ประสบการณ์ ธรรมะ พระเครื่อง หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก จ.อยุธยา

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Specialized, 14 ตุลาคม 2009.

  1. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,359
    ประสบการณ์, ธรรมะ, พระเครื่อง
    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
    วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา

    a.jpg

    ขอออกตัวก่อนว่ากระทู้ผมตั้งใจจะเผยแพร่คำสอน ปฎิปทา ประสบการณ์ต่างๆที่เกี่ยงเนื่องกับ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ครูบาอาจารย์ที่ผมเคารพรักยิ่ง แม้ผมจะเกิดมาไม่ทันได้กราบทำบุญกับท่าน แต่ก็มีโอกาศได้อ่านข้อเขียน บทความ ประสปการณ์ต่างๆที่ลูกศิษย์ที่ทันท่านเขียนและเล่าให้ฟังอยู่เสมอ

    ซึ่งผมได้ศึกษาธรรมะของหลวงปู่ดู่จากท่าน และสามารถนำมาใช้ได้จริงกับชีวิตประจำวันจึงอยากจะนำมาถ่ายทอดลงในกระทู้นี้ ซึ่งจะมีทั้งประสปการณ์ตรง และเรื่องราวๆต่างๆจาก เวบวัดถ้ำเมืองนะ ด้วย ซึ่งผมคาดว่าคงมีท่านที่สนใจ แต่ไม่สามารถตามอ่านธรรมะ หรือประสปการณ์ต่างๆได้เพราะไม่ได้เล่นเวปวัดถ้ำโดยตรง จึงอยากขอเป็นอีกหนึ่งเสียงช่วยเผยแพร่ธรรมะของหลวงปู่ดู่ในห้องประสปการณ์ของเวปพลังจิตนี้เพื่อประโยชน์ทั้งทางโลกและทางธรรมต่อไปครับ

    ซึ่งกระทู้นี้ตั้งในห้องพระเครื่องก็อยากจะเน้นไปทางพระเครื่องและสอดแทรกธรรมะของหลวงปู่ลงไปด้วย ท่านใดมีประสบการณ์เกี่ยวกับพระเครื่องหลวงปู่สามารถมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันได้ครับ

    ;aa35;aa35;aa35
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 2.jpg
      2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      65.4 KB
      เปิดดู:
      72,004
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2010
  2. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,359
    ประวัติ : หลวงปู่ดู่ พฺรหฺมปัญโญ

    a.719711.jpg

    นามเดิม ท่าน มีชื่อว่า “ดู่” เกิด เมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๔๗ ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะโรง ซึ่งเป็นวันเพ็ญวิสาขปุรณมี ณ บ้านข้าวเม่า ตำบลข้าวเม่า อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กำเนิดในตระกูล “หนูศรี” โยมบิดา - มารดา ชื่อ พุด โยมมารดาชื่อ พ่วง มีพี่สาวร่วมบิดามารดา ๒ คน ท่านเป็นคนที่ ๓ เป็นบุตรคนสุดท้อง อาชีพของโยมบิดามารดาเป็นชาวนา มีฐานะไม่ร่ำรวย เมื่อหมดหน้านา โยมทั้งสองจะช่วยกันทำขนมไข่มงคลออกเร่ขาย หารายได้อีกทางหนึ่ง

    ขณะที่ท่านยังเป็นทารกน้อย ได้เกิดเหตุอัศจรรย์กับตัวท่านครั้งหนึ่ง กล่าวคือ เวลานั้นเป็นฤดูน้ำหลาก น้ำเหนือได้ไหลทะลักเข้าท่วมพื้นที่ราบลุ่มแถบอยุธยาแทบทั้งหมด ท้องนาและบ้านเรือนที่อยู่อาศัยมีแต่น้ำเจิ่งนองไปทั่ว บ้านของโยมหลวงปู่ดู่ก็ถูกน้ำท่วมเช่นกัน วันนั้นโยมมารดาได้เอาเบาะซึ่งท่านนอนอยู่ไปวางตรงนอกชาน (ไม่มีระเบียงกั้น) ด้วยเห็นว่าเป็นที่โล่งโปร่ง ลมเย็นพัดโชยตลอดเวลา แล้วโยมมารดาก็ไปช่วยโยมบิดาทอดขนมไข่มงคลในครัว ขณะที่โยมทั้งสองกำลังง่วนอยู่กับการทอดขนม ก็ได้ยินเสียงสุนัขเลี้ยง เห่าขรมตรงนอกชาน แล้ววิ่งเข้ามาเห่าในครัวด้วยท่าทางลุกลน ก่อนจะวิ่งพล่านออกไปเห่าตรงนอกชานอีก โยมเห็นสุนัขแสดงกิริยาแปลก ๆ รีบออกจากห้องครัวมาดู มองไปที่เบาะลูกชาย ปรากฏว่า หายไปก็ตกใจสุดขีด วิ่งถลันไปที่สุดนอกชาน กวาดสายตามองหาไปรอบทิศ จึงได้เห็นเบาะหล่นจากชานเรือนลงไปในน้ำที่ท่วมเจิ่งด้านล่าง และลอยไปติดริมรั้ว กลางเบาะนั้นมีลูกชายตัวน้อย ๆ นอนร้องอ้อแอ้อยู่ โยมบิดารีบโดดโครมลงไปในน้ำ ลุยไปที่เบาะลูกชาย เมื่ออุ้มลูกขึ้นมา ปรากฏว่าไม่เป็นอันตรายอย่างใด จึงประคับประคองกลับขึ้นบ้าน ด้วยความรู้สึกอัศจรรย์ใจเหลือจะกล่าว โยมทั้งสองคิดหาสาเหตุที่ลูกตกไปในน้ำพร้อม ๆ กับเบาะก็นึกไม่ออกว่าลูกจะดิ้นจนเบาะเลื่อนไหลไปจนสุดนอกชาน แล้วตกลงไป ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะลูกยังไม่คว่ำเสียด้วยซ้ำ จะดิ้นรนตะกายอย่างไร ก็ไม่ทำให้เบาะขยับเขยื้อนเคลื่อนที่ไปไกลถึงเพียงนั้น หรือจะว่ามีลมพัดอย่างแรงถึงกับหอบเอาเบาะลูกหล่นน้ำ ตนอยู่ในครัวใกล้ ๆ ทำไมจึงไม่รู้ว่ามีลมพัด และถ้ากระแสลมรุนแรงถึงขั้นหอบเอาเบาะกับลูกปลิวตกเรือนไปได้ หลังคาบ้านก็คงเปิดเปิงด้วยกระแสลมไปแล้ว และที่น่าแปลกน่าอัศจรรย์ก็คือ เมื่อเบาะมีเด็กทารกนอนอยู่ตกลงไปในน้ำ เหตุใดเบาะไม่พลิกคว่ำ หรือตัวเด็กเลื่อนไหลตกน้ำไป ซ้ำเบาะยังลอยน้ำได้ ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว เบาะไม่ควรจะรับน้ำหนักเด็กไว้ได้ถึงเพียงนั้น โยมบิดามารดาจึงเชื่อมั่นว่า ลูกของตนมีบุญวาสนามากำเนิดแน่นอน ซึ่งก็เป็นความจริง เพราะทารกน้อยผู้นี้เมื่อเจริญวัยขึ้นมา ก็ได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์จนชั่วชีวิต ได้บำเพ็ญเพียรปฏิบัติสมณธรรม ชีวิตเยาว์วัยของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านต้องเผชิญกับการพลัดพรากที่รุนแรงร้ายกาจอย่างยิ่ง นั่นคือโยมมารดาเสียชีวิตไปก่อนขณะท่านยังเป็นทารก ครั้นอายุได้ ๔ ขวบ โยมบิดาก็เสียชีวิตตามไปอีกคน ต้องอาศัยอยู่กับยาย โดยมีพี่สาวชื่อ สุ่ม เป็นผู้เลี้ยงดูเอาใจใส่ เมื่อเจริญเติบโตถึงวัยเรียน ก็เข้าศึกษาเล่าเรียนเขียนอ่านที่วัดกลางคลองสระบัว วัดประดู่ทรงธรรม และวัดนิเวศน์ธรรมประวัติ

