เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๔

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 1 พฤศจิกายน 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,568
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,542
    ค่าพลัง:
    +26,380
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๔


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,568
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,542
    ค่าพลัง:
    +26,380
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ กระผม/อาตมภาพมีภารกิจต่อเนื่องหลายวัน กลับมาพร้อมกับการเปิดประเทศ ซึ่งรับประกันได้ว่า "เอาไม่อยู่" แต่ก็จำเป็นต้องเปิด เพราะถ้าหากว่าไม่เปิด เศรษฐกิจก็ไปไม่ได้ พวกเราจึงต้องระมัดระวังตัวกันเอง โดยเฉพาะทองผาภูมิระยะนี้ เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ระบาดแรงมาก ญาติโยมหลายท่านที่ใส่บาตรประจำก็ติดเชื้อกันหมด เพราะฉะนั้น..ตรงจุดนี้ต้องบอกว่าใครพลาดเป็นโดน..!

    แต่ว่าเรื่องของเชื้อไวรัสนั้น ไม่ใช่แต่ไวรัสปรับตัว เพื่อที่จะหนีรอดจากการรักษาของเรา เราเองก็ต้องปรับตัว เพื่อที่จะอยู่กับเชื้อไวรัสให้ได้ด้วย เพราะว่าการฉีดวัคซีนนั้น ประการแรกเลยก็คือ เป็นวัคซีนฉุกเฉิน ไม่ได้ผ่านการคิดค้นและทดลองตามลำดับขั้นตอนปกติ จึงยังไม่สามารถที่จะให้ผลเต็มที่ได้

    ประการที่สอง เชื้อไวรัสถึงเวลาก็ลงคอ ลงปอด ไม่ได้ไปอยู่ในสายเลือดแบบวัคซีน ก็เหมือนอย่างกับส่งกองทัพไปทางเหนือ แล้วข้าศึกอยู่ทางใต้ ไม่รู้จะรบกันอย่างไร แค่ขู่ให้ข้าศึกรู้ว่ากองทัพของเรามีอยู่เท่านั้นเอง ตรงนี้ต้องค่อย ๆ แก้ไขกันไปตามหน้างาน

    ช่วงที่หายไป ส่วนใหญ่เป็นงานทางคณะสงฆ์แล้วก็งานปลุกเสกวัตถุมงคล ล่าสุดเมื่อวานนี้ก็คืองานกฐินปลดหนี้ เรื่องของการไปงานต่าง ๆ นั้น มีญาติโยมประเภทหนึ่งที่กระผม/อาตมภาพเห็นว่า "ไม่รู้กาลเทศะ" ก็คือมักจะไปถวายปัจจัยหรือว่าข้าวของเงินทอง เพื่อที่จะทำบุญกับวัดท่าขนุน กระผม/อาตมภาพขอบอกว่า บุคคลประเภทนี้ "เสียมารยาทมาก"..!

    เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านสอนและทำเป็นตัวอย่าง ไม่ว่าใครเขาถวายปัจจัยไว้ที่วัดไหน เมื่อถึงเวลาแล้วท่านก็ให้ทิ้งไว้ให้กับวัดนั้น ดังนั้น...ไม่ว่าท่านจะถวายทองคำระบุว่าหล่อพระวัดท่าขนุน อาตมภาพก็ทิ้งไว้ที่นั่นแหละ ทำตามที่ครูบาอาจารย์สอนสั่งมา ไม่ได้สนใจว่าจะเป็นการย้ายเจดีย์หรือว่าทำลายศรัทธาให้ตก เพราะว่าคนถวายดันโง่เอง...!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,568
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,542
    ค่าพลัง:
    +26,380
    การที่เราไปอยู่ที่วัดใดวัดหนึ่งก็ตาม ควรที่จะทำบุญกับวัดนั้น ไม่ใช่ไปทำบุญกับวัดอื่น การที่เราจะทำบุญกับวัดอื่นได้ เจ้าของที่หรือเจ้าอาวาสต้องมีกำลังใจที่สูงพอ ไม่อย่างนั้นแล้วถึงเวลาเห็นพวกเราทำบุญกับวัดท่าขนุน...ทำบุญกับวัดท่าขนุน ก็จะเกิดความคิดว่า "แล้ววัดกูล่ะ ?"

