เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๔

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 3 พฤศจิกายน 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,568
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,542
    ค่าพลัง:
    +26,380
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๔


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,568
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,542
    ค่าพลัง:
    +26,380
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ ผมต้องไปเข้าระบบซูมเพื่อประชุมต่อ แต่คราวนี้ระยะที่ไม่อยู่วัดหลายวัน มีเรื่องยุ่ง ๆ เกิดขึ้นในวงการสงฆ์ของเรามากมายหลายเรื่อง
    เรื่องหนึ่งก็คือ การที่พระสงฆ์ไปกราบไหว้ท่านอาจารย์ยันตระ ซึ่งทุกคนเข้าใจว่าท่านคือฆราวาส ซึ่งตรงนี้ต้องบอกว่าเป็นความบกพร่องของพระอุปัชฌาย์อาจารย์ ที่ไม่รู้จักอบรมขัดเกลาลูกศิษย์ให้ดี เพราะว่าในวินัยมุขมีบอกเอาไว้ชัดเจนแล้วว่า พระสงฆ์ไม่ควรกราบไหว้บุคคลประเภทใดบ้าง แม้ว่าท่านอาจารย์ยันตระจะอ้างว่าท่านยังเป็นพระอยู่ แต่ว่าเครื่องแต่งตัวของท่านก็คือเพศฆราวาส ในเมื่อพระอุปัชฌาย์อาจารย์บกพร่อง จะโทษพระที่ไปกราบท่านอาจารย์ยันตระก็ไม่ถูก


    แต่ก็ต้องบอกว่าพระจำนวนมาก ก็น่าจะมีสักคนที่ศึกษาเรื่องพระธรรมวินัยบ้าง แล้วก็จะรู้ว่าไม่สมควรที่จะทำอย่างนั้น แต่กลับไม่มี ทุกคนเห็นดีเห็นงามเหมือนกันหมด ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียใจอย่างยิ่งของคณะสงฆ์ไทยเรา ที่ความเคร่งครัดในพระธรรมวินัยได้ตกต่ำถึงขนาดนี้

    อีกเรื่องหนึ่งก็คือ มีพระที่ไปทำนายวันตายของญาติโยม ทำเอาบรรดาลูกหลานของผู้ที่ถูกทำนายเครียดไปหมด แล้วพระท่านก็สร้างโลงเตรียมเอาไว้ให้ด้วย แต่ปรากฏว่าถึงเวลาแล้วไม่ได้ตายจริง เรื่องนี้ต้องแบ่งออกเป็น ๒ ประเด็นด้วยกัน ประเด็นแรกก็คือ ท่านรู้เห็นมาอย่างนั้นจริง ๆ ถ้าหากว่าเป็นประเด็นนี้ จะไปตำหนิพระท่านไม่ได้ เพราะว่าท่านรู้เห็น แต่ว่าต้องตำหนิตรงที่ท่านขาดสติสัมปชัญญะ ไม่รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร แล้วก็ไปบอกกล่าวแก่ญาติโยม ทำให้เกิดความเดือดร้อนขึ้นมากับคนรอบข้าง


    ประการที่สองก็คือท่านไม่ได้รู้จริง ถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้น ทำนายไปก็เท่ากับอวดอุตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องอาบัติปาราชิก ขาดความเป็นพระไปเลย..!

     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,568
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,542
    ค่าพลัง:
    +26,380
    ในเรื่องของการบอกว่าคนตายแล้วไปไหน สัตว์ตายแล้วไปไหน สมัยผมบวชใหม่ ๆ เวลามีคนถาม ผมบอกเขาหมด จนกระทั่งวันหนึ่ง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านห้ามเอาไว้ ผมเองก็อยากรู้เหตุผลว่าทำไมถึงห้าม ท่านบอกว่า "มีแต่เสมอตัวกับขาดทุน ต่อไปอย่าทำ ถ้าอยากรู้เหตุผล แกไปเปิดพระไตรปิฎก ดูในมหากัมมวิภังคสูตรแล้วจะเข้าใจ" ผมก็ต้องไปเปิดดู

    ปรากฏว่าพระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า โยคีบุคคลผู้ตั้งใจปฏิบัติสมาธิภาวนา ยังทิพจักขุญาณอันบริสุทธิ์ให้เกิดขึ้น สามารถรู้เห็นนรกสวรรค์ได้ แล้วกล่าวว่าบุคคลทำความดี ไปสวรรค์โดยส่วนเดียว บุคคลทำความชั่วไปนรกโดยส่วนเดียว ตถาคตขอกล่าวว่าไม่ใช่

