ภัยธรรมชาติ : หลวงพ่อทูล

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 12 ธันวาคม 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    [​IMG]


    ..................... คำปรารภ................

    .........หนังสือเรื่อง "พุทธวงศ์ อายุขัยของมนุษย์ ภัยธรรมชาติ" เล่มนี้
    ข้าพเจ้าได้เรียบเรียงขึ้น เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษาและพิจารณาเปรียบเทียบกับสถานการณ์โลกในปัจจุบัน ที่
    กำลังเกิดขึ้น ตามสถานที่ต่างๆทั่วโลก ภัยธรรมชาติประเภทต่างๆที่กำลังเกิดขึ้น จะมีความรุนแรงมากขึ้น
    ที่ยัง ไม่ทันเกิดก็จะเกิดในไม่ช้านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย เป็นไปตามธรรมชาติในตัว ของมันเอง
    ไม่มีใครมีอำนาจควบคุมหรือบังคับสั่ง การอะไรได้

    .........หากท่านผู้อ่านได้รับทราบเรื่องราวที่มีใน หนังสือเล่มนี้ ถ้ามีข้อสงสัยประการใด สามารถ ติดต่อสอบถาม
    กับข้าพเจ้า ได้โดยตรง ข้าพเจ้ายินดีที่จะให้ความกระจ่างในทุกเรื่องที่ได้เรียบเรียง ลงในหนังสือเล่มนี้

    .........ผู้มีปัญญาย่อมไม่ตั้งตนอยู่ในความ ประมาท สิ่งที่ผ่านมาก็ผ่านไปแล้ว ไม่สามารถแก้ไข อะไรได้
    ขอให้ทุกท่าน ได้ใช้เวลาที่มีอยู่ สร้างบุญกุศลบารมีตัวเองเอาไว้ให้มาก พวกเรามีโอกาส ได้เกิดมา
    ในยุคสมัยที่พระพุทธศาสนายังคงความบริบูรณ์อยู่ จงพากันตั้งใจหมั่นสร้างเสริมบุญบารมี ทาน ศีล
    และภาวนา ให้ถึงพร้อมอย่างเต็มที่ เพื่อเป็นเหตุเป็นปัจจัยนำพาท่านทั้งหลายข้ามพ้นวัฏฏะ อันเต็ม
    ไปด้วย ความระทมทุกข์ ไปสู่ฝั่งพระนิพพานดังที่ได้ปรารถนาไว้โดยเร็วพลันด้วยเทอญ


    พระปัญญาพิศาลเถร
    (พระ อาจารย์ทูล ขิปฺปปญฺโญ)





    พุทธวงศ์



    .....ความเป็นอยู่ของโลก มีความเป็นมายาวนาน มนุษย์ที่เกิด
    ขึ้นมาในโลกนี้ก็มีความเป็นอยู่ที่ ยาวนานเช่นกัน โลกนี้เกิดขึ้นมาแต่เมื่อไรมนุษย์ก็มีอยู่ในโลกนี้มาแต่เมื่อ
    นั้น มนุษย์สามัญชน ธรรมดาไม่มีใครรู้ได้ ผู้จะรู้ความเป็นอยู่ของโลกและหมู่มนุษย์ได้ มีเฉพาะพระพุทธเจ้า
    องค์เดียว เท่านั้น เพราะพระพุทธเจ้ามีญาณหยั่งรู้ในเรื่องของโลกและมวลหมู่มนุษย์ได้อย่างแจ่มแจ้งถูกต้อง ชัดเจน

    ...หลายๆท่านได้ศึกษาตามหลักวิทยาศาสตร์มาอย่างไร ก็ได้คำนวณคาดการณ์ไปว่า โลกได้เกิด ขึ้นแต่เมื่อนั้น
    หมู่มนุษย์ได้เกิดขึ้นในยุคนั้นยุคนี้ไป มีหนังสือออกเผยแพร่ให้คนทั้งหลายได้รู้กัน ทั่วโลก และมีคน
    ทั้งหลายให้ความเชื่อถือว่าเป็นจริงอย่างนี้และมีเหตุผลต่างๆเอามาเปรียบเทียบ เป็นข้อคิดให้เชื่อตาม
    จึงเชื่อกันไปตามพวกฝรั่งที่เขียนเอาไว้ และยังมีความเข้าใจว่าในจักรวาล อื่นหรือดาวต่างๆอาจจะมีสัตว์
    หรือมนุษย์ต่างดาวพอที่จะไปสัมผัสได้ จึงพากันเชื่อเครื่องมือทาง วิทยาศาสตร์อันทันสมัย เพื่อออกไป
    สำรวจดูตามความเข้าใจของตัวเอง นานหลายปีก็ไม่มีมนุษย์ ต่างดาวตามที่เข้าใจแต่อย่างใด ผู้ไม่มี
    เหตุผลเพื่อการศึกษา ก็มีความเชื่อตามๆกันไป เพราะเชื่อตามการวิจัยวิเคราะห์ของพวกฝรั่งที่ได้
    คำนวณเอาไว้ ในบางเรื่องพอเชื่อได้ ในบางเรื่องเชื่อไม่ได้

    ...ถึงข้าพเจ้าจะยกบุคคลขึ้นมาเป็นองค์ประกอบที่ชอบด้วยเหตุผล หลายๆคนก็จะไม่เชื่อถืออยู่นั่น เอง
    และมีความสงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไรเพราะในยุคนี้มีน้อยคนที่จะรู้ประวัติของพระพุทธเจ้าทั้ง หมดได้
    ข้าพเจ้าเองก็ได้ศึกษาประวัติของพระพุทฑเจ้ามา ถึงจะไม่รู้ทั้งหมดในคำสอนของพระ พุทธเจ้า
    ก็พอจะนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาอธิบายให้ท่านรู้อยู่บ้าง ขอให้ท่านได้รับรู้กันด้วย เหตุและผล เรื่องที่ข้าพเจ้า
    จะนำมาอธิบายให้ท่านรู้ในขณะนี้มีเหตุผลเชื่อถือได้เพียงใด ให้เราทั้ง หลายใช้ปัญญาพิจารณาตรึกตรองดู
    ก็จะรู้ด้วยเหตุผลว่าโลกและมนุษย์มีความเกิดขึ้นจนถึงปัจจุบัน มีความยาวนานเท่าไร ให้จินตนาการดูก็จะรู้
    และมีความเข้าใจในโลกมนุษย์นี้เป็นอย่างดี มิใช่ว่าจะ เชื่อตามคนอื่นไปเสียทั้งหมด สิ่งใดควรเชื่อถือได้
    หรือเชื่อถือไม่ได้ ต้องใช้เหตุผลของตัวเอง เป็นหลักสำคัญ ไม่เช่นนั้นจะเป็นนิสัยเชื่ออะไรที่งมงายไร้เหตุผลตลอดไป

    ...ในโลกนี้มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่มีญาณวิเศษรู้เห็น ว่าโลกทั้งสามนี้เกิดขึ้นแต่เมื่อไร พระสาวก
    ทั้งหลายไม่มีญาณหยั่งรู้เหมือนพระพุทธเจ้าได้ ที่เรียกว่าโลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลกทั้งหมด
    รู้ความเป็นมาของโลกในอดีตถึงปัจจุบัน และรู้ความเป็นไปในเรื่องอนาคตของโลกนี้อย่างทั่วถึง
    ความรู้แจ้งโลกนี้
    จะมีเฉพาะพระพุทธเจ้าเท่านั้น บรรดาพระอริยสาวกทั้งหลายมี
    ปัญญาญาณในการละกิเลสเท่านั้นพระพุทธองค์จึงเป็นครูสอนเทวดา มาร พรหม และมนุษย์ทั้งหลาย

    ....พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ในโลกนี้มีอยู่แสนโกฏิจักรวาล โลกที่พวกเราอาศัยอยู่ในขณะนี้ เป็น จักรวาลหนึ่งที่ตั้งอยู่
    ในท่ามกลางของแสนโกฏิจักรวาล และมีจักรวาลเดียวเท่านั้นที่มีสัตว์ประกอบ ด้วยธาตุสี่อาศัยอยู่ได้ มีการสืบพันธุ์
    ต่อกันได้ มีอาหารการกินที่สมบูรณ์ จะมีเฉพาะโลกมนุษย์ที่ อาศัยอยู่แห่งเดียวเท่านั้น ในจักรวาลอื่นไม่มีสัตว์
    ที่มีธาตุสี่อาศัยอยู่ได้เลย เพราะจักรวาลอื่นไม่มี พืชพันธุ์ธัญญาหารให้สัตว์โลกที่มีธาตุสี่อยู่กินและสืบพันธุ์
    ต่อกันเหมือนโลกมนุษย์แต่อย่างใด ใน จักรวาลอื่นเป็นเพียงจิตวิญญาณที่มีกรรมดีกรรมชั่วไปอาศัย
    อยู่ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น เมื่อถึงกาล เวลากรรมที่ทำไว้หมดไป ก็จะได้กลับมาเกิดใหม่ในโลกมนุษย์นี้อีก
    จึงเป็นวัฏจักรหมุนเวียนเกิด ตายในโลกนี้ไม่มีที่สิ้นสุดลงได้

    ....เรื่องของกรรมในศาสนาพุทธไม่เหมือนศาสนาอื่น ที่ทำกรรมชั่วเอาไว้แล้วทำพิธีล้างบาป ตาย แล้วได้ไ
    ปอยู่กับพระเจ้าตราบชั่วนิรันดร์ หลักของศาสนาพุทธไม่มีการล้างบาป ผู้ทำบาปต้องได้ รับผลของบาป
    กรรมดีกรรมชั่วเป็นตัวกำหนดให้เป็นไป เว้นเฉพาะผู้ที่สิ้นอาสวะกิเลสเท่านั้นที่ไม่ ได้มาเกิดในภพทั้งสามนี้อีกต่อไป

    ....พระพุทธเจ้าที่อุบัติเกิดขึ้นบนโลกนี้ในอดีตที่ผ่านมามีเป็นจำนวนมาก ทุกพระองค์ล้วนแล้วได้ มาอุบัติเกิดขึ้น
    ในโลกมนุษย์นี้ทั้งนั้นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน หรือพระศรีอาริยเมตไตรย์ พระพุทธเจ้าองค์ต่อๆไป มีจำนวนมาก
    ทุกๆพระองค์ก็จะมาบำเพ็ญบารมีในโลกมนุษย์นี้ด้วยกัน เป็น ปัญญาธิกะ ศรัทธาธิกะ วิริยาธิกะ ให้สมบูรณ์ใน
    โลกมนุษย์นี้ และได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าใน โลกนี้เช่นกัน

    ....ฉะนั้นจักรวาลที่โลกมนุษย์อาศัยอยู่ จึงเป็นศูนย์กลางของจักรวาลทั้งหลาย ผู้จะทำกรรมดี กรรมชั่ว ก็ต้องทำ
    ในจักรวาลนี้ทั้งนั้น เมื่อทำกรรมดี จิตวิญญาณก็ส่งผลให้ไปอยู่ในจักรวาลอื่นๆ ที่เรียกว่าเทวโลกหรือพรหมโลก
    ในชั่วระยะหนึ่ง เมื่อบุญกุศลได้หมดไปก็ได้กลับมาเกิดในโลก มนุษย์นี้อีก หรือทำกรรมชั่วเอาไว้ จิตวิญญาณก็
    จะได้รับผลในอบายภูมิ คือ นรก เปรต สัตว์ดิรัจฉาน อสุรกาย เมื่อกรรมชั่วหมดไปก็จะไก้กลับมาเกิดในโลกมนุษย์นี้อีก
    จึงเป็นวัฏจักรที่จิตวิญญาณ ต้องหมุนเวียนไปมา ตามกรรมที่ทำไว้แล้ว เว้นแต่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า
    และพระอริยเจ้า ผู้สิ้นอาสวะกิเลสได้แล้วอย่างสมบูรณ์เท่านั้น จึงไม่มีการเกิดในโลกทั้งสามนี้อีกต่อไป นี้เป็นหลัก
    ของพระพุทธเจ้าที่พร้อมด้วยเหตุและผล

    ....ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ในโลกมนุษย์นี้ หากมีการประดับประดาให้สุดสวยงามงอนเหมือน ราชรถก็ย่อม
    ทำได้ พระพุทธเจ้าตรัสต่อไปว่า ..."คนเขลาเท่านั้นข้องอยู่ คนฉลาดหาข้องอยู่ไม่"..

    ....เมื่อเราได้รับรู้ในคำตรัสของพระพุทธเจ้าแล้วอย่างนี้ เรามีความคิดเห็นเป็นประการใด ให้เราใช้ปัญญา
    พิจารณาดูตัวเองบ้าง อาจสำนึกได้ว่าเราเป็นผู้ฉลาดหรือเป็นคนเขลากันแน่ ถ้ารู้ตัวเองว่าเป็นคนเขลา
    เราจะฝึกสติปัญญามาสอนใจให้มีความฉลาดรอบรู้ตามความเป็นจริงได้อย่างไร ให้ใจมีความฉลาด
    รอบรู้ในหลักสัจจธรรมเอาไว้บ้าง ถ้ารู้ตัวเองว่าเป็นคนเขลา เราจะหาวิธีฝึกใจให้มีความฉลาดได้

    ....ถ้าเข้าใจว่าตัวเองเป็นผู้ฉลาด โอกาสที่จะเป็นคนเขลานั้นมีสูง หายากมากที่คนเราเกิดมาจะมีความฉลาด
    มาพร้อมกัน จะต้องมีความเขลาติดตัวมาด้วย แล้วฝึกความฉลาดให้เกิดขึ้นในภายหลัง หรือเหมือนที่คน
    เกิดมาจะมีความดีถูกต้องไปเสียทั้งหมด ย่อมเป็นไปไม่ได้ ทุกคนย่อมมีการทำผิด และพูดผิดมาก่อน
    แล้วนำมาเป็นบทเรียนเพื่อแก้ไขตัวเองให้มีการทำและการพูดที่ถูกในภายหลัง

    ....พระพุทธเจ้าเอาสัจธรรมมาสอนในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย มิใช่ว่าพระองค์จะเอามาจากที่อื่น เพราะ
    สัจธรรมความจริงมีอยู่ใตวเราอยู่แล้ว แต่เราไม่รู้ว่าสิ่งนี้เป็นธรรม จึงได้เกิดความหลงและเกิดความ
    เข้าใจผิดคิดว่าสมบัติทั้งหลายเป็นของของเรา จึงเอาสมบัติของโลกมาทับถมใจตัวเองให้เกิดความทุกข์
    หรือเรียกว่าแสวงหาความสุขในเหตุที่เป็นทุกข์ฉะนั้น พระธรรมจึงเป็นของเก่ามีมาพร้อมกันกับมวล หมู่มนุษย์
    ทั้งหลาย พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ที่ผ่านมาก็เอาสัจธรรมความจริงที่มีอยู่ในตัวของ มนุษย์ทั้งหลาย
    นำมาสอนให้มนุษย์มีความรู้เห็นที่ถูกต้องในความจริง จึงเรียกว่า พระพุทธเจ้าได้ ค้นพบหลักสัจธรรม
    ในหมู่มนุษย์ แล้วสอนให้ทุกคนดูสัจธรรมที่มีอยู่ในตัวเอง ว่าทุกอย่างมีความ เป็นจริงอย่างนี้ด้วยสติปัญญาเฉพาะตัว
    </pre>
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    อายุขัยของมนุษย์

