@@..คำครู ผู้ชี้-นำ-อุปถัมภ์ สู่พระโพธิญาณ & เรื่องเล่าจากกัลยาณมิตร.@@

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 10 กรกฎาคม 2015.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,358
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    ?temp_hash=c7506df8240bf3a0f5cda2c29fbedecd.jpg



    2665.png หลวงพ่อหนุน วัดพุทธโมกข์ จ.สกลนคร
    บอกคาถา ให้ใช้...
    บอกมา 2 ครั้งแล้ว...
    ลืมแจ้งข่าวทุกที
    แต่ก็เห็นมีคนใช้กันบ้างแล้ว... คือ...
    (นะ โม ตัส สะ... ย้อนกลับ)
    สะ ตัส โม นะ
    สะ ตัส โม นะ
    .
    .
    .
    สะ ตัส โม นะ
    .
    .
    ท่องได้ตลอด ไม่จำกัด
    ยิ่งท่องมาก ยิ่งดี...
    * ป้องกันเหตุ จากเภทภัย นานา
    บางทีใครส่งภัยมา ที่เราไม่รู้ ไม่เห็น ก็ขอให้ไหลย้อนกลับไป เราไม่รับเหตุเภทภัยนั้นๆ
    * เงิน ทอง ในส่วนที่เราควรจะได้รับ และในส่วนที่ใครโกงเราไป ขอให้ไหลย้อนกลับมา (เร่งรัดทวงหนี้สินของเรา)
    * โชคลาภนานา ที่จะเข้าถึง แต่ก็ยังเข้ามาหาเราไม่ได้ ด้วยกรรมที่เราก่อไว้ เบียดบังอยู่ เป็นว่า บุญมี แต่กรรมบัง...
    ก็ขอให้กรรมบัง นั้น ไหลให้ผ่านพ้นไป กรรมบังชะลอไว้ก่อน...
    ขอให้กรรมดีสามารถส่งผลให้ ผลของกรรมดี มีพลังไหลย้อนกลับเข้ามาหาเราได้...
    * บางครั้ง บางทีสิ่งที่ดีๆ คล้ายๆว่าเราน่าจะได้รับ แต่กลับไม่ได้ ไหลผ่านพ้นไป... ก็ขอให้โชคลาภนั้นๆ ไหลย้อนกลับมา...
    .
    Cr. พี่มหาหินทร์ มีเนตร์ขำ
    +++++++++++++++++++++++++++
    2666.png ที่มาของคาถา สะตัสโมนะ ท่านก็บอกบอกต้องย้อนอดีตชาติดูว่าพระที่ท่านอยู่ป่า ท่านปลอดภัยจากสัตว์ร้ายอย่างเสืออย่างช้างป่าได้อย่างไร ท่านใช้คาถาบทใด ก็ได้คำตอบว่าเป็นคาถา สะตัสโมนะ ท่านบอกแม้แต่ช้างป่าที่มันวิ่งเขามาทำร้าย ถ้ากำหนดจิตท่องคาถามันก็หมอบคลานทันที
    .
    บท สะ ตัส โม นะ บทนี้เป็นบทนะโมตัสสะถอยหลังนั่นเอง พระเดชพระคุณหลวงพ่อหนุนเหล่าให้ฟังว่าเป็นมหาแคล้วคลาดมหาสะท้อน ผู้ใดคิดไม่ดี หรือสัตว์ร้าย ที่ปรี่เข้ามาอย่างมุ่งร้ายหมายขวัญ พอเข้าใกล้เราก็จะเปลี่ยนใจ ทดลองได้ผลมาแล้ว บางครั้งใช้ภาวนาเวลาขับรถมักจะเจอประสบประการณ์ที่ทำให้แคล้วคลาดมาหลายครั้ง คนโบราณบางคนก็ใช้บทนี้เป่าเด็กทารกที่กระจองอแง
    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,358
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    FCLMK6W-zDY95FgouS_ocoZy0a3GEuzKSQBg_msQFxLV&_nc_ohc=1nvLXj1-T9gAX_Bod0k&_nc_ht=scontent.fbkk2-7.jpg