    บุคคลที่ทำดีในอดีต ทำดีในปัจจุบัน ไปดีแน่นอน
    บุคคลที่ทำชั่วในอดีต ทำดีในปัจจุบัน ไม่แน่ว่าจะไปดี
    บุคคลที่ทำชั่วในอดีต ทำชั่วในปัจจุบัน ไปนรกแน่นอน
    บุคคลที่ทำดีในอดีต ทำชั่วในปัจจุบัน ไม่แน่ว่าจะลงนรก


    ตรงจุดนี้ทำให้ผมให้เข้าใจ เมื่อเปรียบเทียบกับเรื่องของสุปติฎฐิตเทพบุตรที่ทั้งชีวิตทำความชั่วมาตลอด ก่อนตายนึกถึงพระพุทธเจ้าได้ ไปอยู่สวรรค์ เพราะในอดีตเคยสร้างความดี คือสร้างพระพุทธรูปเอาไว้ ก็แปลว่าบุคคลที่สร้างความดีในอดีต สร้างความชั่วในปัจจุบัน ไม่แน่ว่าจะต้องลงอบายภูมิ คราวนี้ผมไปทำนาย ไปบอกเล่า ถ้าถูกต้องก็เสมอตัว แต่ถ้าหากว่าผิดพลาดขึ้นมาก็ขาดทุน
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,568
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,542
    ค่าพลัง:
    +26,380
    ส่วนที่จะผิดพลาดใหญ่เลยก็คือว่า ถ้าผู้ตายทำความดีมาทั้งชีวิต ตายแล้วผมบอกว่าลงนรก คิดว่าลูกหลานของผู้ตายจะมีกำลังใจทำความดีต่อไหม ? เพราะเขาไม่เห็นว่าในอดีต ญาติผู้ใหญ่ของตนเคยทำความชั่วไว้ เห็นแต่ทำความดีมาทั้งชีวิต แล้วขณะเดียวกัน ถ้าบุคคลทำความชั่วมาทั้งชีวิต ตายแล้วผมบอกว่าไปสวรรค์ ลูกหลานก็ชั่วกันหมด เพราะเห็นว่าทำความชั่วแล้วยังได้ไปสวรรค์ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถึงได้บอกว่า มีแต่เสมอตัวกับขาดทุน ไม่มีกำไรเลย แล้วห้ามไม่ให้ผมทำอีก

    เพราะฉะนั้น..ผมโดนห้ามอยู่ ๒ เรื่อง ก็คือเรื่องทำนายว่าคนและสัตว์ตายแล้วไปไหนกับการให้หวย ไม่อย่างนั้นแล้วแค่ให้หวยงวดสองงวด ไม่ต้องห่วงหรอก..จะสร้างวัดสักกี่วัดก็ได้ คนจะแห่มาทำบุญเต็มวัดเอง

    คราวนี้พระที่ท่านไปทำนายว่าญาติโยมจะตายวันนั้นวันนี้ แถมตายแล้วยังไม่เน่า จะแปรเป็นพระธาตุอีกต่างหาก ตรงจุดนี้ถ้าท่านรู้เห็นจริง ๆ ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะว่าบุคคลที่รู้เห็นชัดเจนนั้น มักจะโดนหลอกได้ง่าย เพราะมีความยึดมั่นถือมั่นว่า "กูเห็น กูถึงเชื่อ" คนอื่นบอกก็จะไม่เชื่อ ตรงจุดนี้การที่พวกเราปฏิบัติภาวนา ถ้าไม่รู้ไม่เห็น ผมถึงได้ถือว่าปลอดภัย รู้เห็นเมื่อไร โอกาสโดนหลอกจะมีทันที

    เรื่องของทิพจักขุญาณเป็นเรื่องของคนฉลาด หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนทิพจักขุญาณ โดยเฉพาะในส่วนของมโนมยิทธิ เพราะท่านเชื่อว่าลูกหลานของท่านฉลาดพอที่จะเลือกได้ว่าอะไรเหมาะอะไรควร แต่ขนาดนั้นจากประสบการณ์ของผมเอง ยังเห็นว่าเอาไปใช้ผิดกันเกิน ๙๐ เปอร์เซ็นต์ จนกระทั่งปัจจุบันนี้มีคำที่ล้อเลียนกึ่งตำหนิว่า "อย่ามโน"

