เรื่องเด่น ความมหัศจรรย์ 12 ประการของ พระพุทธมารดา(พระนางสิริมหามายา)/ พระอาจารย์เล็ก วัดท่าขนุน

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 12 สิงหาคม 2022.

  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    ความมหัศจรรย์ 12 ประการ ของ พระพุทธมารดา พระนางสิริมหามายาเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก


    8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B2-2.jpg


    พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกลัทธิต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจนกว่าจะเป็นศาสนานั้น มีอยู่จำนวนมากด้วยกัน ที่ให้คุณค่าให้ความสำคัญต่อเพศพ่อและเพศแม่มาก เพราะถือว่าเป็นผู้ให้กำเนิดชีวิต

    อย่างศาสนาฮินดูก็มีการบูชาศิวลึงค์ ศิวลึงค์จะตั้งอยู่บนฐานโยนีที่ถือว่าเป็นอวัยวะของพระอุมา ถือว่าเป็นจุดกำเนิดชีวิต เป็นศูนย์รวมของพลังทั้งหมด พอเป็นศาสนาขึ้นมาแล้ว ตอนหลังก็ลามมาในศาสนาพุทธ กลายเป็นพุทธตันตระ

    มีการกล่าวถึงพลังของเพศแม่ที่จะมาเสริมเต็มในความเป็นพ่อ คือ ความเป็นพ่อจะมีแต่ความแข็งแกร่ง ความเป็นแม่จะมีความอ่อนโยน แข็งอ่อนผสมรวมกันก็จะสมดุลพอดี ดังนั้น..ในทาง พุทธตันตระนี้ พระพุทธเจ้าของเขา ก็จะมีนางตาราที่เป็นศักติ คือคู่บารมี เป็นส่วนเสริมเต็มในบารมีของพระพุทธเจ้าท่านอยู่

    เพราะฉะนั้น..ระยะหลัง ๆ เราไปเห็นรูปว่ามีผู้หญิงกอดเอวพระพุทธเจ้าอยู่ ก็ไปว่าเขาสร้างรูปลามกอนาจาร แต่ความจริงเราไม่ได้เข้าใจปรัชญาศาสนาของเขาว่าคืออะไร เขาถือว่าผู้หญิงกับผู้ชายต้องอยู่ด้วยกัน ความสมดุลถึงจะมี ไม่อย่างนั้นแล้วพลังจะหนักไปข้างเดียว ทำให้ไม่สามารถที่จะใช้งานได้อย่างเต็มที่ คือขาดความสมบูรณ์นั่นเอง"

    "ส่วนหนึ่งในปฐมสมโพธิกถา ท่านกล่าวถึงนางผุสดีที่ขอพร ๑๐ ประการจากพระอินทร์ แล้วจุติลงมาเกิดเป็นพระนางสิริมหามายา พร ๑๐ ประการนั้น มีอยู่ประการหนึ่งว่า ตั้งท้องจนถึงเดือนสุดท้ายจะคลอด ก็อย่าให้ท้องนูนออกมาจนมองเห็น

    พระนางสิริมหามายาเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก ไม่มีใครสวยกว่านั้นอีกแล้ว เพราะนอกจากจะสมบูรณ์ด้วยเบญจกัลยาณีแล้ว ยังมีอิตถีลักษณะอีก ๖๔ ประการที่คู่ควรที่จะเป็นพระพุทธมารดา

    เราเคยชินกับการทำนายลักษณะของสิทธัตถะราชกุมาร ที่พราหมณ์ทั้ง ๑๐๘ ท่าน ลงความเห็นไป ๑๐๗ ท่านว่า ถ้าหากไม่เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชปกครองโลก ก็จะต้องเป็นศาสดาเอกของโลก ยกเว้นโกณฑัญญะพราหมณ์ พราหมณ์หนุ่มที่สุด ฟันธงอย่างเดียวเลยว่า จะต้องเป็นศาสดาเอกของโลกโดยสถานเดียวเท่านั้น

