เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 7 เมษายน 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ ตอนช่วงนำสามเณรเจริญพระกรรมฐาน ก็ดีใจว่ามีบางรูปสามารถที่จะเห็นพระได้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เพราะว่าเห็นเป็นแสงสว่างเจิดจ้าอย่างเดียว ดูไปดูมาแล้วกลัว..ก็เลยเผ่นเสียอีก ก็ต้องบอกว่าเป็นปกติ เพราะว่าไม่ใช่แต่สามเณรที่เป็นเด็กจะกลัว แม้แต่ผู้ใหญ่ที่เจออาการแบบนั้นก็กลัวกันมามากแล้ว

    ซึ่งความจริงถ้าพวกเราเจริญกรรมฐานกัน โดยมีการไหว้ครู มีการอาราธนาบารมีพระ อาราธนาบารมีครูบาอาจารย์ท่านคุ้มครอง ตรงจุดนี้ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปกลัวอะไร

    แต่ส่วนใหญ่แล้วเรื่องของความกลัวนั้นเป็นจิตใต้สำนึก เป็นสิ่งที่แท้จริงในกำลังใจของเรา ดังนั้น...ถ้าหากว่าจะห้ามตนเองไม่ให้กลัว ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก กระผม/อาตมภาพเองปฏิบัติธรรมมามาก แรก ๆ ก็ยังกลัว จนกระทั่งความกลัวมาหายไปตอนไหนก็บอกไม่ถูก

    เพียงแต่ว่าเวลาสามเณรที่ทำได้ ถ้าหากว่าปฏิบัติธรรมใหม่ อย่าไปอยากเห็นแบบนั้นอีก ให้ทำใจสบาย ๆ ว่าเรามีหน้าที่ภาวนา จะเห็นหรือไม่เห็น จะเป็นหรือไม่เป็น จะสว่างหรือไม่สว่างก็ช่างเถอะ ถ้าทำกำลังใจอย่างนี้แล้วภาวนาไปอย่างเดียว ก็จะสามารถเข้าถึงได้อีก

    แต่ถ้าทำเมื่อไรก็อยากจะเห็นแบบนั้น ชาตินี้ก็ไม่ต้องเห็นอะไรอีกแล้ว เพราะว่าเป็นการทำโดยเอา "ความอยาก" นำหน้า ในเมื่อความอยากนำหน้า จิตใจไม่มั่นคง มีแต่ความฟุ้งซ่าน ก็แปลว่าเรายากที่จะเข้าถึงความดีในระดับที่ต้องการได้

    เมื่อเช้านี้มีสามเณรบางรูปเดินตามตอนบิณฑบาตแทบไม่ทัน เพราะว่าเท้าบาง เดินไปแล้วเจ็บมาก จะว่าไปก็เป็นเรื่องปกติ แต่ขอให้ทุกคนเข้าใจว่า ความลำบากเหล่านี้จะหล่อหลอมให้เราอดทน ต่อไปอะไรที่เกิดขึ้นในชีวิต ถ้าไม่ยากกว่านี้ ไม่ลำบากกว่านี้ ไม่เจ็บปวดกว่านี้ เราจะรับได้ทั้งหมด ซึ่งตรงจุดนี้บางทีสามเณรก็อาจจะไม่เข้าใจ

    แม้กระทั่งในเรื่องของการฉันอาหาร ทำไมต้องจำกัดเวลา ? การจำกัดเวลา อันดับแรกเลยก็คือ เพื่อความพร้อมเพรียงกันของหมู่คณะ อันดับที่สองก็คือ นักบวชเขาไม่ให้เพลิดเพลินกับการกิน ถึงจะกินก็ต้องมีสติรู้ตัวอยู่เสมอ ว่าเป็นไปเพื่อยังอัตภาพร่างกายนี้เอาไว้ปฏิบัติธรรมเท่านั้น
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    คราวนี้ในส่วนที่สามเณรฉันอาหารนั้น ต้องบอกว่าให้เวลาถึง ๑๕ นาที ถ้าหากว่าไปเจอระบบการฝึกแบบทหารนี่ เขาให้แค่ ๓ นาที..! ของพวกเรามากกว่าตั้ง ๕ เท่า แต่ว่า ๓ นาทีของทหาร ไม่เคยได้ครบ ๓ นาทีแม้แต่ครั้งเดียว ส่วนใหญ่แล้วเป่านกหวีดครั้งแรกก็คืออนุญาตให้ตักข้าวใส่ปากได้ เป่าครั้งที่ ๒ ก็คือหยุดกิน ซึ่งก็มักจะไม่ถึงนาที..!

