เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 23 ธันวาคม 2025 at 16:40.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    23,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,972
    ค่าพลัง:
    +26,814
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    23,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,972
    ค่าพลัง:
    +26,814
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๒๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพแจ้งผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่า วันนี้ไม่ได้ไปร่วมงานตรวจข้อสอบธรรมศึกษาชั้นโทที่วัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) เนื่องเพราะว่ารับงานอธิษฐานจิตในพิธีสถาปนาพระพิชัยสงคราม ของวัดโพธิ์ผักไห่ หมู่ที่ ๔ ตำบลผักไห่ อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเอาไว้ก่อนแล้ว

    ในเรื่องของตำราพิชัยสงครามนั้น ความจริงแล้วแบ่งออกเป็นหลายต่อหลายส่วนด้วยกัน มีทั้งในด้านของการสร้างเสริมวัตถุมงคลต่าง ๆ อยู่ในลักษณะของการกลับดวง พลิกดวง เสริมชะตา ป้องกันอันตราย เหล่านั้นเป็นต้น หรือว่าการสร้างวัตถุมงคลสำหรับป้องกันตนเอง หรือว่าการแต่งคน แต่งทัพ ตลอดจนกระทั่งการสร้างศาสตราวุธต่าง ๆ ในการล้างอาถรรพ์ของข้าศึก แล้วท้ายที่สุดก็คือการดูฤกษ์ล่างฤกษ์บน ว่าฤกษ์อย่างไรเหมาะสมในการที่จะออกทัพ ไม่เหมาะสมในการที่จะออกทัพ มีการกำหนดนิมิต ดูเมฆฉาย เหล่านั้นเป็นต้น

    แล้วก็ไปเป็นเรื่องของการจัดกระบวนทัพเพื่อสู้รบกัน ไม่ว่าจะเป็น ฤทธี สีหจักร ลักษณ์ซ่อนเงื่อน เถื่อนกำบัง พังภูผา ม้ากินสวน พวนเรือโยง โพงน้ำบ่อ เหล่านั้นเป็นต้น ซึ่งจะว่าไปแล้วเป็นวิชาการที่หลากหลายมาก แต่ว่าทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับสมาธิภาวนาเสียเป็นส่วนใหญ่

    แม้กระทั่งในเรื่องของการสร้างวัตถุมงคลต่าง ๆ ก็ต้องมีกำหนดกฏเกณฑ์เอาไว้ชัดเจน ว่าจะต้องใช้ฤกษ์ใดเวลาใดในการไปเก็บวัสดุต่าง ๆ เมื่อรวบรวมมาแล้วต้องมีวิธีการจัดการอย่างไรบ้าง จะต้องตากแสงแดดยามเที่ยง จะต้องตากน้ำค้างยามค่ำคืน อะไรเหล่านั้นเป็นต้น เป็นวิชาการที่ต้องบอกว่ายุ่งยากสุด ๆ รวมแล้วหลายเล่มสมุดไทย..!

    ในบ้านเราเมืองเรานั้น ตำราพิชัยสงครามจะมีของสายวัดประดู่โรงธรรม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่มาแบบครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ไม่ทราบว่าปัจจุบันนี้ ยังมีครบถ้วนอยู่หรือไม่ ? แต่ว่าหลวงพ่อพระครูปลัดพิจารย์ วิจารโณ เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ผักไห่ ท่านก็ได้ศึกษาตำราเหล่านี้มา

    โดยเฉพาะในส่วนของการสถาปนาพระพิชัยสงคราม ซึ่งจะต้องใช้ต้นโพธิ์ตายพราย โดยเฉพาะถ้าเป็นกิ่งโพธิ์นิพพานด้านทิศตะวันออก ที่หักลงมาเองได้ยิ่งดี ต้องมีการไปพลีกรรมขอกับรุกขเทวดา แล้วก็นำมาแกะสลักเป็นพระพุทธรูป องค์จะต้องเป็นไม้อะไร ? เศียรต้องเป็นไม้อะไร ? ฐานต้องเป็นไม้อะไร ? ตลอดจนกระทั่งบรรจุเลขยันต์ดวงพิชัยสงครามอย่างไร ? เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะยุ่งยาก และคนรุ่นใหม่ ๆ ไม่มีอารมณ์ที่จะศึกษาแบบนี้กันแล้ว..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    23,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,972
    ค่าพลัง:
    +26,814
    ทางด้านท่านอาจารย์ต้น (ธนสาร เซ้งรักษา) ก็ศึกษาวิชาการเหล่านี้เอาไว้ แล้วก็ระบุชัดเจนว่า "ครูบาอาจารย์บอกว่า ในพิธีสถาปนาพระพิชัยสงคราม จะขาดหลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุนไปไม่ได้" ซึ่งกระผม/อาตมภาพก็เห็นว่าด้วยสาเหตุ ๒ ประการ

