมที่เป็นกุศล และ อกุศล ทานหมายถึง สละ บริจาค ออกไป วาง ธรรมทาน คือ วาง สละ บริจาค ทั้ง กุศลธรรม และ อกุศลธรรม ไม่ยึดมั่น ถือมั่น ต้องสละต้องวาง การทำธรรมทานหมายถึงว่า ได้ทำ ได้ปฏิบัติ ได้พิสูจน์แล้วว่า เป็นจริงตามนั้น แล้วนำมาพูด นำมาบอกกล่าว นั้น เรียกว่า ธรรมทาน ถ้ายังไม่มี ไม่ได้ ไม่ถึง อย่าพึงกล่าวจะดีกว่า เช่น ท่านอาจารย์คนนั้นพูด อย่างนั้น ทำแล้วมีผลแบบนั้น แล้วได้นำเอาไปปฏิบัติดูแล้วมีผลอย่างนั้น นำมาพูดมากล่าว มาเผยแพร่ จึงเรียกว่ามีธรรมเป็นทาน ถ้ายังไม่มี ก็พูดแค่ว่า กำลังพิสูจน์ กำลังพิจารณา อยู่ ก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องสาธยายหรืออธิบายมาก
    เรื่องการบำเพ็ญบารมีของผู้ที่ปรารถนาพระโพธิญาณ ถ้ายังมีเรื่องของ เวลา เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น กัป อสงไขย ใช้เวลาเท่านั้น ใช้เวลาเท่านี้ ยังจัดว่าไม่ถึงแก่นแท้ของพุทธะ เรื่องเวลาเป็น เรื่องสมมติ ถ้ายังติดอยู่ในส่วนนี้ถือว่ายังห่างต่อพระโพธิญาณ เพราะ ยังติดอดีต อนาคต ปัจจุบัน
    ถ้าท่านใดมีความมั่นใจในคุณธรรมของตนเองจนสามารถกล่าวต่อหน้าสาธารณะชนได้ว่า "ข้าพเจ้า นาย .......... ขอกล่าวสัจจะวาจา หรือ อมตะวาจา ข้าพเจ้านาย.......ปรารถนาพระโพธิญาณและเป็นผู้เที่ยงแท้ต่อการตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณอันมีพระนามว่า.........ในอนาคตกาลเป็นแน่แท้แล้ว ........."
    และถ้าสามารถกล้าประกาศเช่นนี้ต่อหน้าสาธารณะชนได้จึงถือว่าเป็นผู้ที่เหมาะสมกับพระโพธิญาณ และมหาบุรุษ ควรแก่การสักการะ กราบไหว้บูชา จากเหล่ามนุษย์ อมนุษย์ ทวย เทพเทวา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ และสรรพสัตว์ทั้งหลายใน สามภพ ถ้ายังไม่มั่นใจในคุณธรรมก็ถือว่ายังห่างไกลนัก ในปัจจุบันนี้ลองพิจารณาดูสิว่ามีใครกล้าประกาศแบบนี้บ้างครับ
    (ยังมีเรื่องอีกหลายเรื่อง ที่รู้จากท่าน อ.กรแล้วผมพิสูจน์แล้ว ถ้านำมาเปิดเผยรับรองคาดไม่ถึงเลยครับ แต่ก็พยายามที่จะระวังในการนำเสนอครับ แต่ก็เป็นเรื่องสัพเพเหระครับ)
    นอกจากนี้ท่าน อ.กร ได้ฝากคาถามาให้เผยแพร่ด้วยครับ
    เป็นอนุตรธรรม โพธิญาณคาถา หรือ โพธิสัตว์ธรรม เป็น ตัวปัญญาแท้ รวมธรรมทั้งหมด (บารมี ๓๐ ทัศ อาการวัฏฏะสูตร) นำไปสู่อนุตรธรรม(อานุภาพเหมือนคาถาแม่บทข้างต้นขึ้นกับผู้ภาวนาจะใช้) เป็นวัชรคาถา ตัดเข้าสู่ อนุตรธรรม เป็นคาถาที่สมเด็จองค์ปฐม ได้ถ่ายทอดให้ท่าน อ.กร มานานแล้วและตอนนี้ถึงเวลาที่นำมาเผยแพร่ได้แล้ว เป็นคาถาหรือกุญแจเข้าสู่ธรรมของพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ

