เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๔

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 20 กรกฎาคม 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๔


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๒๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ กระผม/อาตมภาพมีงานตั้งแต่เช้ายันค่ำ โดยเฉพาะการสอนหนังสือออนไลน์และการประชุมออนไลน์ ซึ่งการสอนหนังสือนั้น ต้องบอกว่าเป็นงานที่ใช้กำลังกายกำลังใจสูงมาก ด้วยหวังประโยชน์ตรงที่ว่า ให้พระภิกษุสามเณรของเราที่ได้เข้ามาเรียนในระดับมหาวิทยาลัย มีจิตสำนึกถึงความเป็นพระภิกษุสามเณรของตน อย่างน้อย ๆ ถ้าไม่สามารถที่จะสร้างความเจริญให้กับพระพุทธศาสนาได้ ก็อย่าได้เป็นคนทำให้ศาสนานี้พังลงไปด้วยตนเอง..!

    ส่วนวิชาการอื่น ๆ นั้นไม่จำเป็น เพราะว่าใครก็สามารถที่จะบรรยายถวายความรู้แก่พระภิกษุสามเณรได้ โดยเฉพาะหาอ่านเอาเองก็ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นจึงต้องทุ่มเทกำลังกายกำลังใจสูงมาก

    ถ้าจะเปรียบไปแล้วก็เหมือนดั่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า พระองค์ท่านแสดงธรรมเหมือนกับราชสีห์จับเหยื่อ ไม่ว่าเหยื่อจะตัวใหญ่หรือว่าตัวเล็กก็ตาม ราชสีห์จะทุ่มเทกำลังเต็มที่เสมอ จึงทำให้ราชสีห์สามารถจับเหยื่อได้เกือบทุกครั้ง มีโอกาสพลาดน้อยมาก

    แต่คราวนี้การที่เราจะทุ่มเทกับการงานสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างเต็มที่นั้น ส่วนที่เราจะลืมไม่ได้เลยก็คือ เราต้องรู้สึกตัวอยู่เสมอว่าเราจะตาย ในเมื่อรู้ตัวว่าต้องตาย เรามีเวลาแค่ตอนนี้ เดี๋ยวนี้เท่านั้น เราก็ต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ อย่างที่อาตมภาพเคยใช้คำพูดว่า "แหงนหน้าก็ไม่อายฟ้า ก้มหน้าก็ไม่อายดิน อยู่คนเขาก็รักใคร่ ไปคนเขาก็คิดถึง"

    ถ้าหากว่าใครตั้งใจจะทำให้ได้แบบนี้ ส่วนหนึ่งที่จะลืมไม่ได้เลยก็คือมรณานุสติ เราพร้อมที่จะตายอยู่เสมอ ในเมื่อเราจะตายแล้ว งานทุกอย่างเราทำเหมือนกับเป็นงานชิ้นสุดท้าย ถึงตายลงไปก็ไม่มีภาระอะไรคาใจให้กับเราอีก เพราะว่าทุกอย่างได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว

    เพียงแต่ว่าน้อยคนนักที่จะทำได้อย่างนี้ เนื่องจากว่าส่วนใหญ่แล้ว ใจก็ยังมีห่วง พะวงหน้าพะวงหลัง ก็คืออาจจะติดด้วยฐานะ ด้วยยศศักดิ์ ด้วยตำแหน่ง ซึ่งทุกอย่างจะเป็นเครื่องร้อยรัดให้เราติดอยู่กับวัฏสงสารนี้ บางทีก็สำนึกขึ้นมาได้แวบ ๆ เหมือนกับฟ้าแลบผ่านในที่มืด ก็จับไม่ติดอีก กว่าจะรอให้ฟ้าแลบอีกครั้ง ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะนานเท่าไร
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    จะว่าไปแล้ว หลักการปฏิบัติธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นง่ายมากก็คือ ทำตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ให้ดีที่สุดเท่านั้น เพราะว่าอดีตผ่านมาแล้ว ไม่สามารถที่จะแก้ไขอะไรได้ อนาคตก็ยังมาไม่ถึง ไม่สามารถที่จะทำอะไรล่วงหน้าได้ มีแต่ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด อนาคตของเราถึงจะดีตามไปด้วย

