เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 23 ตุลาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๕


     
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ เป็นวันหยุดราชการซ้อนหยุดราชการ คือเป็นวันอาทิตย์ด้วย วันปิยมหาราชด้วย

    คราวนี้ทางวัดท่าขนุนของเราจัดโครงการ "หิ้วตะกร้า นุ่งผ้าซิ่น นั่งแคร่ไม้ ใส่บาตรพระทุกวันอาทิตย์" ต้องบอกว่า ไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดถนนสายวัฒนธรรมของเมืองหลวงพระบาง เพราะว่าที่นั่นเขามีวัด ๑๔ วัดด้วยกัน พระเณรรวมกันมาให้ญาติโยมใส่บาตรเป็นร้อยรูป ของเราต่อให้ไปหมดวัดก็มีแค่ประมาณ ๕๐ รูปเท่านั้น

    แต่ว่าในเรื่องของการใส่บาตรนั้นเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ถ้าถามว่าทำไมถึงสำคัญอย่างยิ่ง ? ก็เพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งองค์กรพุทธบริษัท ๔ ขึ้นมาเพื่อให้เกื้อหนุนกัน ก็คือภิกษุ ภิกษุณีเป็นฝ่ายอนาคาริกะ ไม่ครองเรือน ไม่ได้ทำมาหากิน อุบาสก อุบาสิกาเป็นฝ่ายอาคาริกะ เป็นผู้ครองเรือน ทำมาหากินแล้วก็แบ่งปัจจัย ๔ มาถวายต่อภิกษุ ภิกษุณี

    ภิกษุ ภิกษุณี ไม่ต้องทำมาหากิน มีเวลามากกว่า ก็เร่งรัดปฏิบัติตามหลัก ศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อได้ผลแล้วก็นำไปบอกกล่าวทางที่ถูก ทางที่ง่าย ให้แก่อุบาสกอุบาสิกาที่มีเวลาน้อยกว่า ก็จะได้รู้ทั่วถึงธรรม หรือมีโอกาสเข้าถึงธรรมได้เสมอกัน

    การใส่บาตรจึงเป็นการเกื้อกูลกันระหว่างพุทธบริษัท ยังให้พระพุทธศาสนาของเรามั่นคง ตั้งมั่นอยู่ได้ พระภิกษุสามเณรเมื่อได้รับปัจจัย ๔ สามารถที่จะอยู่ได้โดยไม่ลำบากนัก ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย แล้วก็มาบอก มากล่าว มาสั่ง มาสอน ต่อญาติโยมพุทธบริษัทอุบาสก อุบาสิกา เป็นการสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา

    ประการต่อไปก็คือ เป็นการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมที่สืบเนื่องกันมาแต่โบราณ ก็คือบ้านเราส่วนใหญ่แล้วนับถือศาสนาพุทธ แต่ว่าปัจจุบันนี้บุคคลที่ทำบุญใส่บาตรมีน้อยลงไปทุกวัน

    ประการแรกก็คือ อ้างว่าไม่มีเวลา จนถึงขนาดปัจจุบันนี้มีบุคคลรับอาสา อยู่ในลักษณะเป็น "ไลน์แมน" ใส่บาตรแทน โอนเงินไปชุดละเท่าไร ใส่บาตร กรวดน้ำให้ ถ่ายรูปส่งให้เสร็จสรรพ รู้สึกว่าเป็นการทำมาหากินที่น่าสนับสนุนมาก เพราะว่าคนใส่เองก็ได้ไวยาวัจมัย (บุญจากการช่วยให้งานบุญผู้อื่นสำเร็จลง) ด้วย

