เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 14 ธันวาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,512
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,512
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ พวกเราก็เหลือกันอยู่ไม่ถึง ๒๐ รูปดีกระมัง ? อ้อ...เกินสิ ยังมีเวรยามอยู่ด้วย..ใช่ไหม ? เพราะว่าส่วนหนึ่งก็ลา ซึ่งการลานั้น ถ้าหากว่ากลับบ้านกลับช่องเมื่อไร ก็จะมีแต่เรื่องร้อนหู ร้อนตา ร้อนใจ มาให้เมื่อนั้น..!

    ส่วนหนึ่งก็ไปปฏิบัติธรรมประจำปีของพระนิสิต มจร. อีกส่วนหนึ่งหนักกว่านั้นอีก ไปเป็นพระวิปัสสนาจารย์คุมการปฏิบัติธรรมของพระนิสิต ก็ต้องบอกว่าแต่ละรูปล้วนแล้วแต่มีภาระหน้าที่มากขึ้น ๆ ตามอายุกาลพรรษาของเรา

    ในส่วนที่ต้องระวังที่สุดก็คือ ทำอย่างไรที่จะให้กำลังใจของเรามั่นคง จะได้มีกำลังในการทำงานอย่างหนึ่ง จะได้รักษากำลังใจไม่ให้ฟุ้งซ่านอีกอย่างหนึ่ง นี่เป็นปัญหาที่ท่านทั้งหลายจะต้องไปหาทางแก้ไขกันเอาเอง เพราะว่าต่อให้บอกวิธีการไปเท่าไร ถ้าพวกเราไม่เอาก็เหนื่อยเปล่า..!

    เรื่องพวกนี้ไม่สามารถที่จะทำแทนกันได้ ขึ้นอยู่กับสามัญสำนึกของพวกเราเอง ถ้าแค่ทำวัตรสวดมนต์ เจริญกรรมฐาน ยังมาตรงเวลาไม่ได้ ก็มองเห็นอนาคตแล้วว่าเป็นอย่างไร แสดงว่ากำลังใจเราไม่ได้ปักมั่นอยู่กับวัตรปฏิบัติเหล่านี้เลย

    วัตรปฏิบัติเหล่านี้ก็คือเกราะที่จะกำบัง คุ้มภัย ไม่ให้เราโดน รัก โลภ โกรธ หลง ทำร้ายได้มากนัก ในเมื่อเราไม่สนใจที่จะใส่เกราะ ก็เท่ากับว่าเดินตัวเปล่าออกรบ โอกาสตายมีสูงมาก..!

    วันนี้กระผม/อาตมภาพไปหาหมอตามนัด ส่วนหนึ่งที่โดนหมอตำหนิมาก็คือ พอเข้าเดือนที่สอง หมอให้ไปทำกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลใกล้วัด แต่ว่ากระผม/อาตมภาพเองไม่มีเวลา พวกท่านก็จะเห็นว่าแต่ละวัน
    กระผม/อาตมภาพมีภารกิจมากมายมหาศาล แต่หมอบอกว่าช่วงนี้ ก็คือระหว่างเดือนที่สองกับเดือนที่สามเป็นช่วงวิกฤต เพราะว่าบาดแผลหายแล้ว เหลือแต่การฟื้นตัวของเส้นประสาท ซึ่งถ้าเราไม่ทำกายภาพบำบัดเอาไว้ช่วงนี้ ถ้าหากว่าเสียหายถาวรไปเลย ก็เป็นอันว่าไม่ต้องไปทำอะไรกันอีกแล้ว..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,512
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    กระผม/อาตมภาพจึงต้องติดต่อหมอนุ้ย (แพทย์หญิงนวลจันทร์ เวชสุวรรณมณี) ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทองผาภูมิ หมอนุ้ยรู้ดีกว่าอีก ก็เลยไม่รอให้กระผม/อาตมภาพมีเวลาว่าง บอกว่า "หลวงพ่อยกเครื่องไปเลยค่ะ เดี๋ยวหาคนมาศึกษาในวันรุ่งขึ้นที่หลวงพ่อจะมากายภาพบำบัด พอเขาใช้เป็นแล้วก็เอาไปเลย" พูดง่าย ๆ ก็คือเอาไปใช้ให้พอใจแล้วค่อยเอาไปคืน..!

