เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 26 มกราคม 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ ความจริงกระผม/อาตมภาพยังมีงานต่อเนื่องอยู่อีก ๒ วัน แต่ต้องวิ่งกลับมาก่อนก็เพราะว่า พรุ่งนี้ทางโรงเรียนทองผาภูมิวิทยามีงานประเมินนักเรียนรางวัลพระราชทานรอบสุดท้าย ซึ่งกระผม/อาตมภาพต้องไปร่วมงานโดยหน้าที่อยู่แล้ว

    คราวนี้การประเมินนักเรียนรางวัลพระราชทานปีที่แล้วของโรงเรียนทองผาภูมิวิทยา นักเรียนของเรากับอีก ๑ โรงเรียนทางด้านจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ความสามารถใกล้เคียงกันมาก พูดง่าย ๆ ว่าจะให้ใครชนะก็ได้ แต่ทางโรงเรียนของเราได้รางวัลนักเรียนพระราชทานก็เพราะว่า ผู้นำท้องถิ่นไปร่วมงานทุกหน่วยงานแม้กระทั่งวัด..!

    ในเมื่อคณะกรรมการเห็นว่าทางท้องถิ่นมีความพร้อมเพรียงกันขนาดนั้น ทำให้มั่นใจได้ว่าเด็กของเราต้องดีจริง ไม่อย่างนั้นผู้นำท้องถิ่น ไม่ว่าจะฝ่ายปกครอง หรือว่าวัดวาอาราม หรือผู้นำหมู่บ้าน ก็คงจะไม่ไปกันขนาดนั้น ในเมื่อมีข้อสอบรั่วมาให้ว่า ตรงส่วนนี้เป็นส่วนที่เขาพิจารณาด้วย กระผม/อาตมภาพก็เลยต้องวิ่งกลับมา ก็ไม่มากไม่มาย วิ่งกลับมาแค่ ๓ ชั่วโมงครึ่ง..! เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็วิ่งกลับไปอีก ๓ ชั่วโมงครึ่ง..!

    สำหรับวันนี้งานสำคัญก็คือการสอบอบรมพระอุปัชฌาย์ทั้งด้านข้อเขียนและภาคปฏิบัติ ทางด้านข้อเขียนมีปัญหาใหญ่ที่พระอุปัชฌาย์ของเรามีทั้งที่ขาดความรอบคอบ ก็คือเขาบังคับทำ ๒ ข้อ ส่วนอีก ๕ ข้อให้เลือกทำกันเอง เพราะว่าข้อสอบมีให้ ๑๐ ข้อ แต่หลายท่านทำมาแค่ ๕ ข้อ เพราะว่าอ่านโจทย์ไม่หมดหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ไปอ่านแค่ตรงที่ว่า "ที่เหลือให้เลือกทำมา ๕ ข้อ"

    ประการที่สองก็คือตีโจทย์ไม่แตก อย่างเช่นเขาถามว่า "พระอุปัชฌาย์ดีเป็นศรีแก่พระศาสนา" พระอุปัชฌาย์นั้นต้องทำตนอย่างไร จึงจะสมคำว่า "พระอุปัชฌาย์ดีเป็นศรีแก่พระศาสนา" ?

    เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้วก็มีทั้งการประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย เพื่อเป็นแบบอย่างของสัทธิวิหาริก มีทั้งดูแลการบรรพชาอุปสมบทให้เป็นไปโดยถูกต้องตามพระธรรมวินัย ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาโดยเคร่งครัด และปฏิบัติตามจริยาของพระอุปัชฌาย์ตามกฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ ๑๗ แต่ก็ยังมีคนที่พยายามที่จะเดากันเองอีก โดยการพยายามที่จะคิดว่าพระอุปัชฌาย์ที่ดีต้องเป็นอย่างไร แล้วก็เขียนเองลงไปแบบเรื่อยเปื่อย..!