    แต่คราวนี้ดีที่สุดของแต่ละคนก็ยังไม่เท่ากันอีก เพราะว่ามัชฌิมาปฏิปทา ความพอเหมาะพอดีแบบทางสายกลาง ไม่มีมาตรฐาน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ หากแต่ขึ้นอยู่กับกำลังกาย กำลังใจ ตลอดจนกระทั่งบารมีที่สั่งสมมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

    หลายท่านก็คงเคยพบเห็นมาว่า มีนักปฏิบัติธรรมบางท่านที่นั่งสมาธิได้ข้ามวันข้ามคืน ขณะที่เราเองบางที ๓ นาที ๕ นาทีก็ฟุ้งซ่านแทบตายแล้ว ถ้าให้ไปนั่งข้ามวันข้ามคืนแบบเขา เราก็ไม่ไหว แต่สำหรับบุคคลนั้นแล้วกลับเป็นเรื่องที่พอดีของท่าน

    มัชฌิมาปฏิปทาจึงไม่มีมาตรฐาน ๕๐ เปอร์เซ็นต์สำหรับบุคคลทั่วไป ขึ้นอยู่กับกำลังกาย กำลังใจ กำลังบุญบารมีที่สั่งสมมา โดยเฉพาะการเข้าถึงธรรม ยิ่งเข้าถึงธรรมได้สูงเท่าไร ก็พร้อมที่จะเอาชีวิตแลกกับธรรมะนั้นได้เสมอ ก็คือเห็นว่าธรรมะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่ชีวิตของเราสำคัญที่สุด

    ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หลายคนที่ไม่สามารถที่จะทำได้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าตำหนิ แต่ควรที่จะใช้ความเพียรพยายามของตนให้มากยิ่งขึ้น เพราะว่าถ้าเราพยายามเต็มที่แล้ว หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเปรียบเอาไว้ว่า เหมือนกับเราตั้งใจขึ้นให้ถึงยอดไม้ ในเมื่อตั้งเป้าสูงสุดแล้ว เราก็ต้องพยายามตะเกียกตะกายอย่างเต็มที่ ถึงแม้ว่าจะไปไม่ถึงยอดไม้ ก็ได้สูงสุดเต็มกำลังของเรา แต่ถ้าเราตั้งเป้าหมายเอาไว้ต่ำ ถึงเวลาถ้ายากลำบากขึ้นมา กำลังใจลดน้อยถอยลง เราก็จะยิ่งได้น้อยลงไปอีก

    หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถึงได้แนะนำให้บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลาย อธิษฐานขอพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ เพราะว่าถ้าเราตั้งเป้าหมายสูงสุดไว้ที่พระนิพพานแล้ว ใช้ความเพียรพยายามอย่างเต็มที่ ต่อให้ไปไม่ถึงพระนิพพาน อย่างต่ำสุดก็ได้เกิดเป็นเทวดานางฟ้า สูงไปกว่านั้นก็เป็นพรหมหรืออรูปพรหม แต่ว่าถ้าเอาให้ปลอดภัย ก็เป็นสุทธาวาสพรหมก็คือพรหมอนาคามี หรือว่าพรหมอรหัตมรรค รอเวลาเข้ามรรคเข้าผล เข้าสู่พระนิพพานกันข้างบน ไม่ต้องลงมาเวียนว่ายตายเกิดให้ทุกข์อีก
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    การที่เราตั้งเป้าเอาไว้ว่าขอไปพระนิพพานในชาตินี้ เราก็ต้องทุ่มเทกำลังกายกำลังใจทั้งหมดให้กับศีล สมาธิ ปัญญาอย่างเต็มที่ ไม่เช่นนั้นแล้วจะอันตรายมาก เพราะว่าบุคคลที่จะเข้าถึงพระนิพพานได้ จะต้องเห็นทุกข์อย่างชัดเจน จนกระทั่งเบื่อหน่ายร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์ เบื่อหน่ายโลกนี้ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ เบื่อหน่ายการเวียนว่ายตายเกิดที่เต็มไปด้วยความทุกข์ แล้วถอนจิตออกมาจากการยึดเกาะในสิ่งทั้งหลาย ถึงจะมีโอกาสหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานได้