    คราวนี้พอไม่มีการกระทำที่ต่อเนื่องกันไป เด็กรุ่นหลังก็จะเก้อเขิน ทำอะไรไม่ถูก อย่างไม่กี่วันก่อนที่กระผม/อาตมภาพไปรับบาตร เด็กวัยรุ่น น่าจะเริ่มเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ใส่บาตรวันเกิด ยังถามแม่ว่า "ต้องใส่ข้าวก่อนหรือใส่กับก่อน ?" แสดงว่าตั้งแต่เกิดมาจนอายุขนาดนั้นนี่ไม่เคยใส่บาตรเลย พอไม่มีผู้นำก็ไม่มีผู้ตาม นาน ๆ ไป สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะหายไปจากสังคมไทยของเรา สังคมที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เกื้อกูลกันเป็นปกติก็จะสูญหายไป
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    อย่างในปัจจุบันนี้ พี่น้องไทยส่วนหนึ่งเดือดร้อนเพราะน้ำท่วม ทางกระผม/อาตมภาพวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๕ นี้ ก็ต้องนำข้าวของไปบรรเทาทุกข์ให้แก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วม นี่คือการเสียสละและเกื้อกูลกันตามหลักจาคะในพระพุทธศาสนา ทำแล้วบังเกิดเป็นทานบารมีขึ้นมา

    ประการต่อไปก็คือ นอกจากรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมแล้ว เรายังได้ปฏิบัติในกองกรรมฐานตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนเอาไว้ ด้วยวิธีง่าย ๆ ถ้าทำทุกวันจนเป็นประจำ ถึงเวลาไม่ได้ทำ จิตใจพะวงนึกถึง แปลว่าเราทรงฌานในจาคานุสติแล้ว ในเมื่อสามารถที่จะทรงฌานในกองกรรมฐานของพระพุทธเจ้าแบบง่าย ๆ แค่ไปใส่บาตรทุกเช้าเท่านั้น แล้วทำไมเราถึงไม่เพียรพยายามที่จะทำกัน ?

    แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็ต้องทำแบบคนมีปัญญาด้วย ไม่ใช่ว่าถึงเวลาพระเดินมา พ่อเจ้าประคุณก็เอามะพร้าวน้ำหอมใส่ไปเลย ๑ ทะลาย ๒๐ ลูก..! อาตมภาพเห็นพระถ่ายรูปมาแล้วก็ "น้ำตาจิไหล" แทนท่าน ทำไมคนศรัทธาท่านขนาดนี้ แล้วนั่นเขามีปัญญาหรือเปล่า ? วันนั้นพระท่านจะฉันแต่มะพร้าวใช่ไหม ? หรืออย่างที่กระผม/อาตมภาพโดนประจำก็คือ น้ำมาทีละ ๒๔ ขวด..! ลงมาคนเดียวเต็ม ๆ

    ต้องบอกว่า ในเรื่องของการทำความดีทุกอย่าง พระพุทธเจ้าสอนให้มีปัญญาประกอบทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าพวกเราส่วนใหญ่แล้วนึกจะทำก็ทำ ไม่ได้คิดเรื่องอื่น ขาดความรอบคอบ สิ่งที่เป็นคุณบางทีก็ทำเป็นโทษ เพราะว่าเกินพอดี

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ทำอย่างไรที่ท่านทั้งหลายจะระมัดระวัง โดยเฉพาะต้องรู้กาลเทศะ อาตมาภาพเจอบ่อย ประเภทกำลังจะเดินผ่านร้านขายอาหาร มีโยมโดดลงจากรถตู้ วิ่งอ้าวเข้าไปในร้าน สั่งให้เขาตักข้าวตักแกงใส่ถุง หันมา "นิมนต์รอก่อน" อาตมาไปเลย ขืนรอมึงวันนี้ก็ไม่ต้องบิณฑบาตบ้านอื่นหรอก หมดเวลาก่อน..!

