เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 14 พฤศจิกายน 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ วันจันทร์อีกแล้ว กระผม/อาตมภาพกลับจากงานช้ากว่าพวกท่าน เพราะว่าต้องไปร่วมพิธีทอดผ้าป่าเพื่อสมทบทุนโครงการกองทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย ซึ่งเป็นฎีกาหลวง ในงานต้องใช้พัดยศด้วย

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน ทรงสนับสนุนด้านการศึกษาของคณะสงฆ์อย่างจริงจังมาก แล้วพระองค์ท่านพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ก็ทรงศึกษาเองด้วย ให้ทางคณะสงฆ์ส่งพระที่มีความสามารถทางด้านบาลีเข้าไปถวายคำแนะนำ แล้วก็พระที่มีความสามารถด้านวิปัสสนากรรมฐาน เข้าไปถวายคำแนะนำ

    คราวนี้เมื่อพระองค์มอบทุนการศึกษาแก่ทางคณะสงฆ์ ทางคณะสงฆ์ก็ไม่อยากเป็นภาระให้พระองค์ท่านลำบากอยู่ฝ่ายเดียว จึงจัดโครงการทอดผ้าป่าสมทบกองทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทยขึ้นมา

    วันนี้มีพระเดชพระคุณพระเทพปริยัติโสภณ, ดร. (ปัญญา วิสุทฺธิปญฺโญ ป.ธ.๙) เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ร้อยโททศพล ไชยโกมินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ทางคณะสงฆ์ของเราร่วมด้วยช่วยกัน ๑๓ อำเภอ รวมแล้วก็ได้ ๘๐๐,๐๐๐ กว่าบาท ทางด้านท่านผู้ว่าราชการจังหวัด พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการทุกส่วน รวมกันมาได้ ๓๐๐,๐๐๐ กว่าบาท ก็ได้ราว ๆ ๑ ล้านกับเศษอีกนิดหน่อย ไปสมทบกองทุนใหญ่ที่วัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) แต่กระผม/อาตมภาพห่วงเรื่องการจัดพระไปควบคุมห้องสอบธรรมศึกษา ก็เลยขออนุญาตผู้บังคับบัญชาว่าขอกลับวัดก่อน เพราะว่าออกมาเป็นอาทิตย์แล้ว..!

    คราวนี้พอกลับมาก็ได้ข่าวว่า ท่านทั้งหลายบางท่านที่กลับมาแล้วไม่ยอมกักตัว แปลว่าอะไร ? ได้ยินว่าเห็นความสำคัญของหมามากกว่าเพื่อนพระภิกษุ สามเณร แม่ชี ฆราวาสในวัด..! ก็คือจำเป็นต้องไปดูแลหมา เมตตาหมามาก แต่ไม่เมตตาต่อเพื่อนพระภิกษุ สามเณร แม่ชี ฆราวาสในวัดเลย

    กระผม/อาตมภาพยังสงสัยอยู่ว่าท่านใช้หัวแม่ตีนข้างไหนคิด...! ไปสอบอยู่ตั้งหลายวัน ถ้าหมามีปัญหา ก็คงตายไปหมดแล้ว ไม่ใช่ว่าคุณกักตัววันสองวันเพื่อความปลอดภัยของคนอื่น แล้วหมาจะชิงตายไปเสียก่อน..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    ลักษณะของการคิดแบบนี้ไม่ใช่ว่าไม่เคยมี สมัยที่กระผม/อาตมภาพอยู่วัดท่าซุงก็มี คือหมาติดเชื้อพิษสุนัขบ้า พระช่วยกันจับเอาไปขังกรงไว้ ก็มีคนร้องไห้จะเป็นจะตาย สงสารหมาที่โดนขัง พอถามไปด้วยความหมั่นไส้ว่า "ถ้าหากว่าหมากัดพระกัดเณรเข้าแล้วจะว่าอย่างไร ?" แกตอบว่า "ก็เป็นกฎของกรรม..!" กระผม/อาตมภาพก็ไม่เข้าใจว่า นั่นก็เอาหัวแม่ตีนข้างไหนคิดเหมือนกัน

    เพราะว่ากฎของกรรมนั้น เราจะยอมรับก็ต่อเมื่อแก้ไขจนทุกวิถีทางแล้ว หมดสิ้นกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา กำลังคน กำลังทรัพย์ แล้วแก้ไขไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นถึงจะยอมรับว่าเป็นกฎของกรรม ไม่ใช่ว่าวิธีแก้ไขง่าย ๆ มีอยู่แล้วก็ไปยอมรับกฎของกรรม ประเภทนั้นก็โง่ขนาด..! ยังต้องเกิดลำบากไปอีกนาน

