เรื่องเด่น ปัญญาคืออะไรกันแน่?

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย โพธิสัตว์ ชาวพุทธ, 16 กุมภาพันธ์ 2022.

  1. โพธิสัตว์ ชาวพุทธ

    โพธิสัตว์ ชาวพุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    5,319
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,274
    ค่าพลัง:
    +9,590
    f6RShSLLnfWqGGcnn-8b7X5i-AQ3czixrK4kExdtGe6_&_nc_ohc=q4oD8_broXcAX9ma-I-&_nc_ht=scontent.fbkk5-5.jpg

    ปัญญาคืออะไรกันแน่?
    โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
    จากหนังสือ "สู่แสงธรรม" โดย พล.อ.ต.มนูญ ชมภูทีป

    "ถ้ายังงั้นปัญญา คืออะไรแน่ครับ หลวงพ่อ?" ข้าพเจ้ารีบถามต่อด้วยความข้องใจ
    "ปัญญา โดยความหมายทั่ว ๆ ไปแล้ว แปลว่าความรู้ที่เกิดขึ้นจากการพินิจพิจารณา หรือจะแปลว่าความเฉลียวฉลาดก็ได้นะ มิใช่รู้อย่างเดียว ต้องนำเอาความรู้ที่ได้นั้นมาพิจารณาด้วย หรือมิใช่ฉลาดอย่างเดียว ต้องมีเฉลียวใจด้วย จึงจะเกิดความรู้แจ้งเห็นจริง ถึงแก่นแท้ของการรู้ในแต่ละอย่างได้นั่นแหละ จึงจะเรียกว่า "ปัญญา" ล่ะ

    ตัวอย่างเช่น หากคุณเห็นรถยนต์สวยคันหนึ่งแล่นผ่านมาคุณก็อาจจะบอกได้ทันทีว่าเป็นรถเบ็นซ์ รถวอลโว่ รุ่นใด กี่ซี.ซี. มีสมรรถนะอย่างไร ราคาค่างวดเท่าไร สร้างจากประเทศไหน บริษัทอะไร เพราะคุณฟังเขามาบ้าง จึงจำได้ด้วยมีสัญญาดี

    แต่ด้วยเพราะไม่มีปัญญา จึงทำให้จิตของคุณมีความหวั่นไหว กินไม่ได้นอนไม่หลับเนื่องจากความอยากได้ในรถคันที่คุณเห็นขึ้นมา แต่ถ้าคุณมีความเฉลียวใจ หรือได้มาพินิจพิจารณาให้รู้แจ้งแทงตลอดแล้ว คุณก็จะเกิดความรู้ใหม่ขึ้นมาว่า รถสวยรุ่นใหม่คันนี้ต่อไปอีก ๒ – ๓ ปีข้างหน้า มันก็จะต้องกลายเป็นรุ่นเก่าไม่ทันสมัยอีกต่อไป

    สีที่สวยงามหากกะเทาะออก ก็คงจะดูไม่ได้ เบาะอ่อนนุ่มที่สวยเก๋นั้น หากลอกออกดูภายใน ก็คงมีสภาพเช่นเดียวกับเบาะนั่งของรถแบบอื่น และถ้าคุณจะซื้อรถคันนี้ให้ได้ ก็จะต้องเดือดร้อนในการวิ่งเต้นหาเงินหาทองมา และแม้เมื่อหาเงินได้แล้ว คุณจะรับภาระหนี้สินไหวไหม
    นอกจากนั้น เมื่อคุณได้รถมาขับขี่ ก็คงจะไม่สบายใจนัก ด้วยเกรงจะถูกรถอื่นชนหรือเฉี่ยวเอา ยิ่งในตรอกในซอยที่เต็มไปด้วยหลุมด้วยบ่อและฝุ่นดินหนาทึบด้วยแล้ว ก็ยิ่งหนักใจใหญ่ และแม้เอารถให้เด็กล้าง ก็คงจะต้องไปควบคุมแจ ยิ่งต้องเอารถไปจอดในย่านชุมนุมชนหรือตรอกซอยแคบ ๆ หรือที่เปลี่ยว ๆ ก็คงจะต้องนั่งเฝ้ารถคันใหม่ด้วยความเป็นห่วง

    หากได้พิจารณาโดยละเอียดเช่นนี้แล้ว ก็จะเห็นความทุกข์ในรูปแบบต่างๆ ที่จะเกิดตามมาจากการดิ้นรนเป็นเจ้าของรถเบ็นซ์รูปงามคันนั้น เมื่อเห็นทุกข์ ความอยากได้ใคร่ดีในรถเบ็นซ์รูปงามคันนั้นก็ย่อมหมดไป นี่แหละคือ "ปัญญา" ล่ะ หลวงพ่ออธิบายและเมื่อเห็นข้าพเจ้ายังตั้งใจฟังก็พูดต่อว่า

    "และถ้าจะให้ชัด ก็ต้องยืนยันว่า "ปัญญา" ได้แก่การเจริญวิปัสสนาญาณ จนรู้แจ้งเห็นจริงตามกฎธรรมดา ไม่มีอารมณ์คิดที่จะฝืนกฎธรรมดาเหล่านั้น จนในที่สุดจะได้ญาณทั้ง ๘ คือ
    ๑.จุตูปปาตญาณ รู้ว่าคนและสัตว์ตายแล้วไปเกิดที่ใด อีกทั้งรู้ว่าคนและสัตว์ที่มาเกิดนั้นมาจากไหน

    ๒.เจโตปริยญาณ รู้อารมณ์จิตของคนและสัตว์

    ๓.ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติในกาลก่อนได้ไม่จำกัดชาติ

    ๔.อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอดีตของคนและสัตว์ สิ่งของ สถานที่ได้โดยไม่จำกัดกาลเวลา

