เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 10 มกราคม 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,511
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,511
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๑๐ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ เรื่องสำคัญที่อยากพูดถึงก็คือคำถามของท่านตี้ (พระวสุพล อภิปุญฺโญ) ที่มีญาติโยมมาปรึกษาว่าญาติตัวเองหมดสภาพแล้ว คิดอะไรไม่ออก หมอบอกให้เลือกว่าจะให้อยู่ต่อด้วยเครื่อง หรือว่าจะปล่อยให้ตาย และทางญาติควรที่จะทำใจอย่างไร ?

    เรื่องนี้กระผม/อาตมภาพขอเตือนพระภิกษุสามเณรของเราไว้โดยตรงเลยว่า การให้คำแนะนำแก่ญาติโยมทั้งหมด สิ่งแรกที่เราต้องคำนึงถึงก็คือพระธรรมวินัย เพราะว่าการแนะนำบางอย่าง ถ้าหากว่าพลาดไปนี่โทษหนักหนาสาหัสมาก อย่างเช่นว่า ถ้าเราบอกว่าปล่อยให้ตายไปเลย แล้วถ้าเขาปล่อยไปอย่างนั้นจริง ๆ เราจะโดนอาบัติปาราชิก ขาดความเป็นพระไปเลย เพราะเท่ากับว่ายุให้คนอื่นทำอย่างนั้น จำกันได้ไหมครับ ? สาณัตติกะ สั่งคนอื่นเขาทำ อนาณัตติกะ ไม่ได้สั่งเขาทำ แต่เราทำเอง โดนอาบัติทั้งคู่นะครับ

    เรื่องพวกนี้ต้องระวังให้จงหนัก โดยเฉพาะถ้าผู้ป่วยเป็นพ่อแม่ แล้วบอกให้ลูกเขาบอกหมอว่า ปล่อยให้ตายไปเลย ไม่ได้ซวยแต่เราคนเดียว บรรดาลูกจะโดนอนันตริยกรรมในโทษฆ่าพ่อฆ่าแม่ไปด้วย..! เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก

    เพราะว่าส่วนหนึ่งแล้วพระเณรของเรามักจะประมาท เห็นว่าอะไรสมควรก็ให้คำแนะนำแก่ญาติโยมเขาไป ถ้าลืมในเรื่องของพระธรรมวินัยนี่ เราขาดความเป็นพระเป็นเณรได้ง่าย ๆ เลย สามเณรห้ามฆ่าสัตว์ ฆ่าสัตว์เมื่อไรศีลขาด ขาดความเป็นสามเณร พระเราห้ามฆ่ามนุษย์ให้ตาย ฆ่าเองก็ดี ใช้คนอื่นฆ่าก็ดี ตีใบ้ให้เขาฆ่าก็ตาม ถ้าเขาทำสำเร็จ เราเองโดนอาบัติปาราชิก..!

    ดังนั้น...วิธีที่ดีที่สุดก็คือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมอเขาวินิจฉัยเอง จะจัดการอย่างไรแล้วแต่หมอตัดสินใจ อย่าได้บังอาจไปตัดสินใจ หรือให้คำแนะนำโยมในการตัดสินใจเป็นอันขาด จะพาซวยไม่รู้ตัว..!!

    กระผม/อาตมภาพเอง มีคนมาปรึกษาว่า "ท้องในสภาพที่ไม่พร้อม จะทำแท้ง..!" ในเมื่อมึง "จะ" แล้วปรึกษาทำอะไร ? จะพากูซวยไปด้วย..! แล้วจะทำอย่างไร ? เพราะว่าเขายังเรียนหนังสืออยู่