    นี่เราเคยชินกับคำทำนายนี้ แต่ถ้าเราไม่ได้ศึกษาให้ลึกลงไป เราไม่เคยชินกับคำทำนายของพระนางสิริมหามายา พราหมณ์ที่มาทำนายในลักษณะที่ฟันธงว่าจะเป็นพระพุทธมารดา เขาเอาคำว่าพระพุทธมารดามาจากไหน ? แสดงว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จะต้องมีจารึกอยู่ในคัมภีร์ต่าง ๆ ของศาสนาพราหมณ์อยู่แล้ว

    อย่างเรื่องมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ อนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ ของพระพุทธเจ้า ที่เป็นลักษณะของมหาบุรุษ เขาก็บอกว่าท้าวมหาพรหมลงมาชี้แจงลักษณะเหล่านี้ให้แก่ผู้นำศาสนาของเขา แล้วได้บันทึกไว้เป็นคัมภีร์ เพื่อที่ถึงเวลาเมื่อมีมหาบุรุษปรากฏขึ้น ก็จะได้รู้ว่านี่ใช่แล้ว เพราะตรงกับตำรา

    แต่ทางด้านของพระนางสิริมหามายาที่จะเป็นพระพุทธมารดา เราไม่รู้ว่าตำรานี้มาจากไหน เพราะว่าไม่ได้เขียนเอาไว้ อาตมาก็ไม่อยากจะมั่วว่าก็คงจะมาแบบเดียวกัน

    พระนางสิริมหามายานอกจากที่จะสวยงามสมบูรณ์พร้อมที่จะเป็นพระพุทธมารดาแล้ว ยังมีความมหัศจรรย์ส่วนตัวอยู่อีก ๑๒ ประการด้วยกัน ความมหัศจรรย์ส่วนตัว ๑๒ ประการนี้ ในบาลี เรียกว่า อัจฉริยธรรม คำว่า อัจฉริยะ แปลว่า มหัศจรรย์ เหนือมนุษย์ ไม่เหมือนคนอื่นเขา"

    "ความอัศจรรย์ประการแรกก็คือ ถ้าหากพระพุทธมารดาจะให้ทานโดยอาหารที่บรรจุไว้ในถาดทองคำ บาลีเขาบอกไว้ละเอียดเลยว่า ต่อให้ผู้คนมาขอรับอาหารทั่วทั้งชมพูทวีป อาหารนั้นก็ไม่ได้พร่องลง ลักษณะคล้าย ๆ ท่านเมณฑกเศรษฐี ที่ตักข้าวออกไปเลี้ยงคนทั้งเมือง ก็แหว่งไปแค่ทัพพีเดียว

    แต่กรณีของพระพุทธมารดาไม่ได้เลี้ยงคนทั้งเมือง หากแต่เลี้ยงคนทั้งชมพูทวีป ซึ่งสมัยนั้นเขาหมายถึงโลกมนุษย์ คือเลี้ยงคนทั้งโลก..!

    ความอัศจรรย์ประการที่ ๒ ของพระนางสิริมหามายา ก็คือ ใครเจ็บไข้ได้ป่วย แค่ท่านยกมือแตะคนป่วยก็หาย ฟังแล้วคุ้น ๆ ไหม ? มีใครอ่านพระคัมภีร์ไบเบิลมาบ้าง ? พระคริสต์ก็คือพระเยซู..ใช่ไหม ? สัมผัสตัวคนป่วยก็หาย แสดงว่าเรื่องแบบนี้ มีอยู่ในทุกศาสนา ขึ้นอยู่กับว่า บุคคลนั้นประกอบด้วยบารมีธรรมระดับไหน ดังนั้น..ใครที่เป็นมะเร็ง รีบไปหาพระพุทธมารดาโดยด่วน ขอให้พระองค์ท่านช่วยจับให้หน่อย

    ความมหัศจรรย์อย่างที่ ๓ อยากให้ท่านมาช่วยจับแถว ๆ นี้หน่อย ท่านบอกว่า จับต้องใบของติณชาติ(หญ้า)หรือรุกขชาติ(ต้นไม้) ก็จะกลายเป็นสุวรรณ(ทองคำ)ทั้งหมด นี่ดีกว่าพระราชาไมดาส