    อุปสมบท


    อายุครบ ๒๑ ปี ท่านจึงได้เข้าพิธีบรรพชาอุปสมบท เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ ตรงกับวันอาทิตย์ แรม ๔ ค่ำ เดือน ๖ ณ วัดสะแก ตำบลธนู อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีหลวงปู่กลั่น เจ้าอาวาสวัดพระญาติการาม เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงปู่แด่ เจ้าอาวาสวัดสะแก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงปู่ฉาย วัดกลางคลองสระบัว เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “พรหมปัญโญ ภิกขุ” ในพรรษาแรก ๆ ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมที่วัดประดู่ทรงธรรม (สมัยนั้นเรียกวัดประดู่โรงธรรม) พระอาจารย์ผู้สอนคือ ท่านเจ้าคุณเนื่อง, พระครูชม และหลวงปู่รอด (เสือ) เป็นต้น ในด้านการปฏิบัติพระกรรมฐาน ท่านได้รับการสอนจากหลวงปู่กลั่น ผู้เป็นพระอุปัชฌายาจารย์ และหลวงปู่เภา ศิษย์องค์สำคัญของหลวงปู่กลั่น ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาของท่านเอง นอกจากนี้ท่านยังได้ไปศึกษากับพระอาจารย์ฝ่ายกรรมฐานอีกหลายรูป ที่จังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดสระบุรี ประมาณพรรษาที่สาม หลวงปู่ดู่จึงออกเดินธุดงค์เดี่ยว

    หลวงปู่ดู่ท่านได้ถือศีลข้อวัตร คือฉันอาหารมื้อเดียวมาตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ. 2500 แต่ภายหลังคือประมาณปี พ.ศ.2525 เหล่าสานุศิษย์ได้กราบนิมนต์ให้ท่านฉัน 2 มื้อเนื่องจากความชราภาพ ประกอบกับต้องรับแขกมากขึ้นท่านจึงได้ผ่อนปรนตามความเหมาะสมแห่งอัตภาพ แต่เมื่อถามความเห็นจากท่านจึงทราบว่า ท่านต้องการโปรดญาติโยมจากที่ไกลๆ จะได้มีโอกาสทำบุญ

    นิมิตธรรม

    ในคืนหนึ่ง ในช่วงก่อน ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เล็กน้อย หลังจากที่ท่านสวดมนต์ทำวัตรเย็น และเข้าจำวัดแล้วนั้น เกิดนิมิตไปว่าได้ฉันดาว ที่มีแสงสว่างมากเข้าไป 3 ดวง ขณะที่ฉันนั้นรู้สึกว่า กรอบๆ ดี เมื่อฉันหมดก็ตกใจตื่น ท่านจึงได้พิจารณานิมิตที่เกิดขึ้น ก็เกิดความเข้าใจในนิมิตนั้นว่า ดาวสามดวง ก็คือ ดวงแก้วไตรสรณาคมน์ นั้นเอง ท่านจึงท่อง “ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ” ก็เกิดปิติขึ้นในจิตท่านอย่างท่วมท้น เกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และมั่นใจว่า การยึดมั่นพระไตรสรณาคมน์ เป็นวิธี ที่เข้าสู่แก่นแท้ เป็นรากแก้วของพระพุทธศาสนา ท่านจึงกำหนดเอา พระไตรสรณาคมน์ เป็นองค์บริกรรมภาวนา<O:p

    เมตตาธรรม

    หลวงปู่ดู่ท่านให้การต้อนรับแขกอย่างเสมอเท่าเทียมกันหมด ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ ท่านจะพูดห้ามปรามหากมีผู้เสนอตัวเสนอหน้าคอยจัดแจงเกี่ยวกับแขกที่มาหาท่าน เพราะท่านทราบดีว่ามีผู้ใฝ่ธรรมจำนวนมากที่อุตสาห์เดินทางมาไกล เพื่อนมัสการและซักถามข้อธรรมจากท่าน หากมาถึงแล้วยังไม่สามารถเข้าพบได้โดยสะดวก ก็จะทำให้เสียกำลังใจ เป็นเมตตาธรรมอย่างสูงที่หลวงปู่มีให้ศิษย์ทั้งหลาย และหากมีผู้สนใจการปฏิบัติกรรมฐาน มาหาท่าน ท่านจะเมตตาสนทนาธรรมเป็นพิเศษอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย

    <O:p
    นอกจากความอดทนอดกลั้นอย่างยิ่งแล้วหลวงพ่อดู่ท่านยังเป็นแบบอย่างของผู้ไม่ถือตัว วางตัวเสมอต้นเสมอปลายไม่ยกตนข่มผู้อื่น เมื่อครั้งที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เสงี่ยม) วัดสุทัศน์เทพวรารามหรือที่เรียกกันว่า “ท่านเจ้าคุณเสงี่ยม” ซึ่งมีอายุพรรษามากกว่าหลวงปู่ 1 พรรษา มานมัสการหลวงพ่อ โดยยกย่องหลวงปู่เป็นครูบาอาจารย์ แต่เมื่อเจ้าคุณเสงี่ยมกราบหลวงปู่เสร็จ หลวงปู่ก็กราบตอบเรียกว่าต่างองค์ก็กราบซึ่งกันและกัน เป็นภาพที่พบเห็นได้ยากเหลือเกินในโลกที่ผู้คนทั้งหลายมีแต่จะเติบใหญ่ ทางด้านทิฐิมานะ ความถือตัว อวดดี ยกตนข่มท่าน ปล่อยให้กิเลสหลงออกเรียราด เที่ยวป่าวประกาศให้ผู้คนทั้งหลายได้รู้ว่าตนดีตนเก่ง โดยเจ้าตัวไม่รู้ว่าถูกกิเลสขึ้นขี่คอพาบงการให้เป็นไป
    <O:p

    หลวงปู่ดู่ไม่เคยวิพากษ์วิจาร์ณการปฎิบัติธรรมสำนักไหนๆ ในเฃิงลบหลู่หรือเปรียบเทียบดูถูกดูหมิ่น ท่านว่า “คนดีนะเขาไม่ตีใคร” ซึ่งลูกศิษย์ทั้งหลายได้ถือเป็นแบบอย่าง หลวงปู่ดู่ท่านเป็นพระที่พูดน้อย ไม่มากโวหาร ท่านจะพูดย้ำอยู่แต่ในเรื่องของการปฎิบัติธรรมและความไม่ประมาท เช่น “ของดีอยู่ที่ตัวเราหมั่น(ปฎิบัติ)เข้าไว้ “ให้หมั่นดูจิตรักษาจิต” “อย่าลืมตัวตาย” และ “ให้หมั่นพิจารณา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา”<O:p</O:p

    หลวงปู่ทวด

    ท่านสอนให้ศิษย์ท่านเคารพในองค์หลวงปู่ทวด วัดช้างให้ เป็นอย่างมากทั้งกล่าวยกย่อง ว่าหลวงปู่ทวดท่านเป็นผู้ที่มีบารมีธรรมเต็มเปี่ยม เป็นโพธิสัตว์จะได้มาตรัสรู้ ในอนาคต ให้บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลาย ยึดมั่น และระลึกถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อติดขัดในระหว่างการปฏิบัติธรรม หรือประสบปัญหาทางโลก ท่านว่า หลวงปู่ทวดท่านคอยที่จะช่วยเหลือทุกคนอยู่แล้ว แต่ขอให้ทุกคนอย่าท้อถอย หรือละทิ้งการปฏิบัติ<O:p