    เรื่องพวกนี้หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเจอมาเยอะต่อเยอะด้วยกัน ท่านถึงได้สั่งสอนลูกศิษย์ทุกรูปว่า "เงินเกิดขึ้นที่ไหน ให้ทิ้งไว้ที่นั่น" แล้วท่านก็ทำให้ดูเป็นตัวอย่างทุกครั้ง แล้วก็ไม่ใช่เงินน้อย ๆ อย่างไปวัดบางนมโค ปี ๒๕๒๗ ญาติโยมทำบุญกับท่านตรงนั้นสี่แสนกว่าบาท ท่านก็ทิ้งไว้ให้กับวัดบางนมโคทั้งหมด..!


    ในชีวิตของกระผม/อาตมภาพเคยนำเงินกลับมาครั้งเดียว ก็คือตอนจัดสวดพระคาถาเงินล้านครั้งแรกที่หน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์ เนื่องเพราะว่าผู้จัดเป็นฆราวาส ไม่ใช่พระ เงินที่ญาติโยมถวายมาเท่ากับเป็นสังฆทาน ถ้าเจ้าของสถานที่เป็นพระ ยังพอที่จะถวายให้กับท่านได้ แต่พอเป็นฆราวาสก็เลยไม่รู้ว่าจะให้อย่างไร จำเป็นที่จะต้องเก็บกลับมา

    ดังนั้น...ไม่ว่ากระผม/อาตมภาพจะไปที่ไหนก็ตาม ส่วนที่จะรับกลับมาก็คือไทยธรรมชุดหนึ่งที่ทางเจ้าภาพเขาถวายตามที่นิมนต์เท่านั้น ส่วนที่เหลือทั้งหมดก็ทิ้งเอาไว้ให้ที่นั่น เป็นภาระของเจ้าของวัดต้องไปดำเนินการเอง

    ญาติโยมหลายท่านอาจจะคิดว่าไปวัดท่าขนุนยาก พอไปใกล้บ้านของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นวัดไหนก็ตาม ก็เลยฉวยโอกาสทำบุญกับวัดท่าขนุน ถ้าคิดอย่างนั้นก็ "ใช่ของโยม" แต่ "ไม่ใช่ของอาตมา" ก็ดังที่ได้กล่าวเอาไว้แล้วว่า ถ้าหากว่าเจ้าของที่หรือว่าเจ้าอาวาสกำลังใจไม่สูงพอ ดีไม่ดีก็มีการทะเลาะเบาะแว้งกับญาติโยมไปเลย
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,568
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,542
    ค่าพลัง:
    +26,380
    เรื่องนี้อาตมาเจอมาด้วยตนเอง ก็คือพี่ตุ๋ม (แสงเดือน พร้อมพันธุ์) อดีตรองนางงามจักรวาลและอดีตนางสาวไทย ไปทำบุญกับหลวงพ่อวัดท่าซุง ซึ่งท่านไม่เคยหวงลูกศิษย์ พอไปทำบุญอยู่ที่วัดหนึ่งประจำ หลายครั้งเข้าหน่อย เมื่อเจ้าของที่ทราบว่าไปทำบุญวัดอื่นก็โทรมาต่อว่า ซึ่งเรื่องนี้จะว่าไปแล้วก็คือกำลังใจของเจ้าของวัดนั้น "เฮงซวยมาก..!" แต่กลับทำให้ญาติโยมเสียกำลังใจไปด้วย เพราะว่าตัวเองก็ทำบุญตามแบบที่ครูบาอาจารย์สั่งสอนมา แต่อีกฝ่ายกลายเป็นหวงลูกศิษย์..!