    ที่บอกว่าอันตรายมากก็เพราะว่าถ้ากำลังใจของเรามุ่งมั่นด้วยแรงอธิษฐานว่า "ขอพระนิพพานชาตินี้" "ขอพระนิพพานชาตินี้" แต่เราไม่ได้ทำอะไรให้สมกับที่ตั้งใจเอาไว้ ถ้าเป็นลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็มักจะโดนบังคับให้เห็นทุกข์ ในเมื่อเราไม่ยอมพิจารณาให้เห็นว่าร่างกายนี้ โลกนี้ เต็มไปด้วยความทุกข์ บรรดาท่านทั้งหลายที่คอยช่วยเหลือเราก็จะบังคับให้เราทุกข์ อย่างเช่นว่าเดือดร้อนอับจนหนทางจนกระทั่งหาทางออกไม่ได้บ้าง เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคร้ายจนกระทั่งอยากจะตายเสียเดี๋ยวนั้นบ้าง..!

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ถ้าเกิดขึ้น ขอให้รู้ว่าเกิดจากการที่เราไม่ยอมพิจารณาทุกข์ อาตมภาพเคยเปรียบเอาไว้ว่า พวกเราทั้งหลายที่ลงมาเกิด บรรดาญาติพี่น้องในชาติก่อน ๆ ที่อยู่ข้างบนก็พร้อมที่จะช่วยเหลือควบคุม เพื่อให้เราไปอย่างน้อยก็เท่าเดิมหรือดีกว่าเดิม หรือถ้าสามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้ ก็เป็นเป้าหมายสูงสุดที่ทั้งเราและท่านหวังเอาไว้

    ในเมื่อเราตั้งใจจะไปให้ถึงที่สูงสุด แต่ว่าไม่ได้ทำอะไรเพื่อที่จะไป ท่านทั้งหลายที่อยู่ข้างบนก็จะช่วย แล้วถ้าท่านช่วยเมื่อไร ก็จะรู้ว่าชีวิตนี้ทำไมถึงได้ทุกข์ยากขนาดนั้น แล้วถ้าปัญญาเรายังไม่ถึงก็จะต้องทุกข์ทนทรมานต่อไป

    หลายท่านป่วยเป็นโรคร้าย อย่างเช่นมะเร็ง หมอบอกว่าจะอยู่ได้แค่ไม่เกิน ๖ เดือน แต่ปรากฏว่าทรมานอยูปีหนึ่ง สองปี สามปี ก็ไม่ตายเสียที ก็เพราะไม่ยอมพิจารณาให้เห็นว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์ เพื่อที่จะปลดใจของเราออกสู่เป้าหมายที่ตั้งใจไว้ เราก็ต้องทนทุกข์ทรมานต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าที่จะวางกำลังใจได้ถูกต้อง ถึงจะพ้นไปได้
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    ดังนั้น..สิ่งที่ญาติโยมทั้งหลาย ตลอดจนกระทั่งพระภิกษุสามเณรของเราจะลืมไม่ได้เลยก็คือ ในแต่ละวันพยายามมองความทุกข์ให้เห็น พยายามที่จะปลดใจตนเองออกมาจากร่างกาย และโลกนี้ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ ทีละเล็กทีละน้อย ค่อย ๆ ขัดเกลาไป ท้ายที่สุด เราก็สามารถที่จะหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้

    ไม่เช่นนั้นถ้าท่านทั้งหลายโดนบังคับให้ทุกข์ ซึ่งต้องบอกว่าเป็น "รสชาติของชีวิต" ที่ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่านั้นอีกแล้ว เพราะว่าเราตั้งใจแต่ไม่ทำ ก็ต้องโดนเฆี่ยนตีเพื่อที่ให้เป็นไปตามที่เราตั้งใจเอาไว้

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ปกติแล้วก็จะไม่มีการนำมาบอกกล่าวกัน ปล่อยให้ท่านทั้งหลายไปงมหากันเอาเอง แต่ดูมาปีแล้วปีเล่าก็ยังงมหาไม่เจอ จึงต้องมาบอกกล่าวให้แก่ท่านทั้งหลายได้ทราบ จะได้ปฏิบัติให้ถูกทาง แล้วก็ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความทุกข์ยากลำบากที่ไม่มากจนเกินไปนัก

    จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนกระทั่งเจริญพรให้ญาติโยมได้ทราบแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๒๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...