ธรรมบรรยายในรายการ "เสียงธรรมจากมหาจุฬาอาศรม"

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 5 เมษายน 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    ธรรมบรรยายในรายการ "เสียงธรรมจากมหาจุฬาอาศรม"


    วันอาทิตย์ที่ ๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ เวลา ๑๙.๐๐ น. พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ประธานชุมชนคุณธรรมต้นแบบวัดท่าขนุน ประธานหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบลท่าขนุน เจ้าสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดกาญจนบุรีแห่งที่ ๒๓ (วัดท่าขนุน) บรรยายธรรมในรายการ "เสียงธรรมจากมหาจุฬาอาศรม" แทนพระเดชพระคุณพระราชวิมลโมลี, ผศ.ดร. ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตสุรินทร์ ซึ่งอาพาธ ณ กุฏิข้างป่าช้า วัดอุทยาน ถนนเลียบคลองบางกอกน้อย หมู่ที่ ๕ ตำบลบางขุนกอง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    ขอเจริญพรญาติโยมทั้งหลาย ที่เข้ามาฟังรายการเสียงธรรมจากมหาจุฬาอาศรมครั้งที่ ๓๔ ภายในวันนี้ เมื่อสักครู่นี้ท่านอาจารย์พระปลัดสรวิชญ์ ท่านได้แนะนำประวัติไปแล้วว่า กระผม/อาตมภาพเคยออกธุดงค์มา

    กระผม/อาตมภาพนั้นตั้งใจที่จะบวชมาตั้งแต่เด็ก แต่ว่าความพร้อมไม่มี เหตุที่ความพร้อมไม่มีนั้น ก็เพราะว่าครูบาอาจารย์ท่านสอนกรรมฐานให้ แล้วเกิดสภาวะแปลกอยู่อย่างหนึ่งก็คือ บุคคลทั่วไปที่กำลังใจของเราไม่ได้รับการฝึกหัด เหมือนกับน้ำที่กระเพื่อมอยู่ตลอดเวลา ก็ไม่สามารถที่จะมองเห็นอะไรได้ แต่ว่าพอฝึกหัดไปถึงระดับหนึ่ง จิตเริ่มนิ่งแล้ว ก็เหมือนกับที่น้ำนิ่ง สามารถสะท้อนให้เห็นสิ่งต่าง ๆ รอบข้างได้ชัดเจนมาก
    ตรงจุดนี้ก็เลยทำให้กระผม/อาตมภาพ ไปเห็นในสิ่งที่น่ากลัวสำหรับนักบวช ก็คือไปเห็นในส่วนที่เป็นทุคติภูมิ พูดง่าย ๆ ว่านรก และเห็นว่านักบวชทั้งหลายนั้นลงไปในนรกกันเยอะมาก ทำให้ไม่กล้าที่จะบวช ทั้ง ๆ ที่ใจรักทางด้านนี้มาตั้งแต่เด็ก

    เพราะว่าทางด้านบ้านของกระผม/อาตมภาพนั้น อยู่ใกล้กับวิทยาลัยสงฆ์กำแพงแสน ซึ่งเป็นวิทยาลัยสงฆ์ของทางด้านคณะสงฆ์ธรรมยุต เท่านั้นยังไม่พอ เนื่องจากว่าสภาพตอนที่เด็ก ๆ นั้นภูมิประเทศรอบข้างส่วนใหญ่คือป่า ก็ทำให้มีพระธุดงค์ไปปักกลดปฏิบัติธรรมกันบ่อย ๆ ได้ถวายการรับใช้ ได้ฟังท่านเล่าเรื่องราวลี้ลับต่าง ๆ ก็เกิดความอยากจะบวชแล้วทำให้ได้อย่างท่านบ้าง

    แต่ปรากฏว่าพอมาฝึกกรรมฐานเข้าจริง ๆ สภาวะที่เกิดขึ้น ต่อให้ "รู้หนอ..เห็นหนอ" อย่างไรก็ไม่หาย กลับชัดเจนยิ่งขึ้น ก็คือพอเรายิ่งไม่สนใจก็ยิ่งเห็นชัด ก็เลยทำให้กลัว ไม่กล้าที่จะบวช เพราะว่าบวชไปแล้วก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างท่านทั้งหลายที่เห็นเหล่านั้นหรือเปล่า ? จึงผลัดมาแล้วผลัดมาอีก เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า

    จนกระทั่งอายุ ๒๗ ปี ซึ่งตอนนั้นชีวิตก็กำลังรุ่งเรืองมาก เพราะว่าประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานทุกอย่าง เงินเดือนประมาณ ๗,๐๐๐ บาท ซึ่งตรงจุดนี้ญาติโยมต้องเข้าใจว่า สมัยนั้นทองคำบาทละ ๒,๐๐๐ กว่าบาทเท่านั้น เงินเดือน ๗,๐๐๐ บาท สามารถซื้อทองได้ตั้ง ๓ บาทกว่า..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    คราวนี้พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ที่สอนวิชากรรมฐานแล้วเกิดสภาวะพิเศษที่ว่านี้ขึ้นมา ท่านถามว่า "ท่านต้องการพระบวชแก้บน ๓ รูป กระผม/อาตมภาพจะบวชให้กับท่านได้หรือเปล่า ?" จึงมาคิดว่า ตัวเราเองก็อยากจะบวชมานานแล้ว แต่ก็ไม่กล้าบวช แล้วนี่ครูบาอาจารย์ท่านเมตตาสอบถามแล้ว เราควรที่จะบวชหรือยัง ? เมื่อมานึกย้อนว่าทำไมเราไม่กล้าบวช ทั้ง ๆ ที่อยากบวชมาตั้งแต่เด็ก ? ก็มาเห็นว่า ที่ไม่กล้าบวชเพราะว่ากลัวอบายภูมิ..!

    แต่คราวนี้ก็มานึกอีกครั้งหนึ่งว่า แล้วพระในอดีต ถ้าไล่ยาวไปจนถึงสมัยพุทธกาลเลย จนกระทั่งมาจนถึงรุ่นของครูบาอาจารย์ ท่านมีความรู้ มีความสามารถ โดยเฉพาะในสมัยพุทธกาล ท่านสามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานกันได้มากมาย แล้วทำไมตรงจุดนี้เราถึงไม่สามารถที่จะทำได้อย่างท่าน ? ก็เพราะว่าเรายังเกรงกลัวอยู่ โดยเฉพาะกลัวต่อความตาย ในเมื่อเรากลัวความตาย ก็เลยทำให้เราเองไม่กล้าที่จะทุ่มเทแบบเอาชีวิตเข้าแลก จึงเกิดเหตุที่ทำให้ไม่กล้าบวชมาจนกระทั่งอายุ ๒๗ ปีเข้าไปแล้ว

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ยุคสมัยนี้ของเรา เมื่อศึกษาในระเบียบวินัยของพระแล้ว ศีลมีไม่ถึง ๒๒๗ ข้อ เหตุที่ศีลมีไม่ถึง ๒๒๗ ข้อ ก็เพราะว่าศีลที่เกี่ยวกับภิกษุณี เราได้กำไรเก็บเอาไว้เฉย ๆ เพราะว่าไม่มีนางภิกษุณีแล้ว การประพฤติปฏิบัติเกี่ยวกับนางภิกษุณี ที่จะผิดจะพลาดทำให้ละเมิดศีลจนเกิดโทษต้องลงอบายภูมิก็ไม่มี