    ก่อนภาวนาให้กล่าว
    "นะโม เม สัพพะพุทธานัง
    นะโม เม สัพพะธัมเมนัง
    นะโมเมสัพพะสังขานัง
    ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า จะขอภาวนา อนุตรธรรมโพธิญาณคาถา(โพธิสัตวธรรม)เพื่อเข้าสู่ธรรมของพระพุทธเจ้า

    หลังจากนั้นให้ภาวนา "โพธิญาณคาถา "

    " ปิ โส คะ มา ทู โต ริ มา มิ พุทธ คะ ติ เม กะ มุ อุ "

    ให้ภาวนาจนเกิดองค์ความรู้ ข้อปฏิบัติ เป็นแก่นธรรมทั้ง ๑๖ ตัวอักษร สวัสดีครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2010
  7. j46

    j46 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +238
    ต้องขออภัยด้วยครับ ขอแก้คาถาครับ เกิดจากความผิดพลาดของผม ขอแก้จาก "เม กะ มะ อุ "
    แก้เป็น " เม กะ มุ อุ " นอกนั้นเหมือนเดิมครับ
    กราบขอขมาสมเด็จองค์ปฐม พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์และ ครูบาอาจารย์ ทุกพระองค์
     
  8. j46

    j46 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +238
    เรื่องให้พิจารณาครับ

    สวัสดีครับ พอดีท่าน อ.กร ท่าน โทรมาเตือนเมื่อวันสองวันนี้ เห็นว่าเป็นประโยชน์และสำคัญจึงนำมาลงให้อ่านและพิจารณากัน

