เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 17 กุมภาพันธ์ 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,511
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,511
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๖ ญาติโยมถ้าฟังเสียงกระผม/อาตมภาพแล้วรู้สึกรำคาญหู จะปิดเสียงไปเลยก็ได้..!

    กระผม/อาตมภาพเองอยู่ในสภาพอากาศที่ค่อนข้างจะย่ำแย่ ก็คือเดี๋ยวอากาศหนาว เดี๋ยวอากาศร้อน ซ้ำยังฝนตกอีกด้วย สภาพร่างกายที่มีโรคภัยไข้เจ็บประจำตัว คือมาลาเรียเรื้อรัง ซึ่งโรคนี้ถ้าหากว่าพักผ่อนไม่พอเมื่อไร อาการก็จะกำเริบทันที แล้วถ้าหากว่าเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคอื่นใด มาลาเรียก็จะช่วยซ้ำให้โรคนั้นหนักขึ้น..!

    หลายคนพอได้ยินก็รีบแนะนำยาอย่างโน้น หมออย่างนี้ กระผม/อาตมภาพขอบอกกับทุกท่านว่าอย่าเสียเวลาแนะนำ จากการที่ป่วยด้วยโรคนี้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๔ จนถึงปัจจุบันนี้ ไม่มียาอะไรและไม่มีหมออะไรที่ไม่เคยรักษา ยาทุกประเภท หมอทุกประเภทรักษามาหมดแล้ว

    แต่ด้วยเหตุที่ว่าสร้างเวรสร้างกรรมเอาไว้มาก จึงเกิดอาการ Deadlock ก็คือไม่ว่าจะฉันยาอะไรก็ตาม ถ้าไม่ส่งผลร้ายให้ ก็ไม่ส่งผลดีให้เช่นกัน อย่างเช่นว่ายาที่มีธาตุเย็น ฉันลงไปเมื่อไร อาการจะกำเริบซ้ำเติมขึ้นมาทันที ส่วนยาที่เป็นธาตุร้อน ถ้าฉันลงไปเมื่อไร เสียงก็แหบ ไม่สามารถที่จะเทศน์หรือว่าแสดงธรรมได้ หรือถ้าหากว่าจะฝืนใช้ร่างกายก็จะมีสภาพอย่างที่ญาติโยมทั้งหลายได้ยินอยู่ในขณะนี้

    ดังนั้น..ยาที่ท่านทั้งหลายเห็นว่าดี ขอยืนยันว่าไม่ได้ดีกับกระผม/อาตมภาพแม้แต่อย่างเดียว ตลอดระยะเวลา ๓๐ กว่าปีที่ฉันยามาทุกชนิดทุกประเภท ยาบางอย่างออกฤทธิ์บีบจนกระผม/อาตมภาพจะตายอยู่แล้ว แต่ว่าเชื้อโรคกลับไม่ตาย..!

    จนกระทั่งท้ายสุด กระผม/อาตมภาพตัดสินใจเลิกฉันยาทุกประเภทมาประมาณ ๔ - ๕ ปีแล้ว ปรากฏว่าสุขภาพดีขึ้นกว่าเดิมมาก ก็แปลว่าในเรื่องของวาระกรรมนั้น ถ้ายังไม่เปิดเมื่อไร ท่านทั้งหลายก็ไม่สามารถที่จะหาหมอหายาที่เหมาะสมมาได้ บางท่านวาระกรรมเปิด แม้แต่ยาที่ไม่คิดว่าจะเป็นยา กินลงไปก็ยังหายได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่อัศจรรย์เกินกว่าที่เราทั้งหลายจะคาดคิดถึง
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,511
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    ดังนั้น..ในเรื่องที่เป็นอจินไตย คือเรื่องที่ไม่ควรที่จะเอามาคิดทั้ง ๔ อย่าง ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้นั้น มีข้อหนึ่งคือกรรมวิบาก การส่งผลของกรรม ไม่ว่าอย่างไร เราก็ต้องรับผลอันนั้น สิ่งหนึ่งประการใดที่ดีสำหรับผู้อื่น แต่สำหรับผู้ที่จะรับผลของกรรมหรือว่าต้องรับผลของกรรมนั้น สิ่งนั้นกลับกลายเป็นส่งผลร้ายไปให้

    ท่านทั้งหลายจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องส่งยามา เพราะว่ากระผม/อาตมภาพเองฉันยามาทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นยาฝรั่ง ยาไทย หรือว่ากระทั่งยาโบราณ ยาพระบอก ยาผีบอกทุกประเภท แม้กระทั่งกลายเป็นหนูลองยาของเวชศาสตร์เขตร้อนก็ตาม