    สร้างพระ


    หลวงปู่ดู่ท่านมิได้ตั้งตัวเป็นเกจิอาจารย์ การที่ท่านสร้าง หรืออนุญาตให้สร้างพระเครื่องหรือพระบูชา ก็เพราะเห็นว่า บุคคลจำนวนมากยังขาดที่ยึดเหนี่ยวทางด้านจิตใจ เพราะศิษย์ หรือ บุคคลนั้น มีทั้งที่ใจใฝ่ธรรมล้วนๆ กับ ยังต้องอิงกับวัตถุมงคล ท่านเคยพูดว่า “ติดวัตถุมงคลยังดีกว่า ที่จะไปให้ติดวัตถุอัปมงคล” แม้ว่าหลวงปู่ดู่ท่านจะรับรองในความศักดิ์สิทธิ์ของพระเครื่องที่ท่านอธิฐานจิตให้ แต่สิ่งที่ท่านยกไว้เหนือกว่านั้นก็คือการปฏิบัติ การภาวนา นี้แหละ เป็นสุดยอดแห่งเครื่องรางของขลัง บางคนมาหาท่านเพื่อต้องการของดีเช่นเครื่องรางของขลัง ซึ่งมักจะได้รับคำตอบจากท่านว่า

    “ ของดีนั้นอยู่ที่ตัวเรา พุทธัง ธัมมัง สังฆัง นี่แหละของดี ”<O:p

    ปัจฉิมวาร


    นับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๗ เป็นต้นมาสุขภาพหลวงปู่เริ่มทรุดโทรม เนื่องการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ด้วยเหตุจากการที่ต้องต้อนรับแขก และบรรดาศิษย์ทั่วทุกสารทิศ ที่นับวันก็ยิ่งหลั่งไหลกันมานมัสการท่านมากขึ้นทุกวัน แม้บางครั้งจะมีโรคมาเบียดเบียนอย่างหนัก ท่านก็อุตส่าห์ออกโปรดญาติโยมเป็นปกติ พระที่อุปัฏฐากท่าน เล่าว่า บางครั้งถึงขนาดที่ท่านต้องพยุงตัวเองขึ้นด้วยอาการสั่น และมีน้ำตาคลอเบ้า ท่านก็ไม่เคยปริปากให้ใครต้องเป็นกังวลเลย ภายหลังตรวจพบว่า หลวงปู่ เป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว แม้ว่าทางคณะแพทย์ จะขอร้องท่านให้เข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล แต่ท่านก็ไม่ยอมไป ประมาณปลายปี พ.ศ. ๒๕๓๒ หลวงปู่พูดบ่อยครั้ง เกี่ยวกับ การที่ท่านจะละสังขาร ซึ่ง ในขณะนั้นหลวงปู่ท่านได้ใช้หลักธรรม ขันติ คือความอดทนอดกลั้นระงับ ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นจากโรคภัย จิตของท่านยังทรงความเป็นปรกติสงบเย็น จนทำให้คนที่แวดล้อมท่านไม่อาจสังเกตเห็นถึงปัญหาโรคภัยที่คุกคามท่านอย่างหนัก วันอังคารที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ช่วงเวลาบ่ายนั้น มีนายทหารอากาศผู้หนึ่งมากราบท่านเป็นครั้งแรก หลวงปู่ท่านได้ลุกขึ้นนั่งตอนรับ ด้วยใบหน้าที่สดใส ราศีเปล่งปลั่งเป็นพิเศษ จนบรรดาศิษย์ เห็นผิดสังเกต หลวงปู่ยินดีที่ได้พบกับศิษย์ผู้นี้ ท่านว่า “ต่อไปนี้ ข้าจะได้หายเจ็บไข้เสียที ” คืนนั้นมีคณะศิษย์มากรายท่าน ท่านได้พูดว่า “ ไม่มีส่วนใดในร่างกายที่ไม่เจ็บปวดเลย ถ้าเป็นคนอื่นคงเข้าห้อง ICU ไปนานแล้ว ” พร้อมทั้งพูดหนักแน่นว่า “ข้าจะไปแล้วนะ” และกล่าวปัจฉิมโอวาทย้ำให้ทุกคนตั้งอยู่ในความไม่ประมาท

    <O:p
    “ถึงอย่างไรก็ขอให้อย่าได้ละทิ้งการปฏิบัติ ได้ชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติ
    ก็เหมือนนักมวย ขึ้นเวทีแล้วต้องชก อย่ามัวแต่ตั้งท่า เงอะๆ งะๆ”

    หลังจากคืนนั้นหลวงปู่ก็กลับเข้ากุฏิ และละสังขารไปด้วยอาการสงบด้วยโรคหัวใจ ในกุฏิท่านเมื่อเวลาประมาณ ๕ นาฬิกา ของ วันพุธที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๓ รวมสิริอายุได้ ๘๕ ปี ๘ เดือน ๖๕ พรรษา ยังความเศร้าโศกและอาลัยแก่ ศิษยานุศิษย์เป็นอย่างยิ่ง อุปมาดั่งดวงประทีปที่เคยให้ความสว่าง ดับไป แต่เมตตาธรรมและคำสั่งสอนของท่านยังปรากฏ อยู่ในดวงใจของ ศิษยานุศิษย์ตลอดไป พระราชทานเพลิงศพของหลวงปู่ เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๔<O:p

    อีกเรื่องหนึ่งที่หลวงปู่ดู่มักจะกล่าวเตือนศิษยานุศิษย์ ทั้งที่ใกล้ชิดและห่างไกล ตลอดจนสาธุชนญาติโยมทั้งหลาย ให้พึงสังวรอยู่เสมอก็คือ เรื่องควรงดเว้นกระทำกรรมชั่วโดยเด็ดขาด โดยท่านจะนำเอาพุทธพจน์ที่ว่า “ขึ้นชื่อว่าความชั่วแล้ว ไม่ทำเสียเลยดีกว่า” มาเป็นข้อเตือนสติแก่ทุกคน เพราะการกระทำกรรมใด ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมเลวก็ตาม จิตของผู้นั้นจะบันทึกเก็บงำข้อมูลเอาไว้โดยละเอียด เมื่อใดที่ถึงกาลมรณะ จิตตัวนี้จะเป็นตัวชี้นำไปสู่สุคติ หรือทุคติอย่างชัดเจน จิตตัวนี้สำคัญนัก แม้เพียงไปยึดติดหรือข้องอยู่กับกรรมเพียงน้อยนิด ขณะใกล้จะสิ้นใจตาย ก็ยังสามารถเบี่ยงเบนจุดหมายปลายทางที่จะไปเกิดได้<O:p

    : เรียบเรียงจากหนังสือ ไตรรัตน์ และ หนังสือกายสิทธ์ <O:p
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 3.jpg
      3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      133.6 KB
      เปิดดู:
      23,740
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2010
  3. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,359
    [​IMG]

    " ตราบใดก็ตามที่แกยังไม่เห็นความดีในตัว ก็ไม่นับว่าแกรู้จักข้า
    แต่ถ้าเมื่อใดที่เริ่มเห็นความดีในตัวแล้ว
    เมื่อนั้น ข้าว่าแกรู้จักข้าดีแล้ว... "
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,359
    *บทความนี้เป็นบทความของ พี่สิทธิ์ เวปวัดถ้ำเมืองนะ ที่ได้เขียนเล่าไว้ ขอนำมาเผยแพร่เพื่อเป็นวิทยาทานต่อไปครับ