    โดยเฉพาะเมื่อมาอยู่ร่วมกันในคณะสงฆ์ของเรา ก็ต้องเคารพเชื่อฟังกันตามลำดับอาวุโส ไม่ใช่ "กูฟังเฉพาะหลวงพ่อคนเดียว" บางท่านหนักกว่านั้นอีก หลวงพ่อบอกมา "ถ้ากูยังไม่มั่นใจ กูก็ไม่ทำ" แล้วท่านรู้หรือไม่ว่า ถ้าทำตัวแบบนั้นก็แปลว่าโดนอาบัติรับประทานอยู่ทุกวัน เพราะว่าไม่เอื้อเฟื้อต่อพระวินัย แล้วไอ้คนโดนอาบัติกินอยู่ทุกวัน แล้วก็ไปปลงอาบัติ

    นะ ปุเนวัง กะริสสามิ ต่อไปกระผมจะไม่ทำอย่างนี้อีก

    นะ ปุเนวัง ภาสิสสามิ ต่อไปกระผมจะไม่พูดอย่างนี้อีก

    นะ ปุเนวัง จินตะยิสสามิ ต่อไปกระผมจะไม่คิดอย่างนี้อีก


    แล้วก็ไปทำต่อ ก็เท่ากับว่าโกหกอยู่ทุกครั้ง อาบัติก็รับประทานเข้าไปอยู่ทุกวัน เพราะฉะนั้น..จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมถึงเอาดีไม่ได้สักที

    ก็เพราะว่าถ้าศีลของเราไม่บริสุทธิ์ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่สมาธิจะทรงตัว ถ้าสมาธิไม่ทรงตัว ก็ไม่ต้องไปหวังว่าจะไปหาปัญญาที่ไหนมาได้ อะไรที่ทำ อุตส่าห์มีคนเมตตาช่วยตักเตือน ช่วยบอกกล่าว แทนที่จะรับรู้รับฟังแล้วปฏิบัติตาม กลับไปรั้นอีก ไอ้ลักษณะนี้
    กระผม/อาตมภาพไล่ออกจากวัดมามากแล้ว..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    อีกประการหนึ่งก็คือ เราจะต้องจัดพระไปช่วยคุมห้องสอบธรรมศึกษา แต่ว่าหลายท่านก็ลา ซึ่งการลาตามสิทธิ์นั้น กระผม/อาตมภาพไม่เคยว่ากล่าวกัน จะไปตามสิทธิ์ของคุณก็เชิญตามสบาย แต่ให้ดูตาม้าตาเรือหน่อยได้ไหม ? ว่าช่วงไหนวัดมีงาน ช่วงไหนวัดไม่มีงาน โดยเฉพาะงานที่สำคัญในระดับนี้ เรากลับเอาเรื่องส่วนตัว ก็คือลาไว้ก่อน ก็แปลว่าเราเห็นแก่ตัวเองมากกว่าเห็นแก่วัด

    กระผม/อาตมภาพเองบวชครั้งแรก กว่าจะลาได้ก็ผ่านไป ๘ เดือนกว่า เพราะว่าต้องรอจังหวะให้ทางวัดงานว่าง แล้วมีใครต้องบอกกล่าวไหม ? ก็ต้องคิดเอง พิจารณาเอง เมื่อคิดพิจารณาแล้ว เห็นว่าจังหวะเวลายังไม่เหมาะสม ก็อดทนรอไปก่อน ถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วค่อยไป ไม่ใช่ว่าไม่ได้ใช้วันลาแล้วจะขาดทุน..!

    ดังนั้น..ถ้าหากว่าใครที่คิดเสียสละเพื่อวัดวาอาราม ส่วนใหญ่แล้วโอกาสที่จะถึงมรรคถึงผลจะมีมากกว่า เหตุที่กระผม/อาตมภาพกล้าบอกกล่าวอย่างนี้เต็มปากเต็มคำ ก็เพราะว่าเป็นกำลังใจที่ไม่ยึดติดในตัวกูของกู เรื่องของกูเก็บเอาไว้ก่อน เอาเรื่องของวัดวาอาราม เรื่องของคณะสงฆ์ก่อน ถ้าอยู่ในลักษณะนี้ แปลว่าท่านลดสักกายทิฏฐิและมานะลงไปได้มาก เป็นผู้ที่ควรต่อหลักธรรม

    ดังนั้น..หลายอย่างพวกเราบางทีก็ปัญญาน้อย สายตาแคบสั้น ไม่ได้คิดพิจารณาให้รอบคอบ นี่ก็ยังไม่เท่าไร เพราะว่าก่อนหน้านี้มีที่แย่กว่านี้ ก็คือตรงกับงานวัดเมื่อไรกูก็ลา แต่พอเป็นงานวัดอื่นกลับขอไปช่วยเขาทำ..!