    พระราชาไมดาสขอพรจากเทพเจ้า เพราะว่าท่านชอบทองคำมาก ขอพรว่าทุกอย่างที่พระองค์จับต้องขอให้กลายเป็นทองคำ จับอาหารก็เลยเสวยไม่ได้เพราะกลายเป็นทอง เผลอหน่อยเดียว ลูกที่รักวิ่งเข้ามา จับเข้าก็กลายเป็นทองไปอีก นั่นท่านขอพรแบบไม่รอบคอบ แต่ว่าของพระนางสิริมหามายา จับต้นไม้ใบหญ้า ต้นไม้ใบหญ้าเหล่านั้นจะกลายเป็นทอง แต่อย่างอื่นไม่เป็น

    ความมหัศจรรย์อย่างที่ ๔ ก็คือ ถ้าพระองค์ท่านปลูกต้นไม้ จะโตทันตาและออกดอกออกผลให้เดี๋ยวนั้นเลย"

    "ถ้าเราอ่านพุทธประวัติในช่วงพรรษาที่ ๗ ที่นายคัณฑะนำผลมะม่วงมาถวายพระพุทธเจ้า ความจริงนายคัณฑะเป็นนายอุทยานอยู่ ปลูกผลมะม่วงแล้วออกลูกสุกเหลืองอร่าม มีหน้าที่ต้องเก็บไปถวายพระราชา แต่นึกขึ้นมาได้ว่า ถวายพระพุทธเจ้าได้บุญมากกว่า จึงตัดสินใจนำไปถวายพระพุทธเจ้า ถ้าพระราชาจะประหารชีวิตเราก็ยอม

    พอพระพุทธเจ้าเสวยผลมะม่วงแล้ว จึงสั่งให้นายคัณฑะขุดหลุม หย่อนเม็ดมะม่วงลง กลบดิน เอาน้ำล้างพระหัตถ์รดลง พอรดด้วยน้ำล้างพระหัตถ์เท่านั้น ก็งอกขึ้นมากลายเป็นต้นมะม่วงโตทันทีเลย เพราะพระองค์ท่านบอกว่า จะแสดงยมกปาฏิหาริย์ที่ต้นมะม่วง

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า วิชาเหล่านี้ทางด้านศาสนาอื่น ๆ เขาทำกันได้เป็นปกติ เรียกว่า ตัชชารีวิชา ถ้าหากว่าเป็นเราสมัยนี้เรียกว่า "เล่นกล" แต่ของพระองค์ท่านนั้นเกิดด้วยบุญญาบารมีจริง ๆ

    คนสมัยก่อนทำได้เป็นปกติ จนกระทั่งทุกวันนี้ แขกก็เล่นกลหลอกเราเป็นปกติ ตัชชารีวิชาจัดเป็นมายาการอย่างหนึ่ง มายาการนี่จะต้องประเภทหลอกชาวบ้านเขาได้ ไม่อย่างนั้นหากินไม่ได้หรอก

    ความมหัศจรรย์ประการที่ ๕ ก็คือ ถ้าหากว่าพระนางเสด็จไปที่ไหนก็ตาม แม้กระทั่งขึ้นไปบนยอดเขาที่ไม่มีน้ำ ถ้ากระหายน้ำขึ้นมา ท่านบอกว่าก็จะมีน้ำผุดขึ้นมาโตเท่าลำตาล จะเสวยหรือจะสระสรงอย่างไรก็ได้

    ให้เราสังเกตว่า เนื้อหาเหล่านี้ต่อเนื่องกันมาในลักษณะเดียวกัน ก็คือ แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ที่เกิดขึ้นจากบารมีที่พระองค์ท่านสั่งสมมา จนกระทั่งเหมาะสมที่จะเป็นพระพุทธมารดา"