    ตรงนี้ต้องบอกว่าเป็นการกล้าตัดสินใจของแพทย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล น่าจะเกิดจากสาเหตุที่กระผม/อาตมภาพเป็นประธานโครงการพัฒนาโรงพยาบาลทองผาภูมิ รับหน้าที่มาหลายปี ต้องบอกว่าหน่วยราชการของเราแต่ละหน่วย ล้วนแล้วแต่น่าสงสารมาก อย่างโรงพยาบาลทองผาภูมิได้อาคารผู้ป่วยนอกมา ได้แต่ตัวอาคารเปล่า ๆ ข้าวของแทบจะไม่มีอะไรเลย..!

    กระผม/อาตมภาพต้องบริจาคเครื่องปรับอากาศไปหลาย ๑๐ เครื่อง ต้องทอดผ้าป่าซื้อเครื่องมือแพทย์ให้ ต้องจัดสร้างห้องอภิบาลเด็กทารก ห้องฟอกไต ห้องศัลยกรรม พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าไม่มีพระคอยช่วยเอาไว้ ป่านนี้ก็คงไม่ต้องทำมาหากินอะไร เพราะว่าต้องรอจนกว่าที่จะได้งบประมาณมา แล้วหน่วยงานของรัฐอื่น ๆ ก็มีลักษณะคล้ายคลึงกัน

    แต่ว่าหลายแห่งที่ขอความช่วยเหลือมา บางทีกระผม/อาตมภาพก็นึกตำหนิอยู่เหมือนกัน อย่างเช่น บางโรงเรียนขอเครื่องไม้เครื่องมือในการฝึกลูกเสือมา รวม ๆ แล้วราคาแค่ไม่กี่พันบาท ซึ่งถ้าหากว่าบรรดาครูบาอาจารย์ในโรงเรียน ๓๐ กว่าคน ช่วยกันควักกระเป๋าคนละร้อยสองร้อยก็ได้แล้ว แต่เขาใช้วิธีมักง่าย ก็คือขอให้หลวงพ่อเอาไว้ก่อน ถ้าลักษณะอย่างนี้ส่วนใหญ่แล้วกระผม/อาตมภาพไม่ค่อยให้ความช่วยเหลือไปหรอก อย่างที่บอกแล้วว่าต้องพิจารณาดูก่อน ไม่ใช่ขออะไรมาก็ให้ไปหมด

    อย่างที่พระเดชพระคุณหลวงปู่จันทร์ (พระพุทธพจนวราภรณ์) วัดเจดีย์หลวง สมัยที่ท่านยังเป็นเจ้าคุณพระเทพกวี อยู่ที่วัดป่าดาราภิรมย์ ท่านบอกว่า ถ้าเมตตาเกินประมาณก็จะเจอแต่คนพาลทั้งเมือง

    ดังนั้น..หลายอย่างแม้ว่าจะน่าช่วยเหลือ แต่กระผม/อาตมภาพก็เอาเข้าคิวไว้ก่อน ก็คือถ้าไม่ถึงคิวก็ไม่ใช่ความช่วยเหลือ อย่างเมื่อวานนี้ที่เจอกับพระครูกฤติธี (พระครูโสภิตสุวรรณาภรณ์) นั่นก็ขอกฐินปลดหนี้มา แต่คิวอีกนาน บางทีเราทำงานของเราอยู่ แต่คนอื่นไม่ได้สนใจตรงจุดนั้น เขาคิดอยู่อย่างเดียวว่าต้องการความช่วยเหลือ แล้วก็ขอมา ก็คือคุณจะทำอะไรผมไม่สนใจ ผมมีหน้าที่ขออย่างเดียว..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,512
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    มีเจ้าคุณบางรูป เป็นรองเจ้าคณะจังหวัดใหญ่มากทางภาคเหนือ ขอให้กระผม/อาตมภาพช่วยสร้างโบสถ์ให้ทั้งหลัง..! ก็เป็นเรื่องที่มักง่ายเกินไป เพราะว่าอันดับแรก ท่านเป็นเจ้าคุณชั้นราชด้วย เป็นรองเจ้าคณะจังหวัดด้วย เรื่องของการหางบประมาณน่าจะง่ายกว่ากระผม/อาตมภาพอีก แต่ว่าท่านก็ส่งโครงการขอมาง่าย ๆ เหมือนกัน ซึ่งการขอลักษณะแบบนี้ กระผม/อาตมภาพถือว่าเป็นการขอแบบมักง่าย แต่ก็ว่ากันไม่ได้ เพราะว่าจริตนิสัยแต่ละคนไม่เหมือนกัน

    ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า ระเบียบวัดของเราก็คือห้ามบอกบุญ ห้ามเรี่ยไร เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่ากระผม/อาตมภาพเองรู้สึกไม่ดีตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นฆราวาส เพราะว่าบางทีเราไม่มีอารมณ์ที่จะทำบุญ แต่ก็โดนตื๊อ ส่งซองขอให้ทำบุญอยู่นั่นแหละ ในเมื่อรำคาญคนอื่นเขา ถึงเวลาตัวเองมาเป็นเจ้าอาวาส ก็เลยออกระเบียบ ไม่บอกบุญ ไม่เรี่ยไร ถ้าต้องขอเขาก็เป็นอันว่าเลิกทำงาน..!

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถึงได้บอกกล่าวกับพวกท่านทั้งหลายว่า ถ้าหมดกระผม/อาตมภาพไปแล้ว ใครมาเป็นเจ้าอาวาสต่อ ให้ใช้อำนาจเจ้าอาวาสยกเลิกระเบียบข้อนี้โดยด่วน ไม่เช่นนั้นแล้วก็อาจจะหน้าเหี่ยว ไม่มีใครทำบุญด้วย เพราะว่าศรัทธาคนเป็นของเฉพาะตน ไม่สามารถที่จะส่งต่อกันได้

    กระผม/อาตมภาพสร้างวัดมา ๗ - ๘ วัดแล้ว มีทั้งที่ทำบางส่วน มีทั้งที่พื้นดินเปล่า ๆ ให้เราสร้างจนสำเร็จเป็นวัด ตรงจุดนี้จึงมีประสบการณ์ที่บอกเล่าต่อกันได้ อย่างชนิดที่เรียกว่า น่าจะมากพอที่จะเป็นข้อสรุปได้ว่า ศรัทธาของคนนั้นเป็นเฉพาะตัว

    เนื่องเพราะว่าพอกระผม/อาตมภาพย้ายวัด ญาติโยมก็ตามไปทำบุญที่ใหม่ เขาก็ไม่ได้เกาะอยู่กับวัดเก่า จนกระทั่งบางท่านก็ถึงขนาดบ่นว่า "สร้างแล้วไม่อยู่สร้างไปทำไม ?" ก็ไม่ได้อยากจะสร้างหรอก แต่ทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ท่านเห็นว่าที่นั่นไม่ไหว สั่งให้ไปช่วยหน่อย ก็ต้องช่วยเขาตามคำสั่ง
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,512
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    บางอย่างก็ทำตามคำสั่งครูบาอาจารย์ อย่างหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ท่านให้ช่วยสร้างวัดหนองบัวที่ประเทศพม่า ก็กราบเรียนหลวงปู่ว่า "ทำไมไปยุ่งอะไรกับพม่าด้วยละครับ ?" ท่านบอกว่า พม่าเป็นดินแดนพระพุทธศาสนาเช่นกัน ในฐานะของพระโพธิสัตว์ ท่านเองก็เกิดที่พม่ามานับครั้งไม่ถ้วน มีความผูกพันกับบางสถานที่