    ปกิณกะพระเครื่อง
    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

    ๑. พระเครื่องของหลวงปู่ส่วนใหญ่เป็นพระผง ซึ่งโดยมากก็ไม่ได้ใช้มวลสารหรือว่าน ๑๐๘ อะไรเลย ส่วนใหญ่เป็นเพียงปูนขาวเท่านั้น เสน่ห์ขององค์พระจึงอยู่ที่ตัวผู้เสกโดยแท้

    ๒. พระหลวงปู่มีหลากหลายพิมพ์เหลือเกิน เพราะท่านมีวีธีที่แสนง่ายในการสร้างพระ เพียงใช้ดินน้ำมันกดทับลงบนพระเครื่องที่มีอยู่ พอแกะออกมาก็จะได้แม่พิมพ์พร้อมใช้งาน ดังนั้น พระผงบางองค์จึงมักมีเศษดินน้ำมันสีชมพูบ้าง สีฟ้าบ้าง ติดอยู่ ด้วยวิธีการนี้ แม้จะเก็บรายละเอียดได้ไม่ดี พระออกมาไม่สวยงามหรือเป็นมาตรฐานเดียวกัน แต่ก็มีเสน่ห์ไม่น้อยเลย

    ๓. แม้ว่าพระเครื่องแต่ละอย่าง ท่านจะอธิษฐานให้เด่นต่างกัน เช่น ตะกรุดจะเด่นในทางเมตตา แหวนจะเด่นในทางแคล้วคลาด ฯลฯ แต่ท่านก็รับรองว่าพระเครื่องทั้งหมดของท่าน ท่านอธิษฐานไว้ให้ครบทุกอย่าง สุดแท้แต่ผู้ใช้จะอธิษฐานเอาเอง

    ๔. หลวงปู่ไม่แนะนำให้เอาพระเครื่องไปหลอมละลาย หรือทำให้เสียรูป เช่น เอาไปทำเป็นเนื้อชนวนหล่อพระองค์ใหญ่ หรือตัดแหวนเพื่อยืด-หดตัวแหวน เพราะถือเป็นการทำลายรูป (พุทธนิมิต) ที่สร้างขึ้นสำเร็จแล้ว โดยเจตนา

    ๕. ในสมัยก่อน หลวงปู่เป็นที่รู้จักของชาวบ้านจากตะกรุด ก่อนที่ท่านจะมาสร้างพระเครื่องอย่างอื่น ๆ ในภายหลัง พระบูชาขนาดตั้งโต๊ะหมู่ โดยมากท่านสร้างด้วยปูน เพื่อสงเคราะห์ชาวบ้านให้สามารถมีพระไปบูชาโดยใช้ปัจจัยน้อยที่สุด

    ๖. พระผงนั้นดีเพราะมีเกศาท่านด้วย เวลาใครไปขอเกศาหลวงปู่ หลวงปู่ก็มักจะบอกว่าไม่ได้ เพราะต้องเก็บไว้ทำพระ

    ๗. ลูกแก้วของหลวงปู่ บางคนสงสัยว่าทำจากปูนแล้วทำไมจึงเรียกลูกแก้ว นั่นก็เพราะท่านเจตนาสร้างให้เป็นแก้วมณีโชติรสหรือแก้ววิเศษของพระเจ้าจักรพรรดิ นอกจากนี้ ท่านก็เน้นว่าต้องเจาะรู เพื่อให้ครบทั้งดิน น้ำ ไฟ ลม และอากาศธาตุ และยังอาจใช้เป็นช่องทางดำเนินของจิตในขณะปฏิบัติภาวนา

    ๘. พระที่สร้างให้มีความหมายทางธรรม ได้แก่ พระชุดพาหุงฯ แต่สร้างไว้ไม่ครบ มีเพียงปางชัยชนะต่อช้างนาฬาคีริง องคุลีมาร นันโทปนันทนาคราช และท้าวพกาพรหม แต่เท่านี้ก็เพียงพอจะใช้เป็นตัวอย่างของชัยชนะที่ไม่ก่อเวรอันเรียกว่าชัยมงคล

    ๙. สำหรับพิมพ์พระเหนือพรหมนั้น เดิมหลวงปู่สร้างพระผงรูปเศียรพรหมขนาดใหญ่ขึ้นก่อน แล้วจึงสร้างพระพรหมเต็มองค์ชนิดที่ไม่มีขอบ ต่อมาจึงขยายเป็นพระพรหมชนิดมีขอบสวยงาม สุดท้ายก็มาเป็นพรหมองค์เล็ก ติดเกศาบ้าง ไม่ได้ติดเกศาบ้าง แต่ไม่ว่าจะเป็นพระพรหมพิมพ์ใด หลวงปู่ก็เน้นที่พระพุทธที่อยู่เหนือพรหม เพราะเจตนาท่านต้องการบอกว่าพระพุทธเจ้าอยู่สูงสุดในไตรภพ

    ๑๐. พระชำรุดนั้นหลวงปู่ไม่ให้ทำลาย เช่นว่า เหรียญพรหมโลหะที่ชำรุด ท่านก็ให้ตัดส่วนที่เป็นพระพุทธไว้ เอามาเสกซ้ำให้คนศรัทธามั่นได้มั่นใจ ของชำรุดจึงพลันกลายเป็นของดีของหายากไปเสีย

    ๑๑. หลวงปู่บอกว่าพระของท่าน ท่านทำให้อย่างชนิดที่ยากจะหาใครทำให้อย่างท่าน ดังนั้น ผู้ที่มีแล้วก็ควรรักษาไว้ให้ดี แต่เมื่อมีแล้วก็อย่าขวนขวายเช่าหาจนเกินไปเพราะของปลอมมีมากหลาย เสียเงินเช่ามาแพง ๆ แล้วยังต้องอยู่กับความลังเลไปตลอดชีวิต ใครทักว่าแท้ก็ดีใจ ใครทักว่าปลอมก็ห่อเหี่ยวใจ นับถือท่านจริง คงมีเหตุ ให้ได้มาไว้บูชาสักวันเป็นแน่

    ๑๒. เวลาทำพระตกหล่นชำรุดหรือเสียรูปก็ไม่เป็นปัญหา เพราะหลวงปู่ยืนยันว่าพระที่ท่านสร้างนั้น ยังคงใช้ได้ตราบเท่าที่ยังมิได้สลายเป็นผงและละลายน้ำไปหมด

    ๑๓. โบราณบอกว่าห้อยพระอยู่กับตัว อย่าไปเดินลอดราวผ้า เพราะจะทำให้พระเสื่อม สำหรับพระของหลวงปู่แล้ว ท่านว่าไม่เกี่ยวกัน ทองอยู่ที่ไหนก็ยังคงเป็นทอง ที่เสื่อมนั้นหมายถึงใจเจ้าของต่างหากเพราะเมื่อลอดราวผ้าแล้วอาจคิดต่ำ ๆ
    <O:p
    ๑๔. พระดีไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงเสมอไป และพระราคาแพงก็ไม่จำเป็นต้องเป็นพระดีเสมอไป ราคาพระอยู่ที่ตลาดนิยม คุณค่าพระอยู่ที่ผู้เสก รวมทั้งศรัทธาและคุณธรรมของผู้ครอบครอง หลวงปู่ไม่เคยนิยมส่งเสริมให้ลูกศิษย์เสียเงินเสียทองเช่าบูชาพระแพง ๆ ยิ่งตลาดไม่นิยมสิดี จะได้มีโอกาสมีพระดีไว้ครอบครอง

    ๑๕. พระหลวงปู่จะดีทางไหน ก็ไม่เท่าดีทางเป็นเครื่องมือปฏิบัติกรรมฐาน ไม่เหมือนสำนักไหน ๆ ดังที่เรียกพระของท่านว่า “พระกำนั่ง”