    พูดง่าย ๆ ว่าอยู่อาศัยวัดไปวัน ๆ เท่านั้นเอง ไม่ได้คิดจะทำบุญ ทำคุณ ทำประโยชน์อะไรให้กับสถานที่เลย เป็นบุคคลที่บกพร่องในหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแรง เพราะว่าขาดความกตัญญูต่อสถานที่ซึ่งตนเองอยู่อาศัย ขาดความกตเวทิตา คือ ไม่ได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ตอบแทนต่อสถานที่นั้น ๆ เพราะฉะนั้น..เราไม่จำเป็นที่จะต้องมากล่าวถึงความกตัญญูกตเวทิตาต่อตัวบุคคลเลย
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    กระผม/อาตมภาพไม่ได้ต้องการให้ทุกคนมากตัญญูอยู่แล้ว แต่ว่าคิดถึงสถานที่ คือวัดวาอารามของเราก่อนได้ไหม ? แค่ช่วยกิจการงานของวัดก่อนแล้วค่อยไป ก็คงจะไม่ช้าจนเกินไปนัก แต่กระผม/อาตมภาพก็ไม่ได้บังคับอะไร ถ้าหากว่าคิดไม่เป็น กำลังใจคิดจะลาไปในช่วงแบบนี้ก็ตามใจ ไปตามสิทธิ์ของคุณ แต่ว่าถึงเวลาแล้วก็พิจารณาด้วยว่า ถ้าเราเอาแต่ตัวเองแบบนี้ โอกาสที่เราจะขัดเกลา กาย วาจา ใจ ของตนเองให้ดีขึ้นก็เป็นไปได้ยาก

    สมัยก่อนกระผม/อาตมภาพก็ไม่เห็นด้วยกับเรื่องของการที่พระเอางานทางด้านคันถธุระ คือศึกษาเล่าเรียนตลอดจนกระทั่งทำงานทำการเพื่อส่วนรวม เพราะตั้งใจเอาแต่ด้านวิปัสสนาธุระ ก็คือตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อมรรคเพื่อผลอย่างเดียว แต่ปรากฏว่าคิดผิดไปถนัดใจ เพราะว่าการปฏิบัติแบบนั้น เราไม่มีเครื่องทดสอบอะไรเลย ได้แค่นั่งเงียบ ๆ อยู่อย่างเดียว

    แต่การศึกษาเล่าเรียน ตลอดจนกระทั่งการทำงานอื่น ๆ จะมีแรงกระทบอยู่เสมอ ถ้าเราปล่อยได้วางได้ ก็มีโอกาสเข้าถึงมรรคถึงผลได้ง่ายกว่า แล้วในสิ่งที่มาทดสอบนั้น ถ้าเราผ่านแล้วเขาจะไม่มาแบบเดิมอีก ก็ต้องหาแง่หามุมใหม่ที่เรายังไม่รู้เท่าทันมาใช้ทดสอบเราต่อไป

    ดังนั้น..การที่เรานั่งแล้วบอกว่าจิตใจสงบ แต่พอกระทบแล้วก็พังไม่เป็นท่า เทียบกับท่านที่ตั้งสติไว้กับงานการหรือการศึกษาตรงหน้า แรงกระทบเข้ามา สามารถจัดการได้ ไม่ต้องคิดมากก็รู้ว่าใครจะประสบความสำเร็จมากกว่ากัน ก็ต้องแล้วแต่ท่านแต่ละรูปแต่ละคนว่ามีกำลังใจแบบไหน หรือว่ามีแนวคิดอย่างไร ในฐานะครูบาอาจารย์
    กระผม/อาตมภาพก็มีหน้าที่แค่ชี้ทางออกบอกทางถูกให้ ส่วนท่านทั้งหลายจะเดินตามหรือไม่เดินตาม ก็แล้วแต่พวกท่านจะไปพิจารณากันเอง

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๑๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...