เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 20 กรกฎาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๒๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ พระใหม่เริ่มผ้าเหลืองร้อน อยู่ไม่ติด มาถามกระผม/อาตมภาพว่า โดนกามราคะรบกวนมาก ทรมานมาก ก็เป็นเรื่องปกติ..!

    เคยบอกไปตั้งแต่ก่อนบวชแล้วว่า ถ้าหากว่ากิเลสเปรียบเหมือนกับเสือ ในชีวิตฆราวาสก็คือเขาเอาเสือตัวนั้นปล่อยไว้ในป่ากับเรา บางทีเดินทั้งปีไม่เจอเสือเลย แต่การบวชพระ คือเขาเอาเสือตัวนั้นยัดไว้ในกรงแคบ ๆ กับเรา ก็ต้องโดนเสือกัดอยู่ทุกวัน

    เรื่องของ รัก โลภ โกรธ หลง เป็นเรื่องที่แปลกมาก คือถ้าเรามีโอกาส บางทีก็ไม่เกิด แต่พออยู่ในสภาพของความเป็นพระ ในสภาพของนักบวชที่เราจะต้องควบคุมให้อยู่ในกรอบ ดันเกิดได้เกิดดี จนกระทั่งฝรั่งเขาเอาไปเขียนว่า ถ้าใครอยากรู้ว่าตัวเองมีกามราคะเท่าไรให้ไปฝึกกรรมฐาน เพราะว่าทันทีที่ใจของเราสงบ กิเลสจะรู้ว่าใกล้จะตายแล้ว ก็จะดิ้นรนสุดกำลัง ก็แปลว่าใครก็ตามที่โดนกามราคะเล่นงานอยู่ ความจริงคุณมาถูกทางแล้ว..!

    การปฏิบัติธรรมก่อให้เกิดความร้อนในการเผากิเลส ที่เรียกเป็นภาษาบาลีว่า ตบะ คราวนี้กิเลสมีมายามาก พอถึงเวลา กิเลสอาศัยเราอยู่ ก็จะทำให้เราเข้าใจผิดว่ากิเลสก็คือเรา ในเมื่อเราสร้างตบะ เผาจนกิเลสจะตาย ก็ทำให้เราเข้าใจผิดว่าตัวเรานี่แหละที่จะตาย แล้วเราก็มักจะไปรามือปล่อยให้กิเลสหลุดรอดไปได้ แล้วกลับมากัดเราใหม่ทุกที

    ความจริงจะว่าไปแล้ว วิธีแก้ง่ายนิดเดียว เพียงแต่ว่าพวกเราสติไม่ทัน ปัญญาไม่ถึง สมาธิไม่พอ เหมือนกับคนอยากได้ของสักชิ้นหนึ่ง แต่เงินไม่พอ ทำอย่างไรก็ซื้อไม่ได้ ก็เพราะว่ากิเลสเป็นสมบัติของร่างกายนี้ ตราบใดที่เรามีร่างกาย เราต้องมี รัก โลภ โกรธ หลง เป็นปกติอยู่แล้ว ทำอย่างไรที่เราจะแยกให้ออกว่า กิเลสเป็นสมบัติของร่างกาย ส่วนตัวเราคือจิต แยกออกเมื่อไร ก็ต่างคนต่างอยู่ เราไม่ไปยุ่งด้วย กิเลสก็ทำอะไรเราไม่ได้

    ฟังดูเหมือนกับง่าย แต่เมื่อสักครู่
    กระผม/อาตมภาพว่าอะไร ? สติ สมาธิ ปัญญาของพวกท่านทั้งหลายไม่พอสักอย่างหนึ่ง จึงโดนกิเลสตีตายชักอยู่ฝ่ายเดียว มีทางเดียวก็คือเราต้องสู้ ด้วยการตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะในส่วนของสมาธิ ถ้าเราภาวนาจนกำลังใจทรงตัว จะสังเกตว่า รัก โลภ โกรธ หลง เกิดไม่ได้ โดยเฉพาะตอนที่เราอยู่กับลมหายใจเข้าออก

    ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ? ก็เพราะว่า รัก โลภ โกรธ หลง เกิดจากการที่เราไปให้ท้าย ไปเปิดประตูรับโจรเข้าบ้านมาปล้นเราเอง ถ้าท่านทั้งหลายสังเกตจะเห็นว่า ตัวเราเวลาคิด ถ้าไม่ไปหวนหาอาลัยอดีต ก็จะไปฟุ้งซ่านในอนาคต
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    คราวนี้เกี่ยวอะไรกับกามราคะ ? เราก็จะไปคิดว่าตามที่เคยเห็นมาว่า ผู้หญิงหน้าตาอย่างนั้น รูปร่างแบบนั้น อกแบบนั้น เอวแบบนั้น แบบที่ชอบของเราทั้งนั้น ตายห่..สิครับ..! ก็เราเป็นคนไปเปิดประตูให้โจรเข้าบ้านมาเอง

    ถ้าหากว่าใจของเราหยุดอยู่กับปัจจุบัน กิเลสอะไรก็เกิดไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว แล้วอยู่กับปัจจุบันอย่างไร ? ก็อยู่กับลมหายใจเข้าออกตรงหน้า หายใจเข้า...ตามรู้เข้าไปจนสุด หายใจออก...ตามรู้ออกมาจนสุด อยู่แค่นี้

    รัก โลภ โกรธ หลง เหมือนกับฟืน เหมือนกับถ่าน พร้อมที่จะติดไฟอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไม่เอาไฟไปแหย่ ฟืนกับถ่านจะติดไฟเองได้ไหม ? ก็ติดไม่ได้ เพราะฉะนั้น...วิธีที่ดีที่สุดก็คือหยุดกำลังใจของเราอยู่กับปัจจุบัน ก็คืออยู่กับลมหายใจเข้าออก เมื่อกำลังใจทรงตัวแล้ว ก็ตั้งสติประคับประคองเอาไว้ อย่าให้หลุดไปไหน

    อย่างที่กระผม/อาตมภาพบอกมาจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้วว่า การปฏิบัติธรรมเหมือนกับการว่ายทวนน้ำ เราต้องสู้กับกระแสของ รัก โลภ โกรธ หลง อยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่พยายามจ้วงเอาไว้ ก็แปลว่าต้องไหลตามน้ำไป

    บางคนตอนกลางวันสติสมาธิพร้อมสมบูรณ์ กิเลสกินไม่ได้เลย เผลอหลับเมื่อไรก็ฝันว่าไปปล้ำลูกสาวชาวบ้านเขาแล้ว..! นั่นถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะว่ากิเลสย่อมดิ้นรนชักจูงเราไปตามทางของตน ไม่อย่างนั้นก็ตายแน่..!

    คราวนี้ของเรา ถ้าหากว่าสติ สมาธิเพียงพอก็ยังสู้กิเลสไม่ได้ ได้แต่ระงับอยู่ชั่วคราว เผลอเมื่อไรก็โดนกิเลสตีปางตายอีก ก็ต้องใช้ปัญญาเข้าสู้ ทำอย่างไรที่เราจะแยกให้ออกว่าตัวเราคือจิตที่มาอาศัยร่างกายนี้อยู่เท่านั้น รัก โลภ โกรธ หลง เป็นคุณสมบัติของร่างกาย ไม่ใช่เรื่องของเรา เอ็งอยากจะมีก็มีไป ข้าไม่ไปยุ่งด้วย ฟังดูเหมือนกับง่าย แต่ก็ค่อนข้างที่จะยาก