    ประการแรก ตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงเคยบอกกล่าวเอาไว้ คือ กระผม/อาตมภาพนั้นเป็นทหารมาทุกชาติ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ย่อมคุ้นเคยกับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นที่สุด

    ประการที่สองก็คือ ในเรื่องของสมาธิสมาบัติที่จะต้องช่วยอธิษฐานจิต เพื่อที่จะขอบารมีพระ ตลอดจนพรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ ท่านให้อนุเคราะห์สงเคราะห์ เป็นสิ่งที่เขาเห็นกันว่ากระผม/อาตมภาพชำนาญในด้านนี้อยู่บ้าง

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น วันนี้จึงต้องไปร่วมพิธี ซึ่งถ้าหากว่าขาดกระผม/อาตมภาพไป ตามที่เขาบอกกล่าวกันก็คือ "จะไม่สมบูรณ์" แต่ว่ากระผม/อาตมภาพก็ได้ทำแค่ในส่วนของการบวงสรวง บูชาพระรัตนตรัย เจิมและจุดเทียนชัย แล้วกราบขอบารมีพระ พรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ ให้ช่วยอนุเคราะห์สงเคราะห์ในการสถาปนาพระพิชัยสงครามรุ่นนี้ด้วย แล้วก็อธิษฐานจิตภาวนา ซึ่งว่ากันตามกำลังวัน ซึ่งก็คือวันอังคาร มีกำลังเท่ากับ ๘

    เมื่อเสร็จสรรพเรียบร้อย รับไทยธรรมแล้วกระผม/อาตมภาพก็ขอตัวเดินทางกลับ เนื่องเพราะว่าสภาพร่างกายไม่ค่อยอำนวย อยู่ประเทศอินเดีย เนปาล ๗ - ๘ วัน ไม่เป็นอะไรเลย ทั้ง ๆ ที่ฝุ่นในระดับต่ำ ๆ ก็ ๑๘๐ ขึ้นไป พูดง่าย ๆ ว่า สามารถที่จะหายใจเข้าไปแล้วติดคอตายได้เลย..! แต่พอกลับมาเมืองไทย ดันมาไอค็อกไอแค็กเสียนี่ ถ้าหากไม่ใช่ว่าเข้าสมาธิในการบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ท่านทั้งหลายก็จะได้ยินเสียงกระผม/อาตมภาพไอแล้วอย่างแน่นอน..!

    ต้องเจริญพรขอบพระคุณ "มหามาตา" และ"เจ้าแม่นภิสราเทวี" ตลอดจนกระทั่งบริวารทุกท่าน ที่ช่วยอนุเคราะห์สงเคราะห์ ประคับประคองคณะของเราให้อยู่รอดปลอดภัย จนกลับเมืองไทยแล้วค่อยมาป่วยกันทีหลัง ซึ่งเรื่องนี้จะว่าท่านก็ไม่ได้ เพราะว่าอยู่ในเขตของท่าน ท่านก็สงเคราะห์ได้ พออยู่นอกเขต ท่านก็ไม่สามารถที่จะยื่นมือเข้ามายุ่งกับสิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่ของตนอีก
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    23,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,972
    ค่าพลัง:
    +26,814
    วันนี้ในส่วนที่อยากจะกล่าวถึง และเชื่อว่าหลายคนนึกไม่ถึง ก็คือขอทานในประเทศอินเดียและเนปาล ซึ่งนักท่องเที่ยวไทยได้รับคำสอน คำบอกเล่า จากผู้มีประสบการณ์ตรงเป็นจำนวนมากว่า "อย่าได้ให้เงินขอทานในอินเดียหรือเนปาลเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นแล้ว ท่านจะกลายเป็นผู้ประสบภัยทันที..!"