    ท้ายสุดตอนนั้นกระผม/อาตมภาพยังอยู่ที่เกาะพระฤๅษี บอกว่า "ให้ "ดร็อป" การเรียนไว้ก่อน มาอยู่วัด คลอดลูกแล้ว
    กระผม/อาตมภาพจะเลี้ยงให้เอง คุณจะไปเรียนต่อก็ไป" ตอนนั้นกระผม/อาตมภาพตั้งใจจริง ๆ ว่า ถ้าเขายกลูกให้เลี้ยงจะสะพายเด็กไปบิณฑบาต..! จะดูว่าญาติโยมจะกล้าถามไหมว่าลูกใคร ?
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,511
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    ทุกวันนี้กระผม/อาตมภาพมีชื่อเป็นพ่อเด็ก ทั้ง ๆ ที่เป็นพระนี่แหละ..! แล้วเด็กคนนั้นเกิดหลังจากที่กระผม/อาตมภาพบวชมาเป็น ๑๐ พรรษาแล้ว ท่านทั้งหลายก็ลองนึกดูก็แล้วกันว่า เรื่องพวกนี้ท่านกล้าทำไหม ? แต่ที่กระผม/อาตมภาพกล้าทำ เพราะว่าเรื่องพวกนี้สามารถพิสูจน์ได้ แค่ตรวจดีเอ็นเอก็รู้แล้วว่าลูกใคร

    เพียงแต่ว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เราจะทนเป็นขี้ปากชาวบ้านเขาได้ไหม ? เพราะว่าร้อยละ ๙๙ ถ้าเขาเห็น เขาจะไม่มาถาม แต่เขาจะไปนินทากันเอง ถ้าเราแนะนำเขาว่าให้ไปทำแท้ง เราก็ต้องอาบัติปาราชิกอีก เรื่องพวกนี้นาน ๆ ไป ท่านทั้งหลายจะมีประสบการณ์มากขึ้นไปเรื่อย ๆ สรุปว่าเด็กคนนั้น พอถึงเวลาคลอดออกมาแล้วลูกน่ารัก แม่เขาก็เลยเลี้ยงเอง ไม่อย่างนั้น
    กระผม/อาตมภาพก็คงต้องสะพายไปบิณฑบาต..!

    อีกรายหนึ่งโทรมาบอกว่าอยู่บนหลังคาตึก จะไปกระโดดตึกตาย อกหัก..แฟนไปรักอีกคนหนึ่ง เพียงแต่ว่ากระผม/อาตมภาพค่อนข้างจะรู้ว่าเด็กคนนี้เป็นคนขี้กลัว โดยเฉพาะกลัวจะไม่สวย ก็เลยบอกเขาว่า "ถ้าจะกระโดดก็ไม่ห้ามหรอก แต่ว่าอันดับแรกเลย ถ้าหากว่าตกลงไป แข้งขาหัก กระดูกแหลกทั้งตัว หน้าตาเละเทะหมดถ้าไม่ตาย
    แล้วใครจะดูแล ? ถึงเวลาก็นอนจมขี้จมเยี่ยวอยู่ตรงนั้นแหละ..!"

    บางอย่างเรายุให้เขาโดดก็ไม่ได้ เราห้ามเขาก็ไม่ได้ แต่ต้องเอาอะไรบางอย่างที่อยู่ในลักษณะเหมือนกับการห้ามแต่ว่าไม่ใช่ อย่างที่กระผม/อาตมภาพบรรยายมา ลองโดดก็ได้ แต่ถ้าหากว่าแข้งขาหัก กระดูกแหลกไปทั้งตัว เจ็บขนาดไหนก็ไม่รู้ หน้าตาเละเทะ หมดสวยไปด้วย ถึงเวลานั้นไปไหนก็ไม่ได้ แล้วใครจะดูแล ?