    ....เมื่อพูดถึงเรื่องพระพุทธเจ้าที่ได้อุบัติเกิด ขึ้นในโลกนี้หลาย
    พระองค์ที่ผ่านมา หลายคนอาจมีความ สงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร ก่อนจะอธิบายประวัติของพระพุทธเจ้า
    ให้ท่านได้ รู้ จำเป็นต้องอธิบายใน ความเป็นอยู่ของโลกมนุษย์ที่เราอาศัยอยู่ให้เข้าใจ เพราะพระพุทธเจ้า
    ที่ได้อุบัติเกิดขึ้นในโลกนี้ มนุษย์มีอายุขัยแต่ละยุคแต่ ละสมัยไม่เท่ากัน
    บางยุคมนุษย์มีอายุขัยน้อย บางยุคมีอายุขัยมากไม่เท่ากัน พระพุทธเจ้าก็ต้อง
    มีอายุขัยที่เป็นไปใน หมู่มนุษย์ตามยุคนั้นๆ อายุขัยของหมู่มนุษย์ไม่เท่ากัน เพราะเป็นกฎเกณฑ์ของ
    ธรรมชาติ ต้องเป็น อย่างนี้ มนุษย์ในยุคปัจจุบันนี้อาจไม่รู้หรือไม่เชื่อว่าเป็นไปได้ถึงอย่างไรขอให้ ท่าน
    ได้พิจารณา ด้วยปัญญาที่มีเหตุผล อย่าเพิ่งปฏิเสธว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะเป็นไปแล้วในอดีตที่ผ่านมา ถ้าผู้ได้ ศึกษา
    หนังสือพุทธวงศ์ จะรู้ในเรื่องของพระพุทธเจ้าแต่ละยุคได้ดีและมีความเข้าใจในอายุขัยของ หมู่มนุษย์ในยุคนั้นๆ

    ....อายุขัยของมนุษย์แต่ละยุคไม่เท่ากัน ในบางยุคมนุษย์มีอายุขัยขาขึ้น ในบางยุคมนุษย์มีอายุขัย ขาลง
    มนุษย์มี อายุขัยขาขึ้นมีอายุขัยขาลงเป็นอย่างไรท่านจะได้รู้ในหนังสือเล่มนี้ พระพุทธเจ้าที่มา
    อุบัติเกิดขึ้นในโลกก็จะอธิบายเอาไว้พอเป็นตัวอย่าง คำว่า มนุษย์มีอายุขัยขาขึ้นและขาลงมีเพดาน กฎเกณฑ์
    เอาไว้ดังนี้

    ....มนุษย์มีอายุขัยขาขึ้น หมายถึง ยุคมนุษย์ที่มีอายุขัยยาวนานที่สุด ๑ ล้านปี เป็นอายุขัย
    อายุขัยของ มนุษย์ขาลงต่ำสุดมี ๑๐ ปีเป็นอายุขัย...
    อายุขัยขาขึ้นและขาลงจะเป็น
    กฎธรรมชาติในตัวมันเอง มนุษย์ทั้งหลายจะมีอายุขัยเป็นไปตามกฎเกณฑ์ ของธรรมชาตินี้ด้วยกัน
    เรียก ว่ากฎเกณฑ์ของอายุขัย ไม่มีสิ่งใดๆเปลี่ยนแปลงได้เลย มนุษย์และสัตว์ จะเป็นไปตามธรรมชาติ
    เป็นวัฏจักรหมุนเวียนวนไปมาอยู่อย่างนี้ เมื่อมนุษย์มีอายุขัยขาขึ้น รูปร่าง สูงใหญ่ไปตามอายุขัย
    ที่มากขึ้น เมื่อมนุษย์มีอายุขัยขาลง รูปร่างก็เตี้ยและเล็กลงตามอายุขัยในยุคนั้นๆ

    ....การ คำนวณอายุขัยของมนุษย์ขาขึ้นและขาลงมีดังนี้ สมมติว่ามนุษย์มีอายุขัย ๑๐ ปีตาย อีก ๑๐๐ ปี
    อายุขัยเพิ่มขึ้น ๑ ปี เป็น ๑๑ ปีเป็นอายุขัย อีก ๑๐๐ ปี อายุขัยเพิ่มขึ้น ๑ ปี มนุษย์จะมีอายุขัย ๑๒ ปีตาย
    ๑๐๐ ปีอายุขัยเพิ่ม ๑ ปี เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ มนุษย์จะมีอายุขัย ๒๐ ปีตาย ๑๐๐ ปีตาย
    ๑ พันปีตาย ๑ หมื่นปีตาย ๑ แสนปีตาย ๑ ล้านปีตาย นี้เป็นเพดานสูงสุดในอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้นๆ

    ....จากนั้นก็จะ เกิดอาเพท มีความประมาทในชืวิต อายุขัยก็จะถอยกลับลงมา ๑๐๐ ปี อายุขัยของ มนุษย์จะ
    ลดลง ๑ ปี ๑๐๐ ปีอายุขัยลดลง ๑ ปี ลดลงเรื่อยๆจนอายุขัย ๑ แสนปี ๑ หมื่นปี ๑ พันปี ๑๐๐ ปี
    และลงสู่อายุขัย ๑๐ ปี ซึ่งจะมีอายุขัยเพิ่มขึ้นและลดลงอยู่อย่างนี้ เรียกว่า วัฏจักรอายุขัย
    ของ หมู่มนุษย์ทั้งหลาย

    ....ในหลักธรรมชาตินี้มีพระพุทธเจ้าเท่านั้นได้ รู้ด้วยญาณของพระองค์เอง จึงเป็นโลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก
    อย่างเปิด เผยด้วยญาณรู้ของพระองค์ นี่ก็เป็นหลักสัจธรรมที่เป็นจริง เราทั้งหลายควรศึกษาให้รู้เอาไว้
    หรือเอามาเป็นอุบายสอนใจตัวเองว่า วัฏจักรของชีวิตมีความเป็นอยู่อย่างนี้ ไม่มีสิ่งใด
    ถาวรเที่ยงแท้แน่นอนได้ เพราะทุกอย่างตกอยู่ในอนิจจัง ความไม่เที่ยงแท้ด้วยกันทั้งนั้น


    ....มีเหตุผลประกอบ อีกเรื่องเกี่ยวกับอายุขัยของมนุษย์ที่มีขาขึ้นขาลง ในหลักของพระพุทธศาสนา
    จะ อธิบายเรื่องของพระพุทธเจ้าในอดีตที่ผ่านมา ให้เราได้ศึกษาเอาไว้เพื่อประกอบการวินิจฉัย
    ในอายุขัย ของหมู่มนุษย์ทั้งหลายที่ผ่านมา ให้รู้ว่าอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้นเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าที่อุบัติ
    เกิด ขึ้นในโลกนี้มีจำนวนมาก พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้ในโลกมนุษย์นี้เท่านั้น แต่ละองค์มาตรัสรู้เป็น
    เวลาห่างกันมาก ในภัทรกัปหนึ่งๆมีเวลายาวนาน ถึงจะมีภัทรกัปเท่ากันในบางภัทรกัปพระพุทธเจ้า
    มาตรัสรู้ ๑ องค์ เมื่อโปรดสัตว์แล้วก็นิพพาน ต่อจากนั้นก็จะเป็นสุญกัป เป็นกัปที่ว่างจากพุทธศาสนา
    เป็นเวลาอันยาวนาน ในบางภัทรกัปมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๓ องค์ ความว่างเป็นสุญกัปก็น้อยลง
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ....ขอยกตัวอย่างในภัทรกัปปัจจุบันนี้มีพระพุทธเจ้ามา ตรัสรู้ร่วมสมัยมี ๕ พระองค์ด้วยกัน แต่ละพระองค์
    ได้มาอุบัติเกิดขึ้น ในโลกนี้มีอายุขัยไม่เท่ากัน

    ....พระ พุทธเจ้าองค์ที่ ๑ พระกกุสันโธ พระองค์ได้มาอุบัติเกิดขึ้นในโลก ช่วงนั้นมนุษย์
    มีอายุขัย ๔ หมื่นปี เมื่อพระองค์ทำพุทธกิจเสร็จแล้วก็เข้าสู่พระนิพพาน จากนั้นมาเป็นสุญกัป เป็น
    กัปที่ว่างจากพระพุทธศาสนา อายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้นมี ๔ หมื่นปี ๑๐๐ ปีอายุขัยของมนุษย์ดลดลง
    ๑ ปี ลดลงเรื่อยๆจนถึงมนุษย์ในยุคต่อมา มีอายุขัย ๓ หมื่นปี ในยุคนี้มี พระพุทธเจ้า องค์ที่ ๒
    พระโกนาคมะโน
    ได้มาอุบัติเกิดขึ้นในโลก เมื่อพระองค์ทำพุทธกิจเสร็จแล้วก็ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน

    ....จาก นั้นมาก็เป็นสุญกัป เป็นกัปที่ว่างจากพระพุทธศาสนา อายุขัยของมนุษย์ลดลง ๑๐๐ ปี
    อายุขัยของมนุษย์ลดลง ๑ ปี ลดลงเรื่อยๆ ในยุคต่อมามนุษย์มีอายุขัย ๒ หมื่นปี ในยุคนั้นมี
    พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓ พระกัสโป ได้มาอุบัติเกิดขึ้นในโลก เมื่อพระองค์ทำพุทธกิจเสร็จแล้ว
    ก็ดับขันธ์ เข้าสู่พระนิพพาน อายุขัยของมนุษย์ก็ลดลงเรื่อยๆ ๑๐๐ ปีลดลง ๑ ปี จนถึงอายุขัยของ
    มนุษย์ในยุคนั้น ๑๐๐ ปีเป็นอายุขัย ในยุคนี้ มี พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๔ พระสมณโคดม (องค์ปัจจุบัน)
    ได้มาอุบัติเกิดขึ้นในโลก เมื่อพระองค์ทำพุทธกิจเสร็จแล้วก็ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน

    ....พระ พุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ได้วางศาสนาต่อเอาไว้อีก ๕ พันปี ขณะนี้พระพุทธศาสนามาถึง ๒๕๕๐ ปี
    อีก ๒๔๕๐ ปี พระพุทธศาสนาจะสูญไปจากโลกนี้ จากนั้นจะเป็นสุญกัปเป็นกัปที่ว่างจากพระพุทธศาสนา
    ยาวนาน คำว่า "ว่าง" คือไม่มีใครรู้ในพุทธวจนะ ไม่รู้ในคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นเอง
    ถึงพระพุทธศาสนาจะหมด ไปจากโลกนี้แล้วก็ตาม แต่สัจธรรมคือความจริง ยังมีอยู่ในโลกนี้ แต่ไม่มีใครรู้
    เหมือนยุคสมัยก่อนที่ พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้ ในยุคนั้นมีสัจธรรมอยู่ประจำโลก แต่ก็ไม่มีใครรู้
    เมื่อ พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว จึงนำเอาสัจธรรมคือความจริงนั้นๆมาประกาศให้คนได้รู้ในภายหลัง
    เป็นอัน ว่าในภัทรกัปนี้ มีพระพุทธเจ้าได้มาตรัสรู้โปรดสัตว์แล้ว ๔ พระองค์ (พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕
    คือ พระศรีอาริยเมตไตรย์ ยังไม่มาอุบัติในช่วงนี้)

    ....กฎเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้าจะได้มาอุบัติ เกิดขึ้นในโลกมนุษย์นี้ จะมีอยู่ในช่วงอายุขัยของมนุษย์ขาลง
    เท่านั้น และอายุขัยของมนุษย์ไม่เกิน ๑ แสนปี และมีอายุไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ ปี

    ....จาก นี้ไป อายุขัยของมนุษย์จะลดลงเรื่อยๆ ๑๐๐ ปี ลดลง ๑ ปี เมื่อมนุษย์มีอายุขัย ๕๐ ปี
    พระพุทธศาสนาก็จะสิ้นสุดลง นับจากนี้ไปอีก ๖ พันกว่าปี มนุษย์จะมีอายุขัย ๑๐ ปีตาย ในยุคนั้น
    หนุ่มสาวจะแต่งงานกัน เมื่ออายุ ๓ ปี ตั้งครรภ์ ๓ เดือน นับจากวันนี้ไปถึงวันนั้นยาวนาน มนุษย์ทั้งหลาย
    ทั่วโลกจะมีอายุขัยในช่วงเดียวกันทั้งหมด นี้เป็นหลักพุทธศาสตร์ ถ้าหากชาวพุทธได้ศึกษาในพระ
    พุทธศาสนาดีแล้วจะ รู้เรื่องนี้ดี ที่พวกฝรั่งจะทำให้อายุขัยของมนุษย์ยืนยาวออกไปนั้น เป็นความคิด
    ความเห็นของท่านเหล่านั้น เมื่อหลักพุทธศาสตร์กับหลักวิทยาศาสตร์ไม่ตรงกันอย่างนี้ เราจะเชื่อ
    ฝ่าย ไหน ให้เราวินิจฉัยใช้สติปัญญาคิดพิจารณาในเหตุผลและตัดสินใจเชื่อด้วยตัวเองก็ แล้วกัน

    ....เมื่อถึงยุคมนุษย์มีอายุขัย ๑๐ ปีตาย จะเกิดกลียุค เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมยุคใหม่ เป็นสังคมมนุษย์
    ที่มีอายุขัยขาขึ้น ก่อนจะเกิดสังคมมนุษย์ในยุคใหม่จะเป็นไปตามธรรมชาติของมนุษย์ในยุคนั้นๆ
    ทุก คนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป จึงฆ่ากันด้วยอาวุธต่างๆ เห็นกันอยู่ที่ไหนจะฆ่ากันในทันที ไม่มีใคร
    ยอมใคร ผัวเมียและทุกๆคนจะมีความเห็นว่า ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป

    ....ก่อน ที่จะเกิดกลียุคประมาณ ๑๐ ปี จะมีเทพอีกกลุ่มหนึ่ง ที่จะมาสืบทอดสังคมในยุคนั้น จะพากัน
    ลงมาเกิดในสังคมที่มีอายุขัย ๑๐ ปีนี้มากมาย แล้วจึงได้เกิดกลียุคขึ้นกลุ่มเทพที่เกิดมาก็พากันหลบหนี
    ไป อยู่ที่ปลอดภัย ปล่อยให้พ่อแม่ญาติทั้งหลายฆ่ากันตายหมดแล้ว จะมีฝนตกลงมาชะล้างซากศพ
    คราบเลือดกลิ่นคาวที่ตกค้างในผืนแผ่นดินไหลลง สู่มหาสมุทรสุดสาครจนหมดสิ้น จากนั้นจะมีลม
    พัดพาเอาแก่นคู่แก่นจันทร์ อันเป็นทิพย์ ที่หอมอบอวลลงมาจากสวรรค์โปรยลงมาเป็นบรรยากาศที่
    บริสุทธิ์ พร้อมด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหารที่มีความอุดมสมบูรณ์ในสมัยครั้งนั้น

    ....จาก นั้น หนุ่มสาวทั้งหลายที่ไปหลบภัยกลียุคในป่าเขา ก็พากันออกมาสู่สถานที่เดิมเป็นหมู่ใหญ่
    และมีหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีคุณธรรมด้วยกัน จึงจัดตั้งหัวหน้าเป็นผู้นำทำพิธีจัดคู่
    หนุ่มสาวเหล่านั้นให้เป็นผัว เมียกันตามประเพณีในยุคนั้น แล้วพากันรักษาศีลกรรมบท ๑๐ อย่างสมบูรณ์
    เคร่ง ครัด (ศีลกรรมบท ๑๐ แบ่งเป็น ๓ หมวด ๑. กายกรรม ๓ , ๒. วจีกรรม ๔ , ๓. มโนกรรม ๓)

    ....ลูกหลานที่เกิดมาก็พากันรักษาศีลกรรมบท ๑๐ สืบทอดต่อกันมายาวนานถึง ๑๐๐ ปี จากนั้น
    อายุขัยได้เพิ่มขึ้น ๑ ปี เป็น ๑๑ ปีตาย ๑๐๐ ปีอายุขัยเพิ่มขึ้น ๑ ปีเป็น ๑๒ ปีตาย อายุขัยเพิ่มขึ้น
    ๑ ปีต่อ ๑๐๐ ปี เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มนุษย์มีอายุขัยเพิ่มขึ้น ๒๐ ปีตาย ๕๐ ปีตาย ๑๐๐ ปีตาย ๑ พันปีตาย
    ๑ หมื่นปีตาย ๑ แสนปีตาย ๑ ล้านปีตาย เมื่อมนุษย์มีอายุขาขึ้นนี้จะไม่มีพระพุทธเจ้า
    มา อุบัติเกิดขึ้นในโลกนี้เลย
    ให้เราคิดคำนวณดูเองว่า นับแต่มนุษย์มีอายุขัย ๑๐ ปีตาย
    ๑๐๐ ปี เพิ่มขึ้น ๑ ปี จนมนุษย์มีอายุขัย ๑ ล้านปี ให้เราคิดคำนวณดูว่ามีความยาวนานกี่ปี ในช่วงนี้
    จะเป็นสุญกัป เป็นกัปที่ว่างจากพระพุทธศาสนายาวนานทีเดียว สังคมมนุษย์ก็เพิ่มขึ้นและอยู่ร่วมกัน
    อย่างมีสุขในยุคนั้นๆ

    ....เมื่อ ถึงยุคที่มนุษย์มีอายุขัย ๑ ล้านปี จะเกิดอาเพศเกิดขึ้น มนุษย์ทั้งหลายจะเกิดความเบื่อหน่าย
    ในชีวิตอันเป็นอยู่ที่ยาวนาน มีความเห็นเป็นอย่างเดียวกัน ชีวิตจึงได้เกิดความแปรผันลดลง ๑๐๐ ปี
    อายุขัย ลดลง ๑ ปี ลดลงเรื่อยๆ เป็น ๙ แสนปีตาย ๘ แสนปีตาย ๑ แสนปีตาย ในช่วงที่มนุษย์มีอายุขัย
    ๑ แสนปี จะมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติเกิดขึ้นในโลกมนุษย์นี้ได้ ถ้าอายุขัยของมนุษย์
    เกิน ๑ แสนปีขึ้นไป จะไม่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติเกิดขึ้นในโลกนี้แต่อย่างใด ถือว่ามนุษย์ในยุคนั้น
    ยังมีความเพลิดเพลินในความเป็นอยู่ของชีวิต มีความสุขสบายในลาภ ยศ สรรเสริญ และมีความสุข
    ในกามคุณ ไม่มีความทุกข์ใดๆ ด้วยเหตุดังนี้ จึงไม่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติเกิดขึ้น
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ....ยุคศาสนาพระศรีอาริ ยเมตไตรย์....

