เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 3 ธันวาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ เป็นการปฏิบัติธรรมวันแรกของการบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติรุ่นที่ ๘/๒๕๖๕ คราวนี้ตั้งแต่เช้ามา การปฏิบัติในช่วงเช้ามืดก็ดี ช่วงสาย ช่วงบ่าย จนกระทั่งเมื่อครู่นี้ก็ตาม หลายท่านก็อาจจะได้รับคำตำหนิ ที่กระผม/อาตมภาพว่ากล่าวไปตั้งแต่ช่วงเช้าแล้ว

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าพวกเราขาดความกระตือรือร้นในการปฏิบัติธรรม ถ้าเป็นหลวงตามหาบัว ท่านจะบอกว่า "ทำตัวเป็นหมูพาดเขียง" ก็คือหมูหากินมาทั้งวัน ผ่านมาเจอเขียงอยู่ เออ..น่าสบาย ก็เลยนอน เอาหัวไปหนุนเขียง สบายใจ ไม่รู้ว่าจะโดนเขาเชือดเมื่อไร ?!!

    ลักษณะของการดำเนินชีวิตอยู่ในโลกของเราก็เป็นไปในลักษณะอย่างนี้ ก็คือเราดำรงชีวิตอยู่ในกองทุกข์ โดนความทุกข์แผดเผาอยู่ตลอดเวลา แต่กลับมีกำลังใจที่จะดิ้นรนหนีทุกข์ได้น้อยมาก ทำเหมือนอย่างกับเสียดายว่า ถ้าพ้นความทุกข์ไปแล้ว เราจะไปหาทุกข์ใส่ตัวได้ที่ไหนอีก ?!!

    เรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น ทุกคนจะต้องตกเป็นขี้ปากของคนรอบข้างอยู่แล้ว อย่าให้คำพูดของคนอื่นมาทำให้โอกาสในการพ้นจากวัฏสงสารของเราหมดไป

    กระผม/อาตมภาพเองปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง ครูบาอาจารย์ทุกคนว่า "บ้า" หมด แต่กระผม/อาตมภาพรู้ดีว่าตัวเองทำอะไร เพื่ออะไร จึงไม่ได้ใส่ใจคำพูดของคนทั้งหลายเหล่านั้น เนื่องเพราะว่าถ้าหากว่าคนส่วนใหญ่เดินไปทางหนึ่ง แล้วเราเดินสวนทางกับเขา ก็ย่อมแปลกแยกจากสังคมอยู่แล้ว

    เมื่อไปเรียนวิชาทหาร ก็โดนเพื่อนฝูงเยาะเย้ยถากถางอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน แต่กระผม/อาตมภาพก็ไม่ได้หวั่นไหว ท้ายที่สุด เพื่อนทั้งรุ่นก็ต้องยอมลงให้ เพราะว่านอกจากทำอะไรไม่ได้ เพราะว่าเราไม่สะท้านสะเทือนแล้ว ด้วยความที่พวกเขาเรียนได้ห่วยแตกมาก ต้องพึ่งพาอาตมภาพอยู่ตลอด ท้ายสุดก็เลยมีหลายคนเห็นดีเห็นงามกับการเข้าวัดปฏิบัติธรรม แต่น่าเสียดายว่าหลังจากที่
    กระผม/อาตมภาพลาออกจากราชการมา เพื่อนฝูงเหล่านั้นก็โดนวงสังคมครอบกลับไปตามเดิม..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    ในเรื่องของการปฏิบัติธรรม นอกจากปากคนแล้ว กิเลสมารต่าง ๆ ยังคอยทดสอบเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากว่าความอดทนอดกลั้นไม่เพียงพอ ความพากเพียรไม่เพียงพอ อย่าหวังเลยว่าจะชนะกิเลสได้ เพราะว่ากิเลสมารนั้นเปรียบเหมือนกับแชมป์เปี้ยนโลก พอถึงเวลา ถ้าหากว่ามาท่านี้แล้วเราแก้ไขได้ เขาก็ไปท่าใหม่ ข้อสอบมีอยู่แค่ ๔ หัวข้อ รัก โลภ โกรธ หลง แค่นี้เอง แต่เขาสามารถออกเป็นข้อสอบย่อยได้เป็นล้าน ๆ ข้อ..!

    เขาสามารถเอาคนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการทดสอบเราได้ทั้งหมด ถ้ารู้ไม่เท่าทัน เราก็เสียท่า โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด จะสามารถสร้างความสะเทือนใจให้เราได้มากที่สุด โดยที่เขาเองก็ไม่รู้เสียด้วยซ้ำไปว่า สิ่งที่พูด สิ่งที่ทำนั้นเกิดจากมารดลใจ ส่วนตัวเราเองก็โกรธไปข้ามเดือนข้ามปี..!

    ข้าวของทุกอย่างไม่ได้มีชีวิตจิตใจ แต่กลายเป็นเครื่องทดสอบของเราได้ บางคนกลับบ้านไปเห็นข้าวของวางเกะกะอยู่ ลูกหลานอาจจะหยิบมาเล่น มายก มาย้าย เราก็โมโหขึ้นหน้า เตะโครมเข้าให้ ว่า "ใครเอาอะไรมาวางเกะกะ ไม่รู้จักเก็บให้เรียบร้อย" แต่เราเองเสียท่าไปแล้ว ของไม่ได้มีชีวิตจิตใจแท้ ๆ ยังกลายเป็นเครื่องทดสอบเราได้

    แม้กระทั่งสัตว์ทุกตัวก็เหมือนกัน บางทีเขาก็ไม่รู้ว่าที่ทำอย่างนั้นเป็นการรบกวนการปฏิบัติธรรมของเรา เลี้ยงหมาไว้ กำลังภาวนาดี ๆ หมาอาจจะหอนอาจจะเห่าไม่ยอมเลิก เลี้ยงแมวเอาไว้ กำลังภาวนาดี ๆ แมวอาจจะกระโดดขึ้นมาบนหัว..!

    เรื่องพวกนี้ถ้าเราตั้งสติไม่ทัน ย่อมก่อให้เกิด รัก โลภ โกรธ หลง ได้ง่ายมาก แล้วเราก็สอบตก ขายหน้าเขาไปอีกนาน แต่ถึงท่านสอบได้ก็ได้เฉพาะตรงนั้น เขาก็จะมาในแง่มุมใหม่ จะว่าไปแล้วมารไม่ใช่ศัตรู แต่มารเป็นครูที่ขยันมาก ทดสอบเราทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาที ไปใส่ใจเมื่อไร ก็แปลว่าเราเสียท่าแล้ว

    ดังนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น จำเป็นอย่างยิ่ง อันดับแรกเลยก็คือ เราต้องทรงฌานสมาบัติให้ได้ ต่ำสุดเป็นปฐมฌาน เพราะว่าบุคคลที่ทรงฌานได้ รัก โลภ โกรธ หลง จะโดนกำลังของฌานสมาบัติกดดับไปชั่วคราว กิเลสต่าง ๆ เกิดขึ้นไม่ได้
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    ในเมื่อไม่มี รัก โลภ โกรธ หลง เสนามารก็ไม่มี เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้อาศัยอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง ของเราเอง จึงจะสามารถอยู่ได้ มีอะไรก็รายงานเจ้านายตลอดเวลา ดังนั้น..ถ้าหากว่าเราทรงฌานได้ แปลว่าเราพ้นจากเงื้อมมือของมารชั่วคราว ขอยืนยันว่าชั่วคราว เผลอตัวหลุดเมื่อไรก็เสร็จเมื่อนั้น

    โดยเฉพาะพวกเราจำนวนมากมีประสบการณ์มาแล้ว เรื่องของการจิตตก สมาธิตก กรรมฐานแตก พังไปเป็นเดือนเป็นปีก็มี ก็เพราะว่าเผลอสติ ปล่อยให้ รัก โลภ โกรธ หลง กลับมางอกงามใหม่ แล้วคราวนี้กิเลสเขากลัวตาย ก็พยายามที่จะยึดใจของเราแน่นยิ่งกว่าเดิม แกะออกยากยิ่งกว่าเดิม