    บรรดาข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นจีวร อาสนะ เสนาสนะต่าง ๆ พระสงฆ์ก็ไม่ต้องสร้างเอง ไม่ต้องทำเอง เพราะฉะนั้น...พวกบรรดาอาบัติต่าง ๆ ที่จะทำให้ศีลขาดเหล่านี้ ก็เท่ากับว่าไม่มี เพราะว่าสมัยนี้ส่วนใหญ่แล้วญาติโยมก็หามาถวาย หรือว่าจัดสร้างถวายให้

    ในเมื่อได้กำไรมากขนาดนี้แล้ว ถ้าหากว่ายังพลาดลงอบายภูมิก็ต้องถือว่าเราไร้ความสามารถเอง จึงรับปากพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านว่า "ตกลงครับ กระผมจะบวชให้ตามที่หลวงพ่อต้องการ"
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เมื่อบวชเข้ามาแล้ว จากการที่ได้ศึกษาพระธรรมวินัยมา จึงทำให้รู้ว่า ถ้าเรายังไม่ครบ ๕ พรรษา ก็ไม่ควรที่จะไปจากครูบาอาจารย์ เพราะว่าการไปจากครูบาอาจารย์ก่อนที่จะครบ ๕ พรรษานั้น พระวินัยเขาว่ายังไม่ได้นิสัยมุตตกะ คือยังไม่พ้นจากการปกครองของครูบาอาจารย์ ก็จะเกิดโทษในการไม่เอื้อเฟื้อพระวินัยขึ้นมาได้

    ดังนั้น...ในช่วงระยะ ๓ - ๔ พรรษาแรกกระผม/อาตมภาพจึงมีหน้าที่อยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือ ทำหน้าที่การงานตามที่ครูบาอาจาย์มอบหมายให้ อย่างที่สองก็คือ ทุ่มเทกับการปฏิบัติอย่างชนิดที่เอาชีวิตเข้าแลก..!

    คำว่า เอาชีวิตเข้าแลกตรงนี้ก็คือไม่เลือกเวลา ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืนก็ตาม ถ้าหากว่าตื่นอยู่ จะปฏิบัติธรรมตลอดเวลา จนกระทั่งระยะนั้นส่วนใหญ่แล้วคืนหนึ่งก็จะได้จำวัด คือนอนประมาณ ๒ ชั่วโมงเท่านั้น แล้วก็ยังฉันมื้อเดียวอีกต่างหาก ไม่ต้องห่วงว่าบุคคลที่พบกระผม/อาตมภาพในสมัยนั้นกับสมัยนี้ ทุกคนจะทักว่าอ้วนขึ้น แต่คำว่าอ้วนขึ้นในที่นี้ ก็ยังผอมอยู่ในสายตาของคนทั่วไป เพียงแต่ว่ามีเนื้อมีหนังขึ้นมามากกว่าตอนนั้น

    คราวนี้เมื่อศึกษานักธรรมจนกระทั่งจบนักธรรมชั้นเอก พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านก็บอกว่า "ความรู้ของแกพอคุ้มตัวได้แล้ว เรื่องของสมาธิสมาบัติต่าง ๆ ก็ฝึกซ้อมจนคล่องตัวแล้ว อนุญาตให้ออกธุดงค์ได้"


    ในเมื่อท่านอนุญาตให้ออกธุดงค์ได้ ก็ดีใจว่าความสามารถของเราเพียงพอที่ครูบาอาจารย์ปล่อยให้ออกไปธุดงค์ก่อนที่จะครบ ๕ พรรษา เมื่อพระพี่พระน้องได้ยินว่าจะไปธุดงค์ คนโน้นก็ขอตาม คนนี้ก็ขอตาม ไม่ทราบเหมือนกันว่ากระผม/อาตมภาพมีอะไรดี ทำให้คนอื่นมักจะเห็นเป็นผู้นำอยู่เสมอ
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    ในเมื่อเป็นเช่นนั้นกระผม/อาตมภาพก็เลยออกธุดงค์ แต่ปรากฏว่าสถานที่แรกเลยที่เลือกก็คือ เมืองลับแล ไม่ใช่เมืองลับแลของจังหวัดอุตรดิตถ์ แต่เป็นลับแลที่ภาษาสายวัดป่าท่านเรียกว่า ชาวบังบด ก็คือบรรดาท่านที่อยู่อีกภพภูมิหนึ่ง ที่มีเลือดมีเนื้อเหมือนกับเราทุกอย่าง คุณความดีของท่านทั้งหลายเหล่านี้ ไม่เพียงพอที่จะเป็นนางฟ้า เป็นเทวดา แต่ก็ดีเกินกว่าที่จะอยู่ร่วมกับพวกเราได้ จึงต้องมีเขตหนึ่งแยกต่างหากออกไปตามกัมมวิปากชาฤทธิ์ ก็คือฤทธิ์ที่เกิดโดยวิบากกรรมของท่าน

    เขตทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าไม่ใช่บุคคลที่มีบุญมีกุศลร่วมกันมาจริง ๆ ไม่สามารถที่จะเข้าไปได้ แต่ว่าบุคคลที่เคยมีบุญ มีกุศล มีบุญสัมพันธ์ มีกรรมสัมพันธ์กันมา บางทีก็หลงเข้าไปเอง บางทีเมื่อตั้งใจไป ท่านก็จะอนุญาตให้เข้าไปได้

    แต่ว่าสถานที่นั้นต้องเดินผ่านป่าใหญ่ไพรทึบไปเป็นวัน ๆ เมื่อพระพี่พระน้องทั้งหมดได้ยินว่าจะต้องไปบุกป่าฝ่าดงกันขนาดนั้น ท่านจึงถอนตัวกันหมด แต่กระผม/อาตมภาพตั้งใจแล้วว่า ต่อให้ตายก็ต้องไปตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้

    ปรากฏว่าเมื่อไปถึงสถานที่บริเวณซึ่งเป็นหมู่บ้านสุดท้ายก่อนที่จะเข้าสู่ป่าใหญ่ เมื่อชาวบ้านชี้ทางให้ว่าต้องเดินไปตามทางนี้เรื่อย ๆ จนกว่าที่จะเข้าไปในพื้นที่นั้นได้ ทันทีที่เห็นสภาพป่า กำลังใจของ
    กระผม/อาตมภาพก็เหลืออยู่แค่ว่า "ตายแน่..ตายแน่" เท่านั้น จะ "ตายหนอ" หรือ "ตายแน่" ก็คือตายแน่ ๆ..!

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ในตอนแรกกระผม/อาตมภาพคิดว่าเป็นรอยเท้าสัตว์เลี้ยง ปรากฏว่าไม่ใช่ ญาติโยมชาวกะเหรี่ยงที่พูดไทยไม่ชัดเลย บอกว่าเป็นสัตว์ป่า พอเห็นว่ารอยเท้าเหมือนอย่างกับรอยเท้าวัวควายในคอก ก็คือรอยซ้อนรอย รอยซ้อนรอยมากจนประมาณไม่ถูก แล้วเสียงสัตว์ป่าต่าง ๆ ที่ร้องอยู่ในป่า ก็บอกให้รู้ถึงปริมาณว่ามีมากแค่ไหน
    แต่กำลังใจก็คิดว่า "ในเมื่อเกิดมาเป็นผู้ชายทั้งที ถ้าไปตายข้างหน้า คนเขายังว่าเรากล้า ถ้าถอยหลังมาแล้วตาย คนเขาจะตำหนิว่าเราขี้ขลาด ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ขึ้นหน้าเถอะ..!" เมื่อคิดดังนั้นแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาบุกป่าฝ่าดงไป
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนกระทั่งญาติโยมที่ฟังอยู่ว่า การเข้าป่านั้นกำลังใจต้องเข้มแข็งจริง ๆ ไม่เช่นนั้นแล้ว อำนาจของป่าใหญ่จะข่มท่าน จนกระทั่งความกลัวมีมากกว่าความกล้า ถ้าความกลัวมีมาแต่พอดี จะช่วยให้กำลังใจของเราเกาะความดีได้เร็วมาก แต่ถ้าความกลัวเกินพอดี เราอาจจะขาดสติ เตลิดเปิดเปิงไปไหนก็ไม่รู้ บางท่านก็ถึงขนาดเสียสติ บ้า ๆ บอ ๆ ไปเลยก็มี