    โดยเฉพาะครูฝึกบางท่านจะพยายามแลกเวรแล้วก็เข้าเวรวันพุธ วันพุธจะเป็นวันเดียวที่เขามีขนมให้ ไม่ได้มากไม่ได้มายอะไรหรอก ก็ใส่แค่ช่องถาดหลุมเล็ก ๆ เท่านั้นแหละ แต่ลองนึกถึงว่าทหารที่ฝึกหนัก ร่างกายขาดสารอาหารมาก อยากกินของหวาน แต่มีให้แค่นั้น

    แต่ปรากฏว่ามีครูฝึกท่านหนึ่ง คือจ่าสิบเอกวิทยา นุชแผน ญาติผู้ใหญ่ของใครก็ขออภัยที่เอ่ยชื่อ จะพยายามแลกเวรให้ตรงกับวันพุธ แล้วสิ่งที่จ่าทำก็คือ เป่านกหวีดปรี๊ดแรก ตักเข้าปากได้ ปรี๊ดที่สองหยุด จบการกินสำหรับมื้อนั้น แล้วบางทีปรี๊ดแรกกับปรี๊ดที่สองก็คือต่อเนื่องกันไปเลย..!

    เพราะฉะนั้น..เพื่อนฝูงหลายคนก็ใช้วิธี พอปรี๊ดก็จ้วงขนมก่อนเลย ซึ่งถ้าหากว่าตักบรรจงบรรจงหน่อยก็ได้ประมาณ ๔ - ๕ ช้อน ไม่รู้ว่าเพื่อนตักอีท่าไหน ควานทีเดียวม้วนใส่ปากได้ทั้งหลุม..! ต้องบอกว่าเป็นความสามารถพิเศษของเพื่อน เพราะฉะนั้น...สิ่งที่สามเณรเจอ ถ้าโตขึ้นไปแล้วเข้าโรงเรียนทหารหรือโรงเรียนตำรวจจะเจอแบบนี้ แล้วก็อาจจะหนักกว่านี้ขึ้นไปตามลำดับของการฝึก

    ดังนั้น...สิ่งที่เราได้ไปจากที่นี่ ต่อไปจะช่วยให้เราดำรงชีวิตได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะตอนนี้ภาวะศึกสงครามกำลังจะเริ่มลามไปแล้ว รีบพูดเกินไปหรือเปล่า ? ที่เขาบังคับทหารให้ทำอย่างนั้น ก็เพราะว่าถ้าหากว่ามีการรบ มีข้าศึกมาจริง ๆ เวลาจะกินยังไม่มี ใครกินเร็วก็ได้เปรียบ แล้วไอ้ที่เดินกระย่องกระแย่งเป็น "คุดทะราดหยียบกรวด" อย่างที่โบราณเขาว่า สามเณรต้องนึกว่าถ้าข้าศึกตามหลังมา เราอยากจะมีตีนงอกอีกสัก ๒ ตีน..จะได้ช่วยกันวิ่ง ไม่ใช่ค่อย ๆ เดินแบบนั้น
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    ธรรมชาติจะมีการคัดสรร ก็คือเลือกผู้ที่แข็งแกร่งให้อยู่รอด แต่ความจริงไม่ใช่ ผู้ที่แข็งแกร่งมักจะตายก่อน เพราะมั่นใจในความเก่งของตนเอง สิ่งที่ธรรมชาติคัดสรรก็คือ บุคคลที่ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้ดีที่สุดถึงจะอยู่รอด

    คราวนี้ถ้าสงครามเกิด นิวเคลียร์ลงทีเดียวก็จบ ไม่ต้องเสียเวลาวิ่ง อยู่ห่างไป ๒๐ - ๓๐ กิโลเมตร ตูมอยู่ตรงโน้น เราอยู่ตรงนี้ก็ตายได้ แต่ที่อยู่รอดก็ทรมาน มะเร็งรับประทานไป ตายช้าหรือตายเร็วก็ตายเหมือนกัน

    คราวนี้ถ้าหากว่าสามเณรช้าอยู่ อย่าคิดว่าพ่อแม่พี่น้องจะช่วยเรา ถึงเวลาฉุกเฉินขึ้นมา ทุกคนต้องเอาตัวรอดไว้ก่อน จะไม่คิดถึงคนอื่น เราต้องเอาตัวรอดได้ด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้น...พยายามฝึกความอดทน ทำอย่างไรจะวิ่งหนีได้ ๑ วัน ๑ คืน ต้องหนีนานขนาดนั้นเลยหรือ ?