    เรื่องทั้งหลายนี้จะเป็นเรื่องที่เราจะพบมากขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะว่าในฐานะของพระภิกษุ เราเหมือนกับเป็นจิตแพทย์กลาย ๆ ญาติโยมมักจะมาปรึกษา กระผม/อาตมภาพเอง บางคนมาปรึกษาในเรื่องที่พ่อแม่ได้ยินแล้วช็อก สงสัยว่าทำไมลูกไม่ถามพ่อถามแม่ แต่มาถามพระ ? ก็เพราะว่าถ้าถามพ่อถามแม่แล้วเขามักจะทำใจไม่ได้ เขาจะด่าลูก แต่เด็ก ๆ เขารู้ว่าถ้าถามหลวงตาหรือถามหลวงพ่อแล้ว เรื่องจะอยู่แค่นั้น ไม่ไปไหนหรอก เรื่องใหญ่แค่ไหนก็โดนเหยียบจมดินอยู่ตรงนั้นแหละ..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,511
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    แต่คราวนี้ในสถานภาพแบบนั้น ส่วนที่เราต้องระวังให้มากที่สุดก็คือสมณสารูป อย่าเผลอเป็นอันขาด เพราะว่าพระก็คือผู้ชาย สิ่งหนึ่งประการใดที่เราแสดงออก จะด้วยความเมตตาอย่างไรก็ตาม ท้ายสุดมักจะมีไอ้ประเภทที่คิดเข้าข้างตัวเองว่า เราช่วยเขา เราเมตตาเขาขนาดนี้ต้องชอบเขาแน่เลย ซึ่งถ้าเขาหลงทึกทักไปฝ่ายเดียวก็ไม่เป็นไรหรอก เพียงแต่ว่าไอ้เราเองจะไปมีใจด้วย ประมาณว่าตบมือข้างเดียวไม่ดัง เราก็ไปยื่นหน้าให้เขาตบ แบบนั้นก็ดังจนได้..!

    อย่างที่กระผม/อาตมภาพเคยเล่าให้ฟัง ที่คุณมหาประโยค ๙ ต้องสึกไปช่วยเขาเลี้ยงลูก ก็เพราะโยมมาบ่นให้ฟังอยู่ทุกวัน "ผัวก็ตาย ลูกก็กำลังเรียน ทำงานแทบจะหาเงินไม่พอส่งให้ลูกเรียน" คุณมหาก็เลยต้องสึกไปช่วยหาเงินส่งลูกเขาเรียน
    กระผม/อาตมภาพก็ว่าคุณมหาแกคิดสั้นไปหน่อย เพราะว่าอยู่ในสภาพความเป็นพระนี่ ปัจจัยส่วนหนึ่งเราก็สามารถใช้เป็นทุนการศึกษาได้ แต่นี่แกก็ตั้งตาตั้งตาสึกไปช่วยเขา ส่งลูกเขาเรียน พอเด็กเรียนจบปริญญาตรี ตัวเองก็กลับมาบวชใหม่ นั่นบ้าชัด ๆ..! เรื่องพวกนี้บางทีวาระกรรมก็บังเสียจนกระทั่งปัญญาของเราหมด เมตตาเกินประมาณ เราเองก็จะเดือดร้อนเอง

    ดังนั้น..เวลาญาติโยมเขามาปรึกษาเรื่องเหล่านี้ สิ่งแรกเลยก็คือพระธรรมวินัย บอกเขาไปแล้วจะผิดพระธรรมวินัยหรือไม่ ? แบบเดียวกับบรรดาท่านที่ทำตัวเป็นหมอดู ถึงเวลาเขาก็เอาดวงมาให้ดูว่าคนนี้เหมาะสมกับคนนี้หรือไม่ ? ดวงสมพงษ์กันพอที่จะแต่งงานกันได้หรือไม่ ? ถ้าท่านบอกว่า "ได้" นี่ อาบัติสังฆาทิเสสเลย..! ชักสื่อชายหญิงให้เป็นผัวเมียกัน ระวังให้สุด ๆ เลยนะครับ

    ภิกษุชักสื่อชายหญิงเป็นผัวเมียกัน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ศีลเราข้อที่หนักด้วย ขาดความเป็นพระ ต้องไปอยู่ปริวาสตามโทษานุโทษของตน แล้วรอพระอีก ๒๐ รูปมาสวดอัพภานคืนความเป็นสงฆ์ให้ แต่กระผม/อาตมภาพก็ไม่เห็นว่าเขาจะระวังกันสักเท่าไร ป่านนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าโดนอาบัติขาดความเป็นพระไปกี่รูปแล้ว..!