    กระผม/อาตมภาพก็พยามยามข่มใจตนเอง อาศัยนึกถึงพระเป็นหลักว่า ถ้าหากว่าเกิดอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ ถึงแก่ชีวิตลงไป เราก็ขอให้พระท่านเป็นที่พึ่งอย่างเดียวเท่านั้น


    เมื่อบุกเข้าไปในสถานที่นั้นจนค่ำ ก็ไปปักกลดพักนอนอยู่ ปรากฏว่ารอบข้าง ไม่ทราบว่าเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นผีหรือเป็นอะไร เสียงเกรียวกราวไปทั้งคืน แต่ด้วยความที่เดินป่าบุกเขามาทั้งวัน เหนื่อยมาก แรก ๆ ก็ยังรักษาสภาพจิตให้อยู่กับการภาวนาได้ แต่ว่าท้ายที่สุดก็ตามจิตตัวเองไม่ทัน ตัดวูบเดียว หลับไปตอนไหนไม่รู้ ? มาตื่นอีกทีตอนใกล้รุ่ง

    เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เจริญพระกรรมฐาน แผ่เมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ก็คือวางกำลังใจว่า เราไม่เป็นศัตรูกับใคร ไม่ได้มาเบียดเบียนใคร แค่มาอาศัยสถานที่นี้เพื่อปฏิบัติธรรมชั่วคราวเท่านั้น สิ่งหนึ่งประการใดที่เป็นคุณความดี ขอให้ท่านทั้งหลายได้โมทนาด้วย แต่ถ้าหากว่าสิ่งหนึ่งประการใดที่ไม่ใช่ความดีความงามแล้ว ท่านทั้งหลายอย่าได้รบกวนเลย เพราะว่ายังเป็นพระใหม่ ยังเป็นผู้ใหม่อยู่ พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นมือใหม่หัดเดินป่าเท่านั้น


    เมื่อเข้าไปจนถึงสถานที่นั้น ก็พบกับความอัศจรรย์ของธรรมชาติ ก็คือว่าบริเวณนั้นมีความอุดมสมบูรณ์มาก พูดง่าย ๆ ก็คือว่า ชาวบ้านชาวช่องคล้าย ๆ กับบ้านนอกต่างจังหวัดของเรา แต่มีความสมบูรณ์เป็นพิเศษ ไม่ว่าจะไร่ จะนา จะสวน ล้วนแล้วแต่พืชผลสมบูรณ์กว่าบ้านเราที่ใส่ปุ๋ยใส่ยาเสียอีก

    จนกระทั่งได้หลักจากเขาทั้งหลายเหล่านั้นว่า เขาออกมาทำบุญกับพวกเราบ่อย ๆ แต่ว่ให้สังเกตว่า ถ้าเขามา...อันดับแรกเลย จะนำอาหารที่เป็นมังสวิรัติมา หรือนำผักผลไม้มา ส่วนที่ขาดไม่ได้เลยก็คือกล้วย กล้วยของเขาจะหวีใหญ่มาก หวีหนึ่งอย่างน้อยมี ๑๖ ลูก ถ้ามาเป็นเครือ เครือหนึ่งอย่างน้อยจะมี ๑๓ หวีขึ้นไป
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    กระผม/อาตมภาพเคยถ่ายรูปเอาไว้ แต่ว่าสมัยนั้นเป็นกล้องฟิล์มเก่า ๆ ภาพก็ไม่ชัดเจนนัก หลังจากที่โยกย้ายวัดมาหลายแห่ง ทำให้ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ายังสามารถหาต้นฉบับเจอหรือไม่ ?

    เรื่องราวทั้งหลายนี้ ถ้าเราไม่ได้พบเห็นด้วยตนเอง ก็จะทำให้พวกเราไม่เชื่อ แต่ว่าเมื่อพบเห็นด้วยตนเอง ก็ต้องยอมรับว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีจริง เพราะว่าการธุดงค์ครั้งต่อ ๆ ไป เมื่อถึงเวลาเข้าป่าใหญ่ดงสูง บางที ๑๐ กว่าวันไม่เจอบ้านคนเลย ไม่รู้ว่าจะหาอาหารบิณฑบาตจากที่ไหน จนต้องตั้งใจขอบารมีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ครูบาอาจารย์ช่วยสงเคราะห์ ก็ปรากฏว่าทั้ง ๆ ที่เป็นป่า แต่มีแม่ค้าส้มตำหาบเดินสวนมา..! เมื่อเห็นพระก็ทำท่าดีอกดีใจว่าได้มีโอกาสทำบุญแล้ว แล้วก็จัดแจงตำส้มตำถวายพระ..!

    กระผม/อาตมภาพได้รับบทเรียนมาหลายครั้งว่า เรื่องทั้งหลายเหล่านี้อย่าขี้สงสัย เพราะถ้าขี้สงสัยเมื่อไร บางทีเขาอาจจะไม่สงเคราะห์เราเลย จึงรับเอาอาหารที่เขาถวาย เมื่อฉันเสร็จ ให้พรเสร็จ ก็มองส่งเขาไปจนสุดสายตา

    แล้วสิ่งที่สงสัยก็คือว่า หาบของเขานั้น ด้านหนึ่งก็คือพวกครก พวกเครื่องปรุง พวกผักต่าง ๆ อีกด้านหนึ่งเป็นมะละกอ ๑ ลูกเท่านั้น แต่มะละกอลูกนั้นโตเต็มหาบพอดี..! ก็เลยทำให้คิดว่าจะต้องเป็นท่านทั้งหลายที่ออกมาจากในพื้นที่แบบนั้นแน่นอน เพราะว่าพืชผลการเกษตรทุกอย่างของเขานั้น มีความเจริญงอกงามกว่าข้างนอกเยอะมาก อย่างต้นลิ้นจี่ แต่ละต้นนี่ลูกดกจนกิ่งย้อย ทั้ง ๆ ที่เป็นลิ้นจี่ป่า ที่คนไทยเราเรียกว่า "คอแลน"

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าท่านมีโอกาสเข้าไปก็ให้ระมัดระวังด้วย เพราะว่าระยะเวลาไม่นาน ทางด้านนอกจะผ่านไปหลายวันหลายคืน กระผม/อาตมภาพแนะนำพระรุ่นน้องที่อยากจะเข้าไปว่า ถ้าไปถึงตรงนั้นก็จะเป็นเขตของพวกบังบด ปรากฏว่าพระรุ่นน้องท่านเดินหายไปประมาณครึ่งวัน แล้วก็กลับออกมา
     
  8. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    บุคคลที่อาสานำทางไปส่งตรงปากทาง ถามว่าเข้าไปถึงหรือเปล่า ? ท่านบอกว่าแค่เข้าไปถึงเขตที่อากาศไม่เหมือนข้างนอกก็หยุด แล้วเดินกลับออกมา ซึ่งใช้เวลาไม่กี่นาที แต่ว่าข้างนอกผ่านไปแล้วครึ่งวัน ถามว่าอากาศไม่เหมือนข้างนอกอย่างไร ? ท่านเล่าให้ฟังว่า มีแสงสว่างมาจากทุกทิศทุกทาง แต่ไม่มีต้นกำเนิดแสง ไม่มีดวงอาทิตย์

    ส่วนอีกท่านหนึ่งไป ก็ลักษณะเดียวกัน เพียงแต่ว่าท่านนี้ภาวนาเก่ง แม้แต่เดินอยู่ก็ภาวนาได้ ท่านจึงภาวนาเพลินไป ปรากฏว่าพอเงยหน้าขึ้นมา เห็นบรรยากาศเป็นอย่างที่เพื่อนฝูงเล่าให้ฟังว่า มีแสงสว่างมาจากทุกทิศทุกทาง แต่ต้นไม้ไม่มีเงา แล้วไม่มีแหล่งกำเนิดแสง จึงรีบเดินย้อนออกมา ปรากฏว่าหายไปหนึ่งวันกับหนึ่งคืน..!

