ธรรมบรรยายในงานปฏิบัติธรรมประจำปี ๒๕๖๕ แก่นิสิตคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 26 ธันวาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    ธรรมบรรยายในงานปฏิบัติธรรมประจำปี ๒๕๖๕
    แก่นิสิตคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
    โดยพระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน



    วันจันทร์ที่ ๒๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ เวลา ๐๙.๐๐ น.

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน บรรยายธรรมแก่นิสิตคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งเข้าปฏิบัติธรรมประจำปี ๒๕๖๕
    ณ ศาลาการเปรียญ ดร.อุไรศรี - คนึง สุขเกษม วัดมหาจุฬาลงกรณราชูทิศ ถนนพหลโยธิน หมู่ที่ ๑ ตำบลลำไทร อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    วันนี้ตรงกับวันที่ ๒๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ กราบขอโอกาสพระเถรานุเถระ พระวิปัสสนาจารย์ ตลอดจนกระทั่งครูบาอาจารย์ที่คุมการปฏิบัติธรรมประจำปี และขอสวัสดีพระเถรานุเถระ ตลอดจนกระทั่งน้องสามเณรที่เข้าปฏิบัติธรรมประจำปี ๒๕๖๕ ของคณะสังคมศาสตร์ทุกรูปครับ

    กระผม/อาตมภาพ พระครูวิลาศกาญจนธรรม จบปริญญาเอกสาขาการจัดการเชิงพุทธ ด้วยความภูมิใจว่าเป็นคนแรก ๆ เลยที่จบ แต่ว่าปัจจุบันนี้ได้ปริญญาเอกสาขาวิปัสสนาภาวนามาอีกใบหนึ่ง
    กระผม/อาตมภาพเริ่มมาจากการเป็นพระสายปฏิบัติ แต่พออยู่นานไป ๆ อาวุโสมากเข้า ก็ต้องเป็นเจ้าอาวาส ต้องเป็นเจ้าคณะตำบล แล้วเขาให้มาเรียน ถึงเวลาเรียนเก่งเกินมนุษย์มนา เพื่อนฝูงก็เลยลากมาจนจบปริญญาเอก..!

    สิ่งที่
    กระผม/อาตมภาพได้มาคือสิ่งที่ท่านทั้งหลายกำลังทำอยู่ คือ ได้ความเรียนเก่งมาจากการปฏิบัติธรรม ตั้งแต่เด็ก ๆ เพิ่งรู้ความ พ่อก็อุ้มพาดบ่า หลับคอพับคออ่อนสวดมนต์อยู่ทุกคืน ตอนแรกก็ไม่รู้ครับว่าการสวดมนต์เป็นการภาวนา มารู้เอาตอนบวชแล้วนี่แหละครับ

    คราวนี้ในส่วนของการสวดมนต์ที่บอกว่าเป็นการภาวนานั้น ขึ้นอยู่กับว่าท่านทั้งหลายทำเป็นไหม ? อย่าลืมว่า ถ้าหากว่าสมาธิของเราไม่ทรงตัว เราจะสวดผิด นี่เป็นขั้นแรกครับที่บอกว่าการสวดมนต์คือการสร้างสมาธิ

    ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายเอาคำสวดมนต์แทนคำภาวนา แทนคำบริกรรมของเรา แทนที่เราจะพองหนอ ยุบหนอ เราก็ อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธฯ คำบริกรรมหรือว่าคำภาวนาเป็นแค่เครื่องโยงใจเราให้เป็นสมาธิ ดังนั้น..จะยาวจะสั้นไม่ใช่ปัญหา สำคัญอยู่ตรงที่ว่าเราอย่าลืมพองยุบ หรือว่าอย่าลืมลมหายใจเข้าออกของเรา ไม่เช่นนั้นแล้วเราก็ไม่สามารถที่จะสร้างสมาธิในระดับสูงได้

    ดังนั้น..การสวดมนต์ ถ้าหากว่าทำเป็นก็คือการบริกรรมหรือการภาวนา เพื่อสร้างอัปปนาสมาธิ คือสมาธิแนบแน่น ตั้งแต่ระดับปฐมฌานขึ้นไป ถ้าหากว่าใช้การสวดมนต์เป็นการภาวนา ก็เท่ากับว่าเป็นคำบริกรรมหรือคำภาวนาที่ยาวหน่อยเท่านั้นเอง
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    หลังจากนั้นแล้วถ้ายังไม่เพียงพอ ท่านทั้งหลายอยากเห็นหวยใช่ไหมครับ ? อยากเห็นผี อยากเห็นเทวดา อยากเห็นนรกสวรรค์ไหมครับ ?

