เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 10 มิถุนายน 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ ต้องบอกว่าเป็นวันที่น่าเสียใจและน่าเสียดายอย่างยิ่งวันหนึ่ง เพราะว่าพรรคพวกเพื่อนฝูงท่านหนึ่ง ก็คือพระครูปฐมจินดากร (สายชล จิตฺตกโร) หรือที่พวกเราเรียกกันง่าย ๆ ว่า ท่านอาจารย์สายชล อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่แตงทอง อดีตเจ้าคณะตำบลทุ่งลูกนก ทายาทสืบสายวิชาพญาเต่าเรือนของหลวงปู่หลิว ปณฺณโก มรณภาพลงด้วยอายุ ๕๕ ปี ๓๓ พรรษา

    ท่านอาจารย์สายชลเป็นเพื่อนร่วมรุ่น เรียนหนังสือมาด้วยกันตั้งแต่ระดับประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ ปริญญาตรีสาขาพระพุทธศาสนา ปริญญาโทสาขาการจัดการเชิงพุทธ แต่ท่านไม่ได้เรียนต่อปริญญาเอก เพราะว่าติดงานบริหารวัดไร่แตงทอง โดยเฉพาะในการซื้อที่ดินเพื่อถวายวัด ซึ่งบรรดาญาติโยมต่าง ๆ ก็ล้วนแล้วแต่เห็นพระเป็นบ่อทองให้ขุด..! ที่ดินรอบวัด ถ้าขายทั่วไปไม่เป็นไร แต่ถ้าขายให้วัดเมื่อไร ราคามักจะสูงกว่าปกติหลายเท่า

    สมัยที่กระผม/อาตมภาพอยู่ที่วัดท่าซุง ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายสังเกต จะเห็นว่าช่วงระหว่างทางเข้าศาลา ๒ ไร่ (ซึ่งรวมศาลา ๔ ไร่กับศาลา ๑๒ ไร่ด้วย) กับทางด้านหลังศาลาพระนอนฝั่งจุฬามณี มีช่วงว่างอยู่ช่วงหนึ่ง ตรงพื้นที่นั้นพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงขอซื้อจากเจ้าของเขาแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่ขาย แต่เขาขายในราคาไร่ละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งราคาในตอนนั้น พื้นที่บริเวณนั้นไร่ละ ๓๐,๐๐๐ บาท..!

    แม้กระทั่งกระผม/อาตมภาพเองซื้อที่ตรงเยื้องกับพระเจดีย์ ๘๔ พรรษา สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พื้นที่ ๓๙๖ ตารางวา ไม่เต็มไร่ ซึ่งที่แถวนี้ก็คือราคาไร่ละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท ทางเจ้าของขายที่ดินตรงนั้นให้กระผม/อาตมภาพ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท..!

    ของท่านอาจารย์สายชลท่านโดนหนักกว่า ราคาประเมินที่ดินรอบวัดช่วงนั้น ราคาไร่ละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท เขาขายให้ท่านอาจารย์สายชลไร่ละ ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท..! ท่านจึงต้องออกไปสงเคราะห์ญาติโยม เพื่อรวบรวมปัจจัยซื้อที่ดินให้วัด ได้ถามท่านในฐานะคนคุ้นเคยกันว่า "ราคาแพงขนาดนี้แล้วยังจะซื้ออีกหรือ ?" ท่านบอกว่า "อย่างไรก็ต้องซื้อไว้ เพราะว่าถ้าเป็นคนอื่นมา กำลังไม่ถึง อาจจะซื้อไม่ไหว"