    เนื่องจากได้มีมหาโพธิสัตว์และพระโพธิสัตว์บางองค์เดินผิดทางเป็นมิจฉาทิฎฐิ ต่อต้านแนวทางการสอนของท่าน อ.กร หลงใหล ติดในเรื่องญาณ และเรื่องการแบ่งจิต(แบ่งภาค) มาบำเพ็ญบารมี ยกตัวอย่างเช่น ตอนอยู่บนชั้นดุสิต หรือชั้นอื่น ดวงจิต ๑๐ ส่วน ได้แบ่งลงมาบำเพ็ญบารมีในโลกมนุษย์ตามส่วน เช่นถ้าลงมามาก ตัวรู้ ตัวญาณ จะดีมาก ตามสัดส่วน แบ่งมาน้อยความสามารถพิเศษก็ลดลงตามส่วน แต่เนื่องจากในเวลานี้ ยุคนี้ ท่าน อ.กร ถือว่าเป็นผู้ดูแล และเป็น ประธานของเหล่าพระโพธิสัตว์ รวมถึงเป็นผู้วางกฏเกณฑ์ในการบำเพ็ญบารมีของเหล่าพระโพธิสัตว์ และแนวทางคำสอนทุกอย่างของท่าน อ.กร ได้รับการถ่ายทอดมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรง ท่านจึงได้กำหนดเกณฑ์ขึ้นใหม่ ในช่วงปลายปีที่แล้ว ที่ว่าหากมี มหาโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ องค์ใด ได้แบ่งจิตลงมาบำเพ็ญบารมีในโลกมนุษย์ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ ให้ทำการรวมจิต หรือให้ตัดขาดกันระหว่างตัวจิตข้างบนและข้างล่าง มหาโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ ที่มีความเป็นสัมมาทิฎฐิ ก็จะทำตาม ไม่ต่อต้านขัดขวาง ยกเว้นพวกที่เป็นมิจฉาทิฎฐิ เพราะแนวทางของท่าน อ.กร ได้รับการถ่ายทอดจากพระพุทธเจ้า และกฏเกณฑ์ต่างๆ ได้รับการสาธุจากพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ นั่นคือได้รับมติจากพระพุทธเจ้าแล้ว ดังนั้นใครปฏิเสธแนวทางนี้ก็เท่ากับว่าปฎิเสธพระพุทธองค์ด้วย
    เรื่องนี้ได้เคยถามท่านมานานแล้ว แต่มาเวลานี้มีคนต่อต้านมาก เลยถามท่านว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น แล้วตอนที่ ท่าน อ.กร ประกาศกฏเกณฑ์ บนสวรรค์ ไม่รู้หรือ ท่านบอกว่า รู้ เลยถามต่อว่ารู้แล้วทำไมยังมีต่อต้าน ท่านบอกว่ายังมี มหาโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ ที่มี ทิฎฐิมานะ ชอบแข่งบารมี หรือยังไม่ตระหนัก รวมถึงเหล่าเทพเทวา มนุษย์ อมนุษย์ ที่คอยสนับสนุนอยู่ ท่านจึงประกาศว่า
    ต่อไปนี้ ถ้าเทพเทวา อมนษย์ ภพภูมิใด ต่อต้าน ไม่เป็นสัมมาทิฎฐิ หรือให้การสนับสนุน เหล่ามิจฉาทิฎฐิ โพธิสัตว์ ผล ที่ทำ จิตจะแตก ร้อนรน กระวนกระวาย พระพุทธเจ้าองค์สุดท้ายนั่นแหละ ถึงจะได้ มรรค ผล แค่นั้นแหละท่านเอ๋ย กระเทือนทั้งสามโลกเลย โกลาหล ที่เป็นหัวโจก ก็มีอาการมากกว่าเพื่อน จริงหรือไม่ลองกำหนดดูสิ ท่าน อใกร ยังบอกอีกว่า แม้ท่านท้าวมหาพรหมยังไม่ต่อตานท่านเลย หรือมหาโพธิสัตว์ที่เป็นมารคู่บารมีของท่านยังไม่กล้ากับท่านเลย ท่านเล่าว่า มารคู่บารมีที่ขัดขวางมหาโพธิสัตว์พร้อมตรัสรู้ภายในชั่วข้ามคืน มารจะมีกำลังอ่อนไม่กล้าต่อต้าน ยิ่งถ้ามหาโพธิสัตว์ใช้เวลาออกภิเนษกรมณ์นานเท่าไรแสดงว่ามารมีกำลังกล้า แต่ของท่าน อ.กร ใช้เพียง ชั่วโมงเดียว เทพ พรหม ที่มีตำแหน่งใหญ่ ที่มีคุณธรรม จะไม่ต่อต้านท่าน เพราะรู้อะไรเป็นอะไร วันรุ่งขึ้นท่าน อใกรท่านโทรมาให้กำหนดดูว่า ที่ชั้นดุสิตเป็นอย่างไร พอกำหนดดูเหล่าโพธิสัตว์ที่เป็นมิจฉาทิฎฐิถูกจองจำอยู่ข้างล่างรับกรรมอยู่ ส่วนที่บารมีดีหน่อยจะค่อยๆ ดับ เสื่อม ส่วนพวกที่ให้การสนับสนุนก็ไปด้วย ท่านบอกว่าต่อไปมหาโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ที่บารมียังไม่เต็ม ถ้าภายในศาสนาขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าศรีศากยะมุนีสมณโคดม ยังทำไม่เต็มจะลำบาก หรือไม่ก็อาจ ต้องภายในศาสนาของท่าน เพราะต่อไป มหาโพธิสัตว์ที่รอตรัสรู้ จะมีสุญญกัป ๑๐๐ พุทธันดร คือ ๑ พุทธันดร ร้อยครั้งจึงจะมีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติ ๑ พระองค์ นานแค่ไหนก็พิจารณาเอา เหล่ามหาโพธิสัตว์ โพธิสัตว์ ก็บำเพ็ญบารมีกันไป และในการบำเพ็ญบารมีถ้ามหาโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ แค่คิด หรือออกปากบ่น ว่าลำบาก ท้อแท้ ท้อถอย คิดหรือบ่น ๑ ครั้งบารมีถอย ๑ กัป คือบารมีที่ทำมานับรวมได้ ๑ กัปหายไปเลย ส่วนกำหนดภูมิประเทศทั้ง ๕ ก็คล้ายๆกันกับที่เอามาลงกันแต่อาจจะไม่ตรงตามนั้นทั้งหมด ส่วนระยะเวลาเรื่องกัปก็ตามนั้น
    ท่านเคยบอกว่าต่อไปนี้อะไรที่ไม่เกี่ยวกับ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ หรือแนวทางการหลุดพ้นที่เป็นสัมมาทิฎฐิ ในทางพระพุทธศาสนา ถือว่าผิดหมด
    ๑ ทำนำมนต์
    ๒ แก้กรรม
    ๓ เขียนเลข เขียนยันต์ ที่ไม่ใช่ปริศนาธรรรม
    ๔ ทำวัตถุมงคล หรือ ปลุกเสก ที่เป็นรูปสัตว์ดิรัจฉาน เขี้ยว งา หรือที่ไม่เกี่ยวกับรูปพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และยังมีอื่นๆอีกต้องพิจารณาเอาว่าใช่ทางหลุดพ้นมั้ย
    ส่วนพระโพธิสัตว์มีหน้าที่สอน กับทำงานพระศาสนา พระโพธิสัตว์ที่ลงมามีสองอย่าง มาช่วยพระศาสนา กับ ลงมาบำเพ็ญบารมี ส่วนการก่อสร้างถาวรวัตถุก็ตามเหตุตามปัจจัย ที่นำมาลงนี้คิดว่าเป็นประโยชน์จะได้เข้าใจให้ถูกต้องไม่หลงเดินทางผิด ส่วนพระโพธิสัตว์ข้างบนที่รอดเป็นสัมมาทิฎฐิกันทุกองค์นอกนั้นไปหมด ส่วนตัวข้างล่างก็ตัวใครตัวมัน มีญาณไม่มีคุณธรรมก็ไร้ประโยชน์
    เรื่องพระศรีอาริยะเมตไตรย เรื่องนี้เป็นที่สนใจกันมากหลายๆท่าน เปรียบเหมือนไปแหย่รังแตน แต่ก็ต้องนำเสนอมาให้พิจารณากันตามที่ผมรู้มา
    มีหลายตำนาน มีหลายประวัติ มีหลายบันทึก แต่เท่าที่ผมรู้มา ทราบมา พระศรีอาริยะเมตไตย