    ดังนั้น..ในส่วนนี้
    กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ประคับประคองร่างกายไปวันหนึ่ง ๆ อาศัยการสร้างบุญสร้างกุศลเพื่อบรรเทาเบาบางเคราะห์กรรมตรงนี้ลงไป โดยที่ไม่เคยคิดว่าจะอยู่ได้มากกว่าวันนี้ สิ่งที่ทำจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะวันนี้เป็นวันสุดท้าย ในเมื่อกระทำวันนี้เป็นวันสุดท้าย เราจึงต้องทำให้ดีที่สุด ทำให้เต็มที่ที่สุด

    ตรงจุดนี้ ครูบาอาจารย์คือพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านทำองค์เป็นตัวอย่างให้กระผม/อาตมภาพเห็นมาตั้งแต่ปี ๒๕๑๘ จนถึง ๒๕๓๕ ตลอดระยะเวลา ๑๗ ปีเต็ม ๆ ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านปฏิบัติหน้าที่โดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก สร้างทั้งในสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์ สร้างทั้งในสิ่งที่เป็นหลักธรรม สร้างทั้งในสิ่งที่เป็นอนุสรณ์สถานสำหรับท่านเอง

    แม้ว่าท่านไม่ได้ตั้งเจตนาจะทำเป็นอนุสรณ์สถานสำหรับตนเอง แต่ถ้ากล่าวถึงศาลา ๒ ไร่ ศาลา ๔ ไร่ ศาลา ๑๒ ไร่ หรือว่าวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร ก็จะไม่มีการนึกถึงผู้อื่น ทุกรูปทุกนามล้วนแล้วแต่นึกถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ว่าเป็นผู้ริเริ่ม เป็นผู้สร้างทั้งสิ้น

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงเป็นเรื่องที่ท่านก็กระทำให้เห็นแล้วว่า สิ่งที่ท่านทำนั้นท่านก็ทำเป็นวันสุดท้ายเช่นกัน แล้วอาการเจ็บไข้ได้ป่วยของท่านนั้น หนักหนากว่ากระผม/อาตมภาพหลายเท่า แม้กระทั่งบางวัน ท่านเองอยากจะฉันแกงเผ็ด เพราะว่าปากคอจืดหมด ขาดสารอาหารอย่างแรง เพียงแค่เอาช้อนแตะน้ำแกงหน่อยหนึ่งแล้วแตะปลายลิ้น โรคภัยไข้เจ็บที่กินท่านอยู่ก็ทำให้อาการเจ็บปวดอักเสบที่เป็นอยู่นั้น ทันทีที่รับรสเผ็ดเข้าไป ท่านบอกว่าอักเสบไปถึงลำไส้..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,511
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    เรื่องพวกนี้พูดไป ท่านที่ไม่เคยเจอ ไม่เคยพบ ไม่เคยเห็น จินตนาการอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าอาการเจ็บป่วยจะทรมานได้ขนาดนั้น แล้วบุคคลหนึ่งก็ยังอุตส่าห์ดำรงขันธ์เอาไว้ เพื่อทำงานที่พระท่านสั่งให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้นั้น ท่านทำกันได้อย่างไร ?

    ถ้าเราไปนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ประชวรปักขันธิกาพาธ ซึ่งแปลเป็นไทยว่า เป็นโรคถ่ายเป็นเลือด ถ้าเป็นสมัยนี้ หมอก็น่าจะวินิจฉัยว่าเป็นกระเพาะอาหารหรือว่าลำไส้ทะลุ ทำให้กำลังของพระองค์ท่านหมดไป

    จากที่เคยเสด็จพระราชดำเนินได้วันละ ๑๒๐ โยชน์ ก็ต้องเดินไปพักไป กว่าจะถึงสาลวโนทยานนั้น ถ้าเป็นบุคคลทั่วไปก็อาจจะล้มลง สิ้นชีวิตไปนานแล้ว แต่ด้วยอธิวาสนขันติ ซึ่งท่านเองกำหนดอยู่เป็นกำลังส่วนองค์ แม้ว่ากำลังกายจะหมดแล้ว แต่กำลังใจที่เข้มแข็ง ก็ยังลากร่างกายนั้นไปจนกระทั่งถึงสาลวโนทยาน อันเป็นสถานที่ซึ่งพระองค์ท่านตั้งใจจะไปดับขันธ์พระปรินิพพานที่นั่น

    หรือถ้าหากว่าไปนึกถึงพระเถระครูบาอาจารย์ในยุคที่พวกเราทั้งหลายยังสามารถทัน หรือว่าใกล้เคียง อย่างหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ซึ่งท่านเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ในป่าในดง แต่ด้วยความที่เวทนาสงสารว่า สรรพชีวิตทั้งหลายอาจจะต้องมาดับสิ้นลงไป เพราะว่างานศพของท่านก็จะต้องมีการเลี้ยงกัน