    "ความอัศจรรย์ประการที่ ๖ ของพระพุทธมารดา ก็คือ ไม่ว่าจะเสด็จไปไหน ก็ไม่ต้องเตรียมอาหารไป ถึงเวลาเทวดาจะนำโภชนะอันเป็นทิพย์มาถวาย ไม่ได้ถวายคนเดียวนะ ถวายมากพอที่จะเลี้ยงบริวารของพระนางทั้งหมดได้ด้วย
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    ความอัศจรรย์ประการที่ ๗ ของพระพุทธมารดาก็คือ ไม่ว่าจะเสด็จไปประพาสสระสวนอุทยานที่ไหน ก็ไม่ต้องเตรียมเครื่องแต่งตัวไป จะสระสรงสนานอย่างไร เทวดาจะนำเครื่องทิพย์ของหอมและนำพัสตราภรณ์ต่าง ๆ มาถวายให้ได้ใช้ทุกครั้ง

    พวกเราอย่าเผลอนะ อยากเป็นพระพุทธมารดาเดี๋ยวได้เป็นจริง ๆ เพราะเท่ากับว่าเราได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ ฉะนั้น..เป็นเรื่องที่เราต้องคอยระมัดระวังด้วยว่า จิตของเราจะคล้อยตามหรือเปล่า ?

    ความอัศจรรย์ประการที่ ๘ ก็คือ เมื่อพระนางเข้าที่บรรทม ท่านใช้คำว่า ยักขราชา ๘ ตน คือ บรรดาหัวหน้าเทวดาที่เป็นบริวารของท่านท้าวเวสสุวรรณทั้งหลาย จะถือวชิราวุธแวดล้อมคอยป้องกันอันตรายให้ตลอดคืน แสดงว่าอย่างน้อย ๆ ก็ต้องมีเทวดาระดับมหาอำมาตย์ขึ้นไปมาให้การดูแลอยู่

    ความอัศจรรย์ประการที่ ๙ คือ ไม่ว่าจะเสด็จไปที่ไหนก็ตาม บรรดาอสูรราช ก็คือราชาของอสูร น่าจะเป็นระดับท่านท้าวเวปจิตตาสูร ท่านอสุรินทราหู จะแปลงกายเหมือนกับเป็นนักแสดงมหรสพติดไปกับขบวน เพื่อคอยแวดล้อมระมัดระวังอันตรายต่าง ๆ ให้

    พูดง่าย ๆ ว่า กลางวันก็มี รปภ.ส่วนตัวขบวนหนึ่ง กลางคืนก็ขบวนหนึ่ง แบ่งสรรหน้าที่กันเสร็จสรรพเลย เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ พวกเราฟัง ๆ แล้วก็ต้องมาคิดว่า บุญคนนี่ส่งให้เป็นไปถึงขนาดนั้นเลยหรือ ?"

    "เรามานึกดูว่า ตอนก่อนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ กาลนาคราชและบริวารทั้งหลายก็ขึ้นมาแสดงมหรสพต่าง ๆ ถวายเป็นปกติ

    อย่าลืมว่ากาลนาคราชหลับไปงีบเดียวพระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้อีกหนึ่งองค์แล้ว นอนงีบเดียวแต่นานเป็นพุทธันดรเลย นอนยังไม่ทันจะหายง่วง ถาดทองคำตกลงมาอีกใบหนึ่งแล้ว

    พระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะมีพระพุทธประเพณีอย่างหนึ่งก็คือ ก่อนจะตรัสรู้จะลอยถาดทองคำ เพื่อเสี่ยงบารมีว่าสามารถที่จะตรัสรู้ได้หรือไม่ ? เมื่อลอยถาดทองแล้ว ก็ไม่ใช่ลอยตามน้ำ แต่จะลอยทวนน้ำไปประมาณ ๘๐ ศอกแล้วก็จะจมลงไปที่บาดาลซึ่งกาลนาคราชนอนหลับอยู่ ก็ไปซ้อนกับใบเดิม ได้ยินเสียงดัง "แกร๊ก..!" พ่อเจ้าประคุณก็ลืมตาดู"จะตรัสรู้อีก ๑ องค์แล้วหรือ ?"