    ดังนั้น...ของพวกเรา อันดับแรกเลยก็คือ ทำอย่างไรที่จะหยุดอยู่กับการภาวนา แล้วรักษาอารมณ์ใจเอาไว้ไม่ให้หลุดไปไหน ?
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    กระผม/อาตมภาพขอยืนยันว่า ตัวกระผม/อาตมภาพเองก็เป็นแบบนี้มาก่อน นักปฏิบัติทุกคนจะเป็นพระ เป็นเณร เป็นแม่ชี เป็นฆราวาส เป็นแบบนี้ทั้งนั้น ไม่มีใครดีกว่ากันหรอก เพียงแต่ใครจะสามารถจัดการกับ รัก โลภ โกรธ หลง ได้เร็วกว่ากันเท่านั้น คราวนี้การที่เราจะจัดการ ถ้าหากว่าสามารถกดคอกิเลสอยู่ได้ ก็เป็นอันว่าสุขชั่วคราว ต้องระมัดระวังไว้อย่าให้หลุดจากการภาวนา

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงเล่าให้ฟังว่า ท่านเองขนาดทรงสมาธิทุกวินาที ไม่ยอมเผลอ ปรากฏว่ามีอยู่วันหนึ่ง ไม่ทราบเหมือนกันว่าหลุดไปตอนไหน จากสมาบัติ ๘ เหลือแค่อุปจารสมาธิ ท่านบอกว่า "ถ้าบ้านหลังหนึ่งมีเสา ๘ ต้น อยู่ ๆ เหลือไม่ถึงครึ่งต้น บ้านจะทับเราตายไหม ?"

    กระผม/อาตมภาพเองก็เป็นแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ท่านทั้งหลายก็เป็นมานับครั้งไม่ถ้วน สำคัญตรงที่ว่าเราเข็ดไหม ? ทุกข์ทรมานอยู่กับการโดน รัก โลภ โกรธ หลง ตีเราอยู่ทั้งวันทั้งคืน ถ้าเข็ด..เราก็ต้องหาทางหลีก หาทางหนี

    เพราะฉะนั้น...ถ้าหากว่าท่านดูในวิปัสสนาญาณ ๙ บางทีก็สงสัย มุญจิตุกัมยตาญาณเป็นอย่างไร ? ปฏิสังขานุปัสสนาญาณเป็นอย่างไร ? ก็คือความเข็ดจากการโดนกิเลสตี แล้วเสาะแสวงหาทางหนี เมื่อเห็นทางแล้วก็ไปสุดชีวิต ไม่ใช่นอนสบายใจ แบบที่หลวงตาบัวท่านเปรียบเทียบว่า "เหมือนหมูนอนพาดเขียง" สบายมาก อยู่ ๆ ใครเอาเขียงมาให้หนุนนอนก็ไม่รู้ ? หารู้ไม่ว่าเขาจะเชือดตอนไหนก็ได้ เพราะว่าตัวเองเอาหัวไปนอนพาดเขียงเอง

    ถ้าตราบใดที่เรายังไม่เข็ด เราก็จะไม่ทุ่มเท สติ สมาธิ ปัญญาทั้งหมดในการหนีกิเลส ก็คือประเภทเบื่อ ๆ อยาก ๆ บางคนก็อยู่ในประเภท "ดีชั่วรู้หมด แต่อดไม่ได้"

