เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 22 สิงหาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพไปบรรยายถวายความรู้ให้กับพระนวกะในเขตปกครองคณะสงฆ์อำเภอศรีสวัสดิ์ เมื่อเดินทางกลับมาก็แวะไปโรงพยาบาลทองผาภูมิ ทำการตัดไหม ถึงได้เห็นว่าโดนเย็บไป ๕ เข็มเต็มโควตา..!

    คำว่า "โควตา ๕ เข็ม" นี่ พวกท่านทั้งหลายอาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อน ในงานวันเกิดพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง เดือนตุลาคม ปี ๒๕๒๖ ที่บ้านสายลม ท้าวมหาราชท่านให้พรในงานว่า "ลูกศิษย์หลวงพ่อที่มาร่วมงานในวันนี้ ท่านและบริวารจะช่วยรักษา ถ้ากฎของกรรมหนักจริง ๆ บาดเจ็บแค่ไหนก็เย็บไม่เกิน ๕ เข็ม" กระผม/อาตมภาพก็ไม่นึกว่าตัวเองใช้โควตาเต็มทีเดียวเลย พวกท่านต้องคิดนะครับว่าที่กระผม/อาตมภาพตกลงไปนั้น จริง ๆ แล้วแรงมาก จนทุกวันนี้ยังเจ็บซี่โครงอยู่เลย อย่างหัวแม่เท้าที่ไปเตะคอนกรีตจนกระทั่งเล็บถอยหลังมาทั้งอัน จะต้องลงไปหนักขนาดไหน..!

    เมื่อหมอทำแผลเสร็จ มิติ (นางสาวภัทรวรรณ จะหวะ) ไอ้ลูกอ้วนกระซิบถามว่า "หลวงพ่อไม่เจ็บเลยหรือคะ ?" หึ..หึ..ไม่ร้องแปลว่าไม่เจ็บ..! ก็ต้องไปลองดูเองว่า เนื้อสด ๆ แล้วหมอก็เอาสำลีชุบน้ำเกลือเช็ดไปเช็ดมา ตัดไหมเสร็จ เช็ดซ้ำจนได้เลือดอีกต่างหาก..! เป็นพวกท่านกระผม/อาตมภาพว่าร้องลั่นโรงพยาบาลไปแล้ว เหตุที่กระผม/อาตมภาพไปให้หมอตัดไหมก่อนเวลา ก็เพราะว่าตรงจุดที่เขาเย็บเป็นจุดที่เล็บใหม่จะต้องงอกออกมา ถ้าปล่อยให้เย็บคาไว้อีกหลายวัน เดี๋ยวเล็บใหม่จะงอกออกมาไม่ได้

    บางเรื่องกระผม/อาตมภาพก็รู้เกินหมอ แล้วให้คำแนะนำญาติโยมไปหลายต่อหลายคน ถ้าหมอเห็นว่าทำอะไรมีหวังโดนด่าแน่นอน แต่ปรากฎว่าหายเร็วมาก อย่างเช่นว่า ถ้าเราไปหาหมอให้ทำแผล หมอก็จะล้าง ๆ ๆ ๆ หน้าแผลของเราจนกระทั่งแดงสดขึ้นมา แล้วก็ทำการปิดแผลให้ ถ้าลักษณะอย่างนั้น เป็นอาทิตย์แผลของท่านก็ไม่หาย..!

    แต่ที่กระผม/อาตมภาพแนะนำให้กับญาติโยมไปก็คือ อย่าไปหาหมอ ให้ล้างแผลเอง โดยเฉพาะอย่าไปล้างสีขาว ๆ ที่ปิดหน้าแผลออก ซึ่ง
    กระผม/อาตมภาพก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า หมอกับพยาบาลนั้นเรียนมาขนาดนั้น ทำไมถึงได้เขลาขนาด จะว่า "ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง ฉันจึงมาหาความหมาย" ก็ไม่น่าจะใช่