    ตรงจุดนี้พวกท่านต้องไปดูในมัจฉริยะ คือ ความตระหนี่ถี่เหนียว จัดอยู่ในกุลมัจฉริยะ คือการตระหนี่ในตระกูล มีลูกศิษย์รวย ๆ มีลูกศิษย์เป็นใหญ่เป็นโต มีลูกศิษย์เป็นดารา เป็นนักร้อง ต้องเก็บเอาไว้อวดชาวบ้านเขา ถึงเวลาจะไปทำบุญที่อื่นไม่ได้

    ถ้าหากว่าเก็บเอาความไม่ดีไว้ในใจของเราเอง จะน้อยใจ จะเสียใจอย่างไร ไม่มีใครว่า แต่นี่ไปแสดงออกชัดเจน ด้วยการโทรไปต่อว่า หรือถ้าหากว่าพูดภาษาชาวบ้านก็คือ "โทรไปด่า" จึงทำให้ญาติโยมเขาเสียใจแล้วก็เข็ด ไม่อยากจะไปที่วัดนั้นอีก

    ดังนั้น...ญาติโยมทั้งหลายที่ฟังอยู่ ไม่ว่าจะเป็นที่วัดท่าขนุนนี้หรือว่าที่อยู่ทางบ้าน จะต่างจังหวัดหรือต่างประเทศก็ตาม ขอให้รู้ไว้ว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านไม่เคยสอนให้ขนเงินกลับวัด ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ใครที่ตั้งใจทำบุญมาเงินทองก็อยู่ตรงนั้นแหละ แล้วอาตมาก็ไม่รับผิดชอบด้วยประการทั้งปวง เพราะว่าบอกไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า "เสียมารยาท" แต่ก็ยังอุตส่าห์ทำกันมา

    แต่มาระยะหลังก็มีบางวัด ถึงเวลาขากลับท่านก็หอบมาส่งให้ถึงรถ หรือไม่ก็เอาย่ามจากกระผม/อาตมภาพไป ถือให้ญาติโยมใส่ย่าม แล้วก็หอบมาถวายเอง ถ้าลักษณะอย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าจะบ่นอย่างไร เพราะว่าตัวเจ้าของวัดพลอยเป็นไปด้วย..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,568
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,542
    ค่าพลัง:
    +26,380
    เรื่องพวกนี้ต้องบอกว่าขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของเราเอง ว่าจะเห็นแก่คำสั่งสอนและแนวประพฤติปฏิบัติของครูบาอาจารย์ หรือว่าจะเห็นแก่เงิน ถ้าเห็นคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ เห็นการประพฤติปฏิบัติของครูบาอาจารย์ เป็นสิ่งที่ต้องรักษาและดำเนินรอยตาม ก็จะไม่เห็นแก่หน้าโยม แต่ถ้าเห็นแก่เงิน ก็จะเห็นแก่หน้าโยมไปด้วย ก็คือหอบเงินกลับวัดมา

    เรื่องพวกนี้พระภิกษุสามเณรของเราต้องพินิจพิจารณาให้ดีว่า ครูบาอาจารย์ท่านมีปฏิปทาแบบไหน ถึงเวลาแล้วเราจะเลียนแบบทำตามหรือจะแหกคอก ก็ต้องแล้วแต่ท่านทั้งหลาย เพราะกระผม/อาตมภาพก็ไม่ได้บังคับ หลวงพ่อวัดท่าซุงก็ไม่ได้บังคับพวกกระผม/อาตมภาพมาเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเมื่อท่านบอกกล่าวให้รู้ ก็ถือว่าเป็นคำสั่ง ถึงเวลาก็ต้องปฏิบัติตาม นี่เป็นส่วนหนึ่ง