    ถ้าหากว่าท่านปฏิบัติอยู่ที่นี่ ถึงเวลานิมิตเกิด พระอาจารย์จะแนะนำเราว่า "เห็นหนอ..เห็นหนอ..เห็นหนอ" จนนิมิตนั้นหายไป แต่ว่าในเรื่องของสมถกรรมฐาน นิมิตบางอย่างเป็นนิมิตที่ต้องละ แต่นิมิตอย่างบาง อย่างเช่น นิมิตในกองกสิณ เป็นนิมิตที่เราต้องยึด

    ท่านสามารถใช้คำสวดมนต์ของท่านเป็นนิมิตครับ ก็คือนึกถึงตัวหนังสือขึ้นมาตรงหน้าเราเป็นคำ ๆ เลย อย่างเช่นเมื่อครู่นี้ กระผม/อาตมภาพยกตัวอย่างไปแล้วคือ อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธฯ ภาวนาในใจไปพร้อมกับนึกภาพตัวหนังสือไปด้วย แรก ๆ ก็ไม่ชัดหรอกครับ หลังจากซ้อมไป ซ้อมไป ก็จะชัดขึ้นเรื่อย ชัดขึ้นเรื่อย ท้ายที่สุดก็จะชัดเจนเหมือนตาเห็น

    ท่านเห็นตัวหนังสือนั้นชัดได้เท่าไร ถึงเวลาก็ขอเปลี่ยน ขอให้ตัวหนังสือนี้หายไป ขอให้ผีรอบ ๆ ข้างปรากฏขึ้นมาแทน หรือขอให้เทวดาที่อยู่รอบข้างปรากฏขึ้นมาแทน หรือขอให้นรกปรากฏขึ้นมาแทน สวรรค์ปรากฏขึ้นมาแทน ท่านเห็นตัวหนังสือได้ชัดเท่าไร ท่านจะเห็นสิ่งเหล่านั้นได้ชัดเท่านั้นครับ


    แล้วถ้ายิ่งไปกว่านั้น ถ้าท่านทั้งหลายเคยชินกับการปฏิบัติสมถกรรมฐานกองหนึ่ง ที่เรียกว่าอุปสมานุสติ คือการระลึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ เป็นอารมณ์ที่สงบระงับจากกิเลสอย่างยิ่งเลย ท่านก็ยกจิตเกาะอารมณ์พระนิพพานนั้น ตั้งใจว่าที่เราสวดมนต์นี้ เป็นการถวายเป็นพุทธบูชา ธัมมบูชา สังฆบูชา ถ้าท่านทั้งหลายสามารถทำอย่างนั้นได้ ถ้าหากว่าตายลงไปตอนนั้นก็ไปพระนิพพานเลยครับ อันนี้ที่
    กระผม/อาตมภาพพูด ฟังดูเหมือนกับเรื่องเพ้อเจ้อ แต่ขอยืนยันว่า ถ้าท่านทั้งหลายลองทำดู จะเกิดผลที่คาดไม่ถึง
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    กระผม/อาตมภาพเองนั้น โดนเคี่ยวเข็ญให้สวดมนต์ตั้งแต่ยังพูดไม่เป็นคำเลย จึงกลายเป็นว่าสมาธิเกิดไม่รู้ตัว ถามว่าสมาธิเกิดไม่รู้ตัวแล้วเกิดประโยชน์อะไร ? กระผม/อาตมภาพฟังอะไรครั้งเดียวจะจำได้เกือบหมด ถ้าหากว่าใครพูดซ้ำนี่ สามารถถอดคำพูดได้ทุกประโยคเลย นี่คือกำลังจากสมาธิแค่สวดมนต์ตอนเด็ก ๆ เท่านั้น

    สมัยนั้นเขานิยมในการ "อ่านหนังสือให้แตก" คำว่า อ่านหนังสือให้แตก คือ อ่านได้ทุกคำ บ้านโน้นอ่านหนังสือก็จะตะโกนข้ามมา เพราะว่าส่วนใหญ่อยู่ต่างจังหวัด จะมีไร่อยู่บ้านละ ๕ ไร่ ๑๐ ไร่อย่างนี้ บ้านโน้นตะโกนมา บ้านนี้อยากอวดว่าลูกข้าก็เรียนหนังสือเหมือนกัน เอ้า..ก็ตะโกนกลับไป

    ในเมื่อเขาตะโกนแข่งกัน พอเข้าหู
    กระผม/อาตมภาพนี่ ตอนนั้นกระผม/อาตมภาพยังไม่ได้เข้าชั้น ป.๑ เลยนะครับ สมัยก่อนชั้น ป.๑ เรียนอยู่ ๒ เล่ม ก็คือ ปฐม ก.กา กับแบบเรียนเร็วใหม่ ขออภัยนะครับ..ลืมบอกพวกท่านไปว่ากระผมปีนี้ อายุ ๖๔ ปีแล้ว เพราะฉะนั้น..ตอนเด็ก ๆ นี่ก็เนิ่นนานอยู่ น่าจะเกิน ๕๐ ปีแล้ว..!

    กระผม/อาตมภาพยังไม่ทันที่จะเข้าเรียนเลย แต่จำหนังสือไปได้เล่มครึ่งแล้ว พอเข้าเรียนปุ๊บ ครูแค่ชี้ตัวหนังสือให้ กระผม/อาตมภาพสามารถอ่านต่อได้หมดเลยว่าอะไร นี่คือผลของการแค่สวดมนต์เท่านั้นเอง
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    ในเมื่อสวดมนต์ได้มาก พอเข้าเรียนครูก็เลยให้เป็นหัวหน้าชั้น โรงเรียนที่กระผม/อาตมภาพเรียนมีถึงแค่ชั้น ป.๔ ครับ ประถมปีที่ ๔ ตอนที่กระผม/อาตมภาพอยู่ชั้น ป.๓ นี่เป็นประธานนักเรียนแล้วครับ คุมรุ่นพี่ ป.๔ ตัวเท่าควายทั้งนั้นเลย เพราะสมัยก่อนนี่ถ้าหากว่าสอบตกก็คือตก