    ส่วนข้อสอบที่เขาบังคับอยู่ ๒ ข้อ ข้อแรกคือการคิดอายุ ถ้าหากว่าคิดอายุผิดแล้วไปบวชให้บุคคลที่อายุไม่ถึง ๒๐ ปี ผู้ที่บวชก็ไม่ใช่พระ เพราะว่าคุณสมบัติไม่ครบ เป็นได้แค่สามเณรเท่านั้น..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    คราวนี้วิธีคิด มีทั้งวิธีบวกและวิธีลบ วิธีลบมีปัญหามากที่สุด อย่างเช่นเขาถามว่า เจ้านาคเกิดวันที่ ๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕ มาขอบวชในวันที่ ๑๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ อายุพอสมควรที่จะบวชให้หรือไม่ ? ลองแสดงวิธีทำมาให้ดู

    โดยปกติก็ต้องใช้วันเดือนปีปัจจุบันตั้ง แล้วก็ลบด้วยวันเดือนปีเกิด แต่คราวนี้มีปัญหาที่ว่า วันที่มาขอบวชคือวันที่ ๑๕ วันเกิดคือวันที่ ๑๗ ลบกันได้ไหม ? แล้วเดือนปัจจุบันคือเดือน ๑ (เดือนมกราคม) เดือนเกิดคือเดือน ๑๒ (เดือนธันวาคม) แปลว่าเราต้องไปยืมเดือนมา ๑ แล้วพวกเราก็มักจะใช้คณิตศาสตร์ชั้นประถม ยืมมา ๑ ก้็คือ ๑ โดยที่ลืมไปว่าเรายืมมา ๑ เดือน คือ ๓๐ วัน ก็แปลว่าถ้าคุณเกิดวันที่ ๑๕ ยืมมา ๑ เดือน จะรวมเป็น ๔๕ วัน เอา ๑๗ ไปลบก็จะเหลือ ๒๘ วัน..!

    แต่คราวนี้เดือน ๑ ก็คือเดือนมกราคมนั้นโดนยืมไปแล้ว จึงเหลือ ๐ ก็ต้องไปยืมปีมา ๑ แล้วเผลอไปอีกว่าปีหนึ่งที่ยืมมาต้องเป็น ๑๒ เดือน ในเมื่อลบกับเดือน ๑๒ ก็คือเดือนธันวาคม ๑๒ ลบ ๑๒ ก็จะเหลือ ๐ พอดี

    ส่วนปีปัจจุบันโดนยืมไป ๑ ก็เหลือแค่ ๒๕๖๕ ลบด้วยปีเกิดคือ ๒๕๔๕ ก็จะเหลือ ๒๐ ปีถ้วน แปลว่านาคผู้นี้มีอายุ ๒๐ ปี ๒๘ วัน สามารถบวชได้ คือไปพลาดตรงเรื่องการยืมโดยที่ลืมนึกถึงความจริง จะไปใช้หลักคณิตศาสตร์ทั่วไปไม่ได้ ความจริงก็คือ ถ้าคุณยืมเดือนมาแปลว่าคุณยืมมา ๓๐ วัน ถ้ายืมปีมาแปลว่ายืมมา ๑๒ เดือน ตรงนี้ห้ามลืมเด็ดขาด..!

    ถ้าหากว่าอายุไม่ครบ แต่ว่าอยู่ในเกณฑ์ ๑๙ ปี ๖ เดือน ก็อนุญาตให้บวชได้ เพราะว่าทางมหาเถรสมาคม ตลอดจนกระทั่งมหาคณิสสรที่ควบคุมการสอบพระอุปัชฌาย์ อนุญาตให้บวกอายุในท้องได้ ๖ เดือน ก็มีคนถามอีกว่า "เด็กอยู่ในท้องแม่อย่างน้อย ๙ เดือน แล้วทำไมให้บวกแค่ ๖ เดือน ?" มีคำอธิบายว่าเด็กที่เกิด ๗ เดือนมีอยู่ ถ้าให้บวกได้ ๙ เดือน แล้วไปเจอเด็กที่เกิด ๗ เดือน บวชแล้วก็ไม่ใช่พระอยู่ดี ดังนั้น..เรื่องพวกนี้จึงเป็นเรื่องที่ต้องรอบคอบอย่างที่สุด

    ปัญหาที่สองก็คือว่าที่พระอุปัชฌาย์เขียนหนังสือไม่ค่อยจะเป็น อาจจะห่างเหินมานาน โดยเฉพาะการเขียนบาลี กระผม/อาตมภาพพยายามอะลุ้มอล่วยเต็มที่แล้ว ก็คือ ถึงจะเขียนผิด แต่ถ้าอ่านแล้วออกเสียงได้อย่างนั้นก็ให้ แต่ก็ยังผิด..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    มีอยู่รายหนึ่งที่มหัศจรรย์ที่สุด ก็คือตรวจแล้วได้คะแนนเต็ม หาที่หักไม่ได้เลย ก็คือหลวงพ่อบุญยัง (พระครูปลัดบุญยัง ทุลฺลโภ) วัดไชนาวาส จังหวัดสุพรรณบุรี ตอบเป๊ะ ๆ ตามตำราหมดเลย แม้กระทั่งจริยาพระอุปัชฌาย์ก็อ้างข้ออ้างมาตราได้ถูกต้องหมด