    #วิชามหาสะท้อนเกิดจากธรรมชาติ
    #ก็คือกฎของกรรม

    #เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๔


    วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีที่ ๒๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ เมื่อวานนี้ช่วงเช้า ผมทำการไหว้ครูประจำปี แล้วก็ปลุกเสกวัตถุมงคล ต้องบอกว่าเป็น "#รุ่นมหาสะท้อน"

    การไหว้ครูประจำปีตามสายครูบาอาจารย์ ตั้งแต่ยุคหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค เป็นต้นมา โดยปกติแล้วใช้วันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ เดือนไหนก็ได้ แต่ถ้าหากว่าตรงกับเดือน ๕ ก็ยิ่งดี แต่ถ้าหากว่าวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำไม่สะดวก ท่านให้ไหว้ครูในวันวิสาขบูชา ถ้าวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำและวันวิสาขบูชาไม่สะดวก ท่านให้ไหว้ครูในวันมาฆบูชา ใช้ได้เพียง ๓ วันนี้เท่านั้น

    ผมเคยบอกกับทุกท่านว่า #วิชาการที่ผมศึกษามา ก็ตำราเดียวกันกับที่พวกท่านศึกษามา แล้วทำไมผมทำแล้วได้ผลมากกว่าคนอื่น ? ก็เพราะส่วนใหญ่แล้ว เมื่อผมจะศึกษาอะไร ผมมักจะหาหลักการและเหตุผลว่า ทำไมโบราณาจารย์ถึงได้บัญญัติวิชานั้น ๆ ขึ้นมา ? ถ้าเข้าใจถึงหลักการและเหตุผลแล้ว เราก็สามารถที่จะทำได้ตรงตามวัตถุประสงค์ของวิชานั้น ๆ

    #คราวนี้วันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำของปีนี้ คาดว่าการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-๑๙ ก็ยังคงมีอยู่ ไม่สะดวกที่จะจัดพิธีกรรม เพราะว่าบรรดาญาติโยมคงจะมากันมากอย่างทุกปี ในเมื่อมีเครื่องบวงสรวงครบสมบูรณ์ ผมก็เลยไหว้ครูไปเสียตั้งแต่เมื่อวาน แล้วก็ต่อด้วยการพุทธาภิเษก ซึ่งพิธีนี้หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านขอ "พระ" ให้ เพราะว่าผมโดนห้ามทำในสิ่งที่เป็นมหาสะท้อนไป เนื่องจากว่า "พวกคุณ" นั่นแหละเอาไปใช้ผิด ทำให้คนตายติด ๆ กันถึง ๒ ศพ..!

    โดยเฉพาะรายล่าสุด ถ้าหากว่าใครรู้เข้านี่เป็นข่าวใหญ่ระดับประเทศเลย ผมก็เลยโดนห้ามทำตะกรุดมหาสะท้อนมาหลายปี มาปีนี้ที่ท่านอนุญาตให้ เมื่อญาติโยมรับวัตถุมงคลไปแล้ว ผมก็เกรงว่าจะไม่มีความเข้าใจอย่างแท้จริง แล้วจะเอาไปใช้ผิดกันอีก

    #วิชามหาสะท้อนเกิดจากธรรมชาติก็คือกฎของกรรม ที่มีพุทธภาษิตว่า ยาทิสํ วปเต พีชํ ตาทิสํ ลภเต ผลํ บุคคลหว่านพืชเช่นไร ย่อมได้รับผลเช่นนั้น กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ ผู้ที่ทำความดี ย่อมได้รับผลดี ผู้ที่ทำความชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว

    เพียงแต่ว่ากำลังใจของเรานั้น ต้องไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับทั้งความดีและความชั่วนั้น ปล่อยให้สิ่งที่เขากระทำสนองตอบเขาเอง ถ้ากำลังใจของเราทำตรงนี้ได้ วัตถุมงคลที่ท่านรับไปจะมีอานุภาพสูงสุด เหมือนกับว่าถ้าวัตถุมงคลเป็นวัตถุแผ่รังสีได้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าท่านทั้งหลายสามารถเปิดช่องให้รังสีนั้นแผ่กระจายได้เท่าไร ถ้ามีความเข้าใจอย่างแท้จริง เท่ากับว่าเราเปิดรอบด้าน ๓๖๐ องศา ไม่มีบนล่าง เหนือใต้ ออกตก ซ้ายขวา หน้าหลัง อานุภาพก็จะเกิดขึ้นมากเป็นพิเศษ