    ถ้าใครเขามาถามแล้วเรามีความสามารถด้านนี้ ก็บอก "ให้ไปตัดสินใจกันเอาเอง เรื่องนี้พระยุ่งไม่ได้ เพราะว่ายุ่งเมื่อไรก็ศีลขาด" ถ้าพูดขนาดนั้นแล้วโยมยังไม่เข้าใจ ก็ตบให้ได้สติสักฉาดหนึ่ง..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,511
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    เพราะว่าความเป็นพระเป็นเณรของเราเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด พูดง่าย ๆ ก็คือว่า กว่าที่จะบวชมายากเย็นแสนเข็ญ แล้วอยู่ ๆ คำพูดประโยคเดียว ทำให้เราขาดความเป็นพระเป็นเณรไปนี่ ต้องบอกว่าโง่ขนาด..! ดังนั้น..วันนี้ที่กระผม/อาตมภาพตอบกลับไปคำเดียวว่า "รอ" ก็คือรอให้ตายเท่านั้น จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาปรึกษาพระอีก..!

    บางคนก็ปรึกษาหารือพระในลักษณะที่กระผม/อาตมภาพใช้คำว่า "จับพระเป็นตัวประกัน" ถามว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ควรที่จะทำหรือไม่ ? ถ้ากระผม/อาตมภาพตอบไปว่า "ควรทำ" เขาก็จะบอกว่า "หลวงพ่อเล็กบอกว่าทำได้" แต่ถึง
    กระผม/อาตมภาพบอกไปว่า "ไม่ควรทำ" เขาก็จะทำ เพราะว่าตัดสินใจจะทำอยู่แล้ว อย่างนั้นมาปรึกษาทำอะไร ?ไอ้พวกจับพระเป็นตัวประกันนี่มีเยอะมาก..!

    พอมาถามกระผม/อาตมภาพ ก็มักจะได้คำตอบว่า "ให้ใช้หัวแม่ตีนข้างซ้ายคิดดูก็จะได้คำตอบแล้ว..!" ซึ่งหลายท่านก็อาจจะโกรธไปเลย แต่ถ้าเขารู้จักตรองก็จะรู้ว่าเป็นคำถามที่ไม่สมควรที่จะถามพระ ก็ต้องแล้วแต่ปัญญาของเขา เพราะว่าบางคนใช้คำพูดเบา ๆ แล้วไม่รู้เรื่อง บางคนนี่ขนาดด่าสาดเสียเทเสียก็ยังหน้าด้านตื๊อต่ออยู่นั่นแหละ อย่างที่บางท่านก็คงจะเห็นแล้ว กำลังฉันเพลอยู่ เขาก็ยังจะถาม พอบอกว่า "พระกำลังฉันเพลอยู่" เขาบอกว่า "ไม่เป็นไรค่ะ..ขอ ๕ นาที" ไอ้ไม่เป็นไรนะ..เรื่องของมึง..แต่กูนะเป็น..!

    ในเรื่องของพระภิกษุสามเณรของเรา ไม่ใช่ว่าจะเมตตาได้ทุกเรื่อง พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้แค่เมตตา กรุณา แต่ให้มุทิตา และโดยเฉพาะอุเบกขาไว้ด้วย ต้องเลือกใช้ให้ถูกกับกาลเทศะ ไม่ใช่เมตตากรุณาอย่างเดียว จนตัวเองเดือดร้อนเอง หลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมาะสมกับทุกสถานการณ์ สำคัญที่เราใช้ถูกหรือเปล่าเท่านั้นเอง

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๑๐ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...