    ๑๖. สุดท้าย หลวงปู่บอกว่า
    “พระของข้า องค์เดียวก็พอ ...ปฏิบัติให้มันจริง”
    _______________________***

    สุดยอดพระเครื่องของหลวงปู่ดู่

    โดย พี่สิทธิ์

    คาดว่าคงมีคนจำนวนไม่น้อยที่ปรารถนาจะรู้ รวมทั้งปรารถนาที่อยากครอบครอง พระเครื่องที่ได้ชื่อว่า เป็นสุดยอดพระเครื่องของหลวงปู่ดู่ แต่ทว่า หลวงปู่ก็ไม่เคยบอกยืนยันว่า พระรุ่นใดของท่านที่ท่านรับรองว่า...สุดยอด

    เพียงแต่กล่าวในเชิง...ให้รักษาไว้ให้ดี ๆ เป็นต้นว่า

    ๑. เหรียญเสมารูปเหมือนหลวงปู่
    ที่สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ด้านหลังมีข้อความว่า รุ่นปฏิบัติธรรม เป็นเหรียญทองแดงชุบทองแดง จึงแลดูสุกแวววาว ท่านว่าตั้งแต่สร้างพระมา เหรียญรุ่นนี้แข็งที่สุด (เป็นคำพูดที่นิยมใช้ที่วัดสะแกหมายความว่า... แรงดี ขึ้นดี มีพลังมาก) จะไม่แรงยังไงได้ ก็ในเมื่อผู้สร้าง แทบจะใช้แต่เนื้อชนวนล้วน ๆ
    ที่สำคัญคือ เจตนาในการสร้างก็บริสุทธิ์ ไม่มีการจำหน่าย กะว่าจะแจกฟรีสำหรับผู้ปฏิบัติภาวนาท่านจึงตั้งใจเต็มที่ แถมเหรียญส่วนใหญ่อยู่ในกุฏิท่านตั้งราว ๘ ปี

    ๒. เหรียญพระพรหม ทองเหลือง-ทองแดง (ที่สร้างด้วยกรรมวิธีโลหะฉีด) รวมทั้ง แหวนทุกรุ่น หลวงปู่จะพูดถามลูกศิษย์บางคนที่ไม่สัดทัดสะสมวัตถุมงคล ให้ไปหาเก็บเอาไว้ เพราะเป็นของสำคัญ

    ๓. พระพรหมผง
    อันนี้อาจเป็นเพราะพ้องกับชื่อท่าน คนส่วนใหญ่ก็รู้สึกว่า น่าจะเป็นสัญลักษณ์ หรือ รูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์
    หลวงปู่ท่านก็ย่อมประกันคุณภาพอย่างเต็มที่

    ๔. เหรียญครูบาอาจารย์ หรือ พระเถระผู้มีพระคุณต่อหลวงปู่
    เช่น หลวงพ่อกลั่น หลวงพ่อใหญ่ (พระโบราณคณิศร) หลวงปู่จะตั้งใจอธิษฐานจิตเพื่อบูชาคุณครูบาอาจารย์
    ท่านเคยกล่าวท้าว่า
    ถ้าไม่ดีจริง...ก็เอามาคืนท่านได้

    ๕. เหรียญยันต์ดวง
    ซึ่งด้านหน้ามีรูปครึ่งองค์หลวงปู่ ซึ่งนับว่าใกล้เคียงท่านมาก แล้วก็ด้านหลังซึ่งบรรจุดวงวันเกิดของหลวงปู่ ที่ลูกศิษย์เชื่อว่า
    หากดวงเราไม่ดี หากได้บูชาดวงหลวงปู่ ก็จะช่วยให้หนักกลายเป็นเบาได้

    ๖. ตะกรุดต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เรียกว่า ตะกรุดจักรพรรดิ
    ซึ่งพระลูกศิษย์ท่านบางรูปกล่าวว่า ต้องเป็นเนื้อทองคำเท่านั้น และ ต้องร้อยเรียงอักขระครบถ้วนตามตำราเท่านั้น มิใช่อะไร ๆ ก็จะเป็นจักรพรรดิเสียหมด


    ๗. เหรียญหลวงพ่อทวดรุ่นเปิดโลก
    เหรียญรุ่นนี้ท่านก็มิได้ว่าดีที่สุด เป็นแต่ว่าท่านกล่าวว่า ท่านเสกให้แบบเปิดสามโลก เหรียญมาดังมากก็เพราะ มีเรื่องราวเกี่ยวเนื่องกับ หลวงปู่เกษม ผ่านทางพระภิกษุ (เพื่อนของคุณรณธรรม) ว่า เหรียญรุ่นนี้กันนิวเคลียร์ได้ ประกอบกับมีหลายท่านกล่าวว่า เหรียญนี้เป็นเหรียญหลวงปู่ทวด
    ที่สวยงามที่สุดรุ่นหนึ่งทีเดียว


    นอกจากนี้ ยังมีพระเครื่องรุ่นอื่น ๆ อีกจำนวนมาก ที่เชื่อว่าท่านคงกล่าวกับต่างคณะต่างวาระ จนสามารถสรุปได้ว่า

    "ไม่สามารถสรุปว่า พระเครื่องรุ่นใดที่เป็นสุดยอด"

    เพราะหลวงปู่ท่านตั้งใจอธิษฐานจิตให้ทั้งนั้น จะมีความแตกต่างก็แค่รายละเอียดปลีกย่อย อันเกิดจากอารมณ์จิต และ เจตนาของท่านในขณะอธิษฐานจิตเพราะสิ่งที่ท่านเคยกล่าวรับรองไว้ก็คือ

    "พระทุกรุ่นของท่าน ท่านอธิษฐานไว้ครอบจักรวาล แล้วแต่ผู้ใช้จะอธิษฐานเอา"

    มีเรื่องขำ ๆ เกี่ยวกับความลังเลใจของลูกศิษย์ที่คงมีพระเครื่องของท่านมากไปจนไม่รู้จะอัญเชิญองค์ใดมาห้อยติดตัวดี ในเมื่อมองไปทางองค์นั้นก็ว่าสุดยอด องค์นี้ก็เมตตาดี องค์โน้นก็แคล้วคลาดสูง

    สุดท้ายก็เลยใช้วิธีเอาทุกองค์มาใส่รวมในถุงย่อม ๆ แล้วห้อยคอทั้งถุง เป็นอันจบเรื่อง เพียงแต่เวลาก้มกราบพระ หรือ เดินไปไหน ก็จะมีเสียงขลุกขลัก ๆ ไปตลอด ก็น่ารักไปอีกแบบ

    ในเมื่อพระของท่าน แทบจะไม่แตกต่างด้านพุทธคุณ ดังนั้น ความแตกต่างที่ปรากฏจึงเป็นแต่เรื่องของค่านิยมเท่านั้นซึ่งอาจมาจากความชอบส่วนตัวของคนจำนวนหนึ่ง หรือ ไม่ก็เป็นผลมาจากกระบวนการเก็งกำไร


    แต่ที่สรุปได้แน่ ๆ ว่า ทำไมหลวงปู่จึงไม่ยอมกล่าวรับรองว่า พระของท่านรุ่นใดที่เป็นเลิศที่สุดก็เพราะจะไปขัดกับสิ่งที่ท่านกล่าวรับรองไว้เสมอ ๆ ว่า
    พระที่เลิศสุด ประเสริฐสุดก็คือ "พระเก่าพระแท้ในตัวเอง" นั่นเอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2010
  5. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,359
    ปกิณกะบทสวดมนต์
    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

    [​IMG]