    ....จากนั้นอายุขัยของมนุษย์ก็ลดลงเรื่อยๆ ลดลงจนอายุ ๘ หมื่นปีเป็นอายุขัย ในช่วงนี้เองพระศรี
    อาริยเมตไตรย์จะได้มาอุบัติ เกิดขึ้นในโลก ผู้ที่ได้บำเพ็ญบุญบารมีมาแล้ว ก็จะได้มาเกิดในยุคนี้ทั้งหมด
    หรือผู้ได้บำเพ็ญบุญบารมีในศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์อื่นที่ผ่านมา มีความปรารถนาขอ
    ให้เกิดร่วมศาสนาของพระศรีอาริยเมตไตรย์ ก็จะได้มาเกิดร่วมกันในยุคนี้ทั้งหมด แล้วจะได้ฟังธรรม
    จากพระศรีอาริ ยเมตไตรย์ จนได้เกิดปัญญาญาณหยั่งรู้ในสัจธรรมตามความเป็นจริง ผู้ทีบารมียังไม่สมบูรณ์
    ก็จะได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้าขั้นพระ โสดาบัน ขั้นพระสกิทาคามี ผู้มีบารมีมากก็จะได้บรรลุธรรม
    เป็นพระ อนาคามี เมื่อสิ้นชีวิตแล้วก็จะได้ไปเกิดเป็นพรหมชั้นสุทธาวาสชั้นใดชั้นหนึ่ง เมื่อถึงกาลเวลา
    ก็จะได้นิพพานในชั้นพรหมนี้ต่อไป เมื่อผู้มีบารมีที่สมบูรณ์แล้วก็จะได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
    เข้าถึง พระนิพพานตามพระศรีอาริยเมตไตรย์ไปในกาลครั้งนั้น

    ....ในยุคนั้น พระศรีอาริยเมตไตรย์ไม่ได้วางศาสนาเอาไว้เหมือนพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เพราะ
    ผู้มีบารมีที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้าได้บรรลุธรรมตามพระศรีอา ริยเมตไตรย์ไปทั้งหมดแล้ว เรา
    อาจเป็นคนหนึ่งที่ได้บรรลุธรรมตามพระศรี อาริยเมตไตรย์ไปก็เป็นได้

    ....ในยุคปัจจุบันนี้มีผู้ปรารถนาไปเกิด ร่วมศาสนาของพระศรีอาริยเมตไตรย์เป็นจำนวนมาก ขอให้
    สมปรารถนาในหมู่ ศรัทธาทั้งหลายด้วย แต่ทว่า เพียงปรารถนาอย่างเดียวไม่บำเพ็ญบารมีไว้ ก็จะไม่
    สมความปรารถนาแต่อย่างใด จงพากันบำเพ็ญทาน รักษาศีล ๕ ศีล ๘ เข้าไว้ หรือภาวนาปฏิบัติให้เกิด
    สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ให้ถูกต้อง เพราะคำสอนของ
    พระ พุทธเจ้าทุกๆพระองค์ที่ผ่านมาจนถึงองค์ปัจจุบัน และพระศรีอาริยเมตไตรย์หรือพระพุทธเจ้าที่จะ
    ได้มาอุบัติเกิดขึ้นใน อนาคตภายภาคหน้า หลักคำสอนก็จะเริ่มต้นจากสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ
    ด้วย กันทั้งนั้น จึงเป็นการเริ่มต้นในการปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง

    ....ใน ยุคนี้มีผู้เขียนวิธีการปฏิบัติเอาไว้ มีหลายวิธีด้วยกัน หนังสือแต่ละเล่มก็ได้อ้างอิงว่าเป็นคำสอน
    ของพระพุทธเจ้าด้วยกันทั้ง นั้น ทำให้หลายคนในยุคนี้เกิดความสับสน การปฏิบัติจะเอาวิธีไหนกันแน่
    จึง เกิดความลังเลไม่แน่ใจ ผู้ปฏิบัติธรรมในยุคนี้ส่วนมากจะมีความเห็นว่าต้องเริ่มต้นจากการทำสมาธิ ก่อน
    และสอนกันอย่างนี้เป็นจำนวนมาก สอนกันว่า นั่งสมาธิไปเถอะเมื่อจิตมีความสงบแล้วจะมีปัญญา
    เกิดขึ้นเอง นี้เป็นคำสอนที่ไร้เหตุผล ผู้สอนไม่ได้อ่านประวัติพระพุทธเจ้าเลย หรืออ่านอยู่ก็ตีความ
    ในคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ถูกต้อง ไม่เป็นไปตามแนวทางในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสเอาไว้
    ....เช่นในความ หมายที่ว่า นั่งสมาธิให้จิตมีความสงบแล้ว ปัญญาจะเกิดขึ้นนั้น ในวิธีการสอนอย่างนี้
    ไม่มีตัวอย่างในสมัยครั้ง พุทธกาลเลย พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนใครในที่ไหนแต่อย่างใด

    ทำไม ในยุคนี้จึงสอนกันในลักษณะนี้ ผู้สอนอาจได้ไปอ่านประวัติตอนที่พระองค์ไปทำสมาธิอยู่กับ
    ดาบสทั้งสอง แล้วตีความหมายไปว่า พระพุทธเจ้าทำสมาธิก่อนอย่างนี้หรือ ที่พระองค์ทำสมาธิมาก่อน
    ก็จริง แต่เมื่อจิตของพระองค์มีความสงบเป็นสมาธิอย่างเต็มที่แล้วปัญญาของพระองค์ก็ ไม่ได้เกิดขึ้น
    แต่อย่างใด ทำไมการทำสมาธิของพวกเราในยุคนี้จะมีความสงบอันยิ่งใหญ่ ยิ่งไปกว่าพระพุทธองค์
    ปัญญาจะเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ การตีความหมายในคำสอนของพระพุทธเจ้าสับสนโยงกันไปโยงกันมา
    จึงได้เกิด ปัญหาแก่ผู้ปฏิบัติทั้งหลายในยุคปัจจุบัน

    ....การภาวนาปฏิบัติทุกคน ก็ว่าจะทำตามเยี่ยงอย่างในคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อภาวนาปฏิบัติจริง
    กลับ ไม่เป็นไปตามคำสอนของพระองค์แต่อย่างใด แต่ไปเอาเยี่ยงอย่างของพวกดาบสฤาษีกันทั้งนั้น
    มีดาบสฤาษีองค์ไหนที่ทำ สมาธิให้จิตมีความสงบแล้วมีปัญญาเกิดขึ้นบ้างเล่า ถึงพระองค์จะเคยทำ
    สมาธิ มาก่อนในช่วงนั้นพระองค์ก็ยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแต่อย่างใด ในนามก็เป็นพระสิทธัตถะ
    ภิกขุเท่านั้น แม้พระองค์ได้บำเพ็ญปัญญาบารมีมาแล้วอย่างสมบูรณ์ เมื่อพระองค์ทำสมาธิจิตมีความสงบ
    ถึงที่สุดแล้ว ปัญญาที่พระองค์เคยได้บำเพ็ญมาก็ไม่ได้เกิดขึ้นแต่อย่างใด

    ....ให้เราทั้งหลายไปศึกษาประวัติของพระพุทธเจ้าเสีย ใหม่ และตีความ
    หมายในคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจ ให้เป็นไปในหลักสัมมาภาคปริยัติที่ถูกต้อง
    แล้วนำมาปฏิบัติ ก็จะเกิดสัมมาในภาคปฏิบัติ อันเป็นแนวทางที่จะเข้ากระแสแห่งมรรค ผล นิพพาน ต่อไป
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ยุคภัยธรรมชาติที่รุนแรง

    ....โลกที่เราอยู่มีภัยนานาประการอันเป็นผลกระทบต่อ ชีวิต ทำให้ได้รับความทุกข์จากภัยธรรมชาติ
    เป็นอย่างมากทีเดียว หลายชาติในอดีตได้เจอกับภัยธรรมชาติมาแล้ว เมื่อเกิดมาในชาตินี้ ขณะที่
    ภัย ธรรมชาติยังไม่มาถึงตัวเราก็ไม่มีความรู้สึกเป็นทุกข์ แต่อีกไม่นานนัก เมื่อเราได้มาเกิดในโลกนี้อยู่บ่อยๆ
    ชีวิตก็ต้องเจอกับภัยธรรมชาตินี้ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เรื่องภัยธรรมชาตินี้ จะเกิดมีขึ้น
    ในโลกมนุษย์มากขึ้น และมีความรุนแรงมากขึ้น ในยุคต่อไป จะมีความรุนแรงเป็นอย่างมาก จะไม่
    มีใครในโลกนี้เอาชนะภัยธรรมชาตินี้ ได้แต่อย่างใด

    ....ภัยธรรมชาตจะเกิดขึ้นในตัวมันเอง เป็นภับธรรมชาติที่มีอยู่ประจำโลกมาแต่กาลไหนๆ

    เมื่อโลก นี้ได้เกิดขึ้นมานานหลายล้านๆปี ถึงกาลสมัยเปลือกโลกเสื่อมหมดคุณภาพลง เกิดขึ้นใน
    สถานที่มีมนุย์อยู่อาศัย จะเกิดขึ้นน้อยหรือเกิดขึ้นอย่างรุนแรงขึ้นอยู่ตามกฎเกณฑ์ของโลก

    ....ภัยธรรมชาติที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นภัยธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นในช่วงที่
    อายุขัยของมนุษย์ต่ำกว่า ๑๐๐ ปีเป็นต้นไป
    จะทำให้มนูษย์ทั้งหลายได้ตายเป็นจำนวนมาก
    หาก มนุษย์มีอยู่ในโลกประมาณ ๒ หมื่นล้านคน จะมี ภัยธรรมชาติเกิดขึ้น
    มนุษย์จะล้มตายจากภัยธรรมชาตินี้ จะหาที่หลีกหนีไม่ได้ จะมีชีวิตอยู่รอดได้ประมาณ ๓๐ เปอร์เซนต์
    ของ ประชากรโลก แล้วเริ่มตันชีวิตใหม่ โดยไม่มีวิ่งอำนวยความสะดวกสบายเหมือนยุคปัจจุบัน


    ....ภัย ธรรมชาตินี้จะเกิดต่อเนื่องต่อกันยาวนาน จะหลบจากภัยธรรมชาติในจุดหนึ่งได้แล้ว ก็ไป
    เจอกับภัยธรรมชาติอย่างอื่น อีก ภัยธรรมชาตินี้มีอยู่เป็นจุดใหญ่ ๘ จุดด้วยกัน คือ

    ๑. วาตภัย จะเกิดลมพายุใหญ่ทั้งบนบกและในทะเล
    ๒. อุทกภัย จะเกิดน้ำท่วมอย่างรุนแรง
    ๓. ธรณีภัย จะเกิดแผ่นดินถล่มและแผ่นดินไหว
    ๔. อัคคีภัย จะเกิดความแห้งแล้ง ไฟไหม้ป่า
    ....ส่วนภัยธรรมชาติอย่างอื่น ก็จะเกิดตามมา เช่น
    ๕. มลพิษภัย จะเกิดมลภาวะที่ร้ายแรง มีผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสัตว์เป็นอย่างมาก
    ๖. โรคภัย จะเกิดโรคระบาดนานาชนิด
    ๗. อาหารภัย จะเกิดการอดอยากในอาหาร
    ๘. โจรภัย ภัยจากกลุ่มคนพาลปล้นจี้ลักขโมย
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ....ภัยธรรมชาติทั้งหลายนี้จะทำให้มนุษย์ในยุคนั้น อยู่กันด้วยความเดือดร้อนเป็นทุกข์อย่างมากทีเดียว
    ทั่วทุกมุมโลกจะมี ภัยธรรมชาตินี้เกิดขึ้นเหมือนกัน ทุกประเทศเขตแดนจะไม่มีใครช่วยเหลือกันได้เลย
    ล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบ จากภัยธรรมชาตินี้อย่างทั่วถึงกัน

    ....ภัยธรรมชาตินี้จะเกิดมีทุก ฤดูกาล ฤดูแล้ง ฤดูฝน ฤดูหนาว จะเกิดขึ้นต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ เกิด
    ขึ้น ในที่ไหนจะทำให้เกิดความเสียหายในที่นั้นๆเป็นอย่างมากทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วาตภัย
    เป็นภัยที่มาอันดับหนึ่ง ถ้าไม่มีฝนตกลงมา ลมก็จะพัดเอาน้ำมหาสมุทรเป็นคลื่นขนาดใหญ่ ทำให้
    เรือน้อยใหญ่ไม่สามารถ วิ่งฝ่าคลื่นน้ำขนาดใหญ่ไปได้ เรือพวกพ่อค้าวาณิชที่เคยส่งน้ำมันส่งอาหาร
    จาก ประเทศนั้นไปสู่ประเทศนี้ก็จะจอดนิ่งทันที ถ้ามีบ้านเรือนที่ปลูกชิดกันกับชายฝั่งก็จะมีผลกระทบ
    อย่างแน่นอน ประชาชนจะมีความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก

    ....นี้เป็นส่วนหนึ่งที่ วาตภัยทำให้น้ำในทะเลเกิดความแปรปรวน จะเป็นอยู่อย่างนี้ติดต่อกันยาวนาน
    ต่อ เนื่องกันทั้งกลางคืนและกลางวัน ลมที่อุ้มเอาน้ำทะเลให้เป็นคลื่นขนาดใหญ่พัดไปมา ประชาชน
    ที่อยู่ใกล้ ฝั่งทะเลจะมีความเดือดร้อน ซึ่งเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมานี้ ประชาชนได้รับผลกระทบ
    จากลมที่พัดเอาน้ำทะเลทำให้เกิดความเสียหายมาแล้ว ในช่วงต่อไปไม่นานนักมนุษย์ที่อยู่ริมฝั่งทะเล
    ก็จะได้รับผลกระทบอย่าง แน่นอน จะทำให้ทรัพย์สินเสียหายและมนุษย์ล้มตายเป็นจำนวนมากทีเดียว
    นี้ คือน้ำท่วมอันเนื่องจากลมเป็นต้นเหตุ

    ....วาตภัยที่เกิดขึ้นในตัว ของมันเอง ไม่มีน้ำทะเล ไม่มีฝนตกลงมา ลมนี้จะพัดพาไปในทิศทางต่าง
    ของ ตัวลมเอง ไม่มีสิ่งใดๆจะไปขัดขวางห้ามได้ ถ้าพัดเข้าไปในป่าจะทำให้ต้นไม้ใหญ่น้อยหักโค่น
    ทำลายทรัพยากรป่าไม้ เป็นอย่างมาก ถ้าลมได้พัดเข้าที่ชุมชนอยู่อาศัยจะทำให้บ้านเรือนพังพินาศไป
    คน จะขาดที่อยู่อาศัยหรือล้มตายเพราะอาคารบ้านช่องพังทับถม