    ๕.อนาคตังสญาณ รู้เหตุการณ์ต่อไปในอนาคตของคนสัตว์ สิ่งของ สถานที่ได้โดยไม่จำกัดกาลเวลา

    ๖.ปัจจุปปันยังสญาณ รู้เหตุปัจจุบันของคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ได้ตามความเป็นจริง

    ๗.ยถากัมมุตาญาณ รู้ผลกรรมของคนและสัตว์ได้ทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน

    ๘.ทิพยจักษุญาณ มีความรู้ปรากฏแก่จิตเหมือนตาเห็น สามารถ เห็นผีเห็นเทวดาได้

    ญาณทั้ง ๘ นี้อย่าได้หนักใจนะว่าจะทำไม่ได้ เมื่อใดที่ผู้ปฏิบัติสามารถทรงฌาน ๔ ได้คล่องแคล่ว แล้วถอยลงสู่อุปจารสมาธิหรือฌาน ๑ ฌาน ๒ เพื่อพิจารณาวิปัสสนาญาณด้วยแล้ว
    นอกจากว่าท่านจะได้ญาณทั้ง ๘ แล้ว ท่านยังมีปัญญาแตกฉานในการอธิบายถ้อยคำหัวข้อธรรม และสามารถแก้อรรถปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างอัศจรรย์ นอกจากนั้นยังรอบรู้ และเข้าใจภาษาอย่างอัศจรรย์อีกด้วย (ไม่ว่าจะเป็นภาษาของพรหม เทพ มนุษย์ สัตว์ อสุรกาย) เป็นยังไงคุณมนูญ แบบนี้ยังจะมีนักภาษาศาสตร์คนใดในโลก สู้ท่านได้จริงไหม? นี่ซิเขาจึงเรียกว่ามีปัญญา จริงใช่ไหมล่ะ"

    "เพียงแค่ได้ญาณใดญาณหนึ่งใน ๘ ที่หลวงพ่อว่า ก็นับว่ามีปัญญาเกินกว่าปุถุชนคนธรรมดาในโลกนี้แล้วนะครับ" ข้าพเจ้ายอมรับและสารภาพถึงความในใจที่มีอยู่แต่เดิมว่า

    "หลวงพ่อครับ ผมจะขอยอมรับสารภาพกับหลวงพ่อว่า แต่เดิมก่อนที่ผมจะได้พบหลวงพ่อนั้น ผมมีความหยิ่งทะนง และเชื่อมั่นในตนเองมาโดยตลอด ว่าเป็นผู้มีสติปัญญาที่อยู่ในชั้นระดับดีเยี่ยมผู้หนึ่งทีเดียว เพราะเป็นที่ยอมรับของบรรดาเพื่อนฝูงและครูบาอาจารย์ตลอดมาว่าเป็นผู้มีความจำดีมาก และเรียนหนังสือเก่ง...

    ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ผมไม่ค่อยจะเลื่อมใสศรัทธา ที่จะรับฟังคำสั่งสอนของพระภิกษุสงฆ์ เพราะคิดว่าพระภิกษุสงฆ์เหล่านี้เรียนน้อยกว่าผม บางองค์จบแค่ประถม ๔ ก็มี เมื่อเรียนน้อยก็ย่อมรู้น้อย สติปัญญาก็น่าจะน้อยตามไปด้วย ดังนั้นท่านจะมีปัญญามาสอนอะไรผมได้

    และในบางครั้งผมยังเคยแอบนึกขำว่าคนระดับปริญญาโท ปริญญาเอกไปทนนั่งฟังพระแก่ๆ อบรมสั่งสอนกันได้อย่างไร จนกระทั่งในวันนี้เองผมจึงได้เข้าใจว่าสิ่งที่ผมมีในตัวเองนั้นเป็นเป็นเพียงแค่มี "สัญญา" ดีเท่านั้นเอง ซึ่งอาจจะจำในสิ่งที่ถูกก็ได้ ผิดก็ได้ หาได้มี "ปัญญา" รู้แจ้งเห็นจริงเท่าทันในกิเลส ตัณหา อุปทาน และอกุศลกรรมไม่"

    "เออ! ไม่เลวนี่เข้าใจได้รวดเร็วดี อย่าลืมนะ คนที่มีความจำดี มีสัญญาดีนั้น หากเจริญวิปัสสนาญาณพิจารณาความจริงโดยสม่ำเสมอแล้ว ปัญญาจะเกิดขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วกว่าคนอื่นนะ เพราะจดจำข้อมูลต่างๆ ที่จะมาพิจารณาได้มากกว่าเขา" หลวงพ่ออธิบายไห้กำลังใจแก่ข้าพเจ้า
    ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คำถามของข้าพเจ้าและคำตอบของหลวงพ่อในข้อนี้ จะทำให้ท่านผู้อ่านมีความเข้าใจคำว่า "ปัญญา" ยิ่งขึ้น โดยเฉพาะท่านผู้อ่านซึ่งเป็นคนที่มีมิจฉาทิฐิเช่นเดียวกับข้าพเจ้า

    ขอบคุณที่มา ศูนย์พุทธศรัทธา สำนักปฏิบัติพระกรรมฐานสาขาวัดท่าซุง www.BuddhaSattha.com
     
  2. Onenueng

    Onenueng ภาณุพัฒน์ เพ็ญพัฒน์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +14
    สิ่งที่เรียนรู้จากเรื่องนี้คือ
    ปัญญาทางโลกคือสัญญา
    ส่วนปัญญาทางธรรมคือการตัด

    "ปัญญามีลักษณะคือการตัด" จากหนังสือมิลินทปัญหา
     

แชร์หน้านี้

Loading...