    โดย พี่สิทธิ์
    Web Luangpudu.com

    ๑. หลวงปู่กล่าวรับรองว่าบทสวดมนต์แต่ละบท ๆ ในเจ็ดตำนานก็ดี ๑๒ ตำนานก็ดี ท่านว่าท่านเคยได้พิจารณาโดยตลอดแล้ว พบว่าดีทั้งนั้น ใช้ได้ทั้งนั้น ดีทุก ๆ บทเลยทีเดียว

    ๒. บทไตรสรณาคมน์นั้น (พุทธังสรณังคัจฉามิ ธัมมังสรณังคัจฉามิ สังฆังสรณัง คัจฉามิ) ท่านว่า “สวดครั้งหนึ่ง (ด้วยจิตที่เลื่อมใสศรัทธาและเป็นสมาธิ) มีอานิสงส์ไปถึง ๕ กัลป์เชียว”

    ๓. สำหรับผู้ที่รู้สึกว่าตนประสบเคราะห์นั้นท่านแนะให้สวดอิติปิโสฯ (บทสรรเสริญพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ) เท่าอายุบวกหนึ่ง

    ๔. บางครั้ง ผู้ที่เขามาคอยรับส่วนบุญ เขามีเวลาน้อย (อาจขออนุญาตผู้คุมมาได้เดี๋ยวเดียว) หรืออยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน มีเวลาน้อย หรือจะด้วยเหตุใด ๆ ก็ดี หลวงปู่จึงได้มีบทแผ่เมตตาชนิดสั้นแต่มีประสิทธิผลมากคือ “พุทธัง อนันตังฯ”) แทนบทกรวดน้ำ ซึ่งค่อนข้างยาวและกินเวลามากและเหมาะกับการแผ่เมตตาประจำวันหลังสวดมนต์ทำวัตรมากกว่า

    ๕. บทบูชาพระ (นะโมพุทธายะฯ - คาถาจักรพรรดิ) หลวงปู่บอกว่า “สวดแล้วรับรองว่าไม่มีจน” ท่านเอามาจากวัดประดู่ทรงธรรม สมัยที่ศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่นั่น และเพื่อให้ลูกศิษย์ไม่มองข้ามความสำคัญ เพราะเหตุที่ได้มาจากหลวงปู่ง่าย ๆ ท่านจึงพุดแบบอมยิ้มไปด้วยว่า “คาถาดี ๆ นี่ อาจารย์สมัยก่อนเขาหวงกันนะ เขาไม่เอามาบอกง่าย ๆ หรอกแก”

    ๖. จุดสำคัญในเวลาสวดมนต์หรืออธิษฐานคาถาใด ๆ ต้องทำจิตให้เป็นสมาธิ ให้จิตสว่าง ให้จิตมีภาวะตื่น จึงจะมีผลมาก และถือเป็นสร้างความชำนาญในการทำกรรมฐานไปด้วยทุกครั้ง (สำหรับบทสวดมนต์ (ไม่ใช่คาถา) นั้น ถ้ามีโอกาสก็ควรศึกษาคำแปลเพื่อให้เกิดความเข้าใจข้อธรรมและซาบซึ้งในคุณพระรัตนตรัยยิ่ง ๆ ขึ้นไป)

    ๗. สุดท้าย หลวงปู่บอกว่า “สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน” สวดมนต์นานเท่าไรไม่ว่า แต่ภาวนาให้มากกว่าจึงจะถือว่าได้จัดสรรเวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 9.jpg
      9.jpg
      ขนาดไฟล์:
      48.5 KB
      เปิดดู:
      65,115
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2010
  6. พิมาน

    พิมาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2009
    โพสต์:
    828
    ค่าพลัง:
    +3,953
    รูปหล่อ 5 นิ้วเนื้อปูน ปี 25 ของหลวงปู่ดู่ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC00148.JPG
      DSC00148.JPG
      ขนาดไฟล์:
      452.2 KB
      เปิดดู:
      3,089
    • DSC00147.JPG
      DSC00147.JPG
      ขนาดไฟล์:
      367.2 KB
      เปิดดู:
      2,088
  7. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,359
    โอ้ว o_O

    งามครับพี่ แวะมาช่วยลงบ่อยๆนะครับ :cool:
     
  8. KDUSIT

    KDUSIT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +342
    ขออนุโมทนาสาธุครับ ขอบารมีหลวงปู่ดู่ได้โปรดคุ้มครองให้ท่านเจ้าของกระทู้และเพื่อนสมาชิกฯทุกท่านมีความสุขความเจริญในธรรมครับ
     
  9. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,359
    *บทความนี้เป็นบทความของ พี่สิทธิ์ เวปวัดถ้ำเมืองนะ ที่ได้เขียนเล่าไว้ ขอนำมาเผยแพร่เพื่อเป็นวิทยาทานต่อไปครับ

    พระของหลวงปู่กับครูบาอาจารย์สำนักอื่น

    [​IMG]

    หลายปีก่อนมีผู้นำพระของหลวงปู่ (พระพรหมผง)ไปมอบให้อาจารย์ของเขา อาจารย์ผู้นี้จัดว่าเป็นฆราวาสผู้มีความรู้และคุณธรรมสูงท่านหนึ่งถึงขนาดว่า สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช ขอเชิญให้ไปร่วมนั่งปรกในโบสถ์วัดบวรในสมัยก่อนโน้นซึ่งดูเหมือนจะเป็นฆราวาสเพียงท่านเดียวที่ได้รับเกียรตินี้

    อาจารย์ผู้นี้เมื่อได้รับพระพรหมของหลวงปู่แล้วก็พิจารณา (ภายใน) แล้วกล่าวกับบรรดาศิษย์ว่า

    "นึกไม่ถึงว่าในเมืองไทยยังจะมีผู้อธิษฐานจิตพระได้สูงเช่นนี้กระแสรัศมีสีขาวในองค์พระนี้ ถือว่าสูงสุดแล้ว ไม่มีเกินกว่านี้อีกแล้วที่ผ่านมาอย่างมากก็เห็นแต่กระแสรัศมีสีเหลืองทอง"

    จากนั้นอาจารย์ท่านนี้ก็ได้ให้ลูกชายของท่านเปลี่ยนมาห้อยพระพรหมของหลวงปู่แทน แต่ผลที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งก็คือทำให้ลูกศิษย์กรรมฐานของท่านส่วนหนึ่งพากันศึกษารายละเอียดว่าหลวงปู่ดู่คือใครอยู่ที่ไหน ท่านสอนอย่างไรและหนึ่งในนั้นก็เป็นผู้ถ่ายทอดให้ข้าพเจ้าได้รับทราบข้อมูลนี้

    บัดนี้ตัวอาจารย์ท่านนั้นก็ได้ละสังขารไปแล้วนับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่งเมื่อทราบว่าในบรรดาลูกศิษย์นับร้อยของท่านมีเพียงส่วนน้อยนิดที่ฝึกอบรมสวดมนต์ทำภาวนากับท่านส่วนใหญ่ก็เพียงติดตามเอาวัตถุมงคลบ้าง ขอให้ท่านสงเคราะห์เรื่องโลก ๆ บ้างให้ท่านแก้คุณไสย์ให้บ้าง ทั้ง ๆที่ท่านพยายามจะให้ลูกศิษย์มาปฏิบัติเพื่อให้ได้สิ่งที่จะเป็นที่พึ่งที่เที่ยงแท้แก่ตัวศิษย์เองแต่ผู้มีศรัทธาถึงขั้นมาปฏิบัติภาวนานั้นมีน้อยเกิน