    ....ลมที่ ว่านี้จะมีชื่อตามที่มนุษย์ตั้งให้ ชื่ออะไรไม่สำคัญ ข้อสำคัญคือ ความรุนแรงของลมแต่ละอย่าง
    จะทำให้เกิดความเสียหายเหมือนกัน วาตภัยจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งทั่วทุกหนแห่งของมุมโลก มนุษย์จะ
    มีความทุกข์ เดือดร้อนเพราะลมไม่น้อย เงินของรัฐบาลจะสร้างบ้านที่พักอาศัยให้ทุกครอบครัวจึงทำได้ยาก
    เพราะ บ้านได้พังเสียหายเนื่องจากลมที่มีความรุนแรง จึงยากที่จะได้รับความสงเคราะห์ให้ทั่วถึงกันได้
    ในเหตุการณ์อย่างนี้จะ มีผลกระทบจากลมอย่างรุนแรงในภายภาคหน้าโน้น

    ....วาตภัยเมื่อเกิด ขึ้นแล้ว ถ้ามีฝนตกลงมา จะเป็นพลังบวกกับลมอย่างรุนแรง ถ้าฝนตกลงมาแรง
    ลม ก็เกิดขึ้นอย่างรุนแรง จะทำให้เกิดน้ำท่วมในที่ต่างๆอย่างกว้างขวาง ถ้าบ้านปลูกในที่ต่ำ น้ำก็จะ
    ท่วมอย่างหลีกหนีไม่ได้ ทั้งลมก็พัดทำให้บ้านเรือนเกิดความเสียหาย ทั้งน้ำก็ท่วมบ้าน ทรัพย์สิน
    ทั้ง หลายเกิดความเสียหาย เรียกว่าสิ้นเนื้อประดาตัว ไม่มีทรัพย์สมบัติใดๆพอจะนำเอาติดตัวมาได้เลย
    คนก็จะล้มตายเป็นจำนวนมาก จึงยากที่จะพึ่งใครๆได้ หน่วยราชการและหน่วยงานอื่นๆที่รับผิดชอบ
    ก็ ถูกภัยธรรมชาตินี้ทำลายเช่นกัน ข้าวปลาอาหาร น้ำดื่ม จะพากันอดอยากเป็นอย่างมาก เครื่องบริโภค
    เครื่องอุปโภค เสื้อผ้า ยารักษาโรค จึงยากที่ทางรัฐบาลจะให้ความช่วยเหลือได้

    ....ความทุก ข็เพราะสิ่งเหล่านี้ก็แสนสาหัสอยู่แล้ว หากคนในครอบครัวมีการพลัดพรากจากกันหรือ
    ได้ตายไปเพราะภัยพิบัตินี้อีก คนทั้งหลายก็จะเพิ่มทวีความทุกข์เดือดร้อนยิ่งขึ้น ในช่วงนั้นจะเรียกร้อง
    ให้ ใครๆมาช่วยเหลือเราจึงเป็นไปได้ยาก เพราะทุกคนก็ได้เจอกับภัยธรรมชาตินี้เช่นกัน ในเหตุการณ์
    อย่างนี้นับ แต่จะทวีความรุนแรงมากขึ้น ในประเทศไทยหรือต่างประเทศ ก็เริ่มเกิดภัยธรรมชาตินี้
    ให้เห็นกันอยู่แล้ว ซึ่งจะมีความรุนแรงมากขึ้นและเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ดังที่เห็นกันอยู่ในขณะนี้

    ....ภัย ธรรมชาตินี้จะเกิดมีความรุนแรงในภายภาคหน้า ในอดีตหลายล้านปีที่ผ่านมา ก็ได้มีภัย
    ธรรมชาตินี้มาแล้วหลายครั้ง จะเกิดขึ้นในช่วงมนุษย์มีอายุขัยขาลง มีอายุขัยต่ำกว่า ๑๐๐ ปีเป็นต้นไป
    ภัย ธรรมชาติก็จะเริ่มก่อตัวเกิดขึ้นเรื่อยๆ เกิดขึ้นน้อยบ้างมากบ้างและเกิดขึ้นอย่างรุนแรงบ้าง จะมี
    ผลกระทบอย่าง ใหญ่หลวง ทั้งลมทั้งฝนที่เกิดต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ทั้งอากาศก็แปรปรวนในที่ทั่วไป
    ทำให้เกิดเป็นภัยธรรมชาติเป็นวงกว้างทุก มุมโลกทั่วถึงกันทุกประเทศเขตแดน เครื่องบินที่เคยเหาะ
    เหินเดินอากาศ ก็ไม่สามารถที่จะเดินทางไปไหนได้ เครื่องบิน เป็นสิ่งอำนวยความสะดวก
    ของชีวิต ในการเดินทางไปต่างประเทศนั้นประเทศนี้ก็จะสิ้นสุดลงไปตามยุคสมัย
    รถเรือ
    ที่เคยให้ความสะดวกในการไปมา ก็จะพากันจอดอย่างสนิท จะวิ่งไปมาไม่ได้เลย มนุษย์จะอยู่กัน
    เป็นกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ ใครอยู่กันที่ไหนก็อยู่กันไปในที่นั้น จะส่งข่าวสารติดต่อกันด้วยวิธีใดก็จะติดต่อ
    กันไม่ได้เลย
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ..... วาตภัย อุทกภัย ธรณีภัย .....

    ....วาตภัย จะทำให้เกิดเป็นลมขึ้น ๒ จุดด้วยกัน คือ

    ๑. วาตภัยที่เกิดขึ้นจากความกดดันในชั้นบรรยากาศของโลกที่แปรปรวน ทำให้ลมเกาะกันเป็น
    กลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ จะเกิดเป็นช่องว่างให้ลมเกิดการหมุนตัว หลายคนเคยนั่งเครื่องบิน ได้ชนกับ
    กลุ่ม ลมที่หมุนตัวอยู่ จะทำให้เครื่องบินตกหลุมอากาศเหมือนกับเครื่องบินได้วูบตัวลง หรือในบางครั้ง
    เครื่องบินได้ชนกับกลุ่มลมที่หมุนตัวอยู่ จะทำให้เครื่องบินสั่นสะเทือนเพราะอากาศไม่ปกติ มีความ
    แปรปรวน
    ....ถ้า เครื่องบินเล็กเดินทางผ่าน ก็จะเกิดอันตราย บังคับไม่ได้ ทำให้เสียหลักในการทรงตัวแล้ว
    หมุนไปตามกระแสลม หรือตกลงพื้นดิน ทำให้เสียชีวิตดังได้ดูข่าวในปัจจุบัน
    ....ถ้าเครื่องบินลำใหญ่ ลมกลุ่มเล็ก ก็พอจะบินผ่านไปได้ ถ้าลมกลุ่มใหญ่ มีกระแสพัดอย่างรุนแรง
    ถึง เครื่องบินจะใหญ่ก็ไม่สามารถบินผ่านไปได้ เครื่องบินจะขึ้นจากสนามและลงสู่สนามก็เป็นอันตราย
    เช่นกัน ทุกสนามบิน เมื่อมีลมเกิดขึ้นอย่างรุนแรง ห้ามเครื่องบินทุกชนิดขึ้นลง จะทำให้เป็นไปตามกระแส
    จนกว่าจะหมดกำลังลง เมื่อลมกลุ่มนี้หมดไป ลมกลุ่มใหม่เกิดขึ้นทั่วถึงกันในโลกนี้ ทุกสายการบิน
    ในโลกนี้ก็ต้อง หยุดในการเดินทาง ถ้าลมเกิดขึ้นยาวนานเครื่องบินก็จอดสนิทยาวนานเช่นกัน

    ....ดาว เทียมเป็นสัญญาณสื่อที่สำคัญในยุคปัจจุบัน เครื่องคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต และเครื่องรับ
    สัญญาณจากดาวเทียมอื่นๆ มีจำนวนมาก ที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นมาเพื่อความสะดวกในการทำงานได้อย่าง
    รวดเร็ว เครื่องที่ใช้งานรับสัญญาณจากดาวเทียมเหล่านี้ ถ้าไม่มีสัญญาณของดาวเทียมในการสื่อสาร
    จะทำงานไม่ได้
    ....ให้ฝึกทำ ใจไว้เลยว่า อนาคตต่อไปภายภาคหน้า เมื่อดาวเทียมมีปัญหาขัดข้องไม่สามารถส่งสัญญาณได้
    จะไม่มีใครๆขึ้นไป แก้ไขให้ทำงานเป็นปกติได้ เพราะวาตภัยในห้วงอากาศกำลังหมุนตัวอย่างรุนแรง
    ท้อง ฟ้ากำลังแปรปรวนอย่างหนัก เครื่องบินอวกาศทุกชนิดไม่สามารถขึ้นไปสู่บนท้องฟ้าได้ ดาวเทียม
    ก็จะมี ปัญหาขัดข้องส่งสัญญาณข้อมูลอะไรไม่ได้ เครื่องอีเล็คทรอนิคส์ อินเตอร์เน็ต คอมพิวเตอร์
    หรือเครื่องรับสัญญาณจากดาวเทียมอื่นๆก็ทำงานไม่ได้ เพราะสัญญาณของดาวเทียมเป็นต้นเหตุ
    ถึงมนุษย์จะมีความรู้ดี ได้สร้างดาวเทียม คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต ขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวก
    ใน การทำงาน ก็จะสิ้นสุดลงในยุคสมัย นี้คือจุดจบของมนุษย์ที่จะต้องรับในยุคต่อไป

    ....กรมอุตุนิยมวิทยา มีความชำนาญในการติดตั้งเครื่องเตือนภัยทั้งหลาย ที่ได้ติดตั้งเพื่อรับข่าวสาร
    จากภัยธรรมชาติต่างๆก็จะหยุดตัวลง ทำงานไม่ได้ ภัยธรรมชาติจะเกิดขึ้นในลักษณะใดก็ไม่สามารถรู้ได้
    ภัย ธรรมชาติจะเกิดขึ้นอย่างไรไม่มีใครๆรู้ล่วงหน้า เมื่อ ภัยธรรมชาติได้เกิดขึ้น มนุษย์ก็จะได้รับ
    ผลกระทบในทันที ทั้งวาตภัย อุทกภัยที่ได้เกิดขึ้นอย่างรุนแรงติดต่อกันเป็นเวลานาน
    มนุษย์ทั้งหลาย ในโลกนี้ จะอยู่กินหลับนอนกันไปด้วยความลำบาก

    ....ในยุค ต่อไปเปลือกโลกจะเสื่อมอย่างรุนแรง จะก่อให้เกิดภัยธรรมชาติขึ้นในตัวของมันเอง
    เมื่อครบวงจรของเปลือกโลก เสื่อมก็จะมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น จะหาวิธีป้องกันหยุดภัยธรรมชาตินี้
    ไม่ ได้ มนุษย์ที่เกิดมาอาศัยโลกอยู่ เมื่อภัยธรรมชาติเกิดขึ้น ทุกคนต้องได้รับผลกระทบต่อภัยธรรมชาตินี้
    ในขณะนี้หลายพื้นที่หลาย ประเทศได้เห็นภัยธรรมชาตินี้อยู่แล้ว หลายประเทศได้รับผลกระทบ มีความ
    ทุกข์ เดือดร้อนไปตามๆกัน ฉะนั้น ทุกคนอย่าประมาท ตั้งสติให้ดี ในโลกนี้
    อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด เมื่อแก้ไขไม่ได้ก็ต้องทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น


    ....๒. วาตภัยอีกจุดหนึ่งที่มนุษย์ต้องได้รับ นั้นคือลมใต้พื้นภิภพ จะมีความกดดันอย่างรุนแรง
    เปลือกโลกจุดไหนที่เสื่อมคุณภาพก็จะเกิดความ กดดัน แผ่นดินจะเกิดแตกแยกจากกัน เรียกว่า
    ลมประทุให้หินในพื้นภิภพได้ แตกและกระจายอย่างกว้างไกล ถ้าเกิดบนบกก็เรียกว่า แผ่นดินไหว
    จะไหวมาก ไหวน้อยขึ้นอยู่กับความกดดันของลม มนุษย์จึงคิดคำนวณความรุนแรงออกมาเป็นริคเตอร์
    เท่านั้นเท่านี้ ถ้าเกิดแผ่นดินไหวในที่ชุมชนอย่างรุนแรง ก็จะทำให้บ้านอาคารมีความเสียหายเป็น
    อย่างมาก อาคารต่างๆก็จะพังทับถม หมู่มนุษย์ได้ล้มตายกันไปไม่มีใครๆช่วยกันได้
    ....การเกิดแผ่นดินไหวใน ลักษณะนี้ มีวาตภัยและธรณีภัยเกิดขึ้นพร้อมกัน และจะเกิดขึ้นบ่อยต่อเนื่อง
    อย่าง น้อย ๘ ริคเตอร์ขึ้นไป ถ้าเกิดขึ้น ๑๐ ริคเตอร์ หรือ ๑๒ ริคเตอร์ขึ้นไป ในเหตุการณ์อย่างนี้จะเกิดขึ้น
    ในภายภาคหน้า อาคารบ้านช่องจะพังทลาย มนุษย์จะล้มตายเป็นจำนวนมาก จึงยากที่จะแก้ไขป้องกันได้
    ความเป็นไปใน ลักษณะนี้ก็เพราะโลกธาตุได้เกิดขึ้นมายาวนาน ทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนแปลงไปตาม
    เหตุปัจจัยในตัวมันเอง ธาตุเดิม คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ ทั้งบนอากาศหรือพื้นภิภพต้องเป็นอย่างนี้

    ....ภัย ธรรมชาติอีกจุดหนึ่งที่จะเกิดขึ้นพร้อมกัน มีวาตภัย อุทกภัย ธรณีภัย ถ้าพื้นภิภพเสื่อมอยู่ใรท่าม
    กลางมหาสมุทร ลมก็จะเกิดความกดดันให้เปลือกโลกส่วนที่เสื่อมแยกออกจากกัน ที่เรียกว่า
    แผ่น ดินไหวในมหาสมุทรอย่างรุนแรง เมื่อแรงกดดันของลมปะทะกับชั้นหินที่มีความแข็ง ก็จะเกิด
    ระเบิด อย่างกว้างขวาง หลายๆประเทศจะได้รับผลกระทบ ตายเป็นจำนวนมาก เมื่อชั้นหินได้แยก
    ออกจากกันเป็นช่องใหญ่หลายจุดพร้อมกัน น้ำทะเลก็จะไหลลงสู่โพรงใต้พื้นภิภพเป็นจำนวนมาก
    น้ำทะเลก็จะลดลงอย่าง เห็นได้ชัดทีเดียว เมื่อน้ำทะเลไหลลงสู่สู่โพรงดินขนาดใหญ่เต็มแล้ว วาตภัย
    ใน พื้นภิภพก็จะกดดันน้ำทะเลในส่วนนั้นกลับคืน น้ำทะเลก็จะถูกลมกดดันไหลขึ้นท่วมสถานที่ต่างๆ
    อาคารบ้านช่องก็จะพัง เสียหายเป็นจำนวนมาก มนุษย์และสัตว์ก็จะล้มตายไปเป็นจำนวนมากเช่นกัน
    ที่ เรียกว่า สึนามิ นั้นเอง
    ....ใน ลักษณะอย่างนี้เป็นเพียงวาตภัย อุทกภัย ธรณีภัยในพื้นภิภพเท่านั้น ถ้าหากเกิดวาตภัยขึ้น
    ในช่องอากาศที่มนุษย์อาศัยอยู่ ความรุนแรงของภัยธรรมชาติก็จะเพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัว หรือหาก
    มี อุทกภัยฝนได้กระหน่ำซ้ำเติมลงมาอีก ทั้งลมและฝนบนพื้นโลกไปบวกกับวาตภัยในพื้นภิภพ น้ำทะเล
    เดิมก็มีความ ปั่นป่วนอยู่แล้ว เมื่อลมและฝนซ้ำเข้าอีก มนุษย์จะอยู่กันอย่างไร เครื่องเตือนภัยสื่อสาร
    กับสัญญาณดาวเทียมใช้ไม่ได้ ใครจะบอกว่าให้มนุษย์พากันหลบภัยในที่ไหน ในหมู่มนุษย์ก็จะเกิด
    ความ กลัวตายต่อภัยธรรมชาติเป็นอย่างมาก และยังเห็นเพื่อนมนุษย์ได้ตายให้เห็นต่อหน้าต่อตา
    จะเกิดความโกลาหล วุ่นวาย จะหลบตัวไปที่ไหนก็ไม่มีความปลอดภัย และภัยต่างๆก็จะเกิดตามมา
    เช่น โรคภัย มลพิษภัย อาหารภัย ความอดอยากหิวโหย โรคภัยต่างๆที่เกิดจากมลพิษภัย จะไม่มี
    หมอรักษา จะไม่มียาให้กิน เรียกว่า สิ้นเนื้อประดาตัว ถ้าเราเป็นคนหนึ่งที่ต้องประสบเหตุการณ์นี้
    ลองคิดดูว่าเราจะเป็นอย่าง ไร
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    อัคคีภัย มลพิษภัย โรคภัย อาหารภัย โจรภัย