    อีกส่วนหนึ่งที่ไม่น่าจะต้องให้พูดถึง ก็คือเรื่องของวัตถุมงคล ไปปลุกเสกที่วัดประเสริฐสุทธาวาส ซึ่งเป็นวัตถุมงคลของทางกองทุนหลวงปู่ปาน ซึ่งทางกองทุนก็ดี หรือว่าทางหลวงพ่อพิจารณ์ วัดโพธิ์ผักไห่ หลวงพ่อหมู วัดประเสริฐสุทธาวาส พระครูสมุห์อานนท์ วัดบึงลาดสวายก็ตาม ท่านทั้งหลายเหล่านี้มีปฏิปทาเดินตามรอยครูบาอาจารย์แบบโบราณก็คือ จะสร้างอะไร ก็ยังอิงฤกษ์ยาม อิงวัสดุ และที่แน่ ๆ ก็คือส่วนใหญ่แล้วทำด้วยมือ อย่างงวดนี้ของเขามีวัวธนูที่ปั้นด้วยครั่งทีละตัว ก็แปลว่า ๑๐ ตัวก็จะไม่เหมือนกันสักตัวหนึ่ง เป็นต้น หรือไม่ก็แมลงภู่คำที่แกะมือทีละตัว ก็เลยไม่เท่ากันสักตัวเหมือนกัน

    แล้วก็โยงไปถึงวันรุ่งขึ้นที่ไปเสกวัตถุมงคลที่วัดพุทธพรหมยาน ปรากฏว่าแม่ชีกุ๋ย (อุบาสิกาอุษณี วงศ์ไตรรัตน์) ได้ทำกุมารทองกับรักยมมา ผมก็เลยโดนตำหนิแทนว่า "ไอ้พวกมักง่ายสร้างมา..!" เนื่องจากว่าเป็นข้อเปรียบเทียบอย่างชัดเจนที่ทางวัดประเสริฐสุทธาวาสนั้นทำตามโบราณหมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะดูฤกษ์ดูยาม หาวัสดุอะไรก็ตาม ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็สั่งโรงงานปั๊มมาเลย ในเมื่อของเรา ถ้าหากว่าทำโดยมักง่าย จะให้ "ดีนอกดีในโดยครบถ้วน" ก็เป็นไปไม่ได้
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,568
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,542
    ค่าพลัง:
    +26,380
    ถ้าหากว่าพวกเราขอดูตัวอย่าง กระผม/อาตมภาพอยากจะยกตัวอย่างหลวงปู่ภู วัดอินทรวิหาร ที่ท่านสร้างนิ้วเพชรพระอิศวรหรือตะกรุดไม้พ่อครู ใช้เวลาหาวัสดุอยู่ ๓๐ กว่าปีกว่าที่จะได้สร้าง ท่านถึงขนาดออกปากว่า "ไม่มีใครทำได้อย่างกู" แน่นอน..เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าไม่มีใครอายุยืนเหมือนท่าน อายุร้อยกว่าปี เดินธุดงค์อยู่ ๓๐ กว่าปี กว่าที่จะเจอกอไผ่ที่โดนฟ้าผ่าล้มทับทางช้างเดิน และช้างทั้งหมดเดินผ่านไปโดยไม่ได้ดึงมากินเลย แล้วกอไผ่ที่ล้มต้องหันไปทางทิศตะวันออกด้วย ถ้าเป็นเราจะมีอารมณ์ที่จะไปค่อย ๆ หาแบบท่านไหม ?

    เพราะฉะนั้น..เรื่องพวกนี้ ท่านที่คิดจะทำเพื่อ "ฝากผลงานไว้ในแผ่นดิน" ก็จะทำแบบนี้ คือ สรรหาทุกอย่างให้ถูกต้องตามตำรา เพื่อที่จะให้ดีนอกดีในแบบเดียวกับที่พี่อรรณพ (พ.ต.อ.อรรณพ กอวัฒนา) ท่านทำ ไม่ว่าจะเป็นหลวงพ่อโตย้อนยุค กรุวัดชีปะขาวหาย หรือว่าพระขุนแผนเคลือบ เลียนแบบกรุวัดใหญ่ชัยมงคล ก็แปลว่าเราจะมักง่ายก็ได้ แต่ท่านที่เสกจะเหนื่อยมาก เพราะว่าต้องมาตั้งธาตุปลุกธาตุกันให้ยุ่งไปหมด

    แล้วไอ้ที่โดนดุก็ไม่ใช่ตัวคนทำด้วย กลายเป็นกระผม/อาตมภาพเอง เพราะว่า
    เสกสองวันติดกัน แล้วก็ไปเจอที่ตั้งใจทำด้วยมือ ด้วยวัสดุที่สรรหามาทีละองค์ ทีละตัว แล้วไปเจออีกที่หนึ่งสั่งโรงงานปั๊มมาเลย..!