    สีขาวที่ปิดแผลอยู่ก็คือเนื้อใหม่ที่ร่างกายพยายามสร้างขึ้นมาเพื่อซ่อมแซมตัวเอง ไม่ทราบเหมือนกันว่าหมอกับพยาบาลคิดว่าเป็นหนองหรืออย่างไร จึงไปล้างทิ้งเสียหมด ? แล้วแผลก็ไม่หายเสียที กว่าจะหายได้ก็ค่อย ๆ ต้องไต่จากขอบแผลเข้าไปทีละน้อย แต่ถ้าเราปล่อยแผลเอาไว้ลักษณะอย่างนั้น สองวันสามวันแผลก็ปิดสนิท หายดีแล้ว

    เพราะฉะนั้น..ที่กระผม/อาตมภาพขอยา ขอเครื่องมือจากหมอมาล้างแผลเองก็เพราะเหตุนี้ ไปหาหมอก็เจ็บตัวฟรีเปล่า ๆ แล้วดูว่าแผลของกระผม/อาตมภาพ ตามที่หมอนัดก็คือ ๗ วัน แล้วนี่กี่วัน ? ไปตัดไหมได้แล้ว..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    หลายเรื่องเป็นเรื่องความรู้ประมาณว่า "ผีบอก" หลายเรื่องก็เป็นประสบการณ์ที่ตัวเองเจ็บไข้ได้ป่วยบ่อย แล้วช่างสังเกต เมื่อทำตามแล้วเกิดผลดี แต่ว่าหมอและพยาบาลสมัยนี้เขารับกันไม่ได้

    ลักษณะเดียวกับที่เตือนพวกเด็กสาว ๆ ว่า ช่วงเมนส์มาอย่าไปกินของเย็นหรือน้ำแข็ง หมอเขาเถียงขาดใจตายเลย เขาบอกว่าถ้าหากแบบนั้นทำให้เมนส์หยุดได้ ก็แปลว่าถ้ากินเข้าไป เลือดของเราอาจจะข้นถึงขนาดตายกันหมดก็ได้ แต่ไม่เห็นคนเขาตายเพราะกินน้ำเย็น นั่นคือความคิดของหมอสมัยใหม่ที่ไม่ได้เข้าใจเลยว่า การหักล้างของธาตุ การหนุนเสริมของธาตุนั้นเป็นอย่างไร ธาตุเกินหรือว่าขาดก็คือเราจะเจ็บไข้ได้ป่วย

    ในเมื่อไม่ได้เรียนในลักษณะของเวชศาสตร์วรรณาแบบโบราณ เราไปนั่งเถียงกับหมอก็เหนื่อยเปล่า เหมือนกับเต่าไปคุยให้ปลาฟังว่าบนบกหน้าตาเป็นอย่างไร ตีให้ตายปลาก็ไม่เชื่อ เพราะปลาไม่เคยขึ้นบก แม้แต่ปลาตีนก็ไปได้แค่ชายน้ำหน่อยเดียวเท่านั้น

    อีกในส่วนหนึ่งระยะนี้ มีข่าวคราวบางอย่างในวงการสงฆ์ของเราที่พรรคพวกเพื่อนฝูงเขาส่งมาในกลุ่มไลน์ ข่าวแรกก็คือมีแม่ชีไปดวลไมค์กัน เสียงเพราะด้วยนะ มีใครได้ฟังบ้างหรือยัง ? เป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้คุณเป็นนักร้องเก่าก็ไม่ได้

    อย่าลืมว่าแม่ชีมีศีลแค่ ๘ ข้อ ถ้าขาดไปสักข้อหนึ่งแล้วเหลือเท่าไร ? หายไป ๑ ใน ๘ เลย..! ถ้าหากว่าเปรียบกับศีลพระ ๒๒๗ ข้อ หายไป ๑ ใน ๘ ก็เท่ากับเราต้องทำศีลขาดถึง ๒๐ กว่าข้อ..!