    อยากจะใส่บาตรก็มาให้เร็วกว่านี้หน่อย ไม่ใช่มาพร้อมกับพระออกเดิน กว่าจะตักข้าวตักแกงให้เพียงพอกับพระ ๒๐ กว่ารูป เสียเวลาไปนานเท่าไร ? แล้วตัวเองก็มีรถตู้อยู่ ถึงเวลาได้มาแล้วก็ขึ้นรถตู้ ขับตามพระไปก็จบแล้ว

    ฉะนั้น...เรื่องหลายเรื่อง บางทีพิจารณาแล้ว คนเขาบอกว่าอาตมาใจดำ ก็คือไม่รอใคร เป็นการเร่งรัดบุคคลให้รู้จักหน้าที่ แล้วก็เคี่ยวบารมีให้เข้มข้นขึ้น ไม่อย่างนั้นก็จะช้าอยู่ทั้งปีทั้งชาติ..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    พวกเราจะเห็นว่าพระวัดท่าขนุนฉันอาหารไม่เคยเกิน ๑๕ นาที ไปวัดอื่นนี่จะตายเอา เพราะว่าเขาฉันกันเป็นชั่วโมง ก็ต้องนั่งเป็นเพื่อนเขาไปเรื่อย หยิบโน่นนิด หยิบนี่หน่อย ฉันเพื่อไม่ให้เขาเขิน สรุปว่าตัวเองเกือบจะท้องแตกตาย..!

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เราทำจึงต้องดูกาละ คือ เวลาที่เหมาะสม ดูเทศะ คือ สถานที่อันเหมาะสม ไม่ใช่ว่าถึงเวลานึกอยากจะทำตรงนี้ก็ทำ ของบางอย่างก็ผิดพระธรรมผิดวินัย พระไม่สามารถที่จะรับไว้ได้

    อย่างเช่นว่าซื้อเนื้อหมูสดมา ๓ - ๔ กิโลกรัม แล้วก็ถวายใส่บาตรพระมา..! เพราะว่าศีลพระห้ามทำอาหารด้วยตนเอง ห้ามเก็บตุนอาหารเอาไว้ ถ้าถามว่าวัดที่มีโรงครัวล่ะ ? วัดที่มีโรงครัวเขามีแม่ชี มีฆราวาสรับผิดชอบ ไม่ใช่พระไปตุนเอาไว้ ของสด ของดิบ โดยเฉพาะจำพวกเนื้อ พระฉันไม่ได้ ลาบ หลู้ ก้อย ซอยแซ่ อะไรก็แล้วแต่ หมดสิทธิ์โดยประการทั้งปวง เพราะว่าเป็นอาหารดิบ

    ที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้พระป่วยเป็นโรคสารพัด อย่างที่พวกเราเป็นกันอยู่ อย่างเช่นว่าพยาธิใบไม้ขึ้นสมองอย่างนี้ เพราะไปกินอาหารดิบ พระองค์ท่านมีอนามัยสูงมาก และสั่งห้ามเอาไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว แต่ว่าพวกเราส่วนหนึ่งก็ยังไม่เข้าใจ หรือไม่ได้ศึกษา อาหารอย่างหนึ่งที่ก้ำกึ่งกันมากเลย คือหมูกระทะ เพราะว่าพระต้องมานั่งปิ้งเอง ก็ในเมื่อห้ามหุงต้มเอง ไปปิ้งเองก็ไม่น่าจะใช่

    บางท่านไปถวายอาหารพระวัดป่า แล้วก็ไม่ได้คำนึงถึงว่าท่านอยู่ท่านกินอย่างไร ปรากฏว่าอาหารที่เอาไป มีทั้งต้มยำ มีทั้งต้มจืด มีทั้งแกง น้ำล้วน ๆ แล้วพระท่านฉันในบาตร แล้วส่วนใหญ่ฉันด้วยมือ แล้วจะฉันอย่างไร ?