    เรื่องการตรวจสอบคุณพระที่อยู่ในองค์พระเครื่องพระบูชาอาจารย์ท่านนี้ก็ได้ถ่ายทอดให้ศิษย์กรรมฐานของท่านซึ่งนอกเหนือจากการพิจารณาอาการปีติที่ขึ้นมาถึงศีรษะแล้ว ก็ยังต้องอาศัยตัวเห็นคือ อาการแสงสีของรัศมีที่ปรากฏอีกด้วย

    ดังนั้น จึงสมจริงกับคำว่า "ของจริงย่อมทนต่อการพิสูจน์" และคุณธรรมของหลวงปู่ย่อมไม่อาจปกปิดได้ในผู้มีคุณธรรมเช่นกัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 0.jpg
      0.jpg
      ขนาดไฟล์:
      63.4 KB
      เปิดดู:
      65,302
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ตุลาคม 2009
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,731
    ค่าพลัง:
    +21,341
    สาธุ..สาธุ..สาธุ....กราบหลวงปู่ดู่หลวงตาม้าครับอนุโมทนากับท่านเจ้าของกระทู้ด้วยครับ

    เผยแพร่ประวัติคำสอนหลวงปู่ดู่ครับ
     
  11. GoonS

    GoonS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +2,682
    อนุโมทนาครับ

    ไม่ได้ ลป.ดู่ ผมคงอาจเดี๊ยงไปนานเเละ ตอนนั้นจิตตก ท้อเเท้การทำความดี
    ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย เลยเอาพลังความดีไปทำชั่ว

    เกือบโดนรถไฟชน เดินชนเสาปากเเตก เเละก็ ขับรถชน รู้สึกว่าต้องมีเลือดออก
    ตั้งเเต่ก่อนขับรถเเละ เเต่เดวครูตรวจผมก็เลยไปไม่คิดว่าจะจริง

    ช่วงนั้นจิตตกมากมาย ทำชั่วมากมาย ถ้าลป.ไม่คุ้มครองช่วยเหลือ
    ผมอาจคงไม่รอดเเละ

    เเละก็เซียมซีวัดถ้ำเมืองส่วนมากเเม่นมากมายครับ
    ไม่ค่อยจะมีไม่ตรงคำถาม ยกเว้นจิตไม่นิ่ง ไม่เเน่ชัดพอพอ
    บางทีคิดชั่ว เซียมซีก็เตือน เหมือน ลป.ดู่ ท่านรู้ว่าผมคิดอะไรเลย
     
  12. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,359
    รอดมาได้เพราะแหวนหลวงปู่ดู่

    a.jpg

    รุ่นพี่ผู้เขียนคนนึงสมัยชายแดนด้านลาว - เขมรยังปล้นกันอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน พวกนี้ต้องไปสำรวจเส้นทาง ไปกันทั้งหมด 3 คัน..คันแรก โดนดักปล้นก่อน..พี่เค้าเล่าให้ผมฟังว่า

    "...แม่..งจับพวกกูลอกคราบหมดเหลือแต่กางเกงลิง ปงปืนไม่ทันได้หยิบมาใช้แม่..ง ยึดเอาไปหมด..."

    ไอ้คันหลังโผล่โค้งมาเห็นท่าไม่ดี รีบวกรถกลับพวกมันที่ซุ่มข้างทางซัดด้วยอาก้าทีละ 5-6 กระบอก..เราคิดว่าไอ้พวกนี้ตายห่ า.. หมดแหง๋...จนในที่สุดเจรจากับพวกมันอยู่พักนึง มันยอมให้นุ่งกางเกงแล้วเดินกลับเพราะมันเห็นว่าไม่ใช่ตำรวจทหาร ...กว่าจะเดินกลับมาจนเรียกรถโบกมาได้...ตียเตินพังฉิบ..ห า ยหมด.. "แกเล่าด้วยท่าทางขำขำ "...พอกลับมาถึงปางได้มาเจอไอ้พวกนั้นนั่งกระดิกตีนรออยู่แล้ว..

    " ห่าเอ๊ย... แทนที่จะช่วยกัน กลับหนี"

    "หนีห่าไรล่ะ ขืนเข้าไปตอนนั้น ก็ต่ายห่ ากันหมดดิ.."

    "...แ ม่ ง เอ๊ย.. แล้วไม่เข้ายังกะไม่โดน..อ้าวแล้วนี้พวกมึงรอดมาได้ยังไง กูเห็นข้างทาง แม่ งซัดอาก้ายังกะฟ้าถล่ม.."

    "..เอ๊ย..กูไม่ได้ยินเสียงปืนสักนัด พวกกู 3 คนยังนึกในในว่าทำไมมันใจดีวะ ไม่ถล่มมา พวกกูก็เลยแน่ใจว่า พวกมึงต้องไม่เป็นไร"

    ... " ไม่จริงอ่ะ ก็กูเห็น..ไอ้สองคนนี้ก็เห็น"

    "ไหนๆ ไปดูกันหน่อย"

    ว่าแล้วแกก็เดินไปกับพวกไปดูรถปิคอัพคันที่ใช้... พอไปถึงท้ายกระบะ 3 คนที่หนีมานั่น หน้าเหลือ 2 นิ้ว.. กระบบท้ายที่เปิดได้ เป็นรูอาก้าแบบนับไม้ถ้วน...มีรอยกระสุนเจาะด้านข้างรถทั้ง ซ้าย ขวา.. แต่ที่น่าแปลกคือกระจกหลังไม่มีรอยกระสุนเลยสักนัดเดียวถ้ามี..เลยจากกระจกไป ก็คงเป็นกบาลใครสักคนเป็นแน่... รุ่นพี่ผมชะโงกไปดูในกระบะ...ขมวดคิ้ว..แล้วหยิบสิ่งหนึ่งที่กลิ้งอยู่ในกระบะท้ายขึ้นมา...ทันทีที่เห็นถนัดก็แทบลมใส่เหมือนกัน หันกลับไปดูให้ทั่วอีกครั้งปรากฎว่ามีเจ้าสิ่งนี้ร่วงอยู่ท้ายกระบะด้านในที่ติดกับกระจกจำนวนมาก..หันไปส่งให้พรรคพวกดู..ทุกคนอึ้ง..3 คนที่มาด้วยกันในกระบะคันนี้...ยกมือท่วมหัวแล้วทำปากหมุบหมิบเหมือนกัน...ก้มลงไปหยิบคนละชิ้นสองชิ้นขั้นมาดู ที่เห็นคือ"หัวกระสุนอาก้า"ที่ตกเกลื่อนอยู่โดยที่ไม่ทะลุกระจกเข้าไปนั่นเอง!!

    ทั้ง 3 คนในรถ...สวม "แหวนหลวงปู่ดู่" ทุกคน

    เครดิต : ThaiBlades.com Forums
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • n39c9e.jpg
      n39c9e.jpg
      ขนาดไฟล์:
      64.6 KB
      เปิดดู:
      51,184
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ตุลาคม 2009
  13. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,359
    สาธุ หลวงปู่ท่านดูเราอยู่ตลอดนับถือท่านจริงย่อมมีสิ่งดีๆเกิดขึ้นในชีวิตจริงๆครับ ดังคำที่หลวงปู่ท่านพูดไว้

    "เอ็งคิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงเอ็ง
    เอ็งไม่คิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงเอ็ง"

    สาธุ ขออนุโมทนากับทุกท่านที่ทรงความดีครับ :cool:
     
  14. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,359
    หลวงปู่ดู่เล่าถึงการสร้างพระ

    a.jpg

    หลวงปู่เคยเล่าให้ศิษย์ฟังอยู่เสมอว่า

    "การสร้างพระพุทธรูปนั้น จะมีอานิสงส์มาก แม้จะองค์เล็กเท่าต้นหญ้าคาก็จะมีอานิสงส์ถึง 5 กัลป์"