    กระผม/อาตมภาพเองเป็นมาแล้วทุกอย่าง เป็นถึงขนาดหมดท่าขึ้นมา นั่งอยู่ต่อหน้าพระพุทธรูป มองอย่างเดียวเลย "ทิพจักขุญาณใช้ไม่ได้ใช่ไหม ? ใช้ตานี่แหละมอง อตีตังสญาณไม่ต้องใช้ อนาคตังสญาณไม่ต้องใช้ อดีตอนาคตกูไม่เอา ปัจจุบันนี้กูนั่งอยู่ต่อหน้าพระ มึงแน่ใจมึงลากกูไปที่อื่นสิวะ..! ต่อให้กูคิดชั่ว ตอนนี้กูนั่งอยู่ตรงนี้ กูก็จะไม่พูดชั่ว แล้วกูก็จะไม่ทำชั่ว" อย่างน้อย ๆ กาย วาจา ใจ ของเราก็ได้ดีไป ๒ ส่วน ชนะ ๒ ต่อ ๑ ก็แปลว่าเราชนะ..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    บางทีไม่ไหวจริง ๆ พวกท่านเคยทำหรือเปล่า ? แต่กระผม/อาตมภาพทำมาแล้ว วิ่งในกุฏิครับ วิ่งตั้งแต่หัวค่ำยัน ๕ ทุ่มเที่ยงคืน หมดเรี่ยวหมดแรงนอนสลบไสลไปเลย "ก็กูไม่ไปกับมึงเสียอย่าง แน่จริงมึงก็อาละวาดไปสิ..!" ลองดูก็ได้นะครับ ของที่วัดท่าขนุนนี่ไม่ต้องวิ่งหรอก แค่ตะกายขึ้นไปไหว้รอยพระพุทธบาท ถ้าหัวค่ำขึ้นไปแล้วลงมายังคึกอยู่ ก็ตะกายกลับขึ้นไปใหม่ เจอไปสัก ๗ - ๘ รอบ เหนื่อยจะขาดใจตาย ดูสิคราวนี้ยังจะคิดถึงราคะ หรือจะคิดถึงตัวเอง ?

    กิเลสมักกลัวตายครับ เพราะถ้าหากว่าร่างกายนี้ตาย กิเลสก็อยู่ไม่ได้ ถ้าเราเหนื่อยปางตายกิเลสจะสงบชั่วคราว เพราะฉะนั้น...พระสายวัดป่าถึงได้เดินจงกรมกันข้ามวันข้ามคืน อดอาหารกันที ๗ วัน ๑๐ วัน ๑๕ วัน ประมาณว่าเอาชีวิตเข้าแลก ดูสิว่าจะมีแรงไปคิดถึง รัก โลภ โกรธ หลงไหม ?


    ดังนั้น..วันนี้ที่บอกเรื่องพวกนี้กับเราก็คือ อย่าเห็นว่าเป็นเรื่องผิดปกติ นี่เป็นเรื่องปกติของทุกคนจะที่ต้องเจอ หรือพูดกันแบบแรง ๆ ก็คือ ไม่ใช่มึงเจอคนเดียว คนอื่นก็เจอกันหมด เพียงแต่เขาไม่มาบอกให้มึงฟังเท่านั้นเอง..!


    อย่าลืมที่พระพุทธเจ้าตรัสโอวาทปาฏิโมกข์ ประโยคแรกเลย ขันตี ปรมัง ตะโป ตีติกขา ขันติคือความอดทนอดกลั้น เป็นเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง ทนครับ""ทนทุกเรื่อง แต่ทนเฉย ๆ ก็เหมือนกับควายละครับ เพราะฉะนั้น...เขาถึงได้บอกว่า "เจ็บแล้วจำคือคน เจ็บแล้วทนคือควาย..!!"


    ในเมื่อเรารู้จักจำ รู้จักเข็ด ก็ระวังไว้อย่าให้กำลังใจหลุดจากการภาวนาอีก เมื่อภาวนาจนกำลังพอแล้วก็บี้กิเลสให้ตายไปเลย ไม่ใช่ไปปล่อยให้รอดไปอีก เอาแค่นี้ก็แล้วกันนะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวฝ่อตายเสียก่อน ถ้าอย่างไร เดี๋ยว
    กระผม/อาตมภาพจะไปเก็บศพแถว ๆ เชิงเขานั้นให้เอง..!

    วันนี้จึงขอเรียนถวายพวกท่านทั้งหลาย และบอกกล่าวแก่ญาติโยมไว้แต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๒๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...