    ภายหลังเมื่อกระผม/อาตมภาพได้เดินทางข้ามไปฝึกฝนตนเองทางประเทศพม่า พอดีตรงกับวันพระ ได้ไปภาวนาอยู่บนภูเขา เพราะว่าเป็นคนไม่ชอบความวุ่นวาย เนื่องจากว่าทางด้านชาวมอญชาวพม่านั้น เมื่อถึงเวลาก็จะแห่กันมาทำบุญหมดทั้งหมู่บ้าน จึงมีความวุ่นวาย ไม่ว่าจะเป็นเสียง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำข้าวปลาอาหารอะไรก็ตาม กระผม/อาตมภาพจึงหนีขึ้นไปภาวนาอยู่บนเขา ก็คือพิงผนังเขา แล้วก็ภาวนาเงียบ ๆ อยู่

    ปรากฏว่าอยู่ ๆ มีบุคคลผู้หนึ่งปรากฏขึ้นมาตรงหน้า เหมือนอย่างกับผุดขึ้นมา แวบเดียวก็มายืนอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นดังนั้นกระผม/อาตมภาพก็คิดว่า "นี่ไม่ใช่คนปกติแล้ว" จึงส่งเสียงทักไปว่า "โยม...เป็นภพภูมิไหนหรือ ?" เขาเองเขาก็ตกใจ ไม่คิดว่าจะมีพระมานั่งซุ่มเงียบ ๆ อยู่ตรงนี้

    ในเมื่อเห็นเขา เขาก็ยอมรับ บอกว่า "เป็นชาวลับแลครับ"
    ก็ถามว่า "แล้วโยมมาทำอะไร ?"
    เขาบอกว่า "จะมาทำบุญที่วัดนี้ เนื่องจากว่าเป็นวันพระใหญ่"
    ก็ถามว่า "ที่โยมมานี่เป็นฤทธิ์ เป็นอภิญญา ตามที่มีในพระไตรปิฎก หรือว่าอย่างไร ?"
    ท่านบอกว่า "ไม่ใช่ขอรับ เป็นฤทธิ์ที่เกิดโดยวิบากกรรม ที่ภาษาบาลีเรียกว่ากัมมวิปากชาฤทธิ์ พวกผมทุกคนสามารถทำอย่างนี้ได้ทั้งหมด"
     
  9. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    กระผม/อาตมภาพเกิดคะนองปาก บอกเขาว่า "ลองมาแข่งกันหน่อยไหม ว่าใครจะลงมาถึงข้างล่างก่อนกัน ?" ปรากฏว่าชาวลับแลผู้นั้นบอกว่า "ถ้าจะแข่งกันธรรมดาก็ไม่สนุก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน"

    แล้วท่านก็ล้วงถุงผ้าออกมาแล้วเปิดให้ดู ปรากฏว่าข้างในเป็นเหรียญเงินใหญ่ ๆ รูปพระนางเจ้าวิคตอเรีย พระบรมราชินีนาถของอังกฤษทั้งถุงเลย บอกว่า "ถ้าหากว่าท่านลงไปถึงก่อน ผมถวายหมดทั้งถุงนี้เลย แต่ถ้าหากว่าผมลงไปถึงก่อน ท่านต้องนิมนต์เพื่อนพระอีก ๔ รูป รวมกับท่านเป็น ๕ รูป ไปให้กระผมทำบุญถึงที่บ้าน ๑ วัน"

    เมื่อนึกตรองดูแล้วว่า ครูบาอาจารย์ท่านเตือนว่า วันเวลาในเขตนั้น ๑ วันเท่ากับข้างนอก ๑ ปี ทำให้ไม่กล้ารับคำท้าของท่าน เพราะว่าถ้าหายไป ๑ ปี คงได้เดือดร้อนกันเป็นแน่ เนื่องจากว่าข้ามไปอีกประเทศหนึ่ง แล้ววีซ่าก็อาจจะหมดอายุเสียก่อน เป็นต้น

    ในเมื่อไม่รับ ท่านก็เลยบอกว่า "เอาอย่างนี้ครับ ถ้าหากว่าท่านมาที่นี่อีก ให้มายืนบริเวณนี้แล้วเรียกผม ผมจะออกมารับ" แล้วท่านก็เปิดทางให้ดู ปรากฏว่าจุดที่เราเห็นเป็นภูเขาทั้งลูก อยู่ ๆ ก็ว่างโล่งไปเฉย ๆ แล้วก็เป็นป่า เป็นลำห้วยลำธาร เป็นหมู่บ้านอยู่ข้างใน

    แต่ว่าตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้
    กระผม/อาตมภาพยังไม่ได้กลับไปเลย เหตุเพราะว่าไม่มีเวลาว่างมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากว่าถ้าตามที่ครูบาอาจารย์ท่านบอก ก็คือ ๑ วันของเขาเท่ากับ ๑ ปีของเรา ถ้าเวลาต่างกันขนาดนั้น เราเข้าไปสักวันสองวัน กว่าจะออกมาข้างนอกได้ ญาติโยมข้างนอกก็คงจะวุ่นวายกันน่าดู

    ตรงจุดนี้ที่สามารถเป็นไปได้นั้น ขอบอกว่าไม่ใช่ความสามารถของกระผม/อาตมภาพเอง แต่ว่าเป็นท่านทั้งหลายเหล่านั้นเปิดโอกาสให้ ในเมื่อท่านทั้งหลายเหล่านั้นเปิดโอกาสให้ ก็แสดงว่าในอดีตต้องเคยมีบุญสัมพันธ์ มีกรรมสัมพันธ์กันมาก่อน ก็เลยทำให้ตรงจุดนี้ ช่วยให้เราสามารถที่จะเข้าไปในเขตแดนของท่านได้
     
  10. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    การธุดงค์นั้น ส่วนที่อยากเตือนแก่ญาติโยมทั้งหลายก็คือว่า ในปัจจุบันนี้พระธุดงค์ส่วนใหญ่กลายเป็นบุคคลที่อยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้ เหตุที่กลายเป็นบุคคลที่อยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้ เพราะว่าอาจจะมีแนวคิดวิธีการอะไรที่ไม่เหมือนเขา ก็เลยทำให้แปลกแยกจากสังคม จนต้องต้องไปเข้าป่า

    ส่วนใหญ่ที่พบมาก็คือ ยังไม่ทันจะศึกษาพระธรรมวินัยจากครูบาอาจารย์จนกระทั่งได้นิสัยมุตตกะก็เข้าป่าเสียแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็เลยไปทำผิด ทำพลาด ทำให้ญาติโยมตำหนิติเตียน ทำให้คนเสื่อมความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาของเราได้

    อีกประการหนึ่งก็คือว่า เมื่อท่านทั้งหลายไปโดยที่ตนเองไม่มีความเคร่งครัดในการปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของศีล เรื่องของสมาธิ เรื่องของปัญญา ท่านทั้งหลายที่เป็นอีกภพภูมิหนึ่งก็ไม่มายุ่งมาเกี่ยวด้วย เพราะเหมือนกับว่ามาแล้วท่านก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร แต่ว่าถ้าหากว่าท่านเป็นผู้ที่พอจะมีศีล มีสมาธิอยู่บ้าง เขาทั้งหลายเหล่านี้มักจะมาขอส่วนกุศล