    คราวนี้ด้วยความที่ท่านเครียดกับงาน ท้ายที่สุดก็เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ได้ออกงานไปถึง ๒ ปีเต็ม หลังจากที่ฟื้นตัวขึ้นมาได้ไม่กี่ปีก็มรณภาพ เป็นเรื่องที่น่าเสียใจและน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าจากการที่สัมผัส การใกล้ชิด นอกจากในฐานะเพื่อนร่วมรุ่นที่เรียนหนังสือด้วยกันมาแล้ว ยังเป็นเพื่อนพระเกจิอาจารย์ที่ร่วมงานพุทธาภิเษกต่าง ๆ และแลกเปลี่ยนวิชาความรู้กัน
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    กระผม/อาตมภาพขอยืนยันว่า ถ้าในเรื่องของพญาเต่าเรือนยุคปัจจุบัน ความรู้ทางด้านนี้ของท่านอาจารย์สายชลถือว่าสุดยอดที่สุด ซึ่งตรงจุดนี้มีข้อสังเกตหลายอย่างที่กระผม/อาตมภาพได้บอกให้น้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) ไปสังเกตดู แล้วก็เป็นไปตามนั้น แต่เรื่องนี้ไม่สามารถที่จะบอกกันเป็นสาธารณะได้

    ส่วนตัวกระผม/อาตมภาพเอง วิชาพวกนี้ใช้วิธี "ขี้โกง" ก็คือไม่ได้บำเพ็ญเพียรจนสามารถที่จะสืบทอดสายวิชา แล้วสร้างเองได้เต็มที่เหมือนกับท่านอาจารย์สายชล แต่ใช้วิธีขอบารมีครูบาอาจารย์บ้าง ขอบารมีพระบ้าง ให้ท่านสงเคราะห์

    ที่กระผม/อาตมภาพใช้วิธีที่เรียกว่า "ขี้โกง" ก็เหมือนกับว่าเป็นลูกคนรวย ควักกระเป๋าไปซื้อคอนโดมิเนียม ขณะที่ของท่านอาจารย์สายชล ท่านค่อย ๆ ทำมา ตั้งแต่การวางผัง เทโครง ขึ้นตัวอาคาร มุงหลังคา ถ้านับพื้นฐานความรู้ในวิชาเกี่ยวกับพญาเต่าเรือน ต้องบอกว่าของท่านแน่นที่สุด เป็นของจริงของแท้ที่กระผม/อาตมภาพกล้ารับรองได้เต็มปากเต็มคำ

    เพราะว่าในช่วงปฏิบัติธรรมของระดับประกาศนียบัตร ๑๐ วัน ในช่วงของการปฏิบัติธรรมปริญญาตรี ๓๐ วัน ทำไมถึง ๓๐ วัน ? เพราะว่าต้องปฏิบัติธรรมปีละ ๑๐ วัน แล้วปริญญาตรีทำไมไม่ใช่ ๔๐ วัน ? ก็เพราะว่ารุ่นของกระผม/อาตมภาพนั้นบ้า..เรียนกันแค่ ๒ ปีครึ่ง..!

    ขณะที่พวกท่านทั้งหลายที่เรียนอยู่ในปัจจุบันนี้ แต่ละเทอม บางทีก็ ๖ หน่วยกิต ๘ หน่วยกิต ของกระผม/อาตมภาพในสมัยนั้น เทอมปกติ ๒๐ - ๒๔ หน่วยกิต ซัมเมอร์เดือนเดียว ๑๒ หน่วยกิต..! อย่าคิดว่าไม่มีคุณภาพ เพราะกระผม/อาตมภาพสามารถทำคะแนนเต็มร้อยได้เกือบทุกวิชา แล้วก็ลากเพื่อนทั้งห้องได้เกียรตินิยมกันหมด..!