    ดังนั้น..ทุกอย่างที่เราทำ จำเป็นที่จะต้องศึกษาข้อมูลก่อน บางท่านบอกว่า "เสียเวลาอ่านตำรา ทำเลยได้ผลเร็วกว่า" นั่นแปลว่าคุณต้อง "ฟลุก" เท่านั้น เพราะว่าถ้าไม่ได้ศึกษาแนวทางเอาไว้ก่อน จะรู้ได้อย่างไรว่าท่านเดินไปทางนี้แล้วไม่ผิด

    ดังนั้น..ในเรื่องของปริยัติ คือการศึกษาเล่าเรียน และเรื่องปฏิบัติ คือการกระทำให้เกิดผล เป็นของคู่กัน ขาดกันไม่ได้ แต่ต้องพอเหมาะพอดี ยึดตำรามากเกินไปก็ไปไหนไม่เป็น
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    แบบเดียวกับที่วันก่อนอาตมภาพกล่าวถึง ที่ผู้ช่วยศาสตราจารย์ท่านหนึ่งยืนยันว่า "พระอรหันต์สุกขวิปัสสโกแสดงฤทธิ์แสดงเดชอะไรไม่ได้เลย เพราะไม่ได้ฌาน ไม่ได้สมาบัติ" นั่นคือความเข้าใจผิดของบุคคลที่ไม่ใช่นักปฏิบัติอย่างแท้จริง ในเมื่อไปยืนยันเช่นนั้น บุคคลที่รับเอาความเชื่อนั้นต่อไป ก็กลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ ก็คือเชื่อตามกันในทางผิด ๆ

    โดยเฉพาะปัจจุบันนี้มีบางท่านที่อัดคลิปออกยูทูบอยู่เรื่อย เรื่องโน้นก็ไม่ดี เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ โดยเฉพาะการถวายเงินกับพระ พาให้พระตกนรกไม่พอ ตัวเองสนับสนุนให้พระตกนรก ก็จะตกนรกไปด้วย ก็คือถ้าโง่ก็ตกนะ..!

    การที่พระพุทธเจ้าท่านห้ามพระเณรรับปัจจัย คือเงินทอง ต้องดูด้วยว่าท่านเกรงว่าพระเณรจะสะสมเพื่อความร่ำรวย กลายเป็นสร้างกิเลส ไม่ใช่ลดกิเลส แต่ถ้าห้ามจริง ๆ ทำไมพระองค์ท่านให้มีไวยาวัจกร คือผู้ดูแลเงินตรงนั้นแทนพระ ถ้ารับไม่ได้แล้วจะมีไวยาวัจกรไปทำอะไร ?

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็แปลว่ารับได้ แต่อย่าไปยึดติด ในเมื่อมีคนที่สามารถดูแลที่จะทำบัญชี ที่จะใช้จ่ายแทน ก็ให้เขาทำแทนไป ไม่ใช่เขารับมาแล้วเราก็คอยแต่พะวงอยู่ว่า "เงินกูอยู่ที่ไหนวะ ? ไวยาวัจกรจะโกงหรือเปล่า ?" ถ้าอย่างนั้นชาตินี้ก็ไม่ต้องไปไหน ตายแล้วก็น่าจะกลายเป็นตุ๊กแกเฝ้าตู้เซฟ..! ตุ๊กแกเข้าตู้เซฟได้หรือเปล่า ? ไม่ได้นะ..!

    ดังนั้น..เรื่องทุกเรื่องต้องมีปัญญา โดยเฉพาะศีลพระ พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ไว้ในมหาปรินิพพานสูตร ทีฆนิกาย พระสุตตันปิฎก กล่าวไว้ชัดเจนว่า "อานันทะ ดูก่อนอานนท์ สืบไปเบื้องหน้า หากสงฆ์พึงหวัง จักเพิกถอนสิกขาบทที่ไม่เหมาะสมกับยุคสมัย ก็สามารถสวดเพิกถอนได้" ก็คือให้ยกเลิกศีลที่ไม่เหมาะสมกับยุคสมัยได้