    กระผม/อาตมภาพเอง ทั้ง ๆ ที่ไปไหนก็ทำบุญแหลกลาญชนิดที่ไม่หวงเงิน แม้กระทั่งบรรดาบริกรต่าง ๆ ตลอดจนกระทั่งคนดูแล คนเปิดประตู คนเฝ้าเวรยาม แม้กระทั่งเด็กรถก็แจกรางวัลให้คนละมาก ๆ แต่กลับไม่ได้ให้ขอทานเลยแม้แต่รูปีเดียว หรือแม้แต่บาทเดียว..! เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า
    ในเรื่องของพรหมวิหาร ๔ นั้น ไม่ได้มีแต่เมตตา กรุณา ก็คือคุณจะรักเขาเสมอตัวเรา สงสารอยากช่วยเหลือเขาให้พ้นทุกข์ขนาดไหนก็ตาม แต่เมื่อดูสถานการณ์แล้ว ท่านก็ต้องวางอุเบกขา เนื่องเพราะว่าทุกสายตาจับจ้องมา ประหนึ่งพยัคฆ์ร้ายกระหายเหยื่อ..!

    เคยมีตัวอย่างพระไทยที่เมตตา ถึงขนาดหยิบเอาธนบัตรใบละ ๒๐ รูปีใหม่เอี่ยมขึ้นมาทั้งปึก ตั้งใจว่าจะแจกให้ทุกคน ๆ ละใบ ปรากฏว่าบรรดาบุคคลที่มองอยู่รอบด้าน ไม่ใช่เฉพาะตรงหน้าฮือกันเข้ามา แล้วสิ่งที่ปรากฏก็คือหลวงพ่อรูปนั้น โดนดึงจนกระทั่งสบงจีวรหลุด กลายเป็นยืนตัวเปล่าเล่าเปลือยในชุดวันเกิดยังไม่พอ ย่ามที่บรรจุสิ่งของต่าง ๆ เอาไว้ โดยเฉพาะเงินทองก็โดนพวกนั้นกระชากติดมือไปด้วย..! ในเมื่อเป็นเช่นนั้น กระผม/อาตมภาพจึงต้องทำตัวในลักษณะของผู้ใช้อุเบกขาพรหมวิหาร ก็คือไม่ได้สนใจใส่ใจว่าเขาจะทำอะไร

    คราวนี้จากการที่สังเกตเองก็ดี จากการที่ได้รับข้อมูลจากท่านเจ้าคุณกอล์ฟ - พระวิเทศวัชราจารย์ (เฉลิมชาติ ชาติวโร) เจ้าอาวาสวัดสิทธารถราชมณเฑียร เลขานุการธรรมทูตสายอินเดีย - เนปาล หรือที่สมัยก่อนเรียกกันว่า "พระครูอินเดีย" แล้วปัจจุบันนี้ก็เริ่มมีคนเรียกกันว่า "เจ้าคุณอินเดีย" นั้น ขอทานในประเทศอินเดีย - เนปาล นั้น แบ่งออกเป็น ๓ ประเภทด้วยกัน

    ประเภทแรกก็ประมาณวณิพกของบ้านเรา ก็คือมีการตีกลอง ร้องเพลง เพื่อขอทาน ลักษณะคล้าย ๆ กับเพลงขอทานบ้านเราสมัยก่อน ที่จะมีการตีกรับ ร้องเพลง ฟ้อนรำต่าง ๆ สมัยเด็ก ๆ กระผม/อาตมภาพเคยเจอบ่อย บางทีก็มาคณะใหญ่ ๑๐ กว่า ๒๐ คนก็มี..! ถึงเวลาก็จะมาร้องเพลงชวนสงสาร ประมาณว่า "เปิดหม้อไม่มีข้าวสุก เปิดสมุกไม่มีข้าวสาร พ่อเอ๋ยแม่เอ๋ยโปรดช่วยให้ทาน ฯลฯ" เหล่านี้เป็นต้น แต่ว่าทางด้านประเทศอินเดีย - เนปาลนี้ ไม่ว่าจะเด็กจะผู้ใหญ่ วณิพกของเขาร้องเพลงสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย ก็คือ อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฎิปันโนฯ ๓ ห้องเลย แถมยังตีกลองเป็นจังหวะเข้ากันอีกต่างหาก..! ต้องขอชื่นชมว่าคนทั้งหลายเหล่านี้ปรับตัวเก่งมาก ทำให้สามารถที่จะทำตัวให้เข้ากับพวกเรา พวกเราไปที่ไหนก็สวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย เขาก็เลยเอามาใช้ในการร้องเพลงขอทาน..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    23,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,972
    ค่าพลัง:
    +26,814
    ประเภทที่ ๒ เป็นการจับจองสถานที่ นั่งขออยู่กับที่ ใครเดินผ่านไปก็ร้องเรียก "มหาราชา" "มหารานี" โปรดสงเคราะห์ด้วย ประมาณนั้น พวกเราทั้งหลายก็อย่าได้คิดไปหลงคารมว่า เป็นมหาราชาหรือมหารานี แล้วไล่แจกไปเสียหมด เนื่องเพราะว่าคนทั้งหลายเหล่านี้นั้น มีการจับจองสถานที่เป็นเขตเฉพาะของตน มีความดีอยู่ตรงที่ว่า ร้องขออยู่กับที่ ไม่ขยับไปไหน