    หลวงปู่ยกตัวอย่างเช่นคนที่สร้าง หลวงพ่อโสธร หลวงพ่อบ้านแหลม หลวงพ่อไร่ขิง

    "ตอนนี้เขาเหล่านั้นยังเป็นเทพบุตรเทพธิดา และ พรหมในชั้นต่าง ๆ เสวยความสุขอย่างไม่มีจบสิ้น เพราะผลบุญที่ได้นี้มันต่อเนื่องเมื่อมีคนไปกราบไปไหว้หลวงพ่อที่หนึ่งสายบุญเหล่านั้นก็จะไหลไปยังเทพบุตรเทพธิดาอย่างต่อเนื่องเหมือนสายน้ำตก"

    แกก็ลองนึกดูเถิดว่าวัน ๆ หนึ่งมีคนไปกราบหลวงพ่อเหล่านั้นมากเพียงไรลูกศิษย์หลวงปู่เป็นส่วนมากจึงชอบสร้างพระเพราะหลวงปู่ไม่ได้กำหนดให้ผู้ใดผู้หนึ่งผูกขาดในการสร้างของท่านคณะใดกลุ่มใดมีศรัทธาจะสร้างเพื่อเป็นกุศลต่อตนเองและส่วนรวมหลวงปู่ก็จะอนุญาตอยู่เสมอและหลวงปู่จะอนุโมทนาต่อเขาเหล่านั้นเป็นอย่างดี

    มีอยู่ครั้งหนึ่ง ลูกศิษย์นั่งรวมกันอยู่ 10 กว่าคน มีคนหนึ่งพูดว่าพระขาวท่านนั่งตากแดดตากฝนมานานแล้วพวกเขาควรสร้างศาลาครอบพระขาวไว้เพื่อเป็นมหากุศลบ้างก็ว่าจะทอดพระป่าสร้างสิ่งต่าง ๆ มาทำบุญ แต่ในคนเหล่านั้นมีคุณช้าง ราชดำเนินได้กราบหลวงปู่ และได้บอกหลวงปู่ดู่ว่า กระผมจะสร้างพระชุดหนึ่งเพื่อนำเงินมาสร้างศาลาครอบพระขาว หลวงปู่จึงอนุโมทนาบุญด้วยและบอกว่ามีแผ่นชนวนอยู่ตรงนี้ที่ต้นเสาข้าง ๆ หลวงปู่ จำนวน 4,800 แผ่นซึ่งหลวงปู่ปลุกเสกไว้นานหลายปีแล้ว ซึ่งเป็นของป้าสอิ้งที่จะนำไปสร้างพระแตกแต่ยังไม่นำไปสร้างซะที หลวงปู่บอกว่า ตาช้างเอาไปก่อนแล้วค่อยหาแผ่นใหม่มาใช้ให้ยายสอิ้ง ซึ่งยายสอิ้งอยู่ ณ ที่นั้นด้วยยายสอิ้งจึงอนุโมทนากํบคุณช้างด้วยเลย

    การสร้างพระกริ่งนี้ เป็นพระกริ่งรุ่นแรกของหลวงปู่ ๆ เมตตาเป็นพิเศษให้ฤกษ์เทพระกริ่งด้วยตนเองโดยให้ฤกษ์ว่า เริ่มเทได้ด้วยวันเพ็ญเดือน 12 เวลาย่ำรุ่งตอนพระออกบิณฑบาตร การสร้างพระกริ่งในครั้งนั้น คุณช้าง ราชดำเนินได้ให้ช่างที่มีฝีมือดี แกะพระกริ่งเป็นหน้าเชียงแสนลำตัวอ้วนและแข็งแรงดูแล้วเข้มขลังเป็นอย่างมากสร้างพระชัยอีก 1 องค์หล่อแบบโบราณโดยการเทในวัดรวกสุทธาราม เมื่อหล่อเสร็จสิ้นแล้วจึงนำไปให้หลวงปู่อุดใต้ฐานพระด้วยผงกัมมฐานมหาจักรพรรดิ์ และเกศาของหลวงปู่ปิดกั้นด้วยแผ่นทองแดง หลวงปู่จารย์ที่แผ่นทองแดงใต้พระกริ่งแล้วหลวงปู่เมตตาตั้งชื่อกริ่งนั้นว่า พระกริ่งไตรสรณคมณ์ พระชัยไตรสรณคมน์พระไพรีพินาศไตรสรณคมณ์ ส่วนมากลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดและปฏิบัติได้ดีแล้ว ผู้ที่เข้าถึงไตรสรณคมณ์จะชอบพระกริ่งชุดนี้เป็นอย่างมากเพราะเมื่อนำไปใช้แล้ว สามารถปฏิบัติได้เป็นอย่างดีบ้างก็ว่า

    "พระกริ่งและพระชัยที่หลวงปู่สร้างนี้อธิษฐานใช้ทำให้เปิดได้ไปทั้ง 3 โลก จะใช้อะไรก็อธิษฐานได้ตามใจชอบแต่ต้องอยู่ในทำนองคลองธรรม"

    มีคนไปถามหลวงปู่ว่า "หลวงปู่ครับ พระของหลวงปู่นั้นมีเสื่อมไหม?"

    หลวงปู่ตอบให้ฟังว่า "หลวงพ่อสิม วัดถ้ำผาปล่องท่านอธิษฐานพระของท่านให้เสื่อมเมื่อสิ้นพุทธศาสนา

    "แต่พระข้า ข้าอธิษฐานว่า ถ้าละลายกลายเป็นน้ำเมื่อใด เมื่อนั้นหละแกก็จะหมดพุทธานุภาพ"

    แม้หลวงปู่จะไม่สรรเสริญให้ลูกศิษย์ติดวัตถุมงคลให้ยึดการปฏิบัตให้ออกจากการพ้นทุกข์แต่หลวงปู่ก็บอกว่า

    "พวกแกติดวัตถุมงคลดีกว่าไปติดวัตถุอัปมงคล"

    จากหนังสือ นะโภคทรัพย์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      135.3 KB
      เปิดดู:
      64,937
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ตุลาคม 2009
  15. พงศ์830

    พงศ์830 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,172
    ค่าพลัง:
    +1,196
    อนุโมนาสาธครับสำหรับบทความดีๆๆ


    เกิดปัญญาขึ้นอีกเยอะเลยครับ..
     
  16. วัดท่าสมอ

    วัดท่าสมอ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    367
    ค่าพลัง:
    +1,343
    กราบกราบกราบหลวงปู่ดู่อย่างสูงครับ
     
  17. ภะควา

    ภะควา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2009
    โพสต์:
    231
    ค่าพลัง:
    +435
    กราบๆๆๆๆ หลวงปู่ ด้วยความเคารพอย่างสูง
     
  18. ผู้นอบน้อมสุดใจ

    ผู้นอบน้อมสุดใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    955
    ค่าพลัง:
    +2,094
    ผมศรัทธาท่านทั้งหมดของใจครับ ท่านให้ชีวิตใหม่ผม สาธุครับ
     
  19. Surfers

    Surfers เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    10,498
    ค่าพลัง:
    +26,963
  20. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,359
    ขอบคุณเพื่อนๆสมาชิกทุกท่านที่แวะเวียนมาครับ แต่ละท่านรู้สึกจะได้สิ่งดีๆและประสปการณ์ที่ไปในทางเดียวกันเลยนะครับ บารมีหลวงปู่ไม่มีประมาณจริงๆ สาธุ

    นะโม โพธิสัตโต พรหมปัญโญ

    [​IMG]

    กราบ...
    กราบ...
    กราบ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 0.jpg
      0.jpg
      ขนาดไฟล์:
      55.3 KB
      เปิดดู:
      55,923

แชร์หน้านี้

Loading...