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า การที่เราจะละกิเลส เข้าสู่พระนิพพาน อันดับแรกเลยก็คือ ต้องเคารพพระพุทธเจ้าจริง ๆ เคารพพระธรรมจริง ๆ เคารพพระสงฆ์จริง ๆ

    คำว่า เคารพจริง ๆ ก็คือ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ตัวอย่างของสุปปพุทธกุฏฐิ เป็นต้น
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,568
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,542
    ค่าพลัง:
    +26,380
    ข้อต่อไปคือ ต้องมีศีลทุกสิกขาบทบริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล

    ข้อสุดท้ายก็คือ มีปัญญารู้ตัวอยู่เสมอว่าตัวเองจะต้องตาย ตายแล้วตั้งเป้าไว้ที่พระนิพพานแห่งเดียว ไม่มีข้อไหนบอกว่าต้องได้ทิพจักขุญาณ ไม่มีข้อไหนบอกว่าต้องระลึกชาติได้ ไม่มีบอกว่าต้องรู้ว่าคนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน ไม่ต้องรู้อดีต ไม่ต้องรู้ปัจจุบัน ไม่ต้องรู้อนาคต แค่ทำกิเลสให้สิ้นไปอย่างเดียวก็พอ


    เพราะว่าตอนสุดท้าย ไม่ว่าจะมาทางสายวิชชา ๓ อภิญญา ๖ หรือปฏิสัมภิทาญาณ ๔ ก็ตาม ต้องกลับมาใช้ระบบเดียวกับสุกขวิปัสสโกที่ไม่มีฤทธิ์ไม่มีเดชเลย ก็คือใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นทุกข์เห็นโทษของร่างกายนี้ จนกระทั่งหมดอยากที่จะมีร่างกายนี้อีก ก็จะทำให้หมดอยากจากทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไปด้วย ในเมื่อหมดอยากแล้ว จิตก็จะถอนออกมาจากการยึดมั่นถือมั่น ทำให้สามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน


    วันนี้ผมพูดชัดที่สุดและให้พวกท่านจำไว้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นสายวิชชา ๓ อภิญญา ๖ หรือปฏิสัมภิทาญาณ ๔ ท้ายสุดต้องมาเดินในแนวของสุกขวิปัสสโกทั้งหมด สิ่งที่ท่านฝึกฝนมาแค่ช่วยให้กำลังใจหนักแน่นกว่า มั่นคงกว่า มีกำลังในการตัดกิเลสได้มากกว่า แต่ถ้าพลาด จะหลงทางยาวมาก


    ดังนั้น...การที่พระท่านทำนายแล้วผิด จะโดนจับสึก ถึงขนาดต้องหนีเตลิดเปิดเปิง ก็เกิดจากเหตุ ๒ ประการด้วยกัน ประการแรกคือปฏิบัติไปแล้วรู้เห็น ไม่ว่าจะรู้เห็นจริง ๆ หรือว่าโดนหลอกก็ตาม ประการที่สองก็คือ อวดอุตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตน ซึ่งเรื่องพวกนี้ เจ้าตัวท่านจะรู้ดีที่สุด

    เรื่องต่อไปก็คือ การที่มี "เน็ตไอดอล" คนหนึ่งแต่งกายเลียนแบบพระพุทธเจ้า เรื่องนี้ไม่ต้องเสียเวลาไปวิพากษ์วิจารณ์ บุคคลที่จิตหยาบจนกระทั่งไม่รู้อะไรควรอะไรไม่ควร น่าสงสารมากกว่าน่าตำหนิ ตายเมื่อไร ต้องรับโทษอย่างชนิดที่นึกไม่ถึงว่าโทษ
    จะหนักขนาดนั้น ดังนั้น...แทนที่เราจะไปตำหนิติเตียน ก็แผ่เมตตาให้เขาไปเถอะ..!
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,568
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,542
    ค่าพลัง:
    +26,380
    ส่วนอีกเรื่องหนึ่งก็คือ การที่ฆราวาสรับกฐินแทนพระ มีญาติโยมที่เลื่อมใสเข้าไปถวายกฐินกับท่านเป็นร้อยเป็นพัน โดยที่พระสงฆ์ทั้งหลายนั่งเป็นเครื่องประดับเท่านั้น ตรงจุดนี้ก็กรณีเดียวกับท่านอาจารย์ยันตระ ก็คือถ้าหากว่าพระผู้ใหญ่ที่โดนจับสึกด้วยข้อหาเงินทอนวัด มีกฎเกณฑ์กติกาใหม่ซึ่งกำหนดเป็นกฎหมายว่า ถ้าหากว่าต้องคดีถึงขนาดจำคุก ถือว่าสละสมณเพศด้วย ก็แปลว่าเหมือนกันกับท่านนี้ ก็คือคุณคือฆราวาส การแต่งตัวก็คือฆราวาส แต่ไปนั่งรับกฐินแทนพระ ก็ต้องบอกว่าบรรดาญาติโยมทั้งหลายเหล่านั้นน่าสงสารมาก เพราะว่าศรัทธาในตัวบุคคล โดยที่ไม่ได้ดูว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสม หรือว่าถูกต้องตรงตามพระธรรมวินัยหรือเปล่า