    ทุกคนที่เคยมีประสบการณ์จิตตก สมาธิตก กรรมฐานแตก จะรู้เลยว่ากู้คืนยากที่สุด หลายคนจนป่านนี้ก็ยังกู้คืนไม่ได้ เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะเราอยากได้คืน แค่เราทำไปตามหน้าที่ เลิกอยากก็จบแล้ว แต่เพราะเราไปทำด้วยความอยาก เป็นการเอากิเลสนำหน้า เอาตัณหานำทาง โอกาสที่กำลังใจจะทรงตัวเหมือนเดิมจึงเป็นไปไม่ได้

    ทำอย่างไรที่เราจะวางกำลังใจว่าเรามีหน้าที่ทำ ส่วนจะได้หรือไม่ได้ ช่างมัน ถ้าวางกำลังใจในลักษณะอย่างนี้ได้ เราจะกู้กำลังใจที่สูญเสียไปคืนมาได้เร็วมาก คืนมาได้แล้ว ถ้าขาดสติก็พังอีก นักปฏิบัติธรรมจะต้องมีประสบการณ์อย่างนี้เป็นหมื่นเป็นแสนครั้ง

    ตัวกระผม/อาตมภาพเองนั้น สมัยที่ฝึกฝนตนเองอยู่ กำลังใจพังวันหนึ่งเป็นร้อย ๆ ครั้ง..! แต่ด้วยความที่เป็นคนหน้าด้านหน้าทน ทำไม่ได้ไม่เลิก ก็ตั้งหน้าตั้งตากอบกู้กำลังใจใหม่ พยายามพินิจพิจารณาว่า ที่ได้คืนมาเป็นเพราะสาเหตุอะไร ? ที่กู้คืนไม่ได้เกิดจากสาเหตุอะไร ? แล้วก็ปรับแก้ไขไปเรื่อย จนกระทั่งสามารถกู้คืนได้เร็วพอ ๆ กับที่พังลงไป..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    พวกเราทั้งหลายก็เช่นกัน ปากคนรอบข้างอย่างหนึ่ง บริบทของงานที่ทำอย่างหนึ่ง อารมณ์ใจที่ไม่เด็ดเดี่ยวระดับเอาชีวิตเข้าแลกอย่างหนึ่ง ทำให้เราเสียเวลาเนิ่นนานไป อยู่ในลักษณะว่าทำเท่าไรก็เอาดีไม่ได้ นักปฏิบัติธรรมที่ดี เขาต้องทำกันแบบเอาชีวิตเข้าแลก

    ญาติโยมตลอดจนกระทั่งพรรคพวกเพื่อนฝูงหลายคนสงสัยว่า กระผม/อาตมภาพเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาทำงานแบบนี้ทุกวัน ? บางวันก็เดินทางหลายร้อยกิโลเมตร บางทีก็ถึงพันกิโลเมตร ก็เพราะว่ากระผม/อาตมภาพไม่เคยทิ้งการภาวนา ไม่ว่าจะหลับ จะตื่น จะยืน จะนั่ง อยู่กับการภาวนาตลอด เมื่อมีกำลังสมาธิคอยค้ำจุนอยู่ งานการอะไรก็ไม่ใช่เรื่องยาก บางท่านเคยเดินทางร่วมกันในรถคันเดียวกันก็จะเห็น ขึ้นรถเมื่อไร กระผม/อาตมภาพก็นอนตีโปงเมื่อนั้น นั่นคือการนอนภาวนา

    อยากจะบอกว่าที่มานั่งเป็นครูบาอาจารย์ของท่านทั้งหลายอยู่ตรงนี้ กระผม/อาตมภาพก็ยังทำตัวเป็นผู้ใหม่อยู่เสมอ ก็คือสมัยแรก ๆ การปฏิบัติธรรมเคยทุ่มเทฝึกฝนอย่างไร ปัจจุบันนี้ก็ทำคล้ายคลึงกัน

    แล้วพวกเราลองพินิจพิจารณาดูว่ากำลังใจของเรายังเข้มข้น เข้มแข็ง ทุ่มเทให้กับการปฏิบัติเหมือนอย่างสมัยแรกเริ่มหรือไม่ ? ถ้ารู้ว่าไม่เหมือน หรือไม่ได้ ก็ควรที่จะเพิ่มความพากเพียรให้มากกว่านี้ ไม่เช่นนั้นแล้วโอกาสที่จะเข้าถึงมรรคถึงผลของท่านทั้งหลายก็จะเป็นไปโดยยาก

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...