    แสดงว่ากาลนาคราชนี่บุญดีจริง ๆ นะ เพราะว่าคนอื่น ๆ รอกัน ชาติแล้วชาติเล่า อย่างเมื่อวานที่พูดถึง เอรกปัตตนาคราชก็รอแล้วรอเล่า ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้เมื่อไร แต่กาลนาคราชนั้น พระพุทธเจ้ากี่พระองค์จะตรัสรู้ กาลนาคราชรู้ก่อนเพื่อนเลย จะบอกว่าท่านบุญดีหรือกรรมหนักก็ไม่รู้นะ นอนเพลินเหลือเกิน เรามีโอกาสนอนอย่างนั้นบ้างหรือเปล่า ?

    พระพุทธเจ้าเคยตรัสถึงบุรพกรรมของคน ๔ คน มีอยู่คนหนึ่งที่พระองค์ท่านเทศน์ขนาดไหนก็ตาม หลับลูกเดียว ในอดีตชาติท่านนั้นเคยเกิดเป็นงูใหญ่ ชินกับการพาดหัวบนขนด แล้วก็หลับติดต่อกันมา ๕๐๐ ชาติ พอเกิดเป็นคนก็มีนิสัยเหมือนเดิม อยู่ที่ไหนก็หลับที่นั่น

    พระอานนท์ก็สงสัย ทูลถามว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมประดุจมหาเมฆที่บันลือขึ้น เราฟังอย่างนี้ก็แปลไม่ออก ต้องบอกว่าเหมือนพระพุทธเจ้าแสดงธรรมเหมือนฟ้าผ่าลงมาข้างหู เขายังหลับได้..!

    มหาเมฆบรรลือขึ้นก็เหมือนกับฟ้าร้อง..ใช่ไหม ? เปรี้ยงปร้างโครมครามขนาดนั้น ยังหลับอย่างเดียวไม่รับรู้อะไรเลย พระอานนท์ถึงได้ทูลถามว่าเกิดจากกรรมอะไร ? พระพุทธเจ้าก็ตรัสให้ฟังถึงบุรพกรรมว่า เขาเคยเกิดเป็นงูใหญ่ติดต่อกันมา ๕๐๐ ชาติ มีใครบ้างที่นั่งที่ไหนหลับที่นั่น ถ้ามีก็คงจะเป็นอย่างนั้นแน่เลย"

    ความอัศจรรย์ประการที่ ๑๐ ก็คือ ถ้าเป็นฤดูร้อน เหล่าเทวดาจะนำน้ำทิพย์จากสระอโนดาต บรรจุในหม้อทองคำ มาถวายให้สรงทุกวัน

    ความอัศจรรย์ประการที่ ๑๑ ก็คือ ถ้าเป็นหน้าหนาว เทวดาจะนำผ้าทิพย์จากต้นกัลปพฤกษ์ในป่าหิมพานต์ มีความยาว ๘๐ ศอก มาถวายเป็นผ้าห่มกันหนาว

    ความเชื่อเรื่องต้นกัลปพฤกษ์ บางคนก็ตีความว่า ประเทศชาติอุดมสมบูรณ์ถึงขนาดว่าไปทางไหนก็ตาม พวกเครื่องใช้ไม้สอย ข้าวปลาอาหารไม่ขาดแคลน คือท่านที่ไม่เชื่อในเรื่องนี้ ก็ไปตีความอีกอย่าง

    ความอัศจรรย์ประการที่ ๑๒ ของพระพุทธมารดา คือ ถ้าพระองค์ท่านต้องการให้ทานต่อบรรดาสมณชีพราหณ์ หรือคนยากจนเข็ญใจเมื่อไร ฝนจะตกลงมาเป็นแก้วแหวนเงินทอง เก็บไปให้ทานได้เดี๋ยวนั้นเลย