    แบบเดียวกับตอนบิณฑบาต โดยปกติผมก็ภาวนาจับภาพพระ หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านแนะนำว่า เมื่อรับบิณฑบาตให้ตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้ผลบุญที่ท่านทั้งหลายได้ใส่บาตรต่อพระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนาครั้งนี้ ท่านปรารถนาสิ่งใด ขอให้สิ่งนั้นสำเร็จด้วยพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ

    ผมเป็นคนขี้เกียจครับ แล้วก็มักจะดัดแปลงวิธีการของครูบาอาจารย์ไปตามใจชอบของผม ในเมื่อศึกษาวิชาการมาแล้ว ผมก็ใช้วิธีนึกถึงภาพพระ ขยายใหญ่ครอบคนทำบุญไปด้วย เขาต้องการอะไรก็แล้วแต่พระท่านจะสงเคราะห์ คือตัดตัวเองออกมาจากผลได้ผลเสียตรงนั้นเลย ก็แปลว่าปล่อยให้กฎของกรรมทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่

    คราวนี้ตรงจุดนี้ ท่านต้องเข้าใจนะครับว่ามีเราไปเสริมอยู่ตรงนั้น ในเมื่อเราไปเสริมอยู่ตรงนั้น กำลังใจของเราที่เข้าไปเสริมตรงนั้นแหละ จะส่งผลให้กับผู้อื่น เหมือนกับว่าคนอื่นถ้าหากว่ามีเงินไม่พอที่จะซื้อของอะไร แล้วเราให้เขายืมเพิ่มขึ้น ผลก็จะเกิดขึ้นเร็วมาก

    คราวนี้วัตถุมงคลที่ท่านทั้งหลายจะได้รับ ไม่ว่าจะเป็นสมเด็จองค์ปฐมมหาสะท้อนเนื้อเงินชนวนก็ดี หลวงพ่อสุคโตที่บรรจุเม็ดเงินมหาสะท้อนก็ดี หรือว่ามีดลูกพราหมณ์พรหมพิทักษ์ก็ตาม สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ #ถ้าหากว่าท่านตั้งใจที่จะให้ส่งผลในด้านดีด้านชั่วกับคนอื่น แสดงว่าวางกำลังใจผิด #อานุภาพของวัตถุมงคลก็จะมีน้อย

    #แต่หากท่านมอบความไว้วางใจให้กับ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ใครทำอะไรก็แล้วแต่เขา #เราวางกำลังใจเป็นกลาง #มีอุเบกขา #ไม่ไปยุ่งเกี่ยวด้วย #แล้วแต่บารมีพระที่ท่านสงเคราะห์ว่าจะเป็นอย่างไร ก็จะเป็นหน้าที่ของกฎของกรรมเอง เหมือนกับว่าเราเปิดวัตถุมงคลนั้นรอบด้าน ๓๖๐ องศา เป็นรูปทรงกลม #พลังงานสามารถออกมาได้ทุกทิศทุกทาง #อานุภาพก็จะมากเป็นพิเศษ

    เรื่องนี้ที่ต้องมากล่าว เพราะผมเกรงว่าเมื่อคนรับไปแล้วจะเอาไปใช้ผิดอีก นอกจากจะมีอานุภาพน้อยแล้ว ก็ยังกลายเป็นการทำร้ายคนอื่น วิชามหาสะท้อนนี้ คนทำดีกับเรา ก็ได้รับผลดีตอบ คนทำชั่วกับเรา ก็ได้รับผลชั่วตอบ เป็นตัวเขาทำตัวเขาเอง ไม่ใช่เราตั้งจิตไปทำร้ายเขา ถ้าลักษณะอย่างนั้น กำลังใจของเราก็เศร้าหมอง เพราะว่าประกอบไปด้วยวิหิงสาวิตก มีความคิดอาฆาตพยาบาทคนอื่น ตายตอนนั้นมีหวังลงอบายภูมิอย่างแน่นอน..!