    เรื่องบางอย่างด้วยความที่ไม่รู้จริง หรือว่าครูบาอาจารย์ไม่ได้อบรม หรืออยากอวดคนอื่นว่าเสียงดีก็ไม่รู้ ? จึงมีการไปดวลไมค์กันในลักษณะอย่างนี้ ถ้าสมมติว่าเรามีต้นทุนอยู่ ๘ ล้าน หายไปล้านหนึ่งนี่ใจหายเลย..! โดยเฉพาะถ้าเป็นนักร้องเก่า ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะไปจับไมโครโฟน
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    ท่านทั้งหลายที่เรียนนักธรรมชั้นโทมาแล้วก็จะเห็น ถ้าภิกษุที่เป็นช่างกัลบกเก่า ห้ามจับมีดโกน จับมีดโกนจะต้องอาบัติ คนอื่นจับไปเถอะ แต่ช่างตัดผมห้าม เพราะพระพุทธเจ้าเกรงว่าจะไปนึกถึงอาชีพเดิมของตัวเองแล้วก็ฟุ้งซ่าน สึกไปทำมาหากินใหม่

    ป่านนี้ไอ้ทิดเจ (นพรัตน์ กุลสัมพันธ์ขัย) ก็คงซาบซึ้งแล้วที่หลวงพ่อเตือนคืออะไร ? ปล่อยไปก็แล้วกัน..เขาเก่ง ก็ในเมื่อขนาดพระที่เคยเป็นช่างตัดผม ยังห้ามจับมีดโกน แม่ชีอดีตนักร้องก็ไม่ควรที่จะไปจับไมค์ จับมาแล้วก็ทำตัวเองศีลขาดอย่างที่เห็น

    อีกเรื่องหนึ่งที่ทางเพื่อนฝูงเขาส่งมาก็คือ มีนักการเมืองบางพรรคอวดฉลาด ยื่นกระทู้ขอให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เข้มงวดกับการใช้เงินของบรรดาเจ้าอาวาส เพื่อที่จะป้องกันการคอรัปชั่นที่จะเกิดขึ้นในวงการสงฆ์ ฟังดูดีมาก แต่โง่สะบัดเลย..!

    ในช่วงที่ผ่านมา ถึงขนาดมีพระเถระผู้ใหญ่โดนจับเข้าคุกไปตั้งหลายต่อหลายราย ก็เพราะความเข้มงวดในเรื่องนี้ เขาทำกันเป็นปกติอยู่แล้ว ซ้ำยังไม่ได้มาดูว่าคณะสงฆ์ของเรา ปีหนึ่งต้องส่งบัญชีถึง ๓ ครั้ง ก็คือส่งตามปีงบประมาณ ๒ ครั้ง ๙ เดือนแรกกับตอนครบปี แล้วก็ส่งคณะสงฆ์อีก ๑ ครั้ง ตามรอบปี ไม่ใช่รอบงบประมาณ ในเมื่อเขาทำกันเป็นปกติอยู่แล้ว คุณไปนอนหลับอยู่ที่ไหนมา ?

    แล้วบรรดาท่านผู้เป็นใหญ่ทั้งหลายที่รับฟังอยู่ก็น่าจะโง่พอกัน..! ไม่มีข้อมูลตรงนี้ ฟังแล้วกระผม/อาตมภาพรู้สึกว่าอนาคตของพระพุทธศาสนาของเราเลือนรางเหลือเกิน ขนาดผู้ปกครองและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบ ซ้ำยังมีคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ประจำสภาผู้แทนราษฎรด้วย แต่กลับไม่มีความชัดเจนในเรื่องของพระเลย แบบนี้แปลว่าอะไร ? ยังดีนะครับ สามปีแรกที่
    กระผม/อาตมภาพเป็นเจ้าอาวาส ต้องส่งข้อมูลเกี่ยวกับวัด ๔ ครั้ง เปลี่ยนรัฐบาลทีหนึ่ง ก็ขอมาทีหนึ่ง
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติขอบ้าง คณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ประจำสภาผู้แทนราษฎรขอบ้าง กรมการศาสนาขอบ้าง เวลาคุณโยกย้าย ไม่มีการส่งต่อข้อมูลกันเลยหรืออย่างไร ? ก็เลยทำให้มีพวกประเภทโง่แล้วขยันยื่นกระทู้มาลักษณะอย่างนี้ ก็คือข้อมูลของตัวเองก็ไม่ดี คิดอยู่อย่างเดียวว่าเป็นเรื่องที่ชาวบ้านน่าจะสนใจ ยื่นกระทู้ไปก็อาจจะได้รับความสนใจ ถึงเวลาเลือกตั้งใหม่ น่าจะมีคนมาสนับสนุนตนเองบ้าง