    ก็คือเพื่อนทั้งห้อง ๖๒ รูป/คน ได้เกียรตินิยมอันดับ ๑ จำนวน ๙ รูป ที่เหลือได้เกียรตินิยมอันดับ ๒ ทั้งหมด แล้วก็ยังมาปฏิบัติธรรมปริญญาโทอีกปีละ ๑๕ วัน ๒ ปีก็ ๓๐ วัน

    ในแต่ละครั้ง พรรคพวกเพื่อนฝูงก็จะเห็น "ไอ้บ้า" สองคนนี้เดินจงกรมแข่งกัน เท่านั้นยังไม่พอ ยังเดินไปก็คุยกันไป แต่เนื่องจากว่าการเดินจงกรมนั้นคือการปฏิบัติธรรม ครูบาอาจารย์ท่านจึงไม่ได้ว่าอะไร บางทีก็เดินกันตั้งแต่เช้ายันดึก..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    ตอนที่พูดคุยนั้นเป็นการทดสอบกำลังสมาธิของอีกฝ่ายหนึ่ง ว่าคุณสามารถทรงสมาธิขณะเคลื่อนไหวได้ในระดับไหน และสามารถทรงได้นานเท่าไร ขอยืนยันครับ กระผม/อาตมภาพได้เท่าไร ท่านอาจารย์สายชลก็ได้เท่านั้น

    เพียงแต่ว่าถ้าเป็นการนั่งสมาธิ ท่านจะพลาดท่า ไม่สามารถที่จะสู้กระผมที่เข้าออกได้ชำนาญกว่าเท่านั้น ท่านเองก็ลงไปก็ปั้ก...! เงียบไป ๓ ชั่วโมง ดีเหมือนกัน ในเมื่ออยู่ในลักษณะนั้น คือมีความชำนาญในการเข้าที่เรียกว่า สมาปัชชนวสี ขาดความชำนาญในการออกสมาธิ ที่เรียกว่า วุฏฐานวสี

    ถ้าหากว่าเราไปดูในวสีทั้ง ๕ ก็จะมีการใช้คำว่า มีความชำนาญในการพิจารณาไปตามลำดับฌาน มีความชำนาญในการเข้าฌานสลับฌาน มีความชำนาญในการทรงฌานตั้งเวลา เป็นต้น

    เรื่องพวกนี้สมัยที่ปฏิบัติธรรมอยู่กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง กระผม/อาตมภาพซักซ้อมอยู่เช้ายันค่ำ มีความชำนาญกว่าท่าน แต่ถ้าเอาเรื่องของความหนักแน่นในสมาธิ เข้าทีละยาว ๆ แล้วสู้ท่านไม่ได้

    จึงเป็นที่น่าเสียดาย เพราะว่ายังไม่เห็นบุคคลที่สืบทอดวิชาพญาเต่าเรือนสายตรงของหลวงปู่หลิว ที่ถัดจากท่านอาจารย์สายชลอย่างชัดเจนเลย ของกระผม/อาตมภาพถือว่าใช้ไม่ได้ เพราะว่าใช้วิธีขี้โกง ของท่านอาจารย์เทพ (พระครูปฐมสาธุวัฒน์ วัดสี่แยกเจริญพร) สมาธิท่านก็ยังไม่ได้เรื่อง เรียนรู้พื้นฐานทุกอย่าง เหมือนอย่างกับคนที่มีอาวุธสารพัด แต่มีกำลังไม่พอที่จะแบกอาวุธนั้นขึ้นมาใช้ให้ถนัดได้

    ดังนั้น...สิ่งนี้จะเป็นเครื่องเตือนใจให้ท่านทั้งหลายว่า ถ้าหากปฏิบัติธรรมไปแล้วมีปัญหา กระผม/อาตมภาพยืนยันได้ว่า การปฏิบัติในสมาธิภาวนา ถ้าตั้งใจทำจริง จะตอบปัญหาได้เกือบทั้งหมด เพียงแต่บางคนก็อาจจะรู้เร็ว รู้ช้า ตามแต่ความเพียรพยายาม และวาสนาบารมีที่สั่งสมมา
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    เพียงแต่ว่าคำตอบในระดับสุดท้าย ในเรื่องของมรรคของผล จะเป็นคำตอบที่ทำอย่างไรเราก็ต้องมีครูบาอาจารย์บอกกล่าว ไม่เช่นนั้นแล้ว เราก็จะได้คำตอบแค่ในเรื่องของสมาธิที่สงสัยและติดขัดเท่านั้น เพราะว่าตรงจุดนั้น ถ้าหากว่าเรามีความเพียรพยายามในการปฏิบัติจริง ๆ เมื่อทำไปถึงคำตอบก็จะปรากฏขึ้นเอง

    ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะเห็นว่าสมาธิคือข้อกลางของไตรสิกขา ก็คือ ศีลสร้างสมาธิให้เกิด สมาธิสร้างปัญญาให้เกิด ปัญญาเกิดแล้ว ไปคุมศีลกับสมาธิอีกทีหนึ่ง พิจารณา ระมัดระวังจนศีลบริสุทธิ์ยิ่ง ๆ ขึ้นไป จนสมาธิมีความหนักแน่น มีความคล่องตัว มีความเชี่ยวชาญมากยิ่ง ๆ ขึ้นไป

    แล้วท้ายที่สุด สมาธินั้นก็จะก่อให้เกิดปัญญาที่แหลมคม ว่องไว รู้เท่าทันกิเลสทุกอย่าง เห็นชัดเจนถึงขนาดว่า ถ้าเราคิดแบบนี้ กิเลสจะเกิดขึ้น ถ้าเราคิดแบบนี้ กิเลสจะไม่เกิดขึ้น แล้วเราก็เลือกคิดเฉพาะในส่วนที่ทำให้ ศีล สมาธิ ปัญญา เจริญขึ้น หยุดการนึกคิดปรุงแต่ง ในด้านที่ทำให้กิเลสเจริญขึ้น

    ถ้าหากว่ามาถึงตรงระดับนี้ แล้วท่านสามารถทรงได้ตลอดเวลา คำว่านิโรธ หรือนิโรธะ ความดับสนิทจะปรากฏขึ้นแก่เรา กิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ทุกอย่างมีอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ เหมือนกับมีฟืนมีไฟมหาศาลกองอยู่ตามเดิม เพียงแต่เราไม่แส่ไปจุดไปขึ้นมาเผาเราเท่านั้น

    หลายท่านที่ลำบาก ที่เดือดร้อนอยู่ โดยเฉพาะพระภิกษุสามเณรของเรา ก็คือในเรื่องของราคะ ไม่ต้องหนักใจครับ ถ้าท่านสามารถแยกออกได้ ว่า ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นสมบัติของร่างกาย ปกติที่จะต้องมี แต่เราไม่ไปยุ่งด้วยเท่านั้น ก็คือแค่เลิกคิด
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    ทุกวันนี้เราไปช่วยกิเลสทำร้ายตัวเราเอง เพราะว่าเราไปคิดปรุงแต่งเพิ่มเติม ผู้หญิงคนนี้ รูปร่างอย่างนี้ หน้าตาอย่างนี้ หุ่นอย่างนี้ สเปคของเราหรือเปล่า ? ไปเรื่อยเปื่อยเลยครับ ปรุงเมื่อไรกิเลสก็กินเราทันทีทันใด แค่เราเห็นว่าเป็นหญิงเป็นชายก็อันตรายมากแล้ว

    ทำอย่างไรที่เราจะสักเห็นว่าเป็นรูป เป็นธาตุ ไม่เกิดการนึกคิดปรุงแต่ง ถ้าอย่างนั้นต่อให้คลุกคลีตีโมงขนาดไหนก็ตาม กิเลสก็ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้


    จึงขอฝากเอาไว้เป็นการบ้านสำหรับพระภิกษุสามเณรของเรา และญาติโยมทั้งหลายที่เป็นนักปฏิบัติว่า หยุดคิด..แล้วจะประสบความสำเร็จในการปฏิบัติธรรม แต่ต้องเป็นการหยุดคิดแบบคนมีปัญญา ก็คือหยุดในด้านที่ก่อทุกข์ก่อโทษให้เกิดแก่เรา และคิดในด้านที่สร้างความเจริญในการปฏิบัติให้แก่เรา


    ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๑๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...