    ดังนั้น...#สิ่งที่ท่านทั้งหลายพยายามที่จะศึกษา ถ้าหากว่าปัญญาไม่ถึง ให้ทำอย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอก คือครูบาอาจารย์บอกอย่างไร เราทำแค่นั้น ทำแบบคนโง่ แต่ถ้าหากว่าปัญญาถึง หาเหตุหาผลอย่างผมแล้ว เราก็จะสามารถทำได้ดีกว่าคนอื่น แต่อาจจะเสียเวลาตอนที่ไปนั่งหาเหตุ เพราะว่าถ้าปัญญาเราไม่พอ การประมวลผลจะช้า อาจจะเสียเวลานานมาก

    ผมเองตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่า เมื่อบวชเข้ามาหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านตั้งฉายาว่า สุธมฺมปญฺโญ แปลให้เสร็จสรรพว่า เป็นผู้มีปัญญาในการปฏิบัติธรรมดีมาก แล้วท่านยืนยันว่า รุ่นนี้ "พระ" ท่านบอกว่าตั้งฉายาให้ตรงทุกคน ใครมีความประพฤติ กาย วาจา ใจ อย่างไร ตั้งตรงตามนั้นหมด ผมก็ไม่เข้าใจว่าผมมีปัญญาตรงไหน ?

    พอมาถึงตอนนี้ ผมเริ่มเข้าใจแล้ว เพราะว่าในสิ่งที่พวกท่านไม่คิด...ผมคิด ในสิ่งที่พวกท่านมองไม่เห็น ผมพยายามมองจนเห็น ในเมื่อเราเข้าใจตรงนี้ ถ้าหากว่ากำลังใจของเราถึงระดับที่เพียงพอ สั่งสมสมาธิไปได้ระดับหนึ่ง จะก้าวหน้าเร็วมาก เพราะว่ามีเข้าใจอย่างแท้จริง

    ดังนั้น...ถ้าหากว่ากำลังใจของท่านวางเอาไว้ด้วยความไว้วางใจใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแท้จริง ทุกอณูรอบข้างของท่าน คือบารมีคุณพระศรีรัตนตรัย ถ้าตั้งใจอาราธนาด้วยความเคารพจริง ๆ จะเสกอะไรก็ขลังหมด จะเป็นพระ เป็นชี เป็นฆราวาส ก็ทำได้หมด

    คุณอาจจะได้ยินว่า ในสมัยก่อนมีอาจารย์ฆราวาสชื่อดังมากมาย ไม่ว่าจะเป็นท่านอาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง ท่านอาจารย์แปลก ร้อยบาง หรือแม้กระทั่งเสด็จในกรมหลวงชุมพร ก็เพราะท่านทั้งหลายเหล่านี้ เข้าใจในเคล็ดลับของวิชาการต่าง ๆ เพราะว่ามองเห็นเหตุและผลในวิชานั้น ๆ

    แต่ว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะว่าไปแล้ว ถ้าเราไม่มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ ไม่ได้สั่งสมมาตั้งแต่อดีต จะเสียเวลาในการปฏิบัติของเรา แต่ถ้าหากว่าท่านมีการสั่งสมมาแต่ในอดีต เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะเป็นพื้นฐานของ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่ดีมาก สามารถปรับเอาเข้ามากับแนวการปฏิบัติของเราได้ และโดยเฉพาะถ้าหากว่าสามารถวางกำลังใจเป็นสังขารุเปกขาญาณ ไม่ไปปรุงแต่งให้เป็น รัก โลภ โกรธ หลง กำลังใจระดับนั้น อะไรก็กระทบกระเทือนเราไม่ได้ แล้วคุณลองคิดดูว่า เรื่องของทางโลก ๆ จะมีอะไรมากระทบกระทั่งเราได้บ้าง ?

    #ก็ขอฝากไว้เป็นข้อคิดว่า เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ความจริงแล้วเหตุผลนั้นมีอยู่ และเป็นไปตามหลักกฎของกรรมที่พระพุทธเจ้าสอนให้เราเชื่อกรรมจริง ๆ ขอบคุณมากครับ
    ...................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,358
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    AGt6kOM-sKeP66hopktXr0a3ic7rFi6NGxJR9WadF7g&_nc_ohc=BeamPUM1jvAAX-pVPxu&_nc_ht=scontent.fbkk22-1.jpg
    ถาม :
    ทำอย่างไรเราจึงจะรู้ว่าบารมีเราจัดอยู่ในระดับใด ? และจะฝึกอย่างไรให้บารมีเกิดขึ้นได้ สำหรับผู้ที่เรียกตัวเองยังบารมีอ่อน ยังไม่เข้มแข็ง เวลาโดนกระทบจะทำกำลังใจตก แล้วบารมีเสื่อมได้ไหม ?