    ในเมื่อมีการจัดเลี้ยงก็ต้องมีการล้มวัว ล้มควาย ฆ่าหมู ฆ่าไก่ ท่านจึงยอมให้เขาเอาขึ้นเกวียนบ้าง แบกหามไปบ้าง จนกระทั่งไปถึงตัวเมืองสกลนคร ซึ่งการขึ้นลงนั้น กระผม/อาตมภาพเองมีประสบการณ์ว่า เวลาอาการเจ็บป่วยกำเริบหนัก ๆ นั้น แค่รถสะเทือนนิดหน่อยก็แทบจะขาดใจตายแล้ว แต่ว่าหลวงปู่มั่นก็ใช้อำนาจของขันติ อำนาจของกำลังใจ อดทนอดกลั้นจนกระทั่งไปถึงสถานที่ซึ่งท่านตั้งใจจะเข้านิพพาน

    หรือว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง แม้กระทั่งวันสุดท้าย ท่านเองก็ยังให้พวกกระผม/อาตมภาพส่งท่านออกไปรับแขก ท่านบอกว่าคนอื่นเขาตั้งใจมาหา เขามาไกล มาแล้วไม่พบเขาจะเสียกำลังใจ แล้วก็เพียรพยายามที่จะไปเพื่อที่จะรับแขกให้ได้ ทั้ง ๆ ที่สายตาของท่านนั้นไม่สามารถที่จะแยกแยะผู้คนได้แล้ว เนื่องเพราะว่ากำลังกายหมดไป ทำให้สายตาพร่ามัว เห็นคนก็เป็นเพียงเงา ๆ เท่านั้น แยกแยะได้ว่าเป็นผู้หญิงผู้ชายหรือว่าเป็นพระเป็นโยม ก็นับว่าเก่งมากแล้ว..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,511
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    สิ่งที่ท่านทั้งหลายอดทนอดกลั้นไปนั้นเกิดจากมานะ ซึ่งเป็นปุพเพกตปุญญตา ก็คือบุญกุศลหรือบารมีที่สร้างมาในอดีตชาติ เคยเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เคยเกิดเป็นพระมหากษัตริย์ เคยเกิดเป็นผู้นำคนมานับชาติไม่ถ้วน สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทำให้ท่านทั้งหลายนั้น มีมานะว่าจะแสดงความอ่อนแอต่อหน้าคนอื่นไม่ได้

    แม้กระทั่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ก็เช่นกัน เมื่อกระผม/อาตมภาพรับท่านลงจากตึกริมน้ำ เพื่อที่จะขึ้นรถยนต์ไปรับแขกที่ตึกรับแขกใหม่ ท่านจะต้องลงบันไดประมาณ ๓ ขั้น กระผม/อาตมภาพเกรงว่าท่านจะสะดุดล้มจึงจับแขนของท่านเอาไว้ เมื่อท่านก้าวลงถึงบันไดขั้นสุดท้าย ก็สะบัดแขนออกทันที ขอเดินด้วยองค์ท่านเอง..!

    ตรงนี้ทำให้เห็นชัดเป็นอย่างยิ่งว่า ในส่วนของมานะกษัตริย์ หรือที่เรียกว่าขัตติยมานะนั้น ก็เป็นสิ่งที่ฝังรากลึกอยู่ในขันธสันดานเหมือนกัน เมื่อถึงเวลาก็ต้องแสดงออกซึ่งความเข้มแข็งโดยส่วนเดียว เจ็บไข้ได้ป่วยแค่ไหนก็ไม่ออกอาการให้คนอื่นเห็น เวลาสู้รบกับข้าศึก บาดเจ็บแค่ไหนก็จะไม่ร้องให้ข้าศึกนั้นได้ใจ..!

    ดังนั้น..ท่านทั้งหลายเหล่านี้จึงเป็นคนปากหนักโดยปริยาย ถ้าหากว่าโอดครวญขึ้นมาเมื่อไร แปลว่าสิ่งนั้นเกินกว่าที่อำนาจของร่างกายและจิตสังขารจะทานไหวแล้ว จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายไม่ควรไปคิดถึงอีกประเภทหนึ่ง

    เนื่องเพราะว่าพุทธวิสัย คือความสามารถของพระพุทธเจ้าก็ดี ฌานวิสัย ความสามารถของบุคคลผู้ทรงฌานทรงสมาบัติก็ตาม กรรมวิบาก การส่งผลของกรรม ตลอดจนกระทั่งโลกจินไตย ความเป็นไปของโลกนั้น เป็นสิ่งที่เราไม่ควรที่จะไปคิด

    สิ่งหนึ่งประการใดที่ท่านทำ เป็นความดีความงามสำหรับพระพุทธศาสนา สำหรับส่วนรวม เราก็แค่ทำใจโมทนาในคุณงามความดีนั้นไป ในส่วนอื่น ๆ นั้น เราไม่มีสิทธิ์ไม่มีส่วนที่จะไปช่วยเหลืออะไรท่านได้ แค่เอาใจช่วยอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ ก็พอแล้ว

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...