    เพราะว่าศีลพระจริง ๆ ถ้าเอาตามหลวงปู่บุดดา ท่านฟาดใส่กบาลกระผม/อาตมภาพคือ "๑๐ ข้อก็พอแล้ว"
    กระผม/อาตมภาพก็สงสัย ศีลพระมีตั้ง ๒๒๗ ข้อ ยังไม่ทันจะอ้าปากเลย หลวงปู่หันมาบอกว่า "ไอ้นั่นมันศีลเอาใจชาวบ้าน" ชาวบ้านเขาเชื่อว่าถ้าทำอย่างนั้นแล้วจะเคร่งครัด ก็ต้องทำตามใจชาวบ้านเขา ไม่อย่างนั้นแล้วเขาจะไม่ใส่บาตรให้เรากิน แล้วดูสิ..สามเณรมีศีลแค่ ๑๐ ข้อ ทำไมเป็นพระอรหันต์ได้ เออ..จริง..!
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พระพุทธเจ้าอนุญาตไว้ แต่พระเถระในอดีตมีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก ไม่กล้าที่จะเพิกถอนแม้สิกขาบทเล็กน้อย พวกเราก็เลยแบกหลังแอ่นกันมาจนถึงยุคสมัยที่ไม่เหมาะไม่สม

    อย่างช่วงที่ผ่านมา ที่มีการมาไล่บี้พระกันว่าให้เก็บเงินไว้ในวัดได้ไม่เกิน ๓,๐๐๐ บาท ตามที่มีปรากฏไว้ในกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ ปี ๒๕๑๑ โคตรแม่งงงเถอะ..! ปี ๒๕๑๑ มึงเกิดหรือยัง ? ตอนนั้นทองคำบาทละ ๗๐๐ ตอนนี้ทองคำบาทละ ๓๐,๐๐๐ บาท..!

    ทองคำบาทละ ๗๐๐ บาท เก็บเงินได้ ๓,๐๐๐ บาทซื้อทองได้ ๔ บาทกว่า คราวนี้ ๓๐,๐๐๐ บาทถ้าจะซื้อทอง ๔ บาทกว่า ก็แปลว่าต้องเก็บเอาไว้เกือบ ๒๐๐,๐๐๐ บาท แต่มันจะเอากฎเก่า ๆ ล้าสมัยมาบังคับให้พระเก็บเงินได้ไม่เกิน ๓,๐๐๐ บาท ค่าไฟวัดท่าขนุนเดือนหนึ่งเกือบ ๔๐,๐๐๐ บาท เก็บไว้ได้แค่ ๓,๐๐๐ บาท การไฟฟ้าก็น้ำตาเล็ดเลย จะเอาค่าไฟที่ไหน พระท่านไม่มีเงิน..!

    ในเมื่อไม่เหมาะสมกับยุคสมัย พระสงฆ์ปรับตาม ไอ้พวกแสนรู้ก็จะบอกว่า "ไม่เคร่งครัดบ้าง" "ไม่ใช่พระบ้าง" "ไม่ใช่กิจของสงฆ์บ้าง" อย่างที่พระไปช่วยน้ำท่วม มันยืนยันว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ ชาวบ้านเขาใส่บาตรให้กินอยู่ทุกวัน ถึงเวลาชาวบ้านเดือดร้อนเราจะ
    นั่งตาปริบ ๆ ดูเขาหรือ ? เอาหัวแม่ตีนคิดดูก็รู้แล้วว่าไม่ใช่..! แต่มันยืนยันว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ นั่นก็คือไอ้พวกเถรตรง รอสูญพันธุ์เป็นไดโนเสาร์เท่านั้น เพราะว่าปรับตัวไม่เป็น...!

    ดังนั้น..เรื่องพวกนี้ที่กล่าวมา เริ่มตั้งแต่เรื่องของการใส่บาตร มาจนกระทั่งถึงสถานการณ์ในปัจจุบันของเรา ก็เพื่อจะบอกกับพวกเราว่า ในเรื่องของการประพฤติปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา นั้น ให้เราเข้มงวดกับตัวเอง แต่ว่าต้องรู้จักผ่อนปรนกับคนอื่น โดยที่ไม่หลุดจากกรอบของศีล