    กระผม/อาตมภาพเองเคยธุดงค์ไปยังที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีบ้านหลังใหญ่สร้างอยู่ เป็นบ้านไม้ชิงชันทั้งหลัง กว้างพอกับศาลาวัดเลย แต่ว่าเจ้าของอยู่ไม่ได้ เหตุที่อยู่ไม่ได้เพราะเขาลือกันว่าผีดุ กระผม/อาตมภาพก็เลยเข้าไปพักดู ปรากฏว่ายังไม่ทันจะดึก ประมาณแค่ ๒ ทุ่มครึ่ง ๓ ทุ่มเท่านั้น เขาทั้งหลายเหล่านั้นก็แห่กันมา ถ้าใช้สำนวนชาวบ้านก็คือ "เหมือนกับป่าช้าแตก" กระผม/อาตมภาพดูใจของตนเองว่าเรากลัวหรือไม่ ขอบอกอย่างไม่อายว่า "กลัว"

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่า การที่ยังสามารถนั่งอยู่ได้นั้น เนื่องจากสติรั้งเอาไว้ว่า ที่ท่านทั้งหลายเหล่านี้มานั้น ไม่ได้มาเบียดเบียนเรา แต่ส่วนใหญ่ก็คือต้องการความดี ต้องการบุญกุศลจากเรา แต่ที่รู้ว่าตัวเองกลัว ก็เพราะว่าขนลุกเกรียว ๆ อยู่ตลอดเวลา สันหลังเย็นวาบ ๆ เลย
     
  11. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เมื่อเขาทั้งหลายมาถึง จึงได้สอบถามว่า "ทำไมถึงต้องมาหลอกกันด้วย ?" เขาก็ปรึกษากันพักหนึ่ง แล้วก็ส่งตัวแทนออกมาหนึ่งราย มาบอกว่า "ขอเรียนพระคุณเจ้าได้ทราบว่า ที่พวกกระผมมานั้นไม่ได้ตั้งใจที่จะมาหลอกใคร แต่พวกกระผมเป็นผู้ที่มีบุญน้อย เหมือนกับยาจก เหมือนกับขอทาน แต่งตัวสวยที่สุดแล้ว ก็คือสิ่งที่ท่านทั้งหลายเห็นแล้ววิ่งหนีกัน ทำให้กระผมกับพรรคพวกไม่มีโอกาสที่จะบอกกล่าวเลยว่าตนเองต้องการอะไร"

    "เมื่อพระคุณเจ้าเปิดโอกาสให้ ก็ขอให้ช่วยถวายสังฆทานให้แก่พวกกระผมด้วย" จึงได้รับปากเขาทั้งหลายเหล่านั้นไปว่า "จะถวายสังฆทานให้ แต่ว่ามีหลักฐานอะไรว่าพวกท่านอยู่ตรงนี้ ?" เขาก็ชี้มือไปด้านหนึ่ง บอกว่า "ทางด้านนั้นมีกระดูกของพวกผมอยู่ ทางเจ้าของที่ตอนสร้างบ้าน เมื่อขุดหลุมแล้วเจอกระดูกเข้า ก็เอาใส่โอ่งแล้วตั้งศาลเอาไว้ให้ มีกระดูกพวกผมอยู่ทางด้านโน้น ๒ โอ่ง..!"

    เมื่อเป็นเช่นนั้น รุ่งเช้าขึ้นมา ก่อนบิณฑบาต
    กระผม/อาตมภาพก็เลยเดินไปดู ปรากฏว่ามีศาลเล็ก ๆ อยู่ แล้วก็มีโอ่งใบไม่ใหญ่นัก ประมาณโอบเดียว ๒ ใบ ใส่กระดูกอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้คาดว่าตรงจุดนั้นน่าจะเป็นป่าช้าเก่า จึงทำให้บุคคลที่มาซื้อที่ตรงนั้น สร้างบ้านแล้วไม่สามารถที่จะอยู่ได้

    เมื่อออกบิณฑบาตกลับมา ฉันเสร็จ..ยังไม่ทันที่จะปฏิบัติศาสนกิจอะไรต่อ ปรากฏว่ามีคนเดินเกาะกันมาเป็นหางเลย มากันห้าหกคน คนเดินนำหน้ามารายงานตัวว่าเป็นเจ้าของบ้าน ได้ยินว่ามีพระมาอยู่ตรงนี้ ๒ วันแล้ว จึงได้พาลูกน้องมา แต่ว่ามาด้วยความกล้าหาญสุดขีด ก็คือมาเอาตอนเกือบเพล ต้องการที่จะให้มีแสงแดดจัด ๆ ผีจะได้ไม่หลอก..!
     
  12. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    กระผม/อาตมภาพได้บอกกับเขาไปว่า "บรรดาท่านที่มานั้นไม่ได้ตั้งใจมาหลอก แต่ว่ามาเพราะต้องการบุญ ต้องการกุศล เพียงแต่ว่าเขาทั้งหลายเหล่านั้นบุญน้อย เมื่อถึงเวลามา แต่งตัวได้สวยเต็มที่ก็ที่ท่านทั้งหลายวิ่งหนีกัน ต่อไปอย่าได้กลัวอีก เราเป็นเศรษฐี ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปกลัวขอทาน" เจ้าของบ้านก็บอกว่า "ถ้าอย่างนั้นดีแล้วขอรับ กระผมจะถวายอาหารในวันพรุ่งนี้ แล้วก็กรวดน้ำอุทิสส่วนกุศลไปให้ ขออย่างเดียวว่า รับส่วนกุศลไปแล้ว อย่ามารบกวนกันแบบนี้อีก"

    ในเมื่อเป็นไปตามนั้นแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ย้ายที่ต่อไป เพราะว่าพระนักปฏิบัติถ้าติดที่ติดทางแล้วก็มักจะเกิดความประมาท ก็คือพออยู่จนเคยชิน สภาพจิตเริ่มนิ่งนอนใจ ก็จะไม่เอาการภาวนา เผลอเมื่อไรก็จะนอนสบายอย่างเดียว

    เมื่อผ่านไปได้ปีเศษ
    กระผม/อาตมภาพก็ได้ย้อนกลับไปทางด้านนั้นอีก ปรากฏว่าไม่มีบ้านหลังนั้นแล้ว เมื่อสอบถามญาติโยมที่เส้นทางบิณฑบาต ญาติโยมบอกว่า "เมื่อหลวงพ่อมาอยู่แล้วทำให้สงบเรียบร้อยลงได้ เจ้าของบ้านก็เลยตัดสินใจขายที่ขายบ้าน แต่เนื่องจากว่าคนซื้อบ้านกับคนซื้อที่ดินเป็นคนละรายกัน คนซื้อบ้านก็เลยต้องรื้อบ้านไป ทางด้านเจ้าของที่ดินก็ยังไม่ได้เข้ามาทำประโยชน์ จึงรกเป็นป่าอย่างที่พระคุณเจ้าได้เห็น"

    ที่เล่าตรงจุดนี้ให้พวกเราฟังนั้น เหตุก็เพราะว่าในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น สภาวธรรมอย่างหนึ่งที่มักจะเกิดขึ้น แม้ว่าท่านต้องการหรือไม่ต้องการ ก็คืออุปกิเลสตัวที่เรียกว่าญาณ เครื่องรู้ปรากฏ