    แต่สิ่งที่กระทำออกไปแล้ว บรรดาพระภิกษุสามเณรเห็นว่าโง่ถนัดใจเลย เพราะว่าไม่เคยศึกษาอะไรเกี่ยวกับพระ อย่างที่ยุคก่อนมีประเภทเรียนพระพุทธศาสนาจากกูเกิ้ล แล้วก็มาออกกฎบังคับพระ

    แม้กระทั่งกฎระเบียบเกี่ยวกับการบริหารศาสนสมบัติ ที่ระบุไว้ว่า ให้พระมีเงินติดวัดไว้ไม่เกิน ๓,๐๐๐ บาท ที่เหลือต้องฝากธนาคารที่ทางกรมการศาสนารับรอง ซึ่งในปัจจุบันนี้คำว่า "กรมการศาสนา" ก็ไม่ใช่ ต้องเป็น "สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ" รับรอง ก็ยังงัดออกมาใช้แบบโง่ ๆ โดยไม่ได้ดูว่ากฎกระทรวงฉบับนี้ออกมาตั้งแต่ปี ๒๕๑๑..!

    พวกท่านทั้งหลายเกิดทันกี่คน ? แล้วช่วงปี ๒๕๑๑ ทองคำบาทละเท่าไร ? ถ้าถึงปัจจุบันนี้ เทียบตามราคาทองคำแล้ว เขาให้มีเงินติดวัดเป็นแสนนะครับ แต่ไอ้โง่บางคนที่ศึกษาพระพุทธศาสนาจากกูเกิ้ลดันไปงัดมา บอกว่าให้วัดสมัยนี้มีเงินติดวัดได้ไม่เกิน ๓,๐๐๐ บาท ค่าไฟยังไม่พอจ่ายเลย เพราะว่าค่าไฟวัดท่าขนุนเดือนหนึ่ง ๔๐,๐๐๐ กว่าบาท..!

    เรื่องพวกนี้บางทีกระผม/อาตมภาพได้ฟังแล้วก็เซ็ง ไม่คิดที่จะศึกษาอะไรก่อนที่จะพูดเลยหรืออย่างไร ? ลักษณะอย่างนี้ถ้าเป็นการเรียนของพระ เขาเรียก "อลคัททูปมปริยัติ" ศึกษาแบบจับงูข้างหาง มีแต่จะโดนงูกัด เจ็บป่วยล้มตายไปโดยใช่เหตุ เพราะว่าไปหยิบตรงโน้นมา หยิบตรงนี้มา ที่คิดว่าใช่ โดยไม่ได้ดูบริบทเลยว่าเหมาะสมกับปัจจุบันหรือไม่ ?

    แต่ว่าเรื่องนี้ก็ปล่อยเขาลากถูลู่ถูกังกันต่อไปเถอะ กระผม/อาตมภาพแค่มาบอกกล่าวกับพวกเราเท่านั้นว่า ปัจจุบันนี้บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายไม่ใช่ผู้ที่สนับสนุนพระพุทธศาสนา แต่ว่าส่วนใหญ่ทำตัวเป็นผู้บั่นทอนพระพุทธศาสนา ถ้าท่านทั้งหลาย โดยเฉพาะพระภิกษุสามเณรและแม่ชี ยังไม่เคร่งครัดต่อตัวเอง โอกาสที่พระพุทธศาสนาจะพังลงในยุคของเราก็มีสูงมาก

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๒๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...