    กระผม/อาตมภาพให้คะแนนเสร็จสรรพเรียบร้อย แล้วปรึกษาท่านเจ้าคุณอาจารย์พระศรีวิสุทธิวงศ์ (สุวิทย์ ปวิชฺชญฺญู ป.ธ.๙), ดร. "เจ้าคุณอาจารย์จะทำอย่างไรดีครับ ท่านเก่งเกินมนุษย์มนาไปมาก" ท่านเจ้าคุณอาจารย์ท่านรับไปดูแล้วท่านบอกว่า "เฮ้ย..ท่านเก่งขนาดนี้เลยหรือ ? ขนาดยามักการยังลงถูกอีก..!" รู้จักยามักการไหม ? เครื่องหมายกำกับเสียงที่เหมือนกับควัน หรือคนกำลังหัวร้อน ซึ่งจะระบุว่าสะกดแล้วต้องออกเสียงสระนั้นด้วยครึ่งเสียง

    ท้ายที่สุดคณะกรรมการทั้งหมดก็สรุปว่า เชิญหลวงพ่อบุญยังท่านมาเขียนให้ดูใหม่อีกรอบหนึ่ง ปรากฏว่าถูกเป๊ะเหมือนเดิม..! ต้องยอมท่านจริง ๆ คนเก่งสุดขนาดนี้ก็มี ไอ้ที่ไม่เอาไหนเลยก็มี เขียนไม่ได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าจำไม่ได้ หรือว่าลืมไปแล้วว่าเขียนอย่างไร ? เพราะว่าหลายท่านก็อายุกาลผ่านวัยมาก ถ้ารุ่นของกระผม/อาตมภาพก็ ๖๐ กว่าแล้ว แต่ว่าอย่างไรเสียก็ต้องเขียนได้

    คราวนี้ไปมีปัญหาอีกทีตอนสอบภาคปฏิบัติ เพราะว่าการสอบภาคปฏิบัตินี่เขาให้คะแนนทุกลำดับเลย คุณจะไปคิดว่าสอบพระอุปัชฌาย์แล้วก็ทำหน้าที่เหมือนที่กระผม/อาตมภาพอยู่ในโบสถ์หน่อยเดียว ไม่ใช่นะครับ ทุกขั้นตอนพระอุปัชฌาย์ต้องรู้หมดและแสดงขั้นตอนให้คณะกรรมการดูได้ ตั้งแต่ความเป็นพ่อแม่ของนาค เป็นนาค เป็นเจ้าอาวาส เป็นคู่สวด เป็นพระอุปัชฌาย์ ต้องได้ทุกตำแหน่งเลย กรรมการที่เขี้ยว ๆ นี่ ท่านให้แสดงขั้นตอนตั้งแต่เป็นพ่อเป็นแม่พานาคไปหาเจ้าอาวาสเลย

    ตามมติมหาเถรสมาคม ต้องพานาคเข้าวัดก่อนบวช ๑๕ วัน เมื่อไปถึงแล้ว แจ้งความประสงค์ว่าจะบวช เจ้าอาวาส ถ้าไม่ใช่อุปัชฌาย์หรือว่าเป็นอุปัชฌาย์ก็ตาม อันดับแรกเลย ต้องสอบถามวันเดือนปีเกิด เพื่อคิดอายุว่าสมควรบวชได้ไหม ? หลังจากนั้นก็ต้องตั้งฉายาให้ตรงกับวันเกิด มอบหมายให้เจ้านาคไปท่องขานนาคให้ได้ เมื่อได้แล้วก็นัดวันเวลาในการบวช ครั้นเมื่อพระอุปัชฌาย์อาจารย์และพระอันดับพร้อมอยู่ในโบสถ์แล้ว เจ้านาคเข้ามา อันดับแรกต้องทำอย่างไร ? เขาดูตั้งแต่การกราบเบญจางคประดิษฐ์เลยนะครับ..!