    ถ้าสภาพจิตของเรานิ่งพอ ก็จะสะท้อนภาพต่าง ๆ ให้ปรากฏชัด เหมือนกับสะท้อนเงาลงในน้ำ ถ้าเราจัดการไม่ถูกต้อง จากอุปกิเลสที่แปลว่าใกล้จะเป็นกิเลส ก็จะเปลี่ยนเป็นกิเลสไปทันที ทำให้เราเสียเวลาในการปฏิบัติธรรม ไม่สามารถที่จะไปต่อได้ เพราะว่าปฏิบัติเมื่อไรก็อยากเห็นแบบนั้น ปฏิบัติเมื่อไรก็อยากได้แบบนั้น ในเมื่อท่านเอาความอยากนำหน้า เอาตัณหานำทาง โอกาสที่จะได้แบบนั้นจึงไม่มีอีก
     
  13. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    ครูบาอาจารย์บางท่านถึงขนาดฟันธงว่า ถ้าท่านเคยได้สภาวธรรมดี ๆ แล้ว อย่าหวังเลยว่าจะได้แบบนั้นอีก ก็เพราะว่าจัดการไม่เป็น ภาวนาเมื่อไรก็อยากได้แบบนั้น ภาวนาเมื่อไรก็อยากเป็นแบบนั้น ก็เลยทำให้จิตใจฟุ้งซ่าน ไม่นิ่ง ไม่สงบอย่างแท้จริง

    กระผม/อาตมภาพเองก็เคยเกิดปัญหานี้เป็นปี ๆ จนกระทั่งท้ายสุดก็ตัดใจว่า เรามีหน้าที่ภาวนา ส่วนจะเป็นหรือไม่ จะเห็นหรือไม่ เราไม่สนใจ ปรากฏว่าพอวางกำลังใจแบบนี้ ก็สามารถที่จะกลับไปสู่ความนิ่งได้เท่าเดิม ในเมื่อนิ่งได้เหมือนเดิม ก็สามารถที่จะรู้เห็นแบบนี้ได้อีก

    ตรงจุดนี้ท่านทั้งหลายต้องระมัดระวังเอาไว้ เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีทั้งประโยชน์และมีทั้งโทษ คำว่ามีประโยชน์ก็คือ เราจะเห็นได้ว่าหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ไม่ว่าจะเป็นทาน เป็นศีล เป็นภาวนา ทำเมื่อไรก็เป็นมหากุศลแก่ตัวเรา และเป็นสิ่งที่จะติดตามเราไปในทุกชาติทุกภพ จนกว่าท่านจะจบเส้นทางการเวียนว่ายตายเกิด ก็คือเข้าสู่พระนิพพาน

    ไม่เช่นนั้นในเรื่องของบุญนั้นยังเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะว่าจะหนุนเสริมให้ท่านไปสู่สุคติ ไม่ว่าจะเป็นสุคติเบื้องสูงหรือว่าสุคติเบื้องต่ำก็ตาม จะคอยกันไม่ให้ท่านทั้งหลายลงสู่ทุคติ

    แต่ท่านทั้งหลายต้องคอยกระทำด้วยความไม่ประมาท คือย้ำบ่อย ๆ ทำบ่อย ๆ ลักษณะแบบเดียวกับที่เรากินอาหาร ก็คือต้องกินทุกวัน เราถึงจะไม่หิว ลักษณะของการปฏิบัติธรรม ก็คือต้องปฏิบัติทุกวันเช่นกัน ไม่เช่นนั้นแล้วท่านก็จะฟุ้งซ่านได้ง่าย

    ถ้าหากว่าสภาพจิตของเราโดนกิเลส คือความฟุ้งซ่านเข้ามา ก็จะทำให้เราเสียผลของการปฏิบัติไปนานมาก กว่าที่จะตีคืนได้ บางท่านก็ถึงขนาดท้อใจไปเลย สภาวะเช่นนี้บางคนเรียกง่าย ๆ ว่า "สมาธิตก" บางคนก็เรียกว่า "จิตตก" บางคนก็บอกว่า "กรรมฐานแตก" ก็คือการที่เราปฏิบัติดี ๆ แล้วก็แพ้กิเลส เกิดความฟุ้งซ่านไปใน ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ อย่างเต็มที่

    ลักษณะอย่างนี้ครูบาอาจารย์ท่านเคยแนะนำว่า ทำเหมือนอย่างกับเราขี่ม้าพยศ ในเมื่อไม่สามารถที่จะดึงให้อยู่ในเส้นทางได้ ก็กอดคอคอยดูว่าม้านั้นจะพาเราไปไหน ถ้าหากว่าเป็นการปฏิบัติในมหาสติสายพองยุบ ก็คือการกำหนดว่า รู้หนอ..รู้หนอ.. หรือว่า เห็นหนอ..เห็นหนอ..ไปเรื่อย จนกว่าสภาพจิตของเราจะกลับมานิ่งได้เหมือนเดิม
     
  14. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    อีกส่วนหนึ่งที่ท่านพระปลัดสรวิชญ์ได้ขอไว้ในตอนแรก ก็คือว่าให้ช่วยบอกถึงอานิสงส์ของการปล่อยสัตว์ให้ด้วย ตรงจุดนี้ วันนี้กระผม/อาตมภาพก็เพิ่งจะปล่อยวัวไป ๒ ตัว ปล่อยควายไป ๓ ตัว และปล่อยปลาไปอีกหลายหมื่นบาท รวมแล้วเฉพาะวันนี้ก็จ่ายไปแสนกว่าบาท

    เหตุที่ทำเช่นนี้มาตั้งแต่ต้น ก็เพราะว่ากระผม/อาตมภาพนั้นเป็นบุคคลที่ป่วยออด ๆ แอด ๆ มาตั้งแต่เด็ก พูดง่าย ๆ ว่าป่วยเช้าป่วยเย็นก็ว่าได้ อย่างน้อย ๆ อาทิตย์หนึ่งก็ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง โดนหมอฉีดยาจนกระทั่งกลัวเข็มไปเลย เพราะว่าหมอก็มือหนัก ฉีดยาทีก็เจ็บก้นไปหลายวัน

    เมื่อมาพบครูบาอาจารย์ ก็คือหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ที่เราเชื่อว่าท่านมีความสามารถพิเศษรู้เห็นเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ท่านได้บอกกล่าวให้ทราบว่า กระผม/อาตมภาพเป็นทหารมามาก แต่ละชาติก็ล้วนแล้วแต่ฆ่าฟันข้าศึกเอาไว้ กรรมปาณาติบาตใหญ่เหล่านี้ เมื่อเราชดใช้กรรมในทุคติมาแล้ว ก็จะมีเศษกรรมที่หลงเหลืออยู่ติดตามมา ทำให้เราเจ็บไข้ได้ป่วยบ่อย ๆ

    ให้ไปปล่อยชีวิตสัตว์ที่เขาจะฆ่า อย่างเช่นว่า ปลาหน้าเขียง ไก่หน้าเขียง เป็นต้น เดือนละตัวสองตัวก็ได้ ถ้าหากว่าปล่อยอย่างสม่ำเสมอไปได้ระยะหนึ่ง อาการเหล่านี้ก็จะบรรเทาลง

    ในเมื่อครูบาอาจารย์แนะนำ กระผม/อาตมภาพก็ปล่อยทุกเดือน เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม ปี ๒๕๒๙ ก็คือปีที่ตนเองบวชพรรษาแรก มาจนถึงปัจจุบันนี้ได้ปล่อยมาทุกเดือน ถ้าจะนับชีวิตก็นับไม่ถ้วน