    ขอยืนยันว่าถ้ารบจริง ๆ ต้องหนีนานขนาดนั้น ของทหารนี่เขาบังคับ ๓ วัน ๓ คืน วันท้าย ๆ หลวงพ่อเห็นถนนเลี้ยวโค้ง สมองสั่งให้เดินโค้ง แต่ตีนไม่ฟังแล้ว เดินแหกโค้งตกถนนไปเลย..! เพราะว่าอดหลับอดนอนมาทั้งวันทั้งคืนยังไม่พอ ยังแบกข้าวของเต็มที่ ข้าวปลาอาหารลงท้องก็ไม่มี ร่างกายจึงไม่ฟังเราแล้ว

    คราวนี้ถ้าภัยธรรมชาติเกิดขึ้น สมมติว่าเขื่อนตรงนี้แตก ทำอย่างไรที่สามเณรจะวิ่งขึ้นยอดเขาให้ทัน ? มัวแต่ย่องอยู่ข้างหลังแล้วก็ "พระอาจารย์อุ้มผมด้วย..!" รอไปก่อนเถอะสามเณร พระอาจารย์ก็คงนำหน้าอยู่ลิบ ๆ โน่นแหละ..!

    เคยมีสามเณรตามพี่เลี้ยงออกธุดงค์ พี่เลี้ยงท่านนั้นสึกไปแล้ว ปัจจุบันคือทิดกอล์ฟ สามเณรถามว่า "อาจารย์ครับ ถ้าเสือมาผมจะทำอย่างไรครับ ?" อาจารย์ตอบดีมาก "อาจารย์ไม่กลัวหรอก อย่างไรอาจารย์ก็วิ่งเร็วกว่าเณร" สรุปก็คือสามเณรนอนร้องไห้ทั้งคืน เพราะฉะนั้น...สามเณรต้องคิดให้ดีนะว่า ที่ฝึกไปนี้ยังไม่พอเอาตัวรอดเลย ต้องอดทนอดกลั้น ต้องสู้ให้มากกว่านี้
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    โดยเฉพาะคนที่กลัวผี ให้ภาวนาเกาะภาพพระไว้ พระเป็นความสว่าง ผีเป็นความมืด ถ้านึกถึงพระ ผีจะทำอะไรไม่ได้ แต่อย่างที่บอก ว่ายังยืนอยู่ใกล้ ๆ นะ..! เพราะฉะนั้น....ต้องขยายภาพพระให้ใหญ่ไปเรื่อย ขยายได้ใหญ่เท่าศาลา ผีก็ไปยืนอยู่นอกศาลา ขยายให้ได้ใหญ่ทั้งหมู่บ้าน ผีก็ไปยืนอยู่นอกหมู่บ้าน ขยายให้ใหญ่เต็มโลกไปเลย ผีจะได้ออกไปอยู่นอกโลก จะได้มาหลอกเราไม่ได้..!

    ต้องซ้อมเอาไว้บ่อย ๆ พอเราทำคล่องแล้ว โตขึ้นจะมีประโยชน์มาก กำลังใจที่เป็นสมาธิ ทำให้เรามีความอดทน ทำอะไรก็อึดกว่าคนอื่นเขา ให้มีความมั่นใจ และท้ายที่สุด ถ้าทำเป็น ทำถูก ก็จะขลังกว่าคนอื่นเขา

    เมื่อวานนี้พระครูวาทีวรวัฒน์, ดร. เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุราชวรมหาวิหาร จังหวัดเพชรบุรี โทรมานิมนต์ "ลูกพี่..ช่วยมางานเผาหลวงพ่อแคล้วหน่อยครับ ผมนิมนต์เป็นพิเศษเลยนะ" ถามว่าทำไม ? "ดีใจที่ลูกพี่เป็นพระเกจิอาจารย์ขลัง..ดังมาก แล้วทำไมตอนเรียนอยู่ไม่เห็นลูกพี่บอกใครเลย" ก็เลยถามกลับไปว่า "ถ้ากูบอก แล้วพวกมึงจะใช้กูไหม ?" เพื่อนก็เลยว่า "เออ...จริงครับ" ฉะนั้น...ไม่จำเป็นต้องไปบอกใคร ถ้าหากว่าเราเก่งจริง ถึงเวลาคนก็จะเห็นเอง

    ค่อย ๆ ฝึกไป วันนี้วันที่ ๗ แล้ว วันที่ ๘ วันที่ ๙ อีกสองวันเต็ม ๆ วันที่ ๑๐ ก็แค่ครึ่งวัน อย่าลืมท่องคำอาราธนาศีล อาราธนาธรรม อาราธนาพระปริตร และปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ถ้าใครสามารถปฏิญาณคนเดียวได้ หลวงพ่อจะมีรางวัลพิเศษให้

    ปฏิญาณคนเดียวเขาไม่ได้ใช้ เอเต มะยัง ภันเต ปฏิญาณคนเดียวใช้ เอสาหัง ภันเต สุจิระปะรินิพพุตัมปิ ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัญจะ สังฆัญจะ พุทธะมามะโกติ มัง สังโฆ ธาเรตุ เหมือนกันไหม ? ไม่เหมือนใช่ไหม ? ถ้าหากว่าใครท่องได้ก่อน มีรางวัลพิเศษให้ วันนี้รบกวนพวกเราแค่นี้แหละ

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดีที่ ๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...