เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๕

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๕

​

 

วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพมีภารกิจทางด้านนอกต่อเนื่องกันหลายวัน โดยเฉพาะงานอบรมเจ้าอาวาสใหม่ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ซึ่งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ทำให้บรรดาเจ้าอาวาสใหม่ทั้งหลายขาดการอบรมไป ๒ ปีต่อเนื่องกัน

สำหรับวันนี้เรื่องที่อยากจะบอกจะกล่าวแก่ทุกท่านก็คือ คำถามต่าง ๆ ที่บรรดาญาติโยมกระหน่ำโทรกันเข้ามา คำถามแรกก็คือ "ปีนี้จะมีการเป่ายันต์เกราะเพชรหรือไม่ ?"

เรื่องนี้ต้องเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมทุกท่านอีกครั้งหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่เคยบอกมามากมายหลายครั้งแล้ว แต่ว่าก็ยังคงมีคนถามอยู่เสมอ ก็คือในเรื่องของยันต์เกราะเพชรนั้น กระผม/อาตมภาพไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลย ถ้าหากว่าพระท่านไม่ได้อนุญาตให้ทำ

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ยันต์เกราะเพชรคือบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่แผ่ปกลงมาให้การอนุเคราะห์สงเคราะห์ต่อบุคคลที่เลื่อมใส และกระทำตามกฎเกณฑ์กติกาได้ ก็จะช่วยให้ปลอดภัยในชีวิตจากสิ่งอันตรายต่าง ๆ ไปได้ในระดับหนึ่ง

เพียงแต่ว่า ถ้าหากว่าเรากระทำด้วยตนเองนั้น กำลังต่อให้สูงถึงระดับอภิญญา ๕ หรือว่าสมาบัติ ๘ ก็ได้ไม่เกิน ๒ เปอร์เซ็นต์ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสงเคราะห์ให้ ดังนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ตัวกระผม/อาตมภาพเองไม่สามารถที่จะกำหนดได้ เพราะว่าถ้าไม่ได้รับคำสั่ง ต่อให้มีวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำกี่วันก็ตาม กระผม/อาตมภาพก็ไม่สามารถที่จะกระทำได้

ในสมัยที่ได้รับการครอบครูเพื่อให้เป่ายันต์เกราะเพชรนั้น ในวัดท่าซุงช่วงนั้น ได้รับการครอบครูมาทั้งสิ้น ๙ รูปด้วยกัน ปัจจุบันนี้ก็มีทั้งมรณภาพและออกไปอยู่ที่อื่น จนกระทั่งภายในวัด ปัจจุบันนี้เหลืออยู่รูปเดียวเท่านั้น และไม่ใช่รูปที่ทุกคนคิดว่าใช่เสียด้วย..!

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ยิ่งเป็นเหตุให้คำสั่งข้อต่อ ๆ ไปของพระท่านนั้น มีความจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติให้ได้ อันดับแรกก็คือว่า ห้ามเดินสายเป่ายันต์เกราะเพชร ตามคำสั่งที่ได้รับมาในขณะที่ครอบครูเป่ายันต์เกราะเพชรก็คือว่า บุคคลผู้ได้รับการครอบครูไปแล้ว ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดไหน หรือว่าไปอยู่ที่วัดไหน ก็ให้ทำได้เฉพาะที่วัดนั้นเท่านั้น เนื่องเพราะเกรงว่าจะเป็นการเดินสายหากิน เป็นต้น

 

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ กฎเกณฑ์กติกายังมีอีกหลายข้อ แต่กระผม/อาตมภาพไม่ขอกล่าวถึง ที่บอกอย่างชัดเจนก็คือว่า ต่อให้ท่านสอบถามอย่างไร ถ้าหากว่าไม่ได้รับคำสั่งจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กระผม/อาตมภาพก็ไม่สามารถที่จะกระทำการใด ๆ ได้ทั้งสิ้น

เรื่องนี้ถ้าหากว่าได้รับคำสั่งเมื่อไร ก็จะมีการประกาศบอกทั้งในเว็บไซต์วัดท่าขนุน ทั้งในเฟซบุ๊ก ตลอดจนกระทั่งช่องทางโซเชียลต่าง ๆ ท่านทั้งหลายไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้รับทราบข่าวคราว เพราะว่าอย่างไรเสีย ข่าวนี้ก็ต้องไปถึงท่านอย่างแน่นอน

ประการต่อไปก็คือว่า มีบุคคลเรียกร้องให้สร้างวัตถุมงคลเพิ่มขึ้น นี่ก็เป็นไปไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะว่ากระผม/อาตมภาพจะสร้างวัตถุมงคลก็ต่อเมื่อได้รับคำสั่งจากพระ หรือว่าครูบาอาจารย์เท่านั้น

เนื่องจากว่ามีหลายท่านอาสาเข้ามาเป็นเจ้าภาพสร้างถวาย แล้ววัตถุมงคลเหล่านั้นก็ยังคงค้างคาอยู่กับวัดมาจนทุกวันนี้ แต่ขณะเดียวกันวัตถุมงคลแบบใดที่พระท่านมีคำสั่งให้สร้าง จะเป็นวัตถุมงคลที่จำหน่ายหมดลงด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ..!