    ประเภทสุดท้าย คือประเภทที่นักท่องเที่ยวรำคาญที่สุด ก็คือเดินตามเบียด เดินขอ เดินกระแทกไหล่เรามาเลย ในลักษณะที่ว่า "๕๐ รูปี" บ้าง "๑๐๐ บาท" บ้าง "๒๐ บาท" บ้าง ตามแต่ที่เขาจะพูดภาษาได้ ซึ่งเรื่องพวกนี้เขาปรับตัวได้เร็วมาก หลายคนก็อยู่ในลักษณะว่า "อาจารย์มาแล้วพรุ่งนี้ จำได้ ๆ" ซึ่งกระผม/อาตมภาพอยากจะบอกว่า เอ็งพูดให้ถูกหน่อยว่า "อาจารย์มาแล้วเมื่อวาน" ไม่ใช่ "อาจารย์มาแล้วพรุ่งนี้" แต่ถ้าขืนไปแก้ไขให้ เดี๋ยวก็จะขอพวกเราหนักขึ้นไปอีก..!

    ขอทานในประเทศอินเดีย - เนปาลเท่าที่ได้ข้อมูลและสังเกตมาก็มี ๓ ประเภทดังที่ว่ามานี้ แล้วเหตุหนึ่งที่ไม่คิดจะให้เลยก็คือว่า พวกเขาทั้งหลายขอทานเป็นอาชีพ ท่านเจ้าคุณกอล์ฟเคยสอบถามบุคคลที่เริ่มมักคุ้นกันแล้ว ปรากฏว่าเด็ก ๆ ทั้งหลายที่ไม่เรียนหนังสือ ไม่ทำการทำงานอื่น แต่มารอนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวพุทธของไทยนั้น แต่ละปีรายได้อยู่ประมาณ ๖๐,๐๐๐ - ๗๐,๐๐๐ รูปี..! เฉลี่ยประมาณเดือนละ ๕,๐๐๐ กว่ารูปี แปลว่า
    เขาทั้งหลายเหล่านั้นจะไม่เสียเวลาไปเรียนหนังสือ ไม่คิดที่จะพัฒนาตนเองให้มีการงานที่มั่นคง

    เนื่องเพราะว่าการงานมั่นคงขนาดไหน ก็สู้ขอทานกับคณะคนไทยไม่ได้ ซึ่งเมื่อได้ยินรายได้ของเขาแล้วก็ไม่แปลกใจเลย เนื่องเพราะว่าคนไทยใจดี ใจอ่อน มักจะหลงคารมอยู่เสมอ ในคณะของเราก็มี "มหารานี" หลายคน ที่เผลอเมื่อไรก็ยัดเงินให้กับเด็ก ๆ ทันที ยังโชคดีที่ว่ามือไว ถ้าขืนช้าให้เด็กคนอื่นเห็นเมื่อไร มีหวังโดนรุมตายแน่นอน..!

    ดังนั้น..
    ในเรื่องของขอทาน ไม่ว่าในอินเดียหรือเนปาล ถ้าหากว่าเราไปให้เขา เท่ากับส่งเสริมให้เขาขี้เกียจ ไม่ศึกษาเล่าเรียน ไม่คิดจะหาวิชาความรู้มาพัฒนาตนเองและครอบครัว แล้วจะไปพัฒนาประเทศชาติให้ก้าวหน้าได้อย่างไร ? ดังนั้น..การวางอุเบกขาจึงน่าจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด และเป็นการใช้หลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรงกาลเทศะที่สุด

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๒๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...