    ศรี - มงคล
    อาริยะ - ผู้เจริญ
    เมตไตย - ผู้มีเมตตา
    พระศรีอาริยะเมตไตย - ผู้มีมงคล ผู้เจริญ ผู้มีเมตตา เป็นยุคเป็นสมัยเป็นกาลเวลา เป็นบุคลาธิษฐาน หมายถึงผู้มีคุณสมบัติเหล่านี้จะเป็นใครก็ได้ แล้วแต่วาระโอกาส แล้วแต่ยุค แล้วแต่สมัย บารมีของแต่ละบุคคล แล้วมหาโพธิสัตว์ใหญ่ที่ลงมาในสมัยพุทธกาลนั้นมี ๑๐ พระองค์ ลองกำหนดดูสิว่ามีใครบ้าง
    ใช่หรือไม่ใช่ถูกหรือไม่ถูกฝากให้พิจารณากัน จะได้เข้าใจให้ถูกต้อง แต่ผมรู้มาอย่างนี้จริงๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2010
  9. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,172
    :cool: :cool: :cool:




    .
     
  10. wvichakorn

    wvichakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    3,684
    ค่าพลัง:
    +9,239
    [​IMG]


    ขออนุโมทนาค่ะ

    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1049249/[/MUSIC]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2010
  11. wvichakorn

    wvichakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    3,684
    ค่าพลัง:
    +9,239
    [​IMG]


    "ศรี - มงคล
    อาริยะ - ผู้เจริญ
    เมตไตย - ผู้มีเมตตา

    พระศรีอาริยะเมตไตย - ผู้มีมงคล ผู้เจริญ ผู้มีเมตตา
    เป็นยุคเป็นสมัยเป็นกาลเวลา

    เป็นบุคลาธิษฐาน หมายถึงผู้มีคุณสมบัติเหล่านี้จะเป็นใครก็ได้
    แล้วแต่วาระโอกาส แล้วแต่ยุค แล้วแต่สมัย
    บารมีของแต่ละบุคคล"


    ขออนุโมทนาอย่างยิ่งค่ะ...
     
  12. เมทิกา

    เมทิกา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    952
    ค่าพลัง:
    +2,393

    ไม่ทราบเลยสักข้อค่ะ เพราะว่ามันไม่มีอะไร ไม่รู้ว่าเป็นอะไร และไม่มีอะไรเป็นอะไรเลยค่ะ ว้า....แย่จัง
     
  13. เมทิกา

    เมทิกา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    952
    ค่าพลัง:
    +2,393
    สนทนาธรรมตามกาล เป็นสิ่งดี หากนำเสนอด้วยความปรารถนาดีจากก้นบึ้งของหัวใจ

    เพราะธรรมะไม่ใช่การสอบข้อเขียน แต่เป็นบททดสอบทางใจ

    รักน้อง จึงบอกกล่าว...
     

แชร์หน้านี้

Loading...