    .... อัคคีภัย หมายถึง ความร้อนจะเกิดขึ้นในโลกนี้อย่างรุนแรง ความแห้งแล้ง
    เพราะฟ้า ฝนไม่ตกตามฤดูกาล ที่ผ่านมาเกิดภัยธรรมชาติขึ้นดังที่ได้อธิบายมาแล้ว มีวาตภัย อุทกภัย
    ธรณีภัย และ ภัย เช่น โรคภัย อาหารภัย โจรภัย มลพิษภัย เกิดขึ้นต่อเนื่องกัน ทำให้มนุษย์ทั้งหลาย
    อยู่ด้วยความลำบาก เป็นทุกข์เดือดร้อนเป็นจำนวนมาก หากมีอัคคีภัยเกิดขึ้นซ้ำเติม ชีวิตความ
    เป็น อยู่ของมนุษย์จะเต็มไปด้วยความทุกข์ยากแร้นแค้นแสนเข็ญ จึงเป็นเหตุให้มนุษย์อยู่ด้วยความ
    อดอยากดิ้นรน ฝนจะตกลงมาน้อยไม่พอที่จะทำไร่ทำนา ดินฟ้าอากาษก็จะเกิดความแปรปรวน
    ไป ทั่วหนแห่งทุกมุมโลก
    ....ในบางพื้นที่จะไม่มีฝนตกลงมาเลย ความร้อนจากแสงอาทิตย์แผดเผา ทำไร่ทำนาไม่ได้ผล
    แต่อย่างใด ในเหตุการณ์อย่างนี้จะมีความแห้งแล้งทั่วถึงกันในทุกมุมโลก อาหารการกินจะขาด
    แคลนขัดสน คนจะล้มตายเป็นจำนวนมากเพราะความอดอยากหิวโหย จะเกิดโจรภัย ลักปล้นจี้
    ให้ ได้มาซึ่งอาหารเพื่อให้ชีวิตอยู่ได้ ในหมู่สัตว์เดรัจฉานไม่มีอาหารที่จะกินก็จะล้มตายกันไปเช่นกัน
    ....อัคคีภัย ที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าโน้น คนที่เกิดมาในยุคนั้นจะได้เผชิญต่อภัยธรรมชาตินี้
    อย่างแน่นอน จะหลบหลีกหนีไปอยู่ในมุมโลกซีกไหนก็ไม่พ้นจากภัยธรรมชาติเหล่านี้ได้ ในยุคสมัย
    ที่ประชากรโลกมีจำนวนประมาณ ๒ หมื่นล้านคน ภัยธรรมชาตินี้จะเกิดขึ้นเต็มรูปแบบทั่วทุกมุมโลก
    มนุษย์จะ ได้รับผลกระทบล้มตายไปเพราะอัคคีภัยเป็นจำนวนมาก
    ความร้อนจาก
    แสง แดดจะเผาเพิ่มความร้อนขึ้นหลายเท่า การจะรักษาชีวิตอยู่รอดได้นั้นยากมาก นับจากวันนี้ไป
    ความร้อนจะทวีความรุนแรงหลายเท่าตัว จะเกิดความร้อนไปทั่วทุกมุมโลก ความร้อนที่เกิดขึ้น
    จากดวงอาทิตย์บนโลก และความร้อนที่จะเกิดขึ้นในแผ่นดิน จะทำให้เกิดความร้อนระอุขึ้นทุกหน
    แห่ง มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายจะล้มตายเป็นจำนวนมาก จะหาสถานที่หลบภัยในที่ต่างๆหาได้ยาก

    ....ถ้าหากเราเป็นคนหนึ่งอยู่ ในเหตุการณ์อย่างนี้ก็จะได้รับความเดือดร้อนเหมือนคนทั่วไป ก่อให้
    เกิด อาหารภัย คือ ข้าวปลาอาหารเครื่องอุปโภคบริโภค
    จะขาดแคลนอดอยาก ตามมาด้วย โรคภัย คือภัยจากโรคต่างๆก็จะเกิดตามมา
    ในปัจจุบันมีโรคระบาด หลายชนิดที่เกิดขึ้นมาโดยบไม่ทราบสาเหตุ และยังหาวิธีรักษาไม่ได้ ซึ่งเกิด
    ขึ้น ทั้งมนุษย์และสัตว์ เช่น โรคเอดส์ โรคไข้หวัดนก โรคไข้หวัดใหญ่ โรคซาร์ เมื่อเกิดโรคภัยอย่าง
    รุนแรง จะหาหมอหายามารักษา จะหาได้ยาก

    ....เมื่อ ประสบปัญหาอาหารภัย โรคภัย ก็จะเกิดโจรภัยการจี้ปล้นเพื่อให้ได้มาซึ่งอาหาร มนุษย์จะ
    เบียดเบียนกันเอง เกิดความกลัวความหวาดระแวงในทรัพย์สิน ชีวิตของมนุษย์จะมีความเดือดร้อน
    อย่างแสนสาหัส แต่ละครอบครัวจะสูญเสียบุคคลที่เรารัก และพลัดพรากจากกันไป พ่อแม่ลูกหลาน
    ญาติ มิตร เหมือนได้ติดอยู่ในความมืด ไม่รู้ข่าวสารซึ่งกันและกัน เพราะได้หนีตายไปคนละทิศ
    ละทาง การไปมาในที่ไหน จะไม่มีความสะดวกสบายเหมือนในยุคปัจจุบัน ไฟฟ้าจะใช้ในเวลา
    ค่ำคืนก็ไม่ มี ฟืนที่จะหามาก่อไฟเพื่อบรรเทาความหนาวเย็นก็หาได้ยาก เสื้อผ้าที่จะนำมานุ่งห่ม
    ก็ขาดแคลน เรียกว่า สิ้นเนื้อประดาตัว

    ....เหตุการณ์อย่างนี้จะ มีเกิดขึ้นในภาบภาคหน้าอย่างแน่นอน ภัยธรรมชาติเหล่านี้ เมื่อไม่เกิดขึ้น
    กับ ตัวเองก็รู้สึกว่าเฉยๆเหมือนในยุคนี้ แม้มีภัยธรรมชาติได้เกิดขึ้นอยู่บ้างเราก็ไม่มีความเดือดร้อน
    ดังคำว่า ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา เพราะถือว่าไม่ได้เป็นเรื่อง
    ของเราและไม่ใช่ญาติของเรา จึงไม่มีความรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใด เพราะเข้าใจว่าเป็นเรื่อง
    ของ คึนอื่น ถ้าเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อไร จึงจะได้เกิดความรู้สึกตัว

    ....อัคคีภัยความร้อนในยุคปัจจุบันก็ เริ่มมีผลกระทบอยู่แล้ว ต่อไปจะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น
    มนุษย์จะอยู่ ด้วยความลำบากเป็นอย่างมากทีเดียว ความร้อนที่เกิดขึ้นจะหาวิธีป้องกันได้ยาก
    เพราะเป็นภัยธรรมชาติเกิด ขึ้นในตัวของมันเอง หมู่มนุษย์แม้จะมีส่วนทำให้ความร้อนของโลกนี้
    เพิ่ม พูนขึ้นอยู่บ้าง แต่ในความเป็นจริงแล้ว โลกร้อนขึ้นเพราะเปลือกโลกเสื่อมนั่นเอง

    ....อัคคีภัยความร้อนใน พื้นภิภพจะเป็นเหตุให้ภูเขาไฟเกิดการปะทุมากขึ้น ภูเขาไฟจะบวกกับ
    วาตภัย ลมก็จะกดดันให้ภูเขาไฟระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง ลาวาเถ้าถ่านก็จะฟุ้งกระจายขึ้นไปสู่อากาศ
    และตกลงมา มนุษย์ก็จะได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก จะเกิดเป็นมลพิษนานัปการ

    ....มนุษย์ จะเกิดการเจ็บป่วยล้มตาย ที่อยู่อาศัยก็จะถูกฝุ่นเถ้าจากภูเขาไฟทับถม สถานที่อาศัยที่
    ได้ถูกภัยธรรมชาติอย่างอื่นทำลายมาก่อนแล้ว ยังได้รับผลกระทบจากภูเขาไฟเพิ่มเติมซ้ำอีก
    มนุษย์จะอยู่ก็ด้วยความ ลำบาก ความทุกข์ยากก็จะเกิดตามมา จะหาสถานที่หลบภัยที่ไหนก็แทบ
    ไม่มี เพราะในช่วงนี้จะมีอากาศแปรปรวนไปทั่วทุกมุมโลก ความร้อนจากอัคคีภัยจะทำให้ภูเขาไฟ
    เกิดปะทุขึ้นหลายๆจุดต่อเนื่องกัน แต่ละวันมนุษย์จะหาที่หลบภัยจากกลิ่นไออันเป็นพิษอยู่ตลอด
    เวลา จะหาหน่วยงานใดเข้าไปช่วยเหลือนั้นเป็นของยาก มีความลำบากในการกินอยู่หลับนอน
    เนื่องจากภัยธรรมชาติหลายอย่างที่เกิด ขึ้น ประเทศใดหรือสถานที่แห่งใดไม่มีภูเขาไฟระเบิดก็ยัง
    ได้รับภัย ธรรมชาติอย่างอื่นอยู่นั่นเอง

    ....อัคคีภัยความร้อนจะมีผลกระทบต่อ คลังแสง หมายถึงอาวุธที่เป็นพิษภัยที่มนุษย์ได้สร้างเอาไว้
    มาก เช่น ระเบิดปรมาณู นิวเคลียร์ที่เป็นพิษอย่างรุนแรง หลายๆประเทศที่เก็บอาวุธเหล่านี้เอาไว้
    ในสถานที่ต่างๆ อาวุธทั้งหลายเหล่านี้เมื่อถูกความร้อนมากขึ้นก็จะเกิดการระเบิด สารพิษก็จะ
    กระจายขึ้นสู่อากาศ ลมก็จะพัดไปทั่วทุกมุมโลก มนุษย์ที่รับสารพิษเหล่านี้เกิดเป็นโรคภัยก็จะพา
    กันล้มตายเป็นจำนวนมาก ผู้ที่คิดทำอาวุธร้ายแรงนี้ขึ้น ไม่ได้คิดถึงผลกระทบที่จะเกิดตามมา
    เรื่อง อัคคีภัยอันเป็นภัยธรรมชาตินั้นอาจจคิดไม่ถึง จึงได้สร้างอาวุธที่ร้ายแรงขึ้น

    ....ปัญหาโลกร้อนในขณะนี้ มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากมนุษย์ทำให้อากาศของโลกมีความร้อน แต่
    ส่วนใหญ่ ความร้อนเกืดจากอัคคีภัยอันเป็นความร้อนจากภัยธรรมชาติเอง ดังความร้อนที่มนุษย์ได้
    รับกันอยู่ในขณะนี้ ทุกๆปีความร้อนมีแต่จะเพิ่มขึ้น ดินฟ้าอากาศก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปใน
    ทาง ที่เลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ มนุษย์จะอยู่ด้วยความลำบาก ภัยธรรมชาตินี้ จะไม่มีวิธีป้องกันได้เลย ถ้า
    หวนคิดย้อนหลังสัก ๕๐ ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน จะรู้ได้ชัดว่าความร้อนเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก และ
    จะมีความร้อนเพิ่มขึ้นทุกๆปี นี้คือมนุษย์ในยุคต่อไปจะได้รับผลกระทบเป็นอย่างยิ่ง

    ....มลพิษภัย ที่เกิดขึ้นตามมา คือ มลพิษทางน้ำ น้ำใช้ที่เกิดการปนเปื้อนสารพิษ สารเคมี และสิ่ง
    สกปรก จนเน่าเสีย ซึ่งมาจากการปนเปื้อนสารเคมีของโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ประสบปัญหา
    น้ำ ท่วมขังเป็นเวลานาน มลพิษทางอากาศ อากาศมีฝุ่นควันที่เป็นพิษปนเปื้อน เมื่อคนหายใจเข้า
    ไป ก่อให้เกิดโรคภัยและล้มตายเป็นจำนวนมาก และมลพิษจากขยะและสิ่งปฏิกูลที่มนุษย์เป็นผู้
    สร้าง ก็จะถูกน้ำพัดออกมาทำให้เน่า เกิดโรคระบาดติดเชื้อมากมาย

    ....มลพิษ เหล่านี้ จะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์อาศัยอยู่เป็นอย่างมาก จะมีผลกระทบต่อ
    ร่างกาย ทำให้เกิดเจ็บไข้เป็นโรคร้ายต่างๆตามมานานัปการ ที่ผ่านมามนุษย์ได้คิดค้นทางวิทยา
    ศาสตร์ทางเคมีที่จะนำมาใช้ให้เป็น ประโยชน์ แต่หารู้ไม่ว่า สิ่งเหล่านี้จะเกิดเป็นโทษในภายหลัง
    ทั้งสัตว์ บกและสัตว์น้ำ ยังได้รับผลกระทบดังที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ แม้มนุษย์ก็ได้รับผลกระทบอยู่
    แต่ยังไม่รู้ตัว ที่เรียกว่า ตายผ่อนส่ง

    ....มลพิษภัยเหล่า นี้มีผลกระทบต่อร่างกาย และมีผลกระทบถึงทางใจ ทำให้เกิดอารมณ์ที่หงุด
    หงิด เพราะว่าได้รับผลจากมลพิษภัยธรรมชาตินั้นเอง เมื่อ สังคมของมนุษย์ได้รับมลพิษ
    จากภัยธรรมชาติมากขึ้น อารมณ์ที่แสดงต่อกัน ล้วนแล้วแต่มีอารมณ์ที่เป็นพิษด้วยกัน
    นี้เรียกว่า
    ถึงยุค สมัยในการเปลี่ยนแปลงไปของโลก

    ....คำว่า "โลก" มีคำจำกัดความอยู่ ๓ อย่าง คือ

    ....๑. สิ่งที่มีจิตครองร่าง

    ....๒. สิ่งที่ไม่มีจิตครองร่าง

    ....๓. อากาศ

    . ทั้ง๓ อย่างนี้รวมกันจตึงเรียกว่า "โลก" จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ ภัยธรรมชาติทั้งหลายที่จะเกิดขึ้น
    ก็เพราะธรรมชาติมีความเสื่อมไปตาม อายุขัยในตัวมันเองที่เรียกว่าเปลือกโลกเสื่อม จึงได้เกิดภัย
    ธรรมชาติ ขึ้นดังที่รู้เห็นกันในปัจจุบัน และจะเกิดขึ้นต่อไปในภายหน้า ผู้ที่เกิดมาในยุคนั้นจะได้
    ประสบต่อภัยธรรมชาตินี้ต่อไป
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    จุดจบของวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี

    ...ในยุคสมัยที่พวกเราอยู่ในโลกปัจจุบันนี้ จะมีปัญญาชนที่มีความรู้ดีในหลักวิทยาศาสตร์ มีความ
    ฉลาดในอินเตอร์เน็ต คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยี มีความสามารถทำดาวเทียมขึ้นโคจรในอวกาศ
    เพื่อ เป็นสื่อถ่ายทอดข่าวสารลงมาสู่เทคโนโลยีและสื่อสารในอินเตอร์เน็ตอย่างคล่อง ตัวฉับไวใน
    การทำงาน ได้นำมาใช้เป็นประโยชน์ในสังคมยุคนี้ได้เป็นอย่างดี เรียกว่าเป็นยุคของปัญญาชนมี
    ความโดดเด่นที่สุดเช่นกัน เหตุผลที่ว่านี้ในกลุ่มปัญญาชนทั้งหลายเหล่านี้ยังศึกษาไม่ถึง จึงได้
    มอง โลกไปในทางที่ดีไปเสียทั้งหมด ส่วนความไม่ดีที่เลวร้ายไม่ได้คิดวางแผนรองรับไว้เลยนั้น
    คือภัย ธรรมชาติที่จะเกิดในยุคต่อไป

    ....หลังจากภัยธรรมชาติได้ผ่านไปแล้ว แทนที่ชีวิตความเป็นอยู่ของมวลมนุษย์จะมีความสุขสบาย
    ก็ตรงกันข้าม ชีวิตความเป็นอยู่ยิ่งย่ำแย่เลวร้ายลง จะได้รับมลพิษจากภัยธรรมชาติที่ตกค้างอยู่เป็น
    อย่างมาก ดินฟ้าอากาศจะมีการเปลี่ยนแปลงไป จะมีมลพิษภัยนานาประการได้เกิดขึ้นอย่างหลีก
    เลี่ยงไม่ได้ มนุษย์ทั้งหลายจะอยู่กันด้วยความเป็นทุกข์ มีความลำบากอย่างแสนสาหัส ทุกคน
    ต้อง ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตอยู่รอด ไม่มีใครๆช่วยเหลือกันได้

    ....ทางฝ่าย บริหารการปกครอง บ้านเมืองเหมือนได้ถูกยุบตัวลงโดยปริยาย หน่วยงานราชการ
    ทุกกระทรวง ทบวงกรม ก็ได้รับผลกระทบต่อภัยธรรมชาตินี้เช่นกัน เอกสารข้อมูลในการทำงาน
    ต่างๆ เกิดความเสียหาย ข้อมูลในอินเตอร์เน็ต เว็บไซต์ คอมพิวเตอร์ หรือเครื่องรับสัญญาณจาก
    ดาวเทียมสื่อสารต่อกันไม่ได้ เพราะดาวเทียมเองก็เกิดมีปัญหาขัดข้องในการส่งสัญญาณ ไม่ทำ
    งานสื่อสาร ลงมาสู่คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต หรือเครื่องรับสัญญาณอื่นใดได้เลย ผู้มีความรู้ในทาง
    คอมพิวเตอร์ในแผนกใดก็ตาม เมื่อสัญญาณจากดาวเทียมส่งเข้าไม่ได้ คอมพิวเตอร์ก็ทำงานไม่
    ได้ ความรู้ที่มีอยู่ก็เอาไปทำงานอะไรไม่ได้ นี้คือการทำงานสื่อสารในทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี
    ต่างๆก็จะสิ้นสุดจบลง ตรงนี้ ชีวิตความเป็นอยู่ก็จะต้องเริ่มตันใหม่ตามธรรมชาติเอง

    ....มนุษย์ ในยุคปัจจุบันนี้ ยอมรับว่ามีปัญญา ค้นคิดเอาสิ่งต่างๆมาเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกได้ดี
    คิดประดิษฐ์สื่อ อุปกรณ์ในการทำงานช่วยความจำแทนสมองเก็บความรู้เอาไว้ แต่ก็น่าเป็นห่วง ที่
    มนุษย์อ้างตัวว่าเป็นผู้มีความฉลาด แล้วเอาความรู้ความสามารถุไปฝากไว้กับคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต
    เมื่อ สัญญาณจากดาวเทียมยังทำงานได้อยู่ก็ทำงานให้สำเร็จได้ เมื่อสัญญาณดาวเทียมมีปัญหาขัดข้อง
    คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ตก็เกิดความขัดข้องเช่นกัน จะทำงานให้สำเร็จเป็นไปได้ยากหรือเป็นไป
    ไม่ได้เลย วิธีการไม่ตรงต่อเป้าหมาย จะนำมาใช้กับปัญญาความรู้ความสามารถของตัวเองไม่ได้
    ในหลักการข้อมูล ต่างๆทางหลักปฏิบัติ การเอาปัญญาความรู้ความสามารถไปฝากไว้กับคอมพิวเตอร์
    อินเตอร์ เน็ต ก็มีปัญหาไปด้วย จึงไม่สามารถดึงข้อมูลข่าวสารออกมาใช้งานได้เลย ถ้าเป็นอย่างนี้
    ความรู้ความฉลาดก็จะกลายเป็นความโง่ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

    ....ความรู้ในทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ หรือศาสตร์อื่นก็เอามาใช้งานไม่ได้ แม้แต่คณิตศาสตร์
    บวก ลบ คูณ หาร ด้วยกระดาษ ปากกาด้วยปัญญาความรู้ของตัวเองก็ทำไม่ได้ ต้องอาศัยเครื่องคิดเลข
    หรือหรือเทคโนโลยีอย่างอื่นช่วยให้ทำงานได้ แม้แต่เบอร์โทรศัพท์ก็บันทึกเก็บเข้าในเครื่องไว้ทั้งหมด
    เมื่อสัญญาณ ของดาวเทียมมีปัญหา โทรศัพท์ก็มีปัญหาไปด้วย หรือสถานที่ทำงานของราชการ
    และ เอกชนจะต้องอาศัยเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต กระแสไฟฟ้า และอาศัย
    สัญญาณของดาวเทียมช่วยให้ทำงานได้ ถ้าสิ่งเหล่านี้ถูกทำลายจากภัยธรรมชาติจนหมดสภาพไปแล้ว
    หลักการวิธีการ แผนงานที่เป็นโครงสร้างพัฒนาก็มีปัญหาตามมาเช่นกัน เมื่อในยุคนี้มีเหตุการณ์
    อย่างนี้เกิดขึ้น ความเป็นอยู่ของมนุษย์จะอยู่กันอย่างไร การพัฒนาหรือธุรกิจต่างๆเหมือนกับว่า
    ได้ปิดตัวลงแบบถาวร จากนั้นไปจะไม่มีเทคโนโลยีทุกประเภทมาประกอบสื่อในการทำงานอะไรได้เลย
    คำ ว่า "ตนแลเป็นที่พึ่งของตน" ก็จะพลอยหมดความหมายทำอะไรไม่ได้
    ความรู้ความสามารถความฉลาดจะหดหายไป จากตัวเองโดยไม่รู้ตัว จะเป็นผลกระทบในการทำงาน
    การปกครองอย่างใหญ่หลวง

    ....ในยุคนี้สมัยนี้เราได้สร้างความเจริญไว้ในโลกมีมากมายหลาย อาชีพ ได้สร้างสิ่งอำนวยความสะดวก
    สบายให้แก่ตัวเองและส่วนรวมเอาไว้ จะทำงานในแผนกใดจะทำได้อย่างรวดเร็วทันใจ ทำได้ทั้ง
    ดาวเทียมการใช้ สัญญาณสื่อสาร ทำเครื่องบิน รถ เรือ เพื่อเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทาง
    จะไปไหนมาไหนได้รวดเร็วทันใจ ตามที่ต้องการ เมื่อภัยธรรมชาติยังไม่เกิดความรุนแรง ก็พออาศัย
    ขับขี่ ไปมาได้ ในวันหนึ่งข้างหน้าเมื่อเกิดภัยธรรมชาติขึ้นรุนแรง สิ่งอำนวยความสะดวกในการไปมา
    ก็จะหมดยุคหมดสมัยไป มิใช่ว่ามนุษย์มีความรู้ดีมีปัญญาที่ฉลาดมีความสามารถจะรักษาไว้ได้
    ตัว ภัยธรรมชาตินั้นเองจะเป็นตัวตัดสินชี้ขาดแทนมนุษย์อยู่แล้ว เพราะเทคโนโลยีที่มนุษย์คิดขึ้นมา
    ใช้งาน จะเป็นเพียงบางยุคบางสมัยเท่านั้น ถ้าได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของโลกว่ามีความเป็นอยู่และ
    เป็นมาอย่างไร ก็ไม่ปรากฏว่ามีเทคโนโลยีที่ก้าวไกลเหมือนในยุคปัจจุบัน ฉะนั้น มนุษย์ไม่ควรลืมตัวว่า
    สิ่งที่ตัวเอง สร้างขึ้นใช่ว่าจะอยู่ถาวรตลอดไป เพราะในทุกอย่างที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ หรือเกิด
    ขึ้นจากความสามารถของมนุษย์สร้างขึ้นมาก็ตาม ทุกอย่างจะต้องตกอยู่ในความเปลี่ยนแปลงไป
    ตามยุคสมัยนั้นๆ


    ....เมื่อวาตภัย อุทกภัย อัคคีภัย และภัยต่างๆ ได้ทำลายในสิ่งอำนวยความสะดวกที่มนุษย์ได้สร้างขึ้น
    ให้หมดไปแล้ว หมู่มนุษย์ในยุคนั้นก็จะเหลืออยู่น้อยและอยู่กันเหมือนเศษมนุษย์เดนตาย จะพากัน
    อยู่สถานที่ใดก็หาเลี้ยงชีพพอให้มีชีวิตอยู่ได้ไปวันต่อวัน ไม่มีความคิดในการเสริมสร้างพัฒนา
    ความเจริญในทางโลก ไม่มีความเจริญในทางพัฒนาแต่อย่างใด การไปมาหาสู่ซึ่งกันและกันต่าง
    สถาน ที่ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทางเหมือนในยุคปัจจุบัน จะส่งข่างสารต่อกันด้วยวิธีใด
    ก็จะทำไม่ได้ว่าใครพากันอยู่ที่เมืองอะไร อยู่ที่ไหนจะไม่รู้กัน จึงเป็นต่างกลุ่มต่างอยู่ ไม่รู้กันว่าใคร
    เป็น ญาติของใคร พี่น้องอยู่ที่ไหนจะไม่รู้กัน

    ....แม้แต่การศึกษาหาความ รู้ในหลักวิธีการต่างๆ ก็ไม่มีครูผู้ให้คำแนะนำสั่งสอน จะอ่านหนังสือไม่ได้
    เขียนหนังสือไม่ได้ ต่างคนต่างกลุ่มทำมาหากินเท่านั้น ถ้าจะดูประวัติศาสตร์ประกอบเพื่อเป็นพยาน
    หลักฐาน ก็ให้ดูประวัติแต่ละประเทศว่ามีความเป็นมาอย่างไร ทำไมตัวหนังสือไม่เหมือนกัน ทั้ง
    ภาษาสื่อต่อกันแต่ละประเทศก็พูดกันไม่ รู้เรื่อง ก็เพราะครั้งก่อนได้ประสบภัยธรรมชาติ ที่เดนตาย
    ก็เกาะกัย เป็นกลุ่ม นานๆเข้าเป็นกลุ่มใหญ่ กลายเป็นประเทศจึงแตกต่างกันทางภาษา

    ....ที่ ข้าพเจ้าได้อธิบายเรื่องภัยธรรมชาติให้ท่านรู้ ก็เพราะมีหลักฐานในประวัติศาสตร์ที่มีความ
    แตกต่างกัน เรื่องภาษา ตัวหนังสือ วัฒนธรรม ประเพณี ที่เหมือนกันบ้าง ต่างกันบ้าง นับจากถูกภัย
    ธรรมชาติ ในยุคนั้นผ่านมาอีกยาวนานจนกว่าจะเกาะกลุ่มกันได้ จึงได้ตั้งสื่อภาษาเป็นของตัวเองขึ้น
    เพื่อสื่อสารต่อกัน จนกลายเป็นประเทศในปัจจุบัน มีประเทศใหญ่บ้างประเทศเล็กบ้างตามประชากร
    ของ แต่ละประเทศนั้นๆ แต่ละประเทศจะมีภาษากลางของแต่ละประเทศในการสื่อสารกัน แต่ละ
    ประเทศก็มีชนเผ่าหลายกลุ่มผนวกไว้ด้วยกัน แต่ละเผ่าก็มีภาษาเป็นของตัวเอง พูดเฉพาะในกลุ่ม
    ของตัวเอง แต่ก็ต้องศึกษาภาษากลางของประเทศตัวเองเพื่อสื่อสารกันเอาไว้ หลายๆชนเผ่าที่เล็กๆ
    ก็หลงลืมในภาษาเผ่าของตัวเอง เพราะเคยชินต่อภาษาของประเทศจนลืมตัว ภาษากลางแต่ละ
    ประเทศจะพูดไม่ เหมือนกัน ถึงความหมายจะเหมือนกันแต่สื่อในการพูดจะไม่เหมือนกัน ส่วนภาษา
    กลาง ของโลกใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักจะสื่อสารกันได้ทั่วโลก
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    บทสรุป

    ....ที่ข้าพเจ้าได้อธิบายประวัติศาสตร์ในพุทธวงศ์ คือวงศ์ของพระพุทธเจ้า และประวัติอายุขัยของ
    มนุษย์ มีขาขึ้นขาลงดังที่อธิบายไว้แล้ว และเรื่องภัยธรรมชาติ ก็ได้อธิบายไว้แล้วเช่นกัน ท่านผู้
    อ่านทั้งหลายที่มีการศึกษามากและมี การศึกษาน้อย หรือผู้ไม่เคยศึกษาในประวัติศาสตร์เหล่านี้
    หลายๆท่านต้อง คิดกันหนักพอสมควร ว่าเรื่องเหล่านี้จะพอเชื่อถือได้แค่ไหน หรือไม่เชื่อเลยก็
    เป็นได้

    ....เฉพาะเรื่องภัยธรรมชาติ บางคนไม่เชื่อเลยว่าจะเกิดขึ้น บางคนอาจจะเชื่ออยู่บ้างแต่คิดว่ากว่า
    จะ เกิดขึ้นอีกนาน หากตายไปก่อนแล้วจะไม่ได้เจอไม่มีผลกระทบกับตัวเอง ให้ท่านคิดต่อไป
    อีกว่าเชื่อในผลของกรรมหรือไม่ และเชื่อในภพชาติการเกิดใหม่หรือไม่ เมื่อจิตยังมีกิเลสตัณหา
    เป็นเชื้อ พาให้มาเกิด จิตก็ต้องกลับมาเกิดเป็นชาติใหม่ได้ เมื่อได้มาเกิดในชาติใหม่ก็จะได้เจอ
    ต่อภัยธรรมชาตินี้อีกมิใช่หรือ เรื่องความไม่เชื่อต่อผลกรรมดีกรรมชั่ว เรื่องไม่เชื่อในภพชาติใน
    การ เกิดใหม่ ความไม่เชื่อในเรื่องอย่างนี้นั้น เป็นความเห็นเฉพาะตัวเท่านั้น ในหลักสัจธรรมความ
    จริงจะเป็นสิ่งตายตัว ไม่เป็นไปตามความเห็นตามที่เรามีความเข้าใจอยู่นั่นเอง

    ....ความ เห็นของหมู่มนุษย์ในอดีตมีความแตกต่างกันอยู่แล้ว ในยุคปัจจุบันหรืออนาคตภายภาค
    หน้า ความเห็นของมนุษย์ก็จะมีความแตกต่างกันตลอดไป ใครจะมีความเห็นผิดใครจะมีความเห็น
    ถูกเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ เช่นนับถือศาสนาต่างกัน นับถือพระเจ้าคนละองค์ ความเห็นยก็มี
    ความแตก ต่างกันอยู่บ้าง ขึ้นอยู่กับนำสื่อคำสอนของพระเจ้ามาตีความเพื่อให้เกิดความเชื่อ ใคร
    เชื่อ ในคำสอนของพระเจ้าอย่างไรก็ปฏิบัติกันไป หรือนับถือศาสนาอะไรก็ได้ เรื่องบาปบุญคุณ
    โทษ ตายไปจะเกิดใหม่หรือไม่เกิด ก็จะไม่สนใจในสิ่งเหล่านี้