    ท่านใช้คำว่า "ถ้ามีความสามารถก็ไปช่วยเขาหน่อย" แล้วหลวงพ่อฤๅษีฯ ก็อบรมกระผม/อาตมภาพมาว่า "อย่าพูดคำว่าไม่สามารถให้ผมได้ยิน..!" ก็เป็นอันว่าจบกัน หลวงปู่กับหลวงพ่อท่านนัดกันไว้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ? เพราะท่านหนึ่งก็อบรม
    กระผม/อาตมภาพมาตลอดว่า "อย่าพูดคำว่าไม่สามารถให้ได้ยิน" อีกท่านหนึ่งบอกว่า "ถ้ามีความสามารถก็ไปช่วยทำให้เขาหน่อย" ก็เป็นอันว่าหมากบังคับดี ๆ นี่เอง แล้วก็เสียเวลาไปตั้ง ๖ ปี

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าในพม่านั้น ข้าวของต่าง ๆ หายากมาก ตอนนั้นทั้งประเทศพม่ามีโถชักโครกอยู่แค่ ๒ ใบ ใบหนึ่งพลโทขิ่นยุ้นต์ เลขาธิการ SLORC ซื้อไป อีกโถหนึ่งก็อยู่ที่วัดหนองบัวนั่นแหละ ข้าวของหลายต่อหลายอย่าง "ราคาแพงจนจับไม่ติด"

    กระผม/อาตมภาพสั่งซื้อกระเบื้องขนาด ๑.๒๐ เมตรอย่างหนาจากฝั่งไทยเข้าไป ตอนนั้นแผ่นหนึ่ง ๔๔ บาท ทางด่านพม่าคิดภาษีเถื่อนแผ่นละ ๑๐ บาท ก็เท่ากับ ๕๔ บาท กระผม/อาตมภาพสั่งไปที ๔,๐๐๐ แผ่นเพื่อมุงศาลาวัดหนองบัว จ่ายภาษีเถื่อนไป ๔๐,๐๐๐ บาท ซึ่งคิดเป็นเงินพม่าแล้วเยอะมาก ขนาดนั้นยังถูกกว่ากระเบื้องที่ซื้อในพม่า..!

    แล้วกระเบื้องพม่าแผ่นเท่าเตียงนอน..! กระผม/อาตมภาพก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเขาคิดอย่างไรถึงได้ผลิตแผ่นขนาดนั้น น่าจะมุงแล้วเต็มเร็วดีกระมัง ? ด้วยความที่แผ่นใหญ่แล้วก็บาง แค่เผลอเหยียบก็แตกแล้ว จึงได้ตัดสินใจซื้อจากทางด้านฝั่งไทยไปแทน
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,512
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    ตรงจุดนี้ที่อยากจะบอกกับท่านทั้งหลายก็คือว่า เรื่องของศรัทธาเป็นเรื่องที่ต้องค่อย ๆ ปลูกฝังไป แต่ละคนเกิดมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว บุคคลที่เคยร่วมบุญกันมาแต่อดีตมีอยู่ ถึงเวลาคนประเภทนี้ ตีก็ไม่ไป ไล่ก็ไม่หนี จะศรัทธาเฉพาะเราเท่านั้น

    ศรัทธาของเราจะเพิ่มขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราปฏิบัติ กาย วาจา ใจ อยู่ในกรอบของพระธรรมวินัย ปฏิบัติให้คนอื่นเขาเห็น โดยเฉพาะเรื่องของการสวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต เจริญกรรมฐาน คนใหม่ที่มาเห็นเข้าก็จะเกิดศรัทธา


    ศรัทธาจึงเป็นเรื่องที่ต้องค่อย ๆ สะสมกันไป ยิ่งนานก็ยิ่งมาก แล้วถึงเวลาก็จะเหนื่อยแบบกระผม/อาตมภาพเอง ขนาดไปหาหมอ ยังมีบรรดาพยาบาลแห่กันมาทำบุญ กระผม/อาตมภาพก็ไม่รู้หรอก เดินไปก็มีแต่คนยกมือไหว้ หน้าตาคุ้น ๆ ทั้งนั้น โดยเฉพาะวันนี้เจอพี่ชาย (นายสุรกานต์ เพชรชื่นสกุล) กับน้องสาว (นางสาวกนกพร เพชรชื่นสกุล) ไปรักษาตัวอยู่ที่เดียวกันอีก โลกนี้กลมจนเกินไป..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๑๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...