    อย่าลืมว่า..ถ้าหากว่าเป็นกุมารทองจริง ๆ ก็ต้องทำอย่างขุนแผน ก็คือทั้งชีวิตทำได้แค่ตัวเดียว หรือไม่ก็ถ้าหากว่าทำอย่างสายหลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม ก็ต้องใช้ดินเจ็ดป่าช้ามาปั้นเป็นรูปเด็ก แล้วก็มีการลงอาการ ๓๒ ลงธาตุ ๔ อ่านโองการฯ เชิญบรรดาผีต่าง ๆ มา เพื่อที่จะให้รักษาดูแล แต่หลวงพ่อเต๋ท่านก็บอกว่า "ข้าเสกจนเป็นเทวดาหมดแล้ว" ซึ่งตอนแรกกระผม/อาตมภาพก็งง ๆ ว่าเสกเป็นเทวดาได้อย่างไร ?

    ตอนหลังพอตัวเองรู้วิธีเข้าก็ง่ายนิดเดียว อุทิศส่วนกุศลให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นโมทนา ส่วนใหญ่ครูบาอาจารย์ท่านทรงฌานทรงสมาบัติอยู่แล้ว แค่เศษ ๆ ส่วนกุศลของท่านก็สามารถส่งให้เป็นเทวดา เป็นพรหมได้สบาย..!
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,568
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,542
    ค่าพลัง:
    +26,380
    ถ้าหากว่าเป็น รัก - ยม สมัยก่อนก็แกะมาจากกาฝากต้นรัก โดยเฉพาะรักซ้อนหรือกาฝากต้นมะยม ซึ่งไม่ใช่ของหาง่าย ในชีวิตของกระผม/อาตมภาพเอง ก็ได้มาแค่ไม่กี่ชิ้น แล้วที่ได้มาแบบคิดไม่ถึงก็คือ ได้มาจากพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ เพราะว่าท่านขอให้ผมไปหาท่านอย่างน้อยเดือนละครั้ง ปรากฏว่าครั้งนั้นมีโยมเอามาถวายท่านไว้ ท่านบอกว่า "คุณรู้วิธี..เอาไปทำวัตถุมงคลก็แล้วกัน" แล้วท่านก็มอบให้มา จำไม่ได้ว่าชั่งกิโลขายไปแล้วหรือยัง ?

    ก็แปลว่าเรื่องของวัสดุต่าง ๆ ถ้าหากว่าจะทำตามตำรา ไม่ใช่เรื่องที่หาได้ง่ายทั้งนั้น แล้วพวกเราสมัยนี้ส่วนใหญ่ก็มักง่าย ถึงเวลาก็สั่งโรงงานปั๊มมา ฤกษ์ก็ไม่ต้องดู ยามก็ไม่ต้องมี วัสดุก็ไม่สนใจว่าจะเป็นอะไร ถ้าหากว่าไปเจอครูบาอาจารย์ที่ท่านตั้งธาตุ ปลุกธาตุ ลงอาการ ๓๒ ไม่เป็น ก็เฮงซวยไปเลย เพราะไม่รู้จะทำให้ขลังอย่างไร ก็ได้แต่ทำท่าเสกแหกตาชาวบ้านไปเท่านั้น

    ไอ้ที่ต้องมาบ่นให้ฟัง เพราะว่าตัวเองโดนด่ามา ก็เลยไม่อยากที่จะโดนอีกรอบหนึ่ง เท่ากับบอกบรรดาท่านทั้งหลายที่สร้างวัตถุมงคลให้รู้ตัวไว้ด้วยว่า ถ้าโดนด่าบ่อย ๆ บางทีกระผม/อาตมภาพก็ไม่ไปอีก..!


    วันนี้รบกวนเวลาของพวกเรามามากพอแล้ว จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณร ตลอดจนบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๔
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...