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า เมื่อไปถึงตลาดแล้ว เห็นปลาเขาตาปริบ ๆ อยู่ทั้งกะละมัง ก็ไม่สามารถที่จะซื้อแค่ตัวสองตัวได้ ส่วนใหญ่ก็เหมาหมด ระยะหลังเมื่ออาการเจ็บไข้ได้ป่วยหนักขึ้น ก็มีการปล่อยชีวิตสัตว์ใหญ่ ก็คือปล่อยวัวปล่อยควายเพิ่มเข้าไปด้วย
     
  15. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    ได้กราบเรียนถามครูบาอาจารย์ว่า "การปล่อยสัตว์เป็นการต่อชีวิตไม่ใช่หรือครับ ? กระผม/อาตมภาพเอง ไม่ได้ต้องการที่จะอายุยืน เพราะว่าอยู่วันหนึ่งก็ทุกข์วันหนึ่ง อยู่วันหนึ่งก็ลำบากในการดูแลร่างกายนี้วัอีกนหนึ่ง"

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเมตตาตอบว่า "แกอย่าเพิ่งเข้าใจผิด การปล่อยชีวิตสัตว์จะเป็นการต่ออายุ ก็ต่อเมื่อมีอุปฆาตกรรม คือกรรมที่เราฆ่าคน หรือฆ่าสัตว์ใหญ่เข้ามาสนองในตอนนั้นพอดี ก็จะทำให้เราพ้นวาระกรรมนี้ไปได้ แล้วอายุยืนไปได้อีกระยะหนึ่ง แต่ถ้าหากว่าแกปล่อยชีวิตสัตว์ให้เขารอดตาย ให้เขาได้ไปพบกับครอบครัว ได้รับความสุข ความสบาย ต่อไปถ้าแกทำอะไรก็จะมีความสะดวก มีความคล่องตัวไปด้วย"


    กระผม/อาตมภาพก็ได้ปล่อยชีวิตสัตว์มาตลอด ๓๖ ปี ปีนี้ขึ้นปีที่ ๓๗ แล้ว ขอยืนยันว่ากระผม/อาตมภาพเอง เป็นบุคคลที่เพื่อนสหธรรมิกทั้งหลายอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่ว่าจะทำอะไรก็ง่าย ไม่ว่าจะทำอะไรก็สะดวก โดยเฉพาะมีญาติพี่น้องก็ดี มีเพื่อนฝูงสหธรรมิกก็ตาม หรือว่ามีญาติโยมทั้งหลายคอยสนับสนุนอยู่ตลอดมา

    แม้กระทั่งการปล่อยปลา ซึ่งแรก ๆ ก็อยู่ในหลักไม่กี่ร้อยบาท ปัจจุบันนี้การปล่อยปลาปล่อยสัตว์ต่าง ๆ อยู่ในหลักเดือนละแสนกว่าบาท..! ตรงจุดนี้ต้องบอกว่าเราต้องทำอย่างสม่ำเสมอด้วย

    โดยปกติแล้ว เรื่องการกระทำต่าง ๆ ที่เรียกง่าย ๆ ว่ากรรมนั้น ถ้าหากว่าเราทำในอดีตก็จะส่งผลในปัจจุบัน คราวนี้การที่เราทำในอดีต ไม่ได้แปลว่าต้องเป็นชาติก่อน หากแต่ว่าเป็นอดีตในชาตินี้ก็ได้ เพียงแต่ว่าท่านทั้งหลายต้องทำต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เป็นระยะเวลาที่ยาวนานพอ
     
  16. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    กระผม/อาตมภาพนั้นมีกรรมหนักตรงจุดนี้ เป็นมาลาเรียเรื้อรังมาตั้งแต่อายุ ๒๒ ปี เนื่องเพราะว่าไปเป็นทหารอยู่ที่ชายแดนตาพระยา ได้รับเชื้อมาลาเรียจากทางด้านโน้นมา แล้วเมื่อไปหาหมอ ด้วยความที่เป็นคนหนุ่มก็กลั้นเอาไว้ไม่ให้สั่น ไปถึงหมอก็ไม่ตรวจอะไรเลย บอกว่า "ไม่สั่น..ไม่ใช่มาลาเรีย เอายาแก้ปวดลดไข้ไปก็พอ" ซึ่งสมัยนั้นก็เป็นแค่แอสไพรินหรือว่ายาเม็ดสีชมพู ยังไม่มียาพาราเซตามอลอย่างสมัยนี้ เมื่อโรคกำเริบขึ้นมาจึงทำให้สลบหมดสติไป ๒ วัน ตอนช่วงนั้นก็มีประสบการณ์ว่าคนตายแล้วเป็นอย่างไรเช่นกัน เมื่อฟื้นขึ้นมาก็ไม่สามารถที่จะรักษาหายได้อีก

    ครั้นปี ๒๕๓๒ ได้ธุดงค์มาทางฝั่งพม่า ก็เจอเชื้อดื้อยาฝั่งพม่าซ้ำเข้าไปอีก ทำให้ตนเองนั้นเป็นบุคคลตัวอย่างที่ทางเวชศาสตร์เขตร้อนเอาไว้ศึกษา เกี่ยวกับเรื่องโรคที่มีแมลงเป็นพาหะนำมา ถ้าหากว่ามียาตัวใหม่ ทางด้านเวชศาสตร์เขตร้อนก็จะเรียกไปเป็นบุคคลทดลองยาของเขา

    ตรงจุดนี้เมื่อโรคกำเริบขึ้นมา เราจะปวดร่างกายจนกระทั่งรู้ว่ากระดูกมีกี่ข้อ แม้กระทั่งเส้นผมของเรา พอเอามือแตะไปเหมือนกับเข็มแทงหัว ก็คือประสาททุกเส้นอักเสบหมด ทำให้เข้าใจว่าบุคคลที่เขาตายกันด้วยโรคมาลาเรียนั้น ส่วนใหญ่ก็คือตายเพราะทนการอักเสบไม่ไหว

    ในเมื่อทำการปล่อยปลามาตั้งแต่อายุ ๒๗ ปี จนปัจจุบันนี้อายุ ๖๓ ปี โรคภัยไข้เจ็บที่เคยกำเริบอยู่ทุกบ่อย ก็เริ่มห่างออกไปเรื่อย ๆ จากที่กำเริบทุกเย็น ถ้าหากว่าพักผ่อนเพียงพอก็ไม่กำเริบ และขณะเดียวกัน ถ้าหากว่าไม่ได้กรำงานหนักมาก บางทีก็หายดีไปเป็นเดือนเลยก็มี

    ตรงจุดนี้เป็นอานิสงส์อย่างหนึ่งของการปล่อยชีวิตสัตว์ ก็คือแม้ว่าจะไม่มีอุปฆาตกรรมเข้ามาตัดรอน ทำให้ไม่เป็นการต่ออายุ แต่ว่าก็ช่วยให้บรรเทาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยลงไปอย่างหนึ่ง ช่วยให้การปฏิบัติหน้าที่การงานในระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ มีความสะดวก มีความสบายอีกอย่างหนึ่ง
     
  17. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    กระผม/อาตมภาพได้ใช้เวลามาพอสมควร เหลือเวลาอยู่ประมาณ ๑๐ นาที ท่านใดที่จะแลกเปลี่ยนสนทนาธรรมกัน ก็สามารถที่จะพิมพ์เข้ามาในช่องแชต หรือถ้าหากว่าท่านที่เป็นโคโฮสท์เปิดไมค์ฯ ให้ ก็สามารถส่งเสียงเข้ามาได้เลย

    ถ้าหากว่ายังไม่มีคำถาม ก็ขออนุญาตเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมว่า ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น การรู้เห็นต่าง ๆ เป็นแค่ของแถมในการปฏิบัติ ถ้าหากว่าร้านค้านี้เขาไม่แถม ไม่ใช่ว่าเราจะไม่ปฏิบัติธรรม