    ....ถึงจะไม่เชื่อในสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ เป็นไร ข้อสำคัญให้เราทำดีเอาไว้ในชีวิตนี้ก็แล้วกัน เพราะการ
    ทำดีการ พูดดีและมีความเห็นที่เป็นธัมมาธิปไตยนี้ต่างหากที่จะเป็นเส้นทางให้จิตจะ ต้องได้รับผล
    ในทางที่ดี ถ้ามีความเห็นเป็นอัตตาธิปไตย ในทุกเรื่องจะเข้าข้างตัวเอง จะเป็นเหตุให้เกิดปัญหา
    แก่ตัวเองและสังคม ส่วยรวม ที่เรียกร้องความสมานฉันท์ความรักสามัคคีให้เกิดขึ้น แต่ไม่หยุด
    ความ ก้าวร้าว กล่าวคำนินทาว่าร้ายซึ่งกันและกัน จะให้ความสมานฉันท์เกิดขึ้นได้อย่างไรเล่า นี้
    คือเอาอัตตาธิปไตยมาเป็น หลักยืนโดยไม่รู้ตัว ความสมานฉันท์ในกลุ่มน้อยกลุ่มใหญ่จึงเป็นไปได้
    ยาก หรือเป็นไปไม่ได้เลย

    ....การศึกษาไม่ควรผูกขาดในใบประกาศนียบัตร ว่าจบในระดับนั้นระดับนี้มาจึงจะเชื่อถือได้ ที่จริง
    ใบประกาศนียบัตร เป็นเพียงหลักฐานยืนยันในวุฒิการศึกษาเท่านั้น หรือจำกัดว่าผู้มีความรู้มากมี
    ความรู้น้อยในสาขาอาชีพนั้นๆ สำหรับความผิดถูกชั่วดี จะเอาวุฒิการศึกษา
    มา เป็นตัวตัดสินไม่ได้ เพราะความผิดถูกชั่วดีเป็นผลที่เกิดจากความเห็น


    ....ถ้ามีความเห็นผิด จะจบการศึกษาในระดับไหนมาก็ลบล้างความเห็นผิดไม่ได้ หนำซ้ำความรู้
    ยัง เป็นตัวหนุนให้เกิดความเห็นผิดเพิ่มขึ้นไปอีก ถ้ามีความเห็นถูก ถึงจะมีความรู้น้อยความรู้มาก
    ก็เป็นประโยชน์มีคุณค่าให้แก่ตัวเองและ สังคมส่วนรวมได้ หรือผู้ไม่มีความรู้ทางหลักวิชาการในภาค
    การศึกษามา แต่ใจมีความรักความสงสารในหมู่คณะ เป็นผู้ไม่เห็นแก่ตัว มีความเห็นใจและเข้าใจ
    คนอื่น เพียงเท่านี้ความสมานฉันท์ก็เริ่มตั้งหลักได้แล้ว เมื่อตั้งหลักของเหตุปัจจัยในคำว่าสมานฉันท์
    ไม่ถูกต้องและเข้าข้างตัว เอง ความรักสามัคคีความสมานฉันท์จะเกิดขึ้นได้ยาก เพราะไปเอาความรู้
    เอา วุฒิในการศึกษามาประกอบอัตตาของตัวเอง แล้วไปเรียกร้องเอาความถูกต้องชอบธรรมให้เกิดขึ้น
    ในสังคม ในใจตัวเองยังมีอคติ สมานฉันท์จึงเกิดขึ้นไม่ได้

    ....คำสอนของพระ พุทธเจ้าหลายหมวดหมู่มีเหตุผลเชื่อถือได้ ข้าพเจ้าได้นำประวัติพุทธวงศ์ ประวัติ
    ของอายุขัยของมนุษย์ และภัยธรรมชาติ ทั้ง ๓ หมวดนี้ นำมาอธิบายโดยย่อพอให้เข้าใจอยู่บ้าง
    เฉพาะเรื่องภัยธรรมชาติให้เรา สังเกตติดตามดูให้ดี ว่าภัยธรรมชาติทั้ง ๘ จุดนั้นเป็นอย่างไร ในอดีต
    จน ถึงปัจจุบันภัยธรรมชาติเกิดขึ้นอย่างไร นับแต่ปัจจุบันไปสู่อนาคต ต่อไปจะมีภัยธรรมชาติเกิดขึ้น
    อย่างไรบ้าง

    ....ภัยธรรมชาติที่ เกิดขึ้นในประเทศไทย ก็ให้รับฟังจากกรมอุตุนิยมวิทยาเตือนภัยไว้บ้าง เฉพาะต่าง
    ประเทศ หลายๆประเทศที่ได้ประสบภัยธรรมชาตินับแต่จะมีความรุนแรงมากขึ้น มนุษย์จะได้รบผล
    กระทบอย่างมาก

    ....มนุษย์มีส่วนทำให้ภัย ธรรมชาติเกิดอยู่บ้าง เช่น อาหารภัย ภัยที่ใช้สารเคมีมาเป็นปุ๋ยในพืชผล และ
    ปรุงอาหารชัดเจนอยู่แล้ว ส่วนใหญ่ภัยธรรมชาติจะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยในตัวของมันเอง จะมีผล
    กระทบ ต่อร่างกายและมีผลกระทบเข้าหาใจได้ ถ้าร่างกายเกิดวิบัติจากสิ่งต่างๆมีความเจ็บไข้อย่างไร
    ใจก็จะได้รับ ความทุกข์ไปด้วย เป็นอันว่ามนุษย์ทั้งหลายมาเกิดท่ามกลางภัยธรรมชาติอยู่แล้ว ดัง
    คำว่า เกิดขึ้นในเบื้องต้น ตั้งอยู่ได้ชั่วขณะ แล้วแตกสลายตายไป เรียกว่าเวียนเกิดเวียนตาย
    ในภพทั้งสาม

    ....การ เกิดมาในโลกนี้ ผู้ที่ไม่ทำกรรมไม่มีในโลก แต่ใครจะทำกรรมดีกรรมชั่ว
    มากกว่า กันเท่านั้น โลกมนุษย์นี้เป็นศูนย์กลาง เป็นสถานที่สร้างกรรม เมื่อตายแล้วกรรมจะเป็นตัวนำพา
    ให้ไปเกิดในภพอื่น หมุนเวียนไปมาเป็นวัฏจักรไม่มีที่จบสิ้น เมื่อผลกรรมหมดลง ก็จะได้มาเกิดในโลก
    มนุษย์ เพื่อสร้างกรรมอีกต่อไป และได้เจอต่อภัยธรรมชาติของโลกนี้อีก จะเป็นอยู่อย่างนี้เรื่อยไป

    ....เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้ต้องตั้งสติให้ดี ใช้ปัญญารอบรู้เท่าทันในความเป็นอยู่ของโลกนี้ให้ได้
    ในยุคต่อไป ในช่วง ๖ พันกว่าปีข้างหน้า จะมีภัยธรรมชาติเกิดขึ้นอย่างรุนแรง ทางที่ดีเราควรหาวิธี
    เว้นวรรคในการเกิดชั่วขณะหนึ่ง
    เมื่อหมดยุคที่มนุษย์มีอายุขัย ๑๐ ปีไปแล้ว จะมีการเปลี่ยนแปลง
    เป็น สังคมยุคใหม่ ภัยธรรมชาติจะสิ้นสุดลงในยุคนั้น สภาพความเป็นอยู่จะมีความสมบูรณ์ มนูษย์จะมี
    อายุขัยเพิ่มขึ้นดังที่ได้ อธิบายมาแล้ว เราจะเกิดมาเกิดใหม่ในยุคนั้น สมควรที่จะมาเกิดได้ เพราะในยุคนั้น
    เป็นยุคของผู้มีบุญจะลงมาเกิดร่วมกัน ชีวิตความเป็นอยู่จะมีความสุข ฝนฟ้าจะตกต้องตามฤดูกาล

    ....ใครจะ เชื่อหรือไม่เชื่ออย่างไร ถือว่าเป็นกรรมของสัตว์โลก ช่วยเหลือไม่ได้ ข้าพเจ้าได้ศึกษามา
    และได้สังเกตภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในอดีต และมีแนวโน้มที่จะเกิดเป็นภัยธรรมชาติในอนาคตนั้น
    มีสูง จึงได้บอกเตือนเอาไว้ว่าจะหาวิธีป้องกันตัวเองได้อย่างไร มิใช่ว่าเมื่อภัยธรรมชาติเกิดขึ้นถึงตัว
    แล้วจึงตื่นตัว จะตั้งหลักก็ไม่ทัน ปัญหาต่างๆก็เกิดตามมา จะหาที่หลบซ่อนตัวก็ไม่ทันต่อเหตุการณ์
    อย่าไปคิดว่าภัยธรรมชาตินี้เป็น เรื่องไกลตัว หลายๆประเทศ ภัยธรรมชาติได้เกิดขึ้นมีผลกระทบต่อมนุษย์
    มาก ทีเดียว เราคนหนึ่งจะต้องได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาตินี้ในยุคต่อไป วาตภัย อุทกภัย อัคคีภัย
    ธรณีภัย มลพิษภัย โรคภัย อาหารภัย โจรภัย ภัยทั้ง ๘ นี้จะมีอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่าง เราจะ
    ต้องได้รับผลกระทบอย่าง หลีกเลี่ยงไม่ได้ จะหาวิธีป้องกันอย่างไรที่จะผ่อนหนักให้เป็นเบา เพื่อให้
    ชีวิต อยู่รอด พวกเราทั้งหลายจงอย่าประมาท ให้มีความกลัวต่อธรรมชาตินี้เอาไว้

    ....ใน เหตุการณ์หนึ่ง ที่คนทั่วโลกเริ่มตระหนักและพูดถึงกันอยู่มาก นั่นคือ "โลกร้อน" ก้อนน้ำแข็ง
    ที่ขั้วโลก เหนือจะละลาย ทำให้เพิ่มปริมาณของน้ำทะเลมากขึ้น น้ำทะเลก็จะท่วมในสถานที่ต่างๆตาม
    ชายฝั่ง อาคารบ้านเรือนจะเกิดความเสียหาย มนุษย์จะล้มตายเป็นจำนวนมาก นี้เป็นส่วนหนึ่ง ให้เรา
    พากันรับฟังข่าวสารของโลกเอาไว้

    ....ข้าพเจ้า ได้รับฟังข่าวเรื่องโลกร้อนและก้อนน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือละลายเช่นกัน ในปีพ.ศ. ๒๕๕๐
    ข้าพเจ้าได้ไปประเทศสหรัฐอเมริกา มีเวลาได้ไปดูก้อนน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือในเขตอล้าสก้า นั่งเรือ
    ไปหลาย ชั่วโมงกว่าจะถึงก้อนน้ำแข็งนั้น ข้พเจ้าก็ได้ข้อคิดว่า อันน้ำแข็งนี้จะละลายจริงหรือไม่ ก้อนหิมะ
    ขนาดใหญ่เท่าภูเขาหลายลูกขาว โพลนอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร เรียกว่า ภูเขาหิมะ ที่สะสมกันมาหลาย
    พันปี มีอากาศหนาวเย็น จึงมีหิมะตกลงมาเป็นกลุ่มก้อน เมื่อความร้อนของโลกเพิ่มขึ้นจึงทำให้ก้อน
    ภูเขาหิมะเกิดพังทลายเสียง ดังสนั่นท่ามกลางมหาสมุทร ก้อนน้ำแข็งลอยพันเป็นแพขาวโพลนในสถาน
    ที่ แห่งนั้น

    ....ข้าพเจ้าได้สังเกตดูว่า ที่ว่าก้อนน้ำแข็งจะกระทบความร้อนแล้วละลายทำให้น้ำทะเลเอ่อท่วมโลกนั้น
    เมื่อ สังเกตดูเหตุการณ์แล้ว คงไม่ถึงขั้นที่จะเกิดน้ำท่วมโลกแต่อย่างใด ถึงจะมีอยู่บ้างก็จะท่วมเฉพาะ
    บางพื้นที่เท่านั้น เพราะก้อนน้ำแข็งนั้นจะถูกความร้อนแผดเผา ไอของน้ำแข็งก็จะแห้งหายไปตามความ
    ร้อนนั้น มีส่วนหนึ่งก็จะทำให้น้ำทะเลเพิ่มขึ้น แต่จะไม่ทำให้น้ำท่วมโลกตามที่ฝรั่งได้คำนวนเอาไว้
    ข้าพเจ้าได้ไปดูด้วย ตาตัวเอง จึงได้นำมาบอกกล่าวให้ท่านรับรู้เอาไว้เท่านั้น

    ....ใน เหตุการณ์อย่างนี้ ถ้าเกิดมีวาตภัยเกิดลมแปรปรวนอย่างรุนแรง อุทกภัยมีฝนตกลงมาอย่างหนัก
    ทั้งลมทั้งฝนได้เกิดขึ้นพร้อมกันอย่าง รุนแรง ก้อนน้ำแข็งที่ถูกความร้อนแผดเผาจะละลายกลายเป็นน้ำ
    มากขึ้น ก็จะเกิดเป็นภัยธรรมชาติ ถ้าลมได้เกิดขึ้นเป็นบริเวณกว้าง มีฝนตกในหลายพื้นที่ ก็จะมีผลกระทบ
    อย่างรุนแรง

    ....อล้าสก้า เดิมเป็นพื้นแผ่นดินของรัสเซีย มีพื้นที่อันกว้างใหญ่ ส่วนมากเป็นภูเขา มีชนเผ่าหนึ่งที่อาศัย
    อยู่ชื่อว่า เผ่าเอสกิโม มีอาชีพชาวประมง เป็นเกาะขนาดใหญ่มีต้นไม้ภูเขาที่อุดมสมบูรณ์ มีภูเขาที่เป็น
    หยกเขียว หยกสีชมพู หยกแดงมากมาย และมีแร่ทองคำ มีน้ำมัน และมีแร่ธาตุอย่างอื่นอีก เรียกว่า
    เป็นพื้นที่มีทรัพยากรที่มีความอุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งของโลก มีพื้นที่ขนาดใหญ่กว่าประเทศไทย ๓ เท่า
    อากาศจะมีร้อนกับหนาว จะมีร้อนอยู่ ๔ เดือน มีหนาวอยู่ ๘ เดือน จะปลูกพืชผักไม่ได้เพราะมีอากาศ
    หนาว ติดต่อกันนาน อาหารจึงมีราคาสูง เพราะมาจากหสหรัฐอเมริกา แคนาดา มีหลายประเทศที่ส่งเข้า
    มาขาย ระยะเวลานั่งเครื่องบินจากเมืองซีแอตเติ้ลไปอล้าสก้า ใช้เวลาบิน ๓ ชั่วโมง เครื่องบินจะมีรูป
    คนเผ่าเอสกิโมในหางเครื่องบินทุกลำเพื่อเป็นอนุสรณ์ ของชนเผ่า

    ....อล้าสก้าเป็นพื้นที่ของรัสเซียมาก่อน ทางรัสเซียมีปัญหาทางบริหารในการพัฒนา ในสมัยพระเจ้า
    อเล็กซานเดอร์ที่ ๒ ของรัสเซีย ได้ขายที่ดินนี้ให้ประเทศสหรัฐอเมริกาในสมัยประธานาธิบดีแอนดรูว์
    จอห์น สัน (Andrew Johnson) ค.ศ. ๑๘๖๗ โดยนายวิลเลี่ยม เอช ซูเวิร์ด(William H. Seward)
    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ได้ลงนามในสัญญาซื้อดินแดนอล้าสก้า
    ราคาซื้อขายกันในสมัยนั้น ๗.๒ ล้านเหรียญสหรัฐ อล้าสก้าถึงเวลาหน้าหนาวจะมีความหนาวเย็นมาก
    เมื่อถึง ฤดูร้อนก็มีความร้อนมากเช่นกัน ตะวันขึ้นลงที่อลาสก้าจะขึ้นและตกมีความแตกตื่นในที่อื่นๆ ใน
    ช่วงเดือน พฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม จะมีความสว่างอยู่ตลอดเวลา ไม่มีเวลาค่ำมืดเปิดไฟฟ้าแต่อย่างใด
    ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนกุมภาพันธ์ ก็จะมีความมืดเปิดไฟฟ้าอยู่ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน
    จะดูเวลากลาง วันกลางคืนก็ต้องดูนาฬิกา AM - PM เท่านั้น จึงจะรู้ว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืนได้ ในคืน
    หนึ่งมีคณะญาติโยมพา ข้าพเจ้าไปชมภูเขาสูง ขณะนั้นเวลา ตี ๒ ความสว่างเท่ากับก้อนเมฆปิดบังตะวัน
    วิ่งรถไม่ต้องเปิดไฟ สถานที่แห่งนั้นเป็นภูเขาสูง นั่งรถไป ๒ ชั่วโมง ตะวันตกที่เรียกว่าแสงออร่า เป็นแสง
    สะท้อนจากดวงอาทิตย์ที่หมุนตัวกลับ ที่เดิม คนที่พาข้าพเจ้าไปพูดว่าไม่เคยมาในที่แห่งนี้ ที่มาได้ก็เพราะ
    ดู แผนที่ เขาพูดว่า มีพระองค์เดียวคือหลวงพ่อทูลเท่านั้น ที่ได้ขึ้นมาจุดสูงสุดของขั้วโลกเหนือ ข้าพเจ้า
    ได้เล่าให้ฟังเพียงบาง ส่วนเท่านั้น และมีเรื่องอื่นๆอีกมากมาย ขอให้ท่านไปดูด้วยตนเองก็แล้วกัน