แบบเดียวกับที่เมื่อวานมีญาติโยมท่านหนึ่งโทรเข้ามาถามว่า "ยังมีพระยอดขุนพลกาญจนบุรีพิมพ์เล็กเหลืออยู่อีกหรือไม่ ?" เมื่อได้ตอบไปว่า "ไม่มีเหลือแล้ว" ผู้ถามก็ยังย้ำกลับมาด้วยความไม่เชื่อใจว่า "เพิ่งจะออกเองนะ..!" ก็ขอยืนยันว่า แม้เพิ่งออกเองก็ตาม ถ้ากระผม/อาตมภาพที่เป็นเจ้าอาวาสช้าอยู่ ก็จองไม่ทันเช่นกัน

ดังนั้น...การสร้างวัตถุมงคลของวัดท่าขนุนนั้น กระผม/อาตมภาพจะปล่อยให้เป็นไปตามประสงค์ของพระหรือว่าครูบาอาจารย์เท่านั้น เพราะถ้าหากว่าทำนอกเหนือวัตถุประสงค์ ต่อให้ได้รับการสงเคราะห์ ก็ไม่ค่อยจะมีใครสนใจวัตถุมงคลรุ่นนั้น ๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมาก ๆ

 

ประการต่อไปก็คือ ระยะนี้มีหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานก็ดี วัดวาอารามก็ดี ตลอดจนกระทั่งเป็นการส่วนตัวก็ตาม ท่านทั้งหลายเหล่านี้จะมาขออนุญาตสร้างวัตถุมงคลในนามวัดท่าขนุน

ตรงนี้ขอปฏิเสธเอาไว้ตั้งแต่ตอนนี้เลยว่า กระผม/อาตมภาพไม่อนุญาตให้ใครสร้างวัตถุมงคลในนามวัดท่าขนุน ยกเว้นว่าจะได้รับการติดต่อมาตั้งแต่ต้น และเมื่อสอบถามครูบาอาจารย์หรือว่าพระท่านแล้ว ได้รับอนุญาต คือ มีความเห็นว่าสร้างได้ ก็จะบอกกล่าวให้ท่านทั้งหลายได้ทราบ แต่ว่าตอนนี้ไม่มีใครที่ได้รับอนุญาตเช่นนั้น

แม้แต่ตัวกระผม/อาตมภาพเองที่ต้องการเงินเป็นอย่างมาก เพื่อนำไปใช้ในการสร้างพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุน ซึ่งเซ็นสัญญาไปในเบื้องต้นที่ ๑๕๕ ล้านบาท แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้สร้างวัตถุมงคลเพิ่มเติมในช่วงนี้ ก็ได้แต่รอว่าด้วยอำนาจของพระคาถาเงินล้านก็ดี ด้วยพุทธบารมี ธัมมบารมี สังฆบารมี ตลอดจนกระทั่งบารมีของพรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ ท่านจะอนุเคราะห์สงเคราะห์ให้เงินเข้ามาทางด้านใด ? ต้องเรียกว่าไม่ได้รับอนุญาตให้สร้างก็เป็นการดี เพราะว่าจะได้ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยในการที่ต้องไปกระทำชนวน หรือว่าจัดเตรียมวัสดุ

ทั้งยังต้องเตรียมการบวงสรวงขออนุญาต เตรียมการบวงสรวงพุทธาภิเษก และขณะเดียวกันก็จะต้องกำหนดวันเวลาที่เหมาะสม เพราะว่ากระผม/อาตมภาพเองเป็นบุคคลที่มีภาระงานมาก ทำให้มีเวลาว่างเหลือน้อยเต็มที

โดยเฉพาะหลายท่านที่ผลักภาระให้กับทางวัดท่าขนุนเลย ก็คือขออนุญาตสร้าง แต่ให้วัดท่าขนุนดำเนินการทั้งหมด แล้วจะแบ่งปัจจัยส่วนหนึ่งถวายวัดท่าขนุน หรือว่าแบ่งวัตถุมงคลส่วนหนึ่งถวายวัดท่าขนุน ถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้น แล้วกระผม/อาตมภาพจะไปอนุญาตให้ท่านสร้างทำไม ? ก็สร้างเสียเองไม่ดีกว่าหรือ ?