    เนื่องเพราะว่าวิสัยในการปฏิบัติธรรมนั้น มีถึง ๔ อย่างด้วยกัน ก็คือวิสัยสุกขวิปัสสโก ไม่จำเป็นต้องรู้เห็นอะไรเลยก็บรรลุมรรคผลได้

    วิสัยเตวิชโช มีการรู้เห็นต่าง ๆ อยู่ ๓ ประการ

    วิสัยฉฬภิญโญ มีความสามารถพิเศษเพิ่มขึ้นมา ๖ อย่าง และ

    วิสัยปฏิสัมภิทัปปัตโต ซึ่งจะมีความรู้ครอบคลุมอีกทั้ง ๓ ประเภทเบื้องต้นได้

    ดังนั้น...ท่านทั้งหลายถ้าหากว่าปฏิบัติธรรมไป อย่าตั้งความหวังว่าเราต้องเป็นอย่างนี้ เราต้องได้อย่างนี้ เพราะถ้าหากว่าท่านไปตั้งความหวังในลักษณะอย่างนี้ จิตใจของท่านจะฟุ้งซ่าน และไม่นิ่งอย่างแท้จริง ทำให้เสียประโยชน์ในการปฏิบัติไปโดยใช่เหตุ
    ยังเหลือเวลาอีกเล็กน้อย ท่านใดมีคำถามก็เชิญได้เลย
     
  18. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    ถาม : ถ้าลูกปล่อยปลา ปล่อยหอยให้คุณแม่ที่ป่วยอยู่ จะได้บุญไหมคะ ?
    ตอบ : การทำความดีอะไรก็ตาม ถ้าหากว่าบุคคลอื่นยินดีด้วย ก็จะมีส่วนในผลบุญนั้น ภาษาบาลีเรียกว่า ปัตตานุโมทนามัย ดังนั้น...ถ้าหากว่าญาติโยมปล่อยชีวิตสัตว์ หรือว่าทำในทาน ในศีล ในภาวนาอะไรก็ตาม ถ้าบอกกล่าวแก่พ่อแม่ญาติพี่น้องหรือว่าเพื่อนฝูงของเรา แล้วเขายินดีด้วย เขาก็จะมีส่วนในผลบุญนั้น

    บางทีเราอาจจะเห็นว่าเป็นบุญที่ได้ง่ายมาก ยกมือสาธุก็จบแล้ว แต่ว่าไม่ใช่ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า เราต้องยินดีจากใจอย่างแท้จริงว่า โอหนอ...ในขณะที่เราไม่มีโอกาสจะทำบุญนั้น แล้วมีคนอื่นได้ทำบุญในสิ่งที่เราอยากทำ ช่างน่ายินดีจริงหนอ ถ้าลักษณะอย่างนี้ กุศลที่จะพึงเกิดในปัตตานุโมทนามัยก็จะมีแก่ท่านทั้งหลาย

    แต่ถ้าหากว่าในปัจจุบันนี้ เท่าที่กระผม/อาตมภาพสังเกตดู ส่วนใหญ่คำว่า "สาธุ" แฝงความหมายว่า "กูจะเอาบุญของมึง" แปลว่าตั้งกำลังใจไว้ผิดแล้ว ขอเจริญพร

     
  19. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    ถาม : คุณแม่เพื่อนป่วยหนัก ถ้าลูกเจริญสติภาวนา แผ่ส่วนกุศลให้ จะถึงคุณแม่ของเพื่อนไหมคะ ? แล้วอาการของคุณแม่จะทุเลาลงหรือเปล่า ?

    ตอบ : ตรงจุดนี้ก็แบบเดียวกัน ก็คือว่าต้องให้เขายินดีและโมทนาด้วย
    มีบุญกุศลเพียงประการเดียวที่ไม่ต้องโมทนา แล้วบุคคลที่เป็นพ่อเป็นแม่ได้รับเลย ก็คือกุศลจากการบรรพชาอุปสมบทเท่านั้น เพราะว่าเป็นสิทธิโดยตรงของท่านที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเรามาตั้งแต่ต้น นอกนั้นแล้วกุศลอื่นล้วนแล้วแต่ต้องอนุโมทนาทั้งสิ้น หรือไม่ก็ถ้าหากว่าเป็นการประกันความเสี่ยงก็คือ ทำเองเสียเลย อย่าไปรอโมทนาบุญของคนอื่น


    เมื่อท่านอนุโมทนาแล้ว จะหายป่วยหรือไม่ก็ต้องขึ้นกับความหนักเบาของกรรมที่ท่านได้ทำมาด้วย ถ้าทำมาหนัก อาการป่วยก็แค่บรรเทา ถ้าทำมาเบา อาการป่วยก็อาจจะหายไปเลยก็ได้
     
  20. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    ถาม : ในการปล่อยสัตว์ต่าง ๆ จำเป็นจะต้องแผ่เมตตาหรือไม่ครับ ?
    ตอบ : การที่เราไปปล่อยชีวิตเขา แปลว่าเราเป็นผู้ประกอบไปด้วยเมตตาอยู่แล้ว ดังนั้น...ตรงจุดนี้การที่ท่านบอกว่าแผ่เมตตา แต่ว่ากระผม/อาตมภาพใช้คำว่า อุทิศส่วนกุศล ก็คือสิ่งที่เราทำนั้นเป็นความดี แล้วเราจะต้องอุทิศให้แก่ผู้อื่นเขา บางคนใช้คำง่าย ๆ ว่ากรวดน้ำ

    ขอให้ทุกท่านเข้าใจว่า การแผ่เมตตาเหมือนกับเราให้ร่มเงาแก่ผู้อื่น การอุทิศส่วนกุศลเหมือนเราให้ข้าวปลาอาหารแก่ผู้อื่น ถ้าหากว่าเขาหิวมา เราให้ร่มเงาแก่เขา ก็แค่ผ่อนคลายร่างกายไปได้เล็กน้อย แต่ว่าไม่สามารถที่จะแก้ไขความหิวของเขาได้

    แต่ถ้าเราอุทิศส่วนกุศลให้ เขาอนุโมทนาแล้วได้รับประโยชน์ ได้รับความสุข แบบเดียวกับที่เราคนทำจะพึงได้รับ ก็ลักษณะเหมือนกับเราให้ข้าวปลาอาหาร แล้วคนเขาหิวได้กินตรงนั้นลงไป ก็จะทำให้เขามีความสุข สามารถที่จะไปสู่ภพภูมิที่เขาต้องการได้ เพราะว่ามีกำลังมากขึ้นแล้ว

    กราบขอโอกาสพระเถรานุเถระทุกรูปนะครับ ท้ายสุดนี้กระผม/อาตมภาพขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ พระธัมมะรัตนะ และพระสังฆรัตนะเป็นประธาน พร้อมทั้งกุศลจริยาสัมมาปฏิบัติ ที่ท่านทั้งหลายได้สร้างในวันนี้ จงมารวมกันเป็นตบะเดชะ พลวปัจจัย ดลบันดาลให้ทุกท่านมีแต่ความสุขความเจริญทั้งทางโลกทางธรรม แม้ว่าประสงค์จำนงหมายสิ่งหนึ่งประการใดที่เป็นไปโดยชอบ ประกอบด้วยธรรมวินัย ก็ขอให้ความประสงค์ของท่านทั้งหลายจงสำเร็จ สัมฤทธิ์ผลสมดังมโนรถปรารถนาจงทุกประการด้วยเทอญ


    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    ธรรมบรรยายในรายการ "เสียงธรรมจากมหาจุฬาศรม"
    วันอาทิตย์ที่ ๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...