    ดังนั้น..เรื่องของการสอบพระอุปัชฌาย์จึงเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะว่ามีการสอบตั้งแต่ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด ระดับภาค ระดับหน แล้วถึงไประดับประเทศ ตกระดับใดระดับหนึ่งก็แปลว่าต้องรอยื่นขอสอบใหม่ในปีต่อไป แต่ถ้าไปตกระดับประเทศก็ต้องเว้นไปปีหนึ่ง
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    มีจังหวัดเดียวที่บังคับว่า ถ้าจะสอบพระอุปัชฌาย์ต้องท่องกฎ ๑๗ (กฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ ๑๗ ปี ๒๕๓๖) ได้ทั้ง ๔๑ ข้อ ต้องท่องได้หมด บางข้อยาวเป็นหน้ากระดาษเลย อย่างเช่นคุณสมบัติของพระอุปัชฌาย์หรือว่าคุณสมบัติของกุลบุตรผู้บวช หรือแม้กระทั่งบุคคลที่ห้ามบวช จังหวัดนี้คือจังหวัดสระบุรี แปลว่าถ้ามาจากจังหวัดสระบุรี ทุกท่านจะท่องกฎ ๑๗ ได้หมดแล้ว

    วันนี้มีที่ยังพอชื่นใจอยู่ เพราะว่าโดยกฎเกณฑ์แล้ว เขาห้ามกรรมการสอบผู้เข้าสอบพระอุปัชฌาย์ในจังหวัดเดียวกัน กระผม/อาตมภาพก็เลยเจอสุพรรณบุรีทั้ง ๓ รูป ปรากฏว่าน่าชื่นใจตรงที่ว่า ๒ รูปแรกมีการเตรียมพร้อมดีมาก แม้แต่การสอนนาคที่ยาวหลายหน้ากระดาษ ท่านสามารถว่าตามตำราได้เป๊ะ ๆ เลย แต่รูปสุดท้ายเข็นไม่ค่อยจะขึ้น เพราะว่าเตรียมตัวมาน้อย มัวแต่ไปท่องสอนนาคอยู่ ก็เลยทำให้เรื่องของการบอกบอกอนุศาสน์ไม่แม่น จึงเหลือคะแนนท้าย ๆ ที่กระผม/อาตมภาพไม่ให้ผ่านตรงเรื่องการบอกอนุศาสน์

    ถึงเราเข้มงวดกันขนาดนี้ก็ตาม ท้ายสุดต้องวิ่งไปหาโลกบาลธรรมของพระพุทธเจ้าอยู่ดี ธรรมอันเป็นเครื่องคุ้มครองโลก ก็คือต้องมีหิริ ละอายต่อความชั่ว ไม่กล้าทำความชั่ว โอตตัปปะ เกรงกลัวผลของกรรมชั่วนั้นจะมาสนอง ขนาดนั้นก็ตาม เมื่ออบรมไปแต่ละปี ๆ ก็ยังมีพระอุปัชฌาย์ "แหกคอก" จนได้

    ปีนี้พอกระผม/อาตมภาพโดนระบุตัวไปเป็นกรรมการสอบ ก็ยังคิดอยู่ว่าเป็นเพราะว่าอะไร ? ท้ายสุดพระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ ท่านก็บอกว่า "วัดท่าขนุนท่านแม่น จึงต้องเอามาเป็นกรรมการสอบ" พูดง่าย ๆ ว่าถ้าหากว่าผ่านจากมือของกระผม/อาตมภาพไป ก็พอไว้ใจได้ว่าจะเป็นพระอุปัชฌาย์ที่ดี ซึ่งไม่ใช่..! เป็นพระอุปัชฌาย์ได้ถูกต้องตามขั้นตอนเท่านั้น ส่วนจะดีหรือไม่ดี ต้องไปดูความประพฤติกันอีกทีหนึ่ง ได้แต่หวังว่าจะดีก็แล้วกัน..!

    พรุ่งนี้พอประเมินนักเรียนพระราชทานในช่วงเช้าเสร็จ กระผม/อาตมภาพก็ต้องวิ่งไปสอบภาคปฏิบัติช่วงบ่ายของว่าที่พระอุปัชฌาย์ต่ออีก ยังคงเหนื่อยลิ้นห้อยอีกหลายวัน แต่ว่าเพื่อเด็กของเรา รางวัลพระราชทานสำหรับนักเรียนแล้วเป็นรางวัลสูงสุด เป็นเกียรติยศแก่ตัวเอง เป็นเกียรติยศแก่ครอบครัว และเป็นเกียรติยศกับโรงเรียน เป็นเรื่องที่ถ้าเป็นไปได้ต้องช่วงชิงมาเป็นของโรงเรียนของเราให้ได้ กระผม/อาตมภาพจึงต้องวิ่งกลับมา ๓ ชั่วโมงครึ่ง เพื่อที่จะมาร่วมงานตรงนี้ ก็ได้แต่หวังว่าเด็กของเราจะสามารถชนะเขาได้อีกปีหนึ่ง

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดีที่ ๒๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...