    ดังนั้น..รวมความแล้วว่า นอกจากพระองค์ท่านจะเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดแล้ว ยังประกอบไปด้วยบารมีอันเป็นอัศจรรย์ ๑๒ ประการด้วยกัน บาลีเรียกว่า อัจฉริยธรรม ธรรมอันน่ามหัศจรรย์ แต่ก็มหัศจรรย์สำหรับบุคคลที่ไม่เข้าใจเรื่องการส่งผลของกรรมเท่านั้น
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า พุทธวิสัย ๑ ฌานวิสัย ๑ กรรมวิบาก ๑ โลกจิณไตย ๑ บุคคลทั่วไปไม่ควรคิด ถ้าหากว่าคิดพึงมีส่วนของความเป็นบ้า พึงมีส่วนของความเป็นบ้า แปลมาจากบาลีว่า อุมฺมตฺตกภาโค แต่ถ้าหากเป็นเราพูดภาษาไทยชัด ๆ ก็คือ คิดไปก็บ้าเสียเปล่า ๆ คิดไม่ออกหรอก

    พุทธวิสัย ก็คือความสามารถของพระพุทธเจ้า บุคคลที่สร้างบารมีมาอย่างน้อย ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป บุคคลทั่ว ๆ ไปแค่ ๑ อสงไขยก็บรรลุมรรคผลได้แล้ว บุคคลที่ทำงานมากกว่า ๔ เท่า ย่อมรวยกว่าไม่รู้เท่าไร ไม่ต้องไปคิดหรอก เสียเวลาเปล่า ๆ

    ฌานวิสัย ความสามารถของผู้ทรงฌานสมาบัติ เขาจะผาดแผลงสำแดงฤทธิ์อย่างไร ก็ทำได้อยู่แล้วเป็นปกติ เราทำไม่ได้แล้วไปคิดว่าเขาทำอย่างไรหนอ ? คิดให้หัวแตกก็คิดไม่ออก เพราะไม่ใช่เรื่องที่จะคิดได้ หากแต่เป็นเรื่องที่ต้องทำให้ได้

    กรรมวิบาก คือการส่งผลของกรรม จะพิลึกพิลั่นอัศจรรย์ขนาดไหน แค่พระนางสิริมหามายา ทรงความอัศจรรย์ ๑๒ ประการ ก็ว่ามากแล้ว พระพุทธเจ้าของเราประกอบไปด้วยพระพุทธลักษณะอีกมากมายมหาศาล แต่ละอย่างเกิดจากกรรมในอดีตที่พระองค์ท่านสร้างมาทั้งสิ้น"

    "โลกจิณไตย ความเป็นไปของโลก ทำไมภาคเหนือถึงแผ่นดินไหว ? ทำไมภาคกลางจึงหนาว ? ทำไมภาคใต้ถึงน้ำท่วม ? คิดแค่ประเทศเราก็จะบ้าแล้ว ถ้าหากคิดไปว่า ทั้งโลกทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ? ก็จะประสาทกินเสียเปล่า ๆ

    ดังนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จึงเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสห้ามเอาไว้ เพราะว่าวิบากคือการส่งผลของกรรมนั้น เป็นไปตามผลที่ตนเองทำมา แต่ว่าผลมหัศจรรย์นั้น ถ้าได้ทำในส่วนที่เป็นบุญกุศลในเขตของพุทธศาสนา จะส่งผลให้มากกว่าที่ทำจนประมาณไม่ได้

    ความจริงในทักขิณาวิภังคสูตร พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า การได้ทำบุญกับนักบวชนอกพระพุทธศาสนาที่เป็นผู้ปราศจากความกำหนัด มีบุญมากประมาณไม่ได้ นั่นแค่นอกศาสนานะ

    ถามว่านักบวชนอกศาสนาที่เป็นผู้ปราศจากความกำหนัด หมายถึงว่าเขาเป็นพระอนาคามีหรือเปล่า ? ไม่ใช่..หากแต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ฝึกฌานสมาบัติเสียจนมีความคล่องตัว สามารถกดรัก โลภ โกรธ หลงให้นิ่งสนิทลงได้ ไม่ใช่ดับกิเลส แต่กดกิเลสให้ดับลงชั่วคราว อย่างบรรดานักบวชอเจลกต่าง ๆ อย่างศาสนาเชนที่เป็นนักบวชแก้ผ้า