    ตอบ : บารมีก็คือกำลังใจ มีอยู่ ๓ ระดับด้วยกัน คือ สามัญบารมี (บารมีขั้นต้น), อุปบารมี (บารมีขั้นกลาง), ปรมัตถบารมี (บารมีขั้นสูงสุด) ในแต่ละขั้นก็ยังมีอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด รวมเป็น ๓ ระดับ ๙ ขั้น อยากรู้ว่าตัวเองอยู่ในบารมีระดับไหน ก็พิจารณาดูได้

    ถ้าเป็นสามัญบารมีขั้นต้นนี่ เรื่องของทาน ศีล ภาวนา ไม่รู้เรื่องเลย สามัญบารมีขั้นกลาง บอกให้ทานก็รู้สึกเสียดาย ให้ไปก็เสียดายแทบจะขาดใจ แต่ถ้าสามัญบารมีขั้นปลาย ให้ทานได้ แต่ถ้าบอกให้รักษาศีลหรือเจริญภาวนา ก็จะไม่รู้เรื่องเลย

    อุปบารมีขั้นต้นให้ทานได้ บอกให้รักษาศีลร้อยวันพันปีจึงจะเข้าใจเสียที ส่วนใหญ่จะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา อุปบารมีขั้นกลางให้ทานได้ รักษาศีลยังขาดตกบกพร่องไปเรื่อย ถ้าเป็นอุปบารมีขั้นปลาย ให้ทานได้ รักษาศีลได้ แต่บอกให้เจริญภาวนา ฟังยังไม่เข้าใจ เหมือนตักน้ำรดหัวตอ

    ปรมัตถบารมีขั้นต้น ให้ทานได้ รักษาศีลได้ บอกให้เจริญภาวนา ก็ด่าชาวบ้านเขามากกว่า ปรมัตถบารมีขั้นกลาง ให้ทานได้ รักษาศีลได้ แต่ภาวนาบ้างด่าชาวบ้านเขาบ้าง ถ้าเป็นปรมัตถบารมีขั้นปลาย จึงจะให้ทานได้ รักษาศีลได้ ภาวนาได้ตามปกติ

    เราต้องดูตัวเราเอง ส่วนใหญ่ที่กำลังใจตก เกิดจากสมาธิตก ที่สมาธิตกเพราะปัญญาไม่พอ พิจารณาไม่ตลอดว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นธรรมดา การเกิดมาในโลกนี้ต้องมีการกระทบกระทั่งเป็นธรรมดา

    ในเมื่อปัญญาไม่พอ สมาธิไม่พอ ถึงเวลาโดนกระทบก็กำลังใจตก รีบตะกายใหม่ทันทีที่รู้ว่าตก อย่าทิ้งระยะเวลาไว้นาน เพราะถ้าทิ้งระยะเวลาไว้นาน เปิดโอกาสให้กิเลสครอบงำเราได้ ก็จะชักจูงเราไปไกล และพาให้คืนได้ยาก

    อาตมาเคยเปรียบเอาไว้ว่า คนสองคนหกล้มพร้อมกัน คนหนึ่งลุกขึ้นได้ก็เดินต่อไปเลย แต่อีกคนเอาแต่นั่งคร่ำครวญอยู่นั่นแหละ เจ็บเหลือเกิน ปวดเหลือเกิน เดินมาได้ตั้งไกลไม่น่าจะล้มเลย ถามว่าสองคนนี้ใครจะได้ระยะทางมากกว่ากัน ? ก็คือคนที่ล้มแล้วลุกเดินต่อเลย

    ฉะนั้น..เรื่องการปฏิบัติก็เหมือนกัน รู้ว่าพลาดเมื่อไร ตัดสินใจเดี๋ยวนั้นเลยว่า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะปฏิบัติใน ทาน ศีล ภาวนา ให้เต็มที่ต่อไป ถ้าเราไม่หวั่นไหว สามารถที่จะไปต่อได้เลย ต่อไปเรื่องที่จะกระทบให้เราหวั่นไหวได้ ก็จะมีน้อยลงไปตามลำดับ ยิ่งกำลังใจสูงมากเท่าไร การกระทบก็จะน้อยลงมากเท่านั้น
    __________________
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    วัดท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี

    คัดลอกข้อความมาจาก
    https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php...
    #พระครูวิลาศกาญจนธรรม #หลวงพ่อเล็ก
    #ชุมชนคุณธรรม #วัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร
    #พระพุทธศาสนา #watthakhanun
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,358
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    -Grzh_Qf1H1QgrmL7wB_bEgbiFS0oX1ueTvBXGBgz5_&_nc_ohc=amOmVYSw0XEAX_c8H0s&_nc_ht=scontent.fbkk22-4.jpg
    พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง ท่านเล่าว่า
    "เมื่อคืนก็มีอีกองค์ เมื่อคืนก็มาทั้งสององค์มาด้วยกัน อีกองค์เป็นกุมภัณฑ์ ฉัน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)เห็นยืนอยู่ข้างพระเจ้าพรหมมหาราช เครื่องทรงปกติก็คือทรงผ้าเตี่ยว ไอ้ผ้ายกรั้งนะ ถือกระบองใหญ่ ตัวขนาดพ้อมได้ นัยน์ตาก็ใกล้ๆ กระโถน ก็ถามว่า "คุณมานั่งทำไม"
    กุมภัณฑ์ "ผมเป็นหัวหน้าเทวดาฝ่ายกุมภัณฑ์ ครับ"
    ทีแรกฉันนึกว่าเป็นขั้นอำมาตย์
    แกบอกไม่ใช่ ท่านบอก "เป็นอินทกะครับ"
    ทีนี้ต้องมีอินทกะทั้ง ๔ ทิศ คือทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก มาคุมทั้งหมด เพราะมีทองมากและมีพระบรมสารีริกธาตุก็เยอะ
    เมื่อคืนนี้ฉันไม่ค่อยสบาย เขามาเยี่ยมกันเยอะ เห็นเทวดาทั้งสององค์นี้เข้าก็นึกถึงความหลังว่า เออ....ทั้งสององค์นี้เฝ้าวัดเรา ให้ความปลอดภัย ก็ถามอินทกะของ ท้าววิรุฬหก ว่า ถามว่า "ท่านเป็นคน เป็นใคร"
    ท่านบอกมาฉันตกใจ ผู้ชนะสิบทิศ คือ บุเรงนอง
    ถาม "คุณชื่ออะไรแน่?"
    ท่านบอก "ผม บุเรงนองครับ"
    เลยบอก "เฮ้ย ! บุเรงนองมันทำบาปมหาศาล เกิดเป็นเทวดาได้ยังไง ?"
    ท่านบอกว่า " ผมก็ทำบุญเป็น ผมได้ฌานนะครับ เวลาบาปก็บาป นักรบต้องรบใช่ไหม เวลาปกติต้องมีทำบุญ" ไอ้วัดเมืองไทยที่วัดมากๆ นี่มันมาจากนักรบ เวลารบทัพจับศึก พอเลิกแล้วก็หาทางทำบุญ ถ้ามีทุนมากก็สร้างวัดสร้างวาร่วมกัน อย่างอำเภอสรรคบุรี ใกล้ๆ บริเวณอำเภอ มีวัด ๒๗๐ วัด วัดโบราณนะ สร้างสักถี่เชียว เพราะรบทัพจับศึกฆ่ากันมามาก พอเลิกจากการรบ ก็คิดว่าการรบเป็นบาป เลิกจากการรบก็ทำบุญ อันนี้ บุเรงนอง แกก็เป็นแบบนั้น ท่านบอก ๓ ครั้ง ทีแรกฉันไม่เชื่อหู ทีหลังแกตะโกนบอกเลย
    " ผม บุเรงนอง ครับ" เลยบอก
    "เออ..พอแล้ว หูแตก"
    ปรากฎว่าเป็น กุมภัณฑ์ เป็นลูกศิษย์ของกรมหลวงชุมพร ฯ คือ ท้าววิรุฬหก เป็นอินทกะรองจากท้าวมหาราช นี่ใหญ่โตมาก อินทกะแปลว่า ผู้เป็นใหญ่ ใหญ่กว่าเทวดาอื่นทั้งหมด รองจากท้าวมหาราช สวัสดี"

    พระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) อุทัยธานี
     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,358
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    9A6ufPRPiqrRduK_S43YZx94rF5sqmISjQrrV-ko3Bp&_nc_ohc=opj2uRvKpr0AX9-UJXB&_nc_ht=scontent.fbkk22-2.jpg
    “จิตที่เป็นทิพย์”
    การฝึกมโนมยิทธินั้น เบื้องต้นไม่ต้องคาดหวังว่าจะเห็นสวรรค์ นรก เทวดา หรือผี เป็นต้น เราจะเน้นที่ความรู้สึกแรกเป็นสำคัญ คือ ความรู้สึกแว้บแรกที่ปรากฏขึ้นมา พยายามจำอารมณ์แรกให้คุ้นชิน เราจะเกิดความมหัศจรรย์ในความเป็นอยู่ เพราะอารมณ์ที่เป็นทิพย์เหล่านี้ สามารถช่วยเราให้คล่องตัวในการดำเนินชีวิตอย่างมาก ทั้งเรื่องลางสังหรณ์ที่แม่นยำ ทำให้ตัดสินใจไม่ผิดพลาด จิตที่เป็นทิพย์จะพาเราหลบหลีกอุปสรรค ศัตรู และนำเราเข้าหาความเป็นมงคลทุกประการ จนถึงมรรค ผล นิพพาน ในที่สุด

    คำสอนของพระอาจารย์เอ
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,358
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,358
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    ยะมะหัง ครูอาจาริยังคะโต อิมินา สักกาเรนะตัง ครูอาจาริยัง อะภิปูชะยามิ....
    สุ สุตตะสดับตั้ง หูฟังอันท่านกล่าว
    จิ จิตตังหน่วงน้าว จำหมั่นใคร่ครวญ
    ปุ ปุจฉาหลากล้วน กระบวนบ่อนสงสัย
    ลิ ลิขิตเขียนลงไป ใส่อักษรตอนท้าย
    สาธยายพอฮู้ วิชาครูอ้อป่อง
    ขอแก่คูณปภาน้อย จำหมั่นอย่าลืม
    บัดนี้ ขอจงสวัสสะดีน้อม ดอมคุณพุทธบาท
    โลกนาถผ่านพื้น สุธากว้างส่าไกล
    อันว่าขันดอกไม้ มวลหมู่มาลา
    ที่อันควรนางหา ใส่พานยอตั้ง
    เป็นวัตถังจบถ่วน บอระบวนเจ้ายอยื่น
    ศรีขอยกไหว้พื้น พระองค์เจ้าผู้ผ่านภูมิ
    ขอจงมาเกิดกุ้ม หุ่มห่อยอนาง
    อย่าได้วางแวนป๋า เปล่าแปนปงไว้
    ขอแก่จอมพระคุณไท้ มหาชัย สิทธิโชค
    อันว่าโรคพยาธิฮ้าย ให้กลายฮ้างห่างหนี
    สัพพะโสตถิ ภวันตุเตตั้ง อวยมายัง น้อยอ่อน
    จตุรพิธพร ขอจงมีแก่พุข้า เจริญยิ่งตลอดไป...สาธุ
    wtq-yDiao_2ntRVGFsjxvpxKGFZUB_9iJnxct6iNOZv&_nc_ohc=24a7Gkc8154AX_9O8cz&_nc_ht=scontent.fbkk22-6.jpg
    ***********************************************