    พยายามเข้าใจให้ชัดในบริบทของสังคมยุคนั้นว่าพระพุทธเจ้าบัญญัติศีลเอาไว้เพื่ออะไร ? มาถึงยุคสมัยของเรา เมื่อไม่ได้รับการเพิกถอน ก็พยายามรักษาเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้

    อะไรที่เคร่งครัดแล้วก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งตนเองและส่วนรวมก็จงเคร่งครัดไป อะไรถ้าหากว่าเคร่งครัดแล้วทำให้ตัวเองลำบาก อย่างที่กระผม/อาตมภาพเคยไปงัดข้อกับสมเด็จพระราชาคณะมาแล้ว ท่านบอกว่าไม่ให้พระใช้โทรศัพท์มือถือ ได้กราบเรียนท่านว่า "พระเดชพระคุณขอรับ กระผมคือพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ ไม่ใช่สมเด็จพระราชาคณะ จะได้มีเลขาฯ คอยรับโทรศัพท์ ๒ รูป แล้วงานคณะสงฆ์ทุกอย่างก็ติดต่อผ่านโทรศัพท์ ญาติโยมจะนิมนต์จะอะไร ก็ติดต่อผ่านโทรศัพท์ หลวงพ่อไม่ให้กระผมรับโทรศัพท์ แล้วพวกกระผมจะอยู่กันอย่างไร ?"
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    ท่านไม่นึกว่าจะโดนเด็ก "สอย" ซึ่ง ๆ หน้าก็อึ้งไปพักหนึ่ง แล้วท้ายที่สุดก็บอก "เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน รับได้..แต่หาที่นั่งคุยให้เรียบร้อย ไม่ใช่เดินไปคุยไป" ก็แสดงว่าพระผู้ใหญ่เอง บางทีท่านก็ไม่ได้นึกถึงบริบทของสังคมปัจจุบัน จะเอาแต่สมณสารูป เห็นว่าไม่เหมาะไม่ควรก็สั่งห้าม

    อีกอย่างหนึ่งก็คือท่านห้ามพระถ่ายรูปด้วยตนเอง
    กระผม/อาตมภาพกราบเรียนท่านว่า "งานสงฆ์ทุกอย่าง หลวงพ่อต้องการรูปประกอบรายงาน ไม่ให้กระผมถ่ายรูปแล้วกระผมจะทำรายงานอย่างไร ?" ท่านบอกว่า "เรื่องนี้ไม่ได้รีบด่วน ใช้ลูกศิษย์ให้ช่วยถ่ายได้" อันนี้เราก็ต้องยอมรับว่าท่านคิดได้รอบคอบกว่า ก็แปลว่าถ้ามีการคุยกันระหว่างผู้ใหญ่กับเด็ก ยกเหตุยกผลขึ้นมา โดยที่ไม่ได้เอากิเลสมาชนกัน เรื่องก็จะจบได้ง่าย

    พวกเราทั้งหลายก็เหมือนกัน ในปัจจุบันนี้แค่เรามาปฏิบัติธรรม เราต้องเข้าใจว่ากิเลสคอยจูงจมูกให้เราคิดอยู่ตลอดเวลา แค่คนข้างหน้าเดินก้าวสั้นกว่า เราเดินก้าวยาวกว่าหน่อยเดียว นึกด่าในใจแล้วว่า "จะย่องไปถึงไหน ? ไม่มีมดให้เหยียบหรอก ต้องระวังต้องช้าขนาดนั้นด้วยหรือ ?" ก็บ่นไปเรื่อย เห็นหรือยังว่าเผลอเมื่อไรกิเลสก็กินเราแล้ว

    เพราะฉะนั้น..หน้าที่ของเราก็คือ รู้ตัวว่ามีกิเลสเข้ามาเมื่อไรก็ไล่มันออกไป ระมัดระวังไว้อย่าให้มันเข้ามา ถ้าไม่มีความดีอยู่ในใจ ก็สร้างความดีนั้นขึ้นมา แล้วก็ช่วยเสริมให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป หน้าที่เรามีแค่นี้เอง

    วันนี้ก็เรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๒๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...