ปฏิบัติธรรมแบบ “ธรรมะอยู่ฟากตาย”

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 16 ธันวาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,512
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    076B605F-3B91-48D8-9D8E-621A964B00E0.jpeg

    เรื่องที่จะกล่าวถึงในวันนี้ก็คือ ในการปฏิบัติธรรมของพวกเรานั้น ส่วนใหญ่แล้วพวกเราขาดความจริงจังและเด็ดขาด อย่างที่ภาษาพระวัดป่าท่านว่า ธรรมะอยู่ฟากตาย ก็คือถ้าไม่แลกกันด้วยชีวิต โอกาสที่จะเข้าถึงธรรมก็ยาก

    ในเมื่อเราไม่จริงจังไม่เด็ดขาด โอกาสที่เราจะเอาชนะกิเลสก็มีน้อย ก็เหมือนกับนักมวย ถ้าหากว่าขาดการเอาจริงเอาจัง มุ่งมั่นในการต่อสู้ โอกาสที่จะชนะคู่ต่อสู้ก็ไม่มีเลย

    ถามว่าแล้วความเด็ดขาดจริงจังของเราจะมาจากไหน ? ส่วนใหญ่แล้วก็มาจากสมาธิ การที่เรารักษาศีลเป็นการควบคุม กาย วาจา ของเราให้อยู่ในกรอบ ระหว่างที่เราตั้งหน้าตั้งตาระมัดระวังรักษาศีล สติที่กำหนดตามดูอยู่ว่าศีลจะขาดจะพร่องหรือไม่ ก็ทำให้เราเกิดสมาธิ ดังนั้น..เมื่อเรารักษาศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์ สมาธิย่อมทรงตัวได้ง่าย คราวนี้การที่สมาธิทรงตัวถึงระดับพอใช้งานได้ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเข้าถึงปฐมฌานก็คือฌานที่ ๑

    คราวนี้การที่เราจะเข้าถึงปฐมฌานได้นั้น ก็ต้องศึกษาว่ากฎเกณฑ์ของปฐมฌานประกอบด้วยอะไรบ้าง ? ก็ประกอบไปด้วยวิตก ความคิดนึกอยู่ว่าเราจะภาวนา วิจาร เราภาวนาอยู่ลมหายใจแรงหรือเบา ยาวหรือสั้น คำภาวนาว่าอย่างไรก็รู้อยู่ ปีติ มีอาการต่าง ๆ ๕ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น เช่น ขนลุก น้ำตาไหล ร่างกายโยกโคลง บางทีก็ลอยขึ้นทั้งตัว หรือรู้สึกว่าตัวพอง ตัวใหญ่ ตัวแตก ตัวระเบิด เป็นต้น

    สุข มีความสงบเยือกเย็นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เนื่องจากอำนาจของสมาธิเริ่มกดกิเลสให้นิ่งสนิทลงได้ และเอกัคตารมณ์ มีความตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียวอยู่กับการภาวนา สิ่งรบกวนต่าง ๆ ที่เข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่สามารถทำให้เราเคลื่อนคลายไปที่ไหนได้

    ถ้าอารมณ์ใจของเราทรงตัวอย่างนี้ก็คือเราทรงปฐมฌานอยู่ มีหลักพิจารณาง่าย ๆ คือจะรู้ลมอัตโนมัติ ลมหายใจจะเข้าจะออก เราไม่ต้องบังคับลมหายใจ ไม่ต้องตามดูตามรู้ ลมหายใจจะเป็นไปโดยอัตโนมัติ เข้าไปจนสุดออกมาจนสุด เราต้องการสัมผัสกี่ฐาน ก็จะรู้ได้ชัดเจน ดังนั้น ถ้าอาการเหล่านี้เกิดขึ้นกับท่าน ก็ขอให้รู้ว่ากำลังสมาธิของเราเริ่มทรงตัวเป็นอัปปนาสมาธิแล้ว คราวนี้กำลังของอัปปนาสมาธิขั้นปฐมฌาน ถ้าเราเอามาใช้ตัดกิเลส ก็จะตัดกิเลสในระดับของพระโสดาบันและพระสกิทาคามี มากกว่านั้นกำลังยังไม่เพียงพอที่จะใช้งาน

    แต่ทีนี้ที่เราพูดถึง ก็คือ การที่เรามีสมาธิทรงตัว กำลังใจจะเข้มแข็งมากขึ้น จะมีความเด็ดขาดจริงจังมากขึ้น เหตุที่เป็นเช่นนั้นเกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกคือสมาธิดีขึ้น ความเด็ดขาดมั่นคงก็จะมี ประการที่สองก็คือ เมื่อสมาธิทรงตัว เราจะเห็นคุณพระรัตนตรัย เกิดความรู้สึกว่า แค่สมาธิเบื้องต้นเรายังมีความสุขความสบายขนาดนี้ แล้วสมาธิระดับสูงขึ้นไป ตลอดจนท่านทั้งหลายที่เป็นพระอริยเจ้าไปแล้ว จะมีความสุขขนาดไหน ? ความเคารพใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะเต็มล้นในหัวใจ กำลังใจจะทุ่มเทให้การปฏิบัติอย่างไม่เบื่อไม่หน่าย ชนิดที่แลกกันด้วยชีวิตก็ยินดี

    ดังนั้น...ถ้าท่านทั้งหลายต้องการกำลังใจที่เด็ดขาด หนักแน่น มั่นคงในการปฏิบัติ อย่างน้อยท่านต้องกำหนดสมาธิภาวนาให้ถึงระดับอย่างน้อยปฐมฌาน ไม่เช่นนั้นแล้วความหนักแน่นเด็ดขาดมั่นคงก็ไม่สามารถเกิดขึ้นกับใจท่านเลย

    เมื่อสมาธิทรงตัวแล้วสิ่งหนึ่งที่จะลืมไม่ได้ก็คือ ถ้าไม่สามารถจะไปต่อได้ ให้คลายสมาธิออกมาแล้วหาวิปัสสนาญาณมาพิจารณา ซึ่งก็คือพิจารณาดูร่างกายของเรานี้เอง ว่ามีความไม่เที่ยงอย่างไร เป็นทุกข์อย่างไร ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราอย่างไร ดูให้ชัดเจนถ้าสภาพจิตยอมรับ ปล่อยวาง ไม่ยึดเกาะในร่างกายนี้ โอกาสที่เราจะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าจะมีขึ้นแก่เราได้

    ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านภาวนาพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
    วันเสาร์ที่ ๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๒
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...