    ....เดือน กรกฎาคม ๒๕๕๐ ข้าพเจ้าได้ไปที่เมืองแฟร์แบ้งค์ รัฐอลาสก้า ซึ่งคุณละอองดาวและครอบครัว
    ได้เปิดร้านอาหารชื่อ ไทยเฮ้าส์ (Thai House Restaurant) เป็นร้านอาหารขนาดใหญ่ มีคนเข้าไป
    รับประทานอาหารแต่ ละวันเป็นจำนวนมาก เพราะอาหารอร่อย นี้เป็นจุดแรกที่ไปพักที่เมืองนี้ ซึ่งมีคณะ
    ลูกศิษย์และคณะศรัทธาเป็นจำนวนมากให้การต้อนรับ พาไปเที่ยวชมดูสถานที่ต่างๆ

    ....จากนั้นได้บินต่อไปที่เมืองแองโค เร้จ คณะลูกศิษย์ได้พาไปเที่ยวดูก้อนหิมะที่ขาวโพลนปกคลุมอยู่บน
    ภูเขา ในช่วงนี้ก้อนหิมะกำลังพังทลายลงสู่ทะเล จากนั้ได้ลงเรือขนาดใหญ่บรรจุคนได้ประมาณ ๓๐๐ คน
    ใช้เวลาเดินทาง ๕ ชั่วโมง นี้เป็นส่วนหนึ่งที่มีก้อนหิมะกำลังละลาย ในอีกส่วนหนึ่งเป็นก้อนหิมะขนาดใหญ่
    ที่ขั้วโลกเหนือ ที่ฝรั่งพูดว่ากำลังพังทลายจะทำให้น้ำทะเลเพิ่มปริมาณขึ้นจนเกิดน้ำท่วม ก้อนหิมะนี้ได้เกาะ
    กันอยู่มายาวนานหลายพันปี เป็นก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่กว่าภูเขา

    ....ข้าพเจ้าอยากไปดูว่าจะละลาย กลายเป็นน้ำท่วมโลกหรือไม่ ทางฝรั่งเขาว่ามีอันตรายในการเดินทาง เรือ
    ใหญ่ ธรรมดาไม่สามารถเดินทางไปได้ เพราะก้อนหิมะแตกกระจัดกระจายไปทั่วตามน้ำทะเลเต็มไปหมด
    เรือจะเดินผ่าน ลำบาก และเข้าไปใกล้ไม่ได้ เพราะก้อนน้ำแข็งกำลังพังทลาย และเกิดลมแปรปรวนที่
    รุนแรง ไม่มีสถานที่ปลอดภัย ระยะทางก็ไกล ใช้เวลาเดินทางไปกลับ ๑๖ ชั่วโมง เมื่อดูหนังที่เขาฉาย
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    เมื่อดูหนังที่เขาฉาย ให้ดูภูเขาน้ำแข็งนี้ ก็เป็นที่น่ากลัว เมื่อพิจารณาดูด้วยเหตุผลว่าจะมีน้ำท่วมโลกจริงหรือไม่
    ให้ คำตอบได้เลยว่า "น้ำจะไม่ท่วมโลกตามคำฝรั่งที่พูดกัน" เพราะก้อนน้ำแข็งถูกอากาศร้อนแผดเผาละลายออก
    จากกัน ส่วนหนึ่งก็จะกลายเป็นน้ำ อีกส่วนหนึ่งก็จะเกิดไอระเหยตามความร้อนไป จะไม่ทำให้น้ำท่วมโลกได้

    ข้าพเจ้าได้ไปอเมริกาครั้งแรกในปีพ.ศ. ๒๕๓๐ ได้ไปศึกษาดูภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น เฉพาะวาตภัยในอดีต
    ที่ผ่านมา มีลมทอร์นาโดได้เกิดขึ้นแต่ละปีไม่กี่ครั้ง ลมเกิดขึ้นแต่ละครั้งทำความเสียหายให้แก่บ้านเรือนเป็น
    อย่างมาก ข้าพเจ้าไปทุกปี แต่ละปีมีลมทอร์นาโดเกิดขึ้นปีละหลายๆครั้งและจะเกิดมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิด
    ความเสียหายเป็นอันตรายในความเป็นอยู่ของมวลมนุษย์ทั้หลาย

    ....หลายๆ ประเทศที่ถูกลมทำลายอย่างมากมาย ในสมัยก่อนเกิดลมขึ้นปีละ ๓ - ๔ ครั้ง ต่อมามีลมเกิดขึ้น
    ปีละ ๒๐ - ๓๐ ครั้ง ในบางปีเกิดขึ้น ๑๐๐ ครั้ง นี้เรียกว่าอากาศของโลกกำลังแปรปรวน ทั้งลมก็เกิดมากขึ้น
    น้ำก็ท่วมใน หลายพื้นที่ จึงเป็นแนวโน้มที่จะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น ข้าพเจ้าจึงเขียนเรื่องภัยธรรมชาติที่จะเกิด
    ขึ้นในภายภาคหน้าให้ท่าน ได้ศึกษาเอาไว้ จะอธิบายไว้ไม่ละเอียด และทั้งหมดคิดว่าท่านผู้อ่านพอจะเข้าใจ
    เหตุการณ์ อย่างนี้จะเกิดมีในโลกอย่างแน่นอน หลายๆประเทศกำลังคิดหาวิธีป้องกันลมป้องกันน้ำท่วม และ
    ป้องกันโลกร้อน การจะอาศัยเทคโนโลยีอันทันสมัยในหลักวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยนั้น จึงเป็นของยาก
    ที่จะป้องกันได้ เพราะภัยธรรมชาตินี้ไม่มีสิ่งใดห้ามได้


    ....ที่ข้าพเจ้าได้อธิบายในเรื่องภัยธรรมชาตินี้ ก็เพื่อเตือนสติไม่ให้ประมาท ให้ตื่นตัวอยู่เสมอ ว่าอีกวันหนึ่ง
    ข้าง หน้าเราต้องเจอต่อภัยธรรมชาตินี้อย่างแน่นอน เพราะเราได้มาเกิดในยุคสมัยที่โลกกำลังแปรปรวน หรือ
    มาเกิดในยุคเปลือก โลกเสื่อม ไม่ควรที่จะไปกล่าวโทษต่อภัย ธรรมชาตินี้ ต้องโทษตัวเองว่า เรามาเกิดใน
    ในยุคนี้ทำไม เราต้องทำใจยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น
    เพราะโลกเป็นอย่างนี้โดยธรรมชาติในตัวของมันเอง
    อย่าไปเชื่อมั่นใน เทคโนโลยีและหลักวิทยาศาสตร์จนลืมตัว สิ่งเหล่านี้มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวก
    ในชั่วระยะเวลาหนึ่ง เท่านั้น เมื่อถึงกาลเวลาของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป หลักวิชาการต่างๆก็ไม่สามารถช่วยเราได้เลย

    ....ข้าพเจ้าขออภัยท่าน ผู้รู้ทั้งหลายเอาไว้ในที่นี้ หากมีประโยคที่บกพร่องไม่เหมือนกับที่ท่านได้ศึกษามา คิดว่า
    ท่านคงไม่ ติดใจ เพราะข้าพเจ้ามีความรู้น้อย คิดว่าท่านผู้รู้ทั้งหลายคงให้อภัย


    www.watpabankor.com/webboard/index.php?topic=6.0
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2009
  12. wvichakorn

    wvichakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    3,684
    ค่าพลัง:
    +9,239
    "พระพุทธเจ้าได้ ค้นพบหลักสัจธรรมในหมู่มนุษย์
    แล้วสอนให้ทุกคนดูสัจธรรมที่มีอยู่ในตัวเอง
    ว่าทุกอย่างมีความเป็นจริงอย่างนี้
    ด้วยสติปัญญาเฉพาะตัว"

    ขออนุโมทนาค่ะ
     
  13. ฤาษีท้ายเรือ

    ฤาษีท้ายเรือ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    294
    ค่าพลัง:
    +1,991
  14. center-in-center

    center-in-center เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2009
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,717
    "ยุคนี้มีผู้เขียนวิธีการปฏิบัติเอาไว้ มีหลายวิธีด้วยกัน หนังสือแต่ละเล่มก็ได้อ้างอิงว่าเป็นคำสอน
    ของพระพุทธเจ้าด้วยกันทั้ง นั้น ทำให้หลายคนในยุคนี้เกิดความสับสน การปฏิบัติจะเอาวิธีไหนกันแน่
    จึง เกิดความลังเลไม่แน่ใจ ผู้ปฏิบัติธรรมในยุคนี้ส่วนมากจะมีความเห็นว่าต้องเริ่มต้นจากการทำสมาธิ ก่อน
    และสอนกันอย่างนี้เป็นจำนวนมาก สอนกันว่า นั่งสมาธิไปเถอะเมื่อจิตมีความสงบแล้วจะมีปัญญา
    เกิดขึ้นเอง นี้เป็นคำสอนที่ไร้เหตุผล ผู้สอนไม่ได้อ่านประวัติพระพุทธเจ้าเลย หรืออ่านอยู่ก็ตีความ
    ในคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ถูกต้อง ไม่เป็นไปตามแนวทางในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสเอาไว้
    ....เช่นในความ หมายที่ว่า นั่งสมาธิให้จิตมีความสงบแล้ว ปัญญาจะเกิดขึ้นนั้น ในวิธีการสอนอย่างนี้
    ไม่มีตัวอย่างในสมัยครั้ง พุทธกาลเลย พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนใครในที่ไหนแต่อย่างใด

    ทำไม ในยุคนี้จึงสอนกันในลักษณะนี้ ผู้สอนอาจได้ไปอ่านประวัติตอนที่พระองค์ไปทำสมาธิอยู่กับ
    ดาบสทั้งสอง แล้วตีความหมายไปว่า พระพุทธเจ้าทำสมาธิก่อนอย่างนี้หรือ ที่พระองค์ทำสมาธิมาก่อน
    ก็จริง แต่เมื่อจิตของพระองค์มีความสงบเป็นสมาธิอย่างเต็มที่แล้วปัญญาของพระองค์ก็ ไม่ได้เกิดขึ้น
    แต่อย่างใด ทำไมการทำสมาธิของพวกเราในยุคนี้จะมีความสงบอันยิ่งใหญ่ ยิ่งไปกว่าพระพุทธองค์
    ปัญญาจะเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ การตีความหมายในคำสอนของพระพุทธเจ้าสับสนโยงกันไปโยงกันมา
    จึงได้เกิด ปัญหาแก่ผู้ปฏิบัติทั้งหลายในยุคปัจจุบัน

    ....การภาวนาปฏิบัติทุกคน ก็ว่าจะทำตามเยี่ยงอย่างในคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อภาวนาปฏิบัติจริง
    กลับ ไม่เป็นไปตามคำสอนของพระองค์แต่อย่างใด แต่ไปเอาเยี่ยงอย่างของพวกดาบสฤาษีกันทั้งนั้น
    มีดาบสฤาษีองค์ไหนที่ทำ สมาธิให้จิตมีความสงบแล้วมีปัญญาเกิดขึ้นบ้างเล่า ถึงพระองค์จะเคยทำ
    สมาธิ มาก่อนในช่วงนั้นพระองค์ก็ยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแต่อย่างใด ในนามก็เป็นพระสิทธัตถะ
    ภิกขุเท่านั้น แม้พระองค์ได้บำเพ็ญปัญญาบารมีมาแล้วอย่างสมบูรณ์ เมื่อพระองค์ทำสมาธิจิตมีความสงบ
    ถึงที่สุดแล้ว ปัญญาที่พระองค์เคยได้บำเพ็ญมาก็ไม่ได้เกิดขึ้นแต่อย่างใด"

    ....ให้เราทั้งหลายไปศึกษาประวัติของพระพุทธเจ้าเสีย ใหม่ และตีความ
    หมายในคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจ ให้เป็นไปในหลักสัมมาภาคปริยัติที่ถูกต้อง
    แล้วนำมาปฏิบัติ ก็จะเกิดสัมมาในภาคปฏิบัติ อันเป็นแนวทางที่จะเข้ากระแสแห่งมรรค ผล นิพพาน ต่อไป


    ------------------
    สาธุ สาธุ สาธุ
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  15. LMong

    LMong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2009
    โพสต์:
    294
    ค่าพลัง:
    +541
    อนุโมทนาสาธุ ครับ

    ความตายคือสิ่งเที่ยง ชีวิตที่มีอยู่คือสิ่งไม่เที่ยง
     
  16. godman

    godman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,254
    ตายกันเถิดเรา เศร้าไปทำไม 555 ยอมรับ ความตายเป็นของเที่ยง
     
  17. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    คำเตือนของพระอริยเจ้าที่สิ้นไปแล้วทำให้คิดหนักไม่ใช่เล่น...
    หกพันปีธรรมชาติแห่งความเสื่อมลงไม่มีเวลาให้หยุดหายใจ
    2012หนังที่ว่าเรื่องเปลือกโลกเสื่อม...
    แต่พระหลวงพ่อทูลท่านทำนหนังสือมาหลายปี
    ท่านทราบได้อย่างไรกันทั้งๆที่ท่านก็ไม่เคยเรียนวิทยาศาสตร์
    พระป่าที่เตือนพวกเราช่างแสดงถึงความเมตตาอย่างหาไม่ได้
    ปัจจุบันอัฐิธาตุท่านกลายเป็นพระธาตุที่งดงามแสดงถึงความพ้นไปไม่กลับมา
    แต่พวกเราสมควรเว้นวรรคทางมิติโลกซักช่วงเวลาหกพันปีนี้(น่าจะดี)
    อนุโมทนากับคำเตือนของหลวงพ่อทูลด้วยครับรวมทั้งคุณแวนโก๊ะ(คุณเต้)
     
  18. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    หกพันปีนรกบนโลกมนุษย์
    ตายแล้วเกิดท่องเที่ยวไป
    มาเป็นมนุษย์เป็นสัตว์หรือไปนรกแทบไม่แตกต่างกันเสียแล้วครับ
    ช่วงนี้หล่ะครับจะมีมนุษย์อีกกลุ่มหนึ่งที่จะสร้างบารมีได้มาก
    และมนุษย์อีกกลุ่มหนึ่งจะสร้างบาปอย่างไม่น่าให้อภัย
    ความตายไม่น่าสนุกเพราะตอนตายไม่ใช่สนุกอย่างที่คิด
    แม้ขณะอยู่ก็ต้องต่อสู้กับภัยต่างๆด้วยความหวาดระแวง
    ครูอาจารย์เตือนเพื่ออย่าประมาท
    สร้างจิตสำนึกกันใหม่รักษาศีลเจริญคุณธรรมให้มากเพื่อเป็นเสบียงให้กับตนเองนะครับ
     
  19. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    (||)(||)(||)(||)(||)
    อนุโมทนาครับ คุณvancoและทุกๆท่าน

    (cry)(tm-love)

    chearrchearrchearrchearrchearr
     
  20. อวิปลาส

    อวิปลาส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    211
    ค่าพลัง:
    +353
    เป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่แล้วที่เกิดมาเป็นมนุษย์
    ได้พบพานนับถือพระพุทธศาสนา
    เภทภัยต่างๆที่จะเกิดขึ้นขอให้ถือว่าเป็นเวรกรรม ครับ
    ...อนุโมทนากับเจ้าของกะทู้ครับ...


    pity_pig
     

แชร์หน้านี้

Loading...