ตรงจุดนี้ เวลาเจรจาอะไรกัน ก็อย่าเอาแต่ประโยชน์ส่วนตนมากมายจนเกินไป เพราะว่าบุคคลอื่นไม่ได้กินหญ้า..! ย่อมมีปัญญาเพียงพอที่จะพินิจพิจารณา ว่าเรื่องที่ท่านทั้งหลายขอมานั้นสมควร หรือไม่สมควรเป็นประการใด

 

อีกประการหนึ่งก็คือ กระผม/อาตมภาพได้บอกกล่าวไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า ไม่อนุญาตให้บุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือว่านิติบุคคลหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง สร้างรูปหรือว่าเหรียญที่เป็นรูปของกระผม/อาตมภาพอย่างเด็ดขาด..!

ซึ่งสิ่งนี้ได้ลงกระทู้ไว้ในห้องประชาสัมพันธ์ หรืออาจจะเป็นห้องที่บอกกล่าวเกี่ยวกับข่าวของวัดท่าขนุนก็ไม่แน่ ว่าการสร้างรูปหรือว่าเหรียญของกระผม/อาตมภาพนั้น จะไม่ได้รับการอนุญาตให้สร้างอย่างเด็ดขาด

ดังนั้น...ท่านทั้งหลายไม่ต้องเพียรพยายามตรงจุดนี้ ถ้าหากว่าจะสร้างเมื่อใด สิ่งแรกที่กระผม/อาตมภาพจะทำก็คือสร้างเพื่อวัดท่าขนุน ไม่ได้สร้างเพื่อท่านหรือว่าหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ซึ่งถ้าหากว่ามีความจำเป็น อายุกาลผ่านวัยถึงจุดที่เคยกำหนดเอาไว้ก็จะสร้างเช่นกัน แต่ว่าคงไม่ใช่ในระยะใกล้ ๆ นี้

เรื่องสุดท้ายที่อยากจะบอกกล่าวในวันนี้ก็คือว่า ท่านทั้งหลายที่ขอให้กระผม/อาตมภาพจารแผ่นชนวนก็ดี เสกชนวนก็ดี ทำผงเพื่อสร้างวัตถุมงคลก็ดี กรุณาทำสิ่งหนึ่งประการใดตามแบบของโบราณด้วย ก็คืออย่างน้อยต้องมีดอกไม้ธูปเทียนมาเพื่อบูชาครู ไหว้ครู หรือว่าแสดงออกซึ่งความเคารพในพระรัตนตรัย ไม่ใช่ว่ามามือเปล่า แล้วมาขอเอาดื้อ ๆ อย่างเดียว..!

ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายทำในลักษณะนั้น ก็มักจะไม่ได้อะไรกลับไป เพราะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าท่านจะเอาแต่ประโยชน์ โดยไม่ได้มีความเคารพในพระรัตนตรัยเลยแม้แต่น้อย

อยากจะยกตัวอย่างหน่วยงานสัก ๒ หน่วยงานก็คือ อันดับแรกเลย กองกำกับการตำรวจภูธรภาค ๗ ซึ่งหน่วยงานนี้จะมีหนังสือขอความร่วมมือมา เมื่อได้รับนัดหมายแล้ว เจ้าหน้าที่ก็จะนำบายศรีพร้อมกับชนวนมาถึงวัด เพื่อขอให้กระผม/อาตมภาพอนุเคราะห์สงเคราะห์ให้

 

อีกหน่วยงานหนึ่งก็คือ กองบิน ๕ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ก็ได้กระทำในลักษณะนี้ คือเข้ามาติดต่อประสานงานด้วยวาจาก่อน หลังจากนั้นกลับไปเรียนผู้บังคับบัญชา ขอหนังสือนำอย่างเป็นทางการมา แล้วถึงได้กระทำขั้นตอนอื่น ๆ ไปตามสิ่งที่ควรจะเป็น

ท่านทั้งหลายที่เป็นพุทธศาสนิกชน กรุณาอย่าเอาความอยากในจิตของตน มาลดคุณค่าของพระรัตนตรัย ซึ่งเป็นสิ่งที่หาประมาณค่าไม่ได้ เพราะว่าท่านไม่เคารพพระรัตนตรัย แล้วใครจะเคารพ ? การเคารพนั้นก็ต้องเคารพด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจจริง ๆ ไม่ล่วงเกินทั้งต่อหน้าและลับหลัง

บางท่านก็สงสัยว่าท่านโน้นมาถึง กระผม/อาตมภาพก็รีบกุลีกุจอทำให้ด้วยความเต็มอกเต็มใจ แต่พอถึงคิวของตัวเองบ้าง ทำไมกระผมปฏิเสธแบบไร้เยื่อใยโดยสิ้นเชิง ?

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าท่านรู้จักคิด รู้จักพิจารณา ก็จะเข้าใจได้ด้วยตนเอง แต่ถ้าหากว่าสภาพจิตหยาบจนเกินไป บางทีก็ไม่อาจที่จะซึมซาบเข้าใจได้เช่นกัน จึงต้องมาบอกมากล่าวให้ทุกท่านได้รับทราบอย่างเป็นทางการอีกวาระหนึ่ง

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๑๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)