     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,358
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    ถาม : มีใครคิดร้ายท่าน ?
    ตอบ : อาตมาสร้างบุญไว้เยอะ ก็เลยมีแต่คนคิดร้าย แต่ก็เป็นธรรมชาตินะ โบราณเขาว่า คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ เราแปลความออกไหม ? หนังของเราก็ใหญ่แค่หุ้มตัวเอง แต่เสื่อสามารถหุ้มเราทั้งตัวไปได้อีกชั้นหนึ่งเลย เพราะฉะนั้น..อยู่ที่ไหนก็ตาม คนเกลียดมีมากกว่าคนรักอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเขามีโอกาสที่จะแสดงออกหรือไม่เท่านั้น
    สมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยเตือนไว้ว่า ถ้าแกไปอยู่ที่ไหนแล้วรู้สึกว่าคุ้นเคย สุขสบาย ให้รู้ว่าสถานที่นั้นเราเคยอยู่มาก่อนในอดีต แต่ให้ระมัดระวังด้วยว่า ถ้าเราเคยอยู่มาก่อนในอดีต ศัตรูตั้งแต่อดีตก็มีอยู่ด้วย
    และอาตมาอยู่มาทั่วประเทศไทย ไม่เคยรู้สึกว่าที่ไหนแปลกที่เลย ขนาดกลางดงเสือดงช้าง ก็หลับสนิทอย่างเดียวเลย แสดงว่าเคยอยู่มาแล้วทุกที่
    ในเรื่องของศัตรูโดยตรงไม่มี แต่มีหลายอย่างที่เราคาดไม่ถึง อย่างเช่นว่า พอเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมา จะมีบุคคลบางประเภทอยากลองว่าเก่งจริงหรือเปล่า ? สมัยก่อนอ่านนิยายจีนกำลังภายใน ทำไมจอมยุทธ์ถึงมีคนมาท้าสู้อยู่ตลอดเวลา ตอนนี้ตูรู้แล้ว..ยังไม่ทันจะเป็นจอมยุทธ์เลย เขาก็ยังเอาเป็นเป้าอยู่เรื่อย..!
    ประการต่อไปก็คือว่า สายงานการปกครองคณะสงฆ์ คนอื่นเขาไม่เหมือนลูกศิษย์ของหลวงพ่อวัดท่าซุง ลูกศิษย์หลวงพ่อทำงานต่าง ๆ ไม่ได้หวังยศหวังตำแหน่ง ก็ทำเต็มที่ หวังแต่ในเรื่องบุญกุศล หวังสงเคราะห์คนหมู่มาก แต่เพราะว่าทำเต็มที่ ผลงานจึงออกมาดี ก็ทำให้คนที่หวังยศหวังตำแหน่งกลัวว่าเราจะเกินหน้าเกินตาเขา ก็มีรายการเตะสกัดเป็นปกติ
    เพราะฉะนั้น..บางเรื่องดูแล้วไม่น่าจะเป็นเรื่อง ก็เป็นขึ้นมาได้ ต้องบอกว่ากิเลสคนพาให้เป็นอย่างนั้น เมื่อกิเลสคนพาให้เป็นอย่างนั้น เราก็ได้แต่แผ่เมตตาให้เขาไป ได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งเขาคงจะตาสว่างและก้าวพ้นจากจุดนั้นมาเสียที
    เราเห็นข้อบกพร่องของเขา แสดงว่าเราเคยมีข้อบกพร่องอย่างนั้นมาก่อน เราถึงรู้ว่านั่นคือข้อบกพร่อง ในเมื่อเราเคยมีข้อบกพร่องมาก่อน เขารับช่วงในข้อบกพร่องของเราไป เขาก็คือทายาทที่รับมรดกจากเรา คนที่เป็นทายาทรับมรดก ถ้าไม่ใช่ลูกไม่ใช่หลาน ก็คือคนที่เรารัก เราถึงให้มรดกแก่เขา
    เพราะฉะนั้น..ในเมื่อเขารับมรดกจากเรา ก็เปรียบเหมือนกับลูกกับหลาน เหมือนคนที่เรารัก เราอย่าไปโกรธไปเกลียดเขาเลย แผ่เมตตาให้เขาไปเถอะ ฟังดูเป็นคนดีจริง ๆ เลยนะ..!
    มีอยู่เที่ยวหนึ่ง ตอนนั้นอาตมาต้องเขียนพินัยกรรมเตรียมตัวตายไว้เลย เพราะว่าโดนหนักมาก ประเภทล้มทั้งยืน ตั้งใจจะไปกราบพระบนพระนิพพาน แต่ใจไม่ไป ไปหล่นอยู่กลางวงที่เขากำลังเล่นงานอาตมาอยู่พอดี มีทั้งห่มเหลือง ห่มขาว ทั้งนุ่งลาย เยอะแยะไปหมด สุมหัวกันเล่นงาน
    อาตมาก็คิดว่าให้อภัย ๆ พยายามบอกตัวเองว่าให้อภัย แต่ตีนดันไปก่อน กวาดตูมเดียวกระจายทั้งวงเลย..! แสดงว่าสันดานตัวเองไม่