    เรื่องพวกนี้พระภิกษุสามเณรของเรา จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาพระธรรมวินัยให้ชัดเจน จนกระทั่งสามารถที่จะบอกกล่าวและอธิบายได้ว่า ปรากฎการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมของเรานั้น อะไรผิด อะไรถูก อะไรควร อะไรไม่ควร ถ้าผิด..ผิดมากแค่ไหน


    สำหรับเรื่องนี้แล้ว ผมถือว่าหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าบุคคลที่จิตใจหยาบแล้วแต่งกายเลียนแบบพระพุทธเจ้า ซึ่งนอกจากจะมีโทษทางธรรมแล้ว โทษทางโลกอาจจะโดนข้อหาเหยียดหยามพระศาสนาได้ แต่นั่นเป็นเรื่องเฉพาะตัวเท่านั้น
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,568
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,542
    ค่าพลัง:
    +26,380
    เรื่องที่ฆราวาสนั่งรับกฐินแทนพระนี่เป็นเรื่องของพระศาสนาเลย คือข้อปฏิบัติที่ผิดเพี้ยนอย่างนี้ จะเป็นตัวบ่อนเซาะและทำลายพระพุทธศาสนาอย่างถึงแก่น กลายเป็นบัญญัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ เพิ่มเติมในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้เพิ่มเติม

    แล้วถ้าคนเห็นดีเห็นงามมากขึ้นไปเรื่อย อย่างเช่นสมัยที่ท่านกราบแม่ที่เป็นฆราวาส ทั้ง ๆ ที่ตัวเองยังห่มเหลืองอยู่ ซึ่งผมก็ได้วิพากษ์วิจารณ์ไปแล้ว แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังมีพระสงฆ์หลายรูปเห็นดีเห็นงาม แล้วก็กราบฆราวาสที่เป็นแม่เป็นพ่อตนเอง ซึ่งผมบอกว่ามีแต่จะทำให้พ่อแม่ตนเองลงอเวจีมหานรก เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าถ้าถึงเวลาแล้ว พ่อแม่คิดว่าครั้งที่แล้วลูกมากราบ ครั้งนี้ทำไมไม่กราบ..แบบนี้ก็บรรลัยแน่เลย..!


    ดังนั้น...เรื่องพวกนี้เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาให้ชัดเจนและถ่องแท้ ถึงเวลาจะได้เป็นทนายแก้ต่างให้กับพระพุทธศาสนาได้ ไม่ใช่อยู่อาศัยพระศาสนาไปวัน ๆ เป็นเรื่องที่เราต้องเรียนให้รู้จริง รู้จริงแล้วต้องบอกกล่าวคนอื่นได้อย่างชัดเจน อะไรเกิดขึ้นต้องอธิบายได้ แล้วก็อย่าอธิบายด้วยการใช้อคติหรือว่าใช้อารมณ์ ต้องเป็นการชี้แจงตามข้อเท็จจริง ที่เป็นพระธรรมเป็นวินัยจริง ๆ ไม่ใช่เห็นไม่ถูกตา ไม่ถูกใจก็ด่าเอาไว้ก่อน ถ้าลักษณะอย่างนั้น ไม่ถือว่าใช้ได้


    กระผม/อาตมภาพต้องไปร่วมประชุมผู้บริหารของวิทยาลัยสงฆ์ จึงขอฝากพระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนกระทั่งบอกกล่าวแก่ญาติโยมไว้แต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๔
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...