    ถ้าหากว่าฝึกไม่ถึงระดับจริง ๆ เขาไม่ให้ออกไปข้างนอกเพื่อเผยแพร่ศาสนาหรอก ขายหน้าชาวบ้านเขา เพราะว่าเขาแก้ผ้าอยู่ ถ้าหากเกิดกามราคะจริง ๆ ผู้ชายเราจะปรากฏเห็นชัดเลย ดังนั้นว่า..ถ้าหากไม่ฝึกแล้วฝึกอีกจนมั่นใจแล้ว อาจารย์ก็ไม่ปล่อยออกไปให้ขายหน้าหรอก

    ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ทำบุญกับนักบวชนอกพระพุทธศาสนาที่ปราศจากความกำหนัด ยังมีอานิสงส์ประมาณไม่ได้ เราก็ต้องมาคิดถึงที่พระองค์ท่านเปรียบเทียบว่า ทำบุญกับสัตว์เดรัจฉาน มีผลเป็น ๑๐๐ ส่วน ทำบุญกับบุคคลที่ไม่มีศีลมีผลมากกว่าอีกเป็น ๑๐๐ ส่วน ไล่ขึ้นไปเรื่อย จนกระทั่งเป็นบุคคลที่มีศีล บุคคลที่ทรงฌานสมาบัติเป็นปกติ

    นักบวชนอกพระพุทธศาสนาเขาทรงฌานสมาบัติกันเป็นปกติ เราจะมาภูมิใจว่าเรามีหลักธรรมของพระพุทธเจ้าอยู่ เราดีกว่าเขา วิเศษกว่าเขา แต่เรากระทั่งปฐมฌานเราก็ทรงไม่ได้ เราขายหน้าเขาบ้างไหม..?!"

    "อาตมาเคยไปท้ารบกับพวกโยคี ยังเผ่นแน่บเลย สู้เขาไม่ได้หรอก ตอนนั้นจำไม่ได้ว่าที่ไหนที่สร้างพระรอด แต่อาตมาต้องไปที่วัดมหาธาตุ เห็นเขาเชิญโยคีมาปลุกเสก อาตมาก็ตะหงิด ๆ ใจ "ไอ้ห่..พระตั้งเยอะแยะไม่นิมนต์มาเสก เอาโยคีมาเสก เห็นกูเป็นอะไรวะ..?!" กิเลสขึ้นหน้า ไหน..ขอลองหน่อย..คุณจะแน่สักแค่ไหน ?

    โยคีเขาก็เก่งจริงเหมือนกัน เขานอนตะแคงข้าง มือวางตามยาวแนบพื้น แล้วบอกให้อาตมาขึ้นไปเหยียบบนมือได้เลย ถ้าเราลองนอนตะแคงเอามือเหยียดแนบติดพื้น มีคนเอาของใส่มือเรายกได้ไหม ? นี่อาตมาขึ้นไปยืนทั้งตัว เขายกลอยเฉยเลย..! ก็แสดงว่าเรื่องพวกนี้เขาทำกันได้เป็นปกติ

    อาตมาก็ขี้โกง ตัวกูหนักไม่พอใช่ไหม ? เอาแผ่นดินไปด้วย ว่าแล้วเหยียบติดพื้นไปเลย เขาเห็นว่าแหกคอกนี่หว่า เล่นโกงแบบนี้เขาก็เอาด้วย เขาก็อธิษฐานเตโชธาตุจะเผา แล้วเรื่องอะไรตูจะอยู่ให้เผา โกยแน่บเดี๋ยวนั้นเลย..!"



    เครดิต สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ) เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๔
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    ความดีทั้งหมด กุศลทั้งหมดที่บำเพ็ญมา ถวายแก่พระรัตนตรัยและน้อมถวายแก่มารดาทุกภพ
     

แชร์หน้านี้

Loading...