    สมัยนั้นเขาเรียน ป.๑ กันตอน ๘ ขวบครับ ไม่มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ไม่มีอนุบาล เข้าเรียนชั้น ป.๑ เลย คราวนี้พวกพี่ ๆ เขาสอบตกแล้วตกอีก เขาเรียกพวก "เจ้าพ่อ - เจ้าแม่โรงเรียน"
    กระผม/อาตมภาพมีพี่ ๆ อายุ ๑๗ - ๑๘ ปีเยอะแยะไปหมดเลย แต่ว่าพวกเขาต้องอาศัย เพราะว่ากระผม/อาตมภาพเรียนเก่งกว่า จากที่ปกติแล้วพวกนี้รังแกรุ่นน้อง ปรากฏว่าพอกระผม/อาตมภาพไม่นิยมการรังแก บอกว่าไม่ชอบ เขาก็เลิกกันหมด ในเมื่อครูเห็นว่าสามารถคุมพี่ ๆ ได้ ก็ให้กระผม/อาตมภาพเป็นประธานนักเรียน..!

    อย่างที่
    กระผม/อาตมภาพเล่าให้ฟังไปก่อนที่จะบันทึกเสียงว่า พอถึงเวลาจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ซึ่งสมัยนั้นเขาเรียก ม.ศ. ๓ แล้วโรงเรียนพาณิชยการบ้านโป่งเปิดเป็นปีแรก กระผม/อาตมภาพตามเพื่อนที่ไปสมัครเรียน ทางโรงเรียนเขาบอกว่า "คะแนนระดับนี้รับเลย ไม่ต้องเสียเวลาสอบเข้า ให้จ่ายค่าเทอม ๑,๒๐๐ บาท แล้วก็เข้าเรียนได้เลย" แต่ว่า..อย่างที่เรียนถวายท่านทั้งหลายไปในตอนต้นว่า ค่าเทอมแค่ ๒๒๐ บาทสมัยเรียนมัธยม กระผม/อาตมภาพยังต้องรอแล้วรออีก จนแทบจะวันสุดท้ายถึงจะสามารถจ่ายค่าเทอมได้ จึงไม่ได้เรียนต่อที่นี่

    อยากจะบอกกับท่านทั้งหลายว่า สมัยก่อนการสอบเขานับเป็นเปอร์เซ็นต์ ไม่ได้ตัดเกรด
    กระผม/อาตมภาพสอบได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ประจำ ตอนอยู่ชั้น ป.๓ กระผม/อาตมภาพเป็นนักเรียนตัวอย่างของกระทรวงศึกษาธิการ เขามีข้อสอบมาให้ทำ ๓๐๐ ข้อ เพื่อที่จะทดสอบความรู้ของเด็กนักเรียนว่า เด็กนักเรียนระดับนี้มีความรู้แค่ไหน ให้เวลา ๓ ชั่วโมง ข้อสอบ ๓๐๐ ข้อ มีตัวหนังสือหนา ๆ พาดมาบนหน้าปกข้อสอบเลยว่า "ให้เด็กนักเรียนทำไปตามความสามารถของตัวเอง ยังไม่เคยมีใครสามารถทำข้อสอบชุดนี้ได้ครบภายในเวลา ๓ ชั่วโมง"..!

    กระผม/อาตมภาพทำครบภายใน ๓ ชั่วโมง แล้วยังวิจารณ์ไปด้วยว่า คำถามข้อนี้ ถ้าถามแบบนี้ใช้ไม่ได้ คำถามนี้กำกวม มีคำตอบหลายคำตอบ นั่นแค่เด็กชั้น ป.๓ นะครับท่านทั้งหลาย..! เป็นผลเกิดจากการภาวนานี่แหละครับ
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    ครูบาอาจารย์สมัยนั้น รอบบ้านกระผม/อาตมภาพนี่สุดยอดทั้งนั้นเลยครับ กระผม/อาตมภาพอยู่จังหวัดนครปฐม ครูบาอาจารย์ตอนนั้นที่โด่งดังที่สุดคือหลวงพ่อเงิน (พระราชธรรมาภรณ์) วัดดอนยายหอม ที่ชื่อเสียงไล่เลี่ยสูสีกันมาเลยก็หลวงปู่เพิ่ม (พระพุทธวิถีนายก) วัดกลางบางแก้ว แล้วก็ยังมีระดับที่เหลื่อมลงมานิดหนึ่ง ประเภทชื่อเสียงน้อยกว่าหน่อยหนึ่ง อย่างหลวงปู่น้อย (พระครูภาวนากิตติคุณ) วัดธรรมศาลา หลวงปู่เต๋ (พระครูภาวนาสังวรคุณ) วัดสามง่าม ท่านทั้งหลายได้ยินชื่อแล้วหนาวไหมครับ ? นี่คือครูบาอาจารย์ที่จังหวัดนครปฐมในสมัยนั้นนะครับ

    ถ้าหากว่าออกมาทางจังหวัดสมุทรสาคร ก็หลวงปู่รุ่ง (พระไพโรจน์วุฒาจารย์) วัดท่ากระบือ

    ออกมาทางด้านจังหวัดกาญจนบุรี ก็หลวงพ่อลำใย (พระมงคลสุทธิคุณ) วัดทุ่งลาดหญ้า

    ออกไปทางจังหวัดสุพรรณบุรี ก็หลวงพ่อแดง (พระครูสุวรรณสาธุกิจ) วัดทุ่งคอก หลวงปู่มุ่ย (พระครูสุวรรณวุฒาจารย์) วัดดอนไร่ หลวงปู่ขอม (พระครูอุภัยภาดาทร) วัดไผ่โรงวัว เป็นต้น ครูบาอาจารย์รอบบ้านเลยครับ

    แล้วเจ้าอาวาสสมัยนั้น ต่อให้ไม่มีชื่อเสียงเป็นที่ปรากฏ แต่ละคนก็มีความรู้ความสามารถ อย่างเช่นว่า สามารถเป่าคาถารักษาโรคได้ สามารถเสกกล้วยให้ผู้หญิงกินจะได้คลอดลูกง่าย เหล่านี้เป็นต้น

    ตั้งแต่เด็ก ๆ ที่วัดข้างบ้าน
    กระผม/อาตมภาพจัดงานพุทธาภิเษก พอถึงเวลาเขาก็จะเอาถังสองร้อยลิตรที่สมัยก่อนเขาใส่ยางมะตอย ที่สำหรับเอาไว้ลาดถนนครับ เอามาคว่ำลง แล้วก็เรียง ๆ ๆ เอากระดานปูข้างบนเป็นเวที จัดอาสนะให้หลวงปู่หลวงพ่อท่านขึ้นไปนั่งปลุกเสกกัน
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    เชื่อไหมครับท่านทั้งหลาย บาตรเบอร์ ๙ ใส่น้ำอยู่เกือบเต็ม ทันทีที่หลวงปู่ท่านนั่งลงแล้วหลับตา บาตรดิ้นทั้งใบเลย..! ดิ้นจนน้ำมนต์กระฉอกนองพื้น พวกผู้ใหญ่ผลักกระผม/อาตมภาพไปใต้ถุนบอกว่า "มุดเข้าไปดูที มีใครผูกเชือกแล้วดึงหรือเปล่า ?" กระผม/อาตมภาพมุดเข้าไปดู ปรากฏว่าไม่มีครับ แล้วไหน ๆ ก็เข้าไปแล้ว ก็เอาหัวรองน้ำมนต์ไปด้วยเลย..! สถานการณ์รอบด้านเป็นอย่างนั้นครับ

    หลวงปู่อินทร์ ท่านอยู่จังหวัดราชบุรีในสมัยนั้น จังหวัดราชบุรีสมัยนั้นกินแดนมาถึงนครปฐมมาตั้งเยอะตั้งแยะครับ แม้กระทั่งในส่วนของอำเภอบ้านยาง ซึ่งตอนหลังคืออำเภอกำแพงแสน ยังเป็นของจังหวัดราชบุรีอยู่เลยครับ

    หลวงปู่อินทร์ท่านเป็นพระที่เคร่งครัดมาก ถ้าหากว่าท่านเดินทางไปกิจนิมนต์โดยที่โยมเอาม้ามารับบ้าง เอารถมอเตอร์ไซค์มารับบ้าง ท่านจะจำไว้ว่าท่านไปกี่กิโลเมตร แล้วกลับมาท่านจะเดินจงกรมใช้หนี้ครับ ถ้าไป ๒๐ กิโลเมตร ก็คือต้องเดินจนกว่าจะครบ ๒๐ กิโลเมตรท่านถึงจะจำวัด ถึงจะเข้านอน ท่านเคร่งครัดแบบนั้นนะครับ

    วันดีคืนดี โยมก็เห็นไฟลุกท่วมโบสถ์เลย ช่วยกันหิ้วถังตักน้ำจะมาดับไฟ มาถึงปรากฏว่าไม่มีอะไรเลย หลวงปู่อินทร์เปิดโบสถ์มา ถามว่า "พวกมึงมาทำอะไรกันวะ..กลางค่ำกลางคืน ?" ญาติโยมกราบเรียนว่า "เห็นไฟไหม้โบสถ์" ท่านบอกว่า "พวกมึงตาฝาด..!"

    กระผม/อาตมภาพมารู้ทีหลังว่าหลวงปู่ท่านเล่นกสิณไฟ พอขยายปฏิภาคนิมิต เปลวไฟก็ท่วมโบสถ์ไปทั้งหลังเลยครับ แต่เป็นไฟที่ควบคุมได้ ใครเล่นกสิณไฟนี่ สั่งให้เผาอะไร ไฟก็เผาแค่นั้น สมมติว่ากระผม/อาตมภาพนั่งอยู่ตรงนี้ สั่งให้เผาจีวรนี่ ตัวจะไม่เป็นอะไรเลย แล้วครูบาอาจารย์แบบนั้นในสมัยนั้นมีทั่วบ้านทั่วเมืองครับ
     
  8. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    กระผม/อาตมภาพเองโตมาในสภาพแบบนั้นก็เลยสนใจในเรื่องของการปฏิบัติธรรม จึงหัดฝึก หัดภาวนา ครูบาอาจารย์รูปแรกเลยก็คือหลวงปู่เงิน วัดดอนยายหอม ท่านสอนให้ภาวนาคาถา สอนให้จับภาพพระ ขยายนิมิตให้ใหญ่ ให้เล็ก แล้วแต่เราถนัดเลยครับ

    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ทำให้
    กระผม/อาตมภาพเองซึ่งไม่รู้ ไม่เข้าใจ เกิดความกลัว คือพอมีคนตายแล้วเขาเปิดโลงล้างหน้าศพ กระผม/อาตมภาพเห็นหน้าคนตายแล้วก็ติดตาไป ๒ วัน ๓ วัน..! กลางค่ำกลางคืน หลับตาลง หน้าคนตายก็ลอยอยู่ โอ๊ย..กลัวเสียจนกระทั่งฉี่หด นึกว่าผีหลอก ถึงเวลาเขาก็จะมีพวกพี่ ๆ เขาไปเล่นไพ่เล่นไฮโลว์เป็นเพื่อนศพ กระผม/อาตมภาพก็ไปนั่งดูอยู่ข้างวงไพ่ พอถึงเวลากลับมานอน พอหลับตาลง โพธิ์ดำ โพธิ์แดง ดอกจิก ข้าวหลามตัด บินว่อนไปหมด เห็นชัด ๆ ทุกตัวเลย..!

    กระผม/อาตมภาพไม่รู้นะครับว่า นี่คือพื้นฐานที่หลวงปู่ท่านให้นึกถึงภาพพระ จับนิมิตภาพพระแล้วภาวนา ถ้าหากว่าเป็นการปฏิบัติธรรม เขาเรียกว่ากสิณครับ เป็นภาพติดตาที่เป็นอุคหนิมิต กระผม/อาตมภาพก็เลยคิดว่าโดนผีหลอก หรือว่าเอ๊ะ..กูเป็นอะไรวะ ? ทำไมภาพพวกไพ่ พวกไฮโลว์ไม่ไปไหนสักที ลอยอยู่เต็มไปหมด อยากจะนอนก็นอนไม่ได้ เพราะว่าเวลาภาพอยู่แล้วเราไม่ง่วง ตอนนั้นกระผม/อาตมภาพก็ไม่รู้ว่า ถ้าสมาธิทรงตัวแล้วจะไม่ง่วง

    ดังนั้น..ในส่วนนี้ที่ท่านทั้งหลายมีโอกาสมาปฏิบัติธรรมนี้ เป็นการสั่งสมความดีของเราทีละเล็กทีละน้อย แบบเดียวกับที่กระผม/อาตมภาพโดนมานี่แหละครับ ก็คือเริ่มจากการสวดมนต์ โดนพ่อบังคับสวดมนต์ หลับคอพับคออ่อนอยู่ทุกวัน ไปโรงเรียนก็ต้องไปนำเพื่อน ๆ สวดมนต์หน้าชั้นเรียน พอเป็นประธานนักเรียนก็นำสวดมนต์หน้าเสาธง จนกระทั่งมาเรียนวิชาสายหลวงปู่เงิน วัดดอนยายหอม จึงกลายเป็นว่าสมาธิของเราดีครับ
     
  9. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    ที่เรียนถวายท่านทั้งหลายไปก่อนที่จะบันทึกเสียงว่า ตอนที่กระผม/อาตมภาพเรียนปริญญาตรีอยู่ รุ่นของกระผม/อาตมภาพสอบได้เกียรตินิยมอันดับ ๑ จำนวน ๙ รูป แล้วเกียรตินิยมอันดับ ๒ ทั้งห้อง ในจำนวนที่ได้เกียรตินิยมอันดับ ๑ จำนวน ๙ รูปนั่น กระผม/อาตมภาพเป็นที่ ๑ ของ ๙ รูปนะครับ แล้วปีนั้นทั้งประเทศรวมกันแล้ว กระผม/อาตมภาพได้คะแนนสูงสุด..!

    ถามว่าคะแนนสูงสุดขนาดไหน ?
    กระผม/อาตมภาพเรียนอยู่ทั้งหมด ๗๕ วิชา นับเฉพาะที่เขาตัดเกรดให้ กระผม/อาตมภาพได้ A มา ๖๘ วิชา..! ขาดอีก ๗ วิชา ท่านอาจารย์ไม่ให้ ท่านอาจารย์บอกว่า "เธอได้เยอะแล้ว พอแล้ว" แล้วท่านลองคิดดูว่าคนเรียน ๗๕ วิชา แล้วได้ A ไป ๖๘ วิชา คะแนนจะไปขนาดไหน ? ที่เขามาสัมภาษณ์กันเพราะเหตุนี้แหละครับ นี่คือผลจากการปฏิบัติธรรมครับท่านทั้งหลาย

    ปกติแล้วใจของคนเรา ใจของท่านทั้งหลาย วันแรก ๆ นี่ อื้อหือ..ดิ้นรนมาก "กูไม่อยากนั่งอยู่ตรงนี้เลย" นั่นคือสภาพจิตของคนทั่ว ๆ ไปนะครับ แต่ว่าวันนี้ท่านเริ่มนิ่งกันได้ เพราะว่าใจยอมรับแล้ว ใจของคนปกติที่กระเพื่อมอยู่ตลอดเวลา เพราะรัก โลภ โกรธ หลง ความฟุ้งซ่านต่าง ๆ ก็เหมือนกับน้ำครับ น้ำที่กระเพื่อมอยู่ตลอดเวลา เราไม่สามาถจะเห็นเงาอะไรได้ชัดเจน แต่ถ้าน้ำนิ่งเมื่อไร จะสะท้อนภาพรอบข้างลงไปชัดเจนเหมือนอย่างกับของจริงเลย

    จิตของคนเราก็เหมือนกันครับ เมื่อถึงเวลาแล้ว ท่านทั้งหลายถ้าใจสงบนิ่ง สิ่งต่าง ๆ ที่ควรรู้ควรเห็นจะปรากฏขึ้น แล้วถ้าอ่านหนังสือนี่ ครั้งเดียวจำได้ครับ ทุกวันนี้บางทีเจอหน้าลูกศิษย์
    กระผม/อาตมภาพท่องตำราให้ฟังเป็นเล่ม ๆ เพราะบอกเขาว่า ตั้งแต่เรียนชั้นประถมปีที่ ๑ มาจนจบปริญญาเอก กระผม/อาตมภาพไม่เคยลืมวิชาอะไรเลย ทุกคนไม่เชื่อครับ

    กระผม/อาตมภาพเรียนบาลีมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๔ จนป่านนี้ยังสามารถท่องบาลีแข่งกับท่านที่เพิ่งจะเรียนได้ทุกคน..ไม่ลืม นี่คือผลจากการปฏิบัติธรรม พอใจของเราสงบ อ่านหรือฟังอะไรครั้งสองครั้งก็จำได้หมดแล้ว
     
  10. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    พอกระผม/อาตมภาพไปกราบครูบาอาจารย์ที่ท่านมีความรู้ มีเวทมนตร์คาถา ท่านอยากจะให้วิชาอะไร ท่านก็จะบอก แล้วท่านจะรักและชอบกระผม/อาตมภาพมากที่สุด เพราะว่าจะจำได้หมด

    หลวงปู่สำราญ (ท่านเจ้าคุณพระมงคลไชยสิทธิ์) วัดปากคลองมะขามเฒ่า ลูกศิษย์หลวงปู่ศุข ตอนกระผม/อาตมภาพไปกราบท่าน ท่านว่า "เอ้า..ไอ้หนูมา ข้าจะให้คาถาเอ็งเอาไปใช้นะลูก ตั้งใจฟังนะ" แล้วท่านก็บอก

    "อะระหังพันเกศา ภะคะวากันอาวุธ พระพุทโธอุด พระธัมโมอุด พระสังโฆอุด พระพุทธะเจ้าห้ามอาวุธ อุดด้วยพระพุทโธ พระธัมมะเจ้าห้ามอาวุธ อุดด้วยพระธัมโม พระสังฆะเจ้าห้ามอาวุธ อุดด้วยพระสังโฆ อุดธัง อัดโธ นะโมพุทธายะ"

    "เอ้า...เอ็งเอาไปใช้" แล้วท่านก็เขกกบาลเปรี้ยงเลย..! มือหนักจริง ๆ ครับ เขกชนิดเห็นดาวเห็นเดือนเลย ถ้าเป็นคนอื่นก็ลืมหมดตั้งแต่ได้ยิน หรือตั้งแต่โดนเขกกบาลแล้ว แต่กระผม/อาตมภาพจำได้ทุกครั้ง ถึงเวลาให้ทวน ก็ทวนให้ท่านฟังได้เดี๋ยวนั้น ทั้งที่ฟังครั้งเดียว นี่คือเรื่องของสมาธิ ดังนั้น..ที่ท่านทั้งหลายมาปฏิบัติธรรม ๑๐ วัน ถ้าตั้งใจเอาจริง ๆ สิ่งที่ท่านสะสมได้ จะช่วยให้การเรียนดีขึ้นมาก ตรงนี้
    กระผม/อาตมภาพขอยืนยันด้วยตนเอง

    กระผม/อาตมภาพเองสอนเด็กอยู่ ๖ คน ตอนที่ยังอยู่วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี กระผม/อาตมภาพบวชมาจากวัดนั้น เด็กทั้ง ๖ คนนั้นเป็นเด็กเที่ยวหัวหกก้นขวิด เป็นผู้หญิงทั้งหมด กลางค่ำกลางคืนอยู่ผับอยู่บาร์ เมากันหัวราน้ำ แม่นี่ก็โคตรเปิดกว้างเลย แม่บอกว่า "เที่ยวอย่างไรก็ได้ อย่าให้ท้องก็พอ..!" แม่เขาแรงขนาดนั้นนะครับ

    คราวนี้
    กระผม/อาตมภาพอยู่เวรตอนกลางคืน ต้องใช้วิทยุสื่อสารติดต่อกันเพราะว่าวัดใหญ่มาก กว้างหลายร้อยไร่ พอใช้วิทยุสื่อสาร เจ้าพวกนี้ก็สแกนไปเรื่อย พอไปเจอเสียงเข้าก็เข้ามาฟัง คุยไปกันคุยกันมา กระผม/อาตมภาพก็บอกได้ว่า พวกเขาอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ เขาก็สงสัยว่า "เอ๊ะ..จะเป็นนักเที่ยวเหมือนกันหรือเปล่า ?" พอถึงเวลาก็เลยขอ ว.๑๕ (ขอเจอหน้า) พอเจอเข้าก็ตกใจ เพราะไม่นึกว่าจะเป็นพระ
     
  11. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    กระผม/อาตมภาพบอกว่า นี่คือสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนมา ถ้าหากว่าอยากรู้จะสอนให้ แล้วก็สอนให้เขาทำกรรมฐาน โอ้โห..แรก ๆ จะตายกันให้ได้..! นั่งไม่ติดเลย แต่พอนานไป..นานไป สมาธิก็เริ่มดีขึ้น มีกำลังมากขึ้น ก็นั่งได้ทนขึ้น..นานขึ้น ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ปรากฏว่าเทอมต่อมา คะแนนสอบดีขึ้นมากครับ จากที่ประเภทคาบเส้นต่องแต่ง ก็ได้มาเกรด ๒ กว่า เกือบจะเกรด ๓ พอเทอมถัดไปก็เกรด ๓ กว่า เกือบจะเกรด ๔

    นี่คืออานิสงส์ที่เห็นชัด ๆ เจ้าพวกนั้นเลยเลิกเป็นเด็กเที่ยวกันหมดเลย เพราะว่าไอ้ที่เที่ยวก็คือกำลังใจยังไม่แข็งพอครับ อยากสนุก อยากเฮตามเพื่อน แต่พอกำลังสมาธิสูงขึ้น ก็เลิกเที่ยวแล้ว เปลี่ยนเป็นหันมาปฏิบัติธรรมแทน ทุกวันนี้เรียนจบ มีครอบครัว มีงานมีการ เป็นหลักเป็นฐานกันหมด พ่อแม่เขายกถวาย
    กระผม/อาตมภาพ ให้เป็นลูกตั้งแต่สมัยนั้นเลย เพราะว่าพ่อแม่เขาสอนลูกไม่ได้ เนื่องจากว่าให้ท้ายลูกตลอด มีแต่กระผม/อาตมภาพที่ดุได้..สอนได้ เขาก็เลยยอมรับกัน

    ที่เรียนถวายท่านทั้งหลายเพราะว่าในเรื่องของสมาธิภาวนานั้น ประโยชน์ทางโลกยังเป็นประโยชน์ที่น้อยมาก ที่
    กระผม/อาตมภาพบอกว่าเป็นประโยชน์ที่น้อยมาก ก็เพราะว่าแค่ช่วยให้เราเรียนดีขึ้น แค่ช่วยให้เราทำงานดีขึ้น

    ทุกวันนี้กระผม/อาตมภาพมีตำแหน่งอยู่ทั้งหมด ๓๒ ตำแหน่งด้วยกัน แม้กระทั่งตำแหน่งนักการเมืองกลาย ๆ ก็ยังเป็น อย่างเช่นประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมิ เลือกตั้งกัน ๓ ปีครั้งหนึ่ง
    กระผม/อาตมภาพเป็นมา ๒ วาระ และรักษาการมา ๑ วาระ ตำแหน่งทั้งหลายเหล่านี้แค่ประชุมอย่างเดียวก็ประสาทกินแล้วครับ ต้องมานั่งปรับสมองว่าเราประชุมในตำแหน่งอะไร ? คราวที่แล้วเรื่องราวไปถึงไหน ?

    แต่ว่าที่เรียนถวายท่านทั้งหลาย ไม่ได้อวดงาน หรืออวดความสามารถตัวเอง แต่อยากจะบอกว่า ถ้าท่านทั้งหลายทำสมาธิแล้ว ท่านจะมีสติดีขึ้น รู้จักแยกแยะว่าอะไรก่อน อะไรหลัง อะไรเร็ว อะไรช้า อะไรสำคัญกว่า ถ้าหากว่าท่านแยกแยะออก ต่อให้มีงานตรงหน้าเยอะแค่ไหน ท่านก็จะลำดับเรื่องสำคัญก่อนหลังเร็วช้าได้ แล้วท่านจะมีงานตรงหน้าอยู่แค่ชิ้นเดียว และจะไม่เกินกำลังของตนเอง
     
  12. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    ส่วนใหญ่แล้วพวกเราทั้งหมดมักจะเอางานหลาย ๆ ชิ้นมารวมกัน อย่างเช่นว่าอาจารย์วิชานี้ให้รายงานมา อาจารย์วิชาโน้นให้รายงานมา ถึงเวลามีรายงาน ๔ - ๕ เล่มกองอยู่ เราก็เครียดมากเลย ลำดับเรื่องก่อนว่ากำหนดให้เราส่งรายงานวันไหน ? เรื่องไหนส่งก่อนเราทำก่อน เราจะมีแค่เรื่องเดียว ไม่ใช่ ๕ เรื่องพร้อมกัน

    นี่คือลักษณะเวลาที่ปัญหาต่าง ๆ เข้ามาในชีวิตของเราถ้าเราสามารถลำดับความสำคัญก่อนหลังเร็วช้าของปัญหาได้ อันไหนมาก่อน สำคัญกว่า เราทำก่อน เราจะมีปัญหาอยู่ข้างหน้าปัญหาเดียว แล้วก็ไม่เกินกำลังของตัวเอง

    แต่ส่วนใหญ่ท่านทั้งหลายมักจะเอาทุกปัญหามาหมกรวมกันตรงหน้า แล้วก็หนัก เครียด บางคนก็ทนไม่ไหว เด็กที่เขาเรียนมหาวิทยาลัยข้างนอกบางคนไปกระโดดตึกเลยก็มี..! เพราะว่าไม่สามารถที่จะแยกความก่อนหลังเร็วช้า หนักเบาของปัญหาได้

    แต่เราท่านถ้าหากว่าปฏิบัติธรรมแล้ว เราจะมีสติ เราจะแยกแยะเป็น แล้วงานตรงหน้าเราจะมีไม่มาก บางคนถามว่า
    "หลวงพ่อแบ่งภาคได้อย่างไร ทำงานมากมายขนาดนี้ ?" ไม่ได้แบ่งภาคนะครับ แต่ลำดับเรื่องก่อน

    ความจริงเขาจะให้
    กระผม/อาตมภาพมาพูดให้ท่านทั้งหลายฟังตั้งแต่เมื่อวาน แต่เมื่อวานกระผม/อาตมภาพรับไม่ได้เพราะว่ามีหลายงาน ก็คืองานวันบูรพาจารย์ที่วัดใต้ของหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัด งานฉลองตราตั้งรองเจ้าคณะจังหวัดกับเจ้าคณะอำเภอเมือง งานปลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร

    แล้วก็บรรยายออกรายการเสียงธรรมจากมหาจุฬาอาศรม ก็เลยต้องผลัดท่านมาว่ากันในวันนี้
     
  13. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    นี่คือลักษณะของการลำดับเรื่อง แล้วก็จัดลำดับความสำคัญของเนื้อหาต่าง ๆ ในชีวิตของเรา ถ้าท่านทั้งหลายปฏิบัติธรรมไปแล้วแยกแยะได้ ตรงส่วนนี้จะเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด แต่นั่นเป็นแค่ทางโลกครับ

    ในเรื่องของทางธรรมมีมากกว่านั้นอีก ก็คือถ้าท่านทั้งหลายสามารถภาวนาจนกระทั่ง รัก โลภ โกรธ หลง สงบระงับลงได้ คุณความดีของท่านจะเริ่มปรากฏในสายตาญาติโยม ศรัทธาจะไหลมาเทมา แต่ขอโทษครับ..อันตรายมาก..! เพราะว่าเรายังตัดกิเลสไม่ได้ครับ เราแค่กดกิเลสด้วยอำนาจของสมาธิเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านทั้งหลายต้องระวังตัวเป็นอย่างสูง

    ท่านคงเคยได้ยินชื่อของอาจารย์นิกร วัดดอยนางแล หลวงพ่อภาวนาพุทโธ วัดสามพราน พระอาจารย์ยันตระ วัดสุญญตารามเกริงกระเวีย

    เราเสียครูบาอาจารย์เหล่านี้ไปมากแล้ว เพราะว่าถึงเวลาแล้วพอคุณความดีเริ่มปรากฏ คนก็ไปรบกวนจนไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม กิเลสเลยตีกลับ เมื่อกิเลสตีกลับ รัก โลภ โกรธ หลง ที่โดนเก็บกดมานาน เมื่อระเบิดออกมานี่คุมไม่ไหวนะครับ

    ฉะนั้น..ในลำดับที่สองของการปฏิบัติธรรมของเราก็คือ ถ้ากิเลสสงบระงับ คุณความดีเริ่มปรากฏ ต้องรักษาเวลาส่วนตัวให้มาก
    กระผม/อาตมภาพเป็นคนรักษาเวลาส่วนตัวมาก นอกเวลางานแล้วนี่ห้ามกวนเลย เพราะว่ากระผม/อาตมภาพต้องภาวนาเพื่อตัวเอง
     
  14. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    หลังจากนั้น ถ้าท่านใช้กำลังจากการภาวนาจากการปฏิบัติธรรม ค่อย ๆ ขัดเกลากิเลสตัวเอง รัก โลภ โกรธ หลง จะค่อย ๆ บรรเทาเบาบางลงไปเรื่อย ๆ ยิ่งบรรเทาเบาบางลงไปเท่าไร คุณความดีของท่านทั้งหลายจะปรากฏชัดเท่านั้น เราจะเป็น "สังฆโสภณ" ผู้สร้างความงามให้เกิดขึ้นในหมู่สงฆ์ เป็นผู้ที่ยังพระพุทธศาสนาของเราให้เจริญรุ่งเรือง

    ถ้าท่านทั้งหลายสึกหาลาเพศไป แล้วนำเอาหลักธรรมทั้งหลายเหล่านี้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน ท่านก็จะเป็นชาวบ้านชั้นดี เป็นบุคคลที่อยู่ในศีลในธรรม แต่ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายอยู่ต่อไป แล้วสามารถทำได้อย่างที่กระผม/อาตมภาพบรรยายมา ท่านทั้งหลายก็จะเป็นกำลังในการยังพระพุทธศาสนาของเราให้เจริญมั่นคงสืบไป

    สำหรับวันนี้ก็รบกวนเวลาทุกท่านมามากแล้ว กระผม/อาตมภาพขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย คือพระพุทธรัตนะ ธัมมรัตนะ และสังฆรัตนะเป็นประธาน ตลอดจนคุณงามความดีที่ท่านทั้งหลายได้พร้อมใจกันมาปฏิบัติธรรมประจำปีในครั้งนี้ จงรวมกันเป็นตบเดชะ พลวปัจจัย ดลบรรดาให้ท่านทั้งหลายประสบความสำเร็จทั้งทางโลกทางธรรม แม้ว่าประสงค์จำนงหมายสิ่งหนึ่งประการใด ที่เป็นไปโดยชอบ ประกอบด้วยธรรมวินัยแล้ว ขอให้ท่านทั้งหลาย จงสำเร็จ สัมฤทธิ์ผลในสิ่งที่ปรารถนาจงทุกประการ ทุกท่านทุกคน..เทอญ

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    ธรรมบรรยายในงานปฏิบัติธรรมประจำปี ๒๕๖๕
    แก่นิสิตคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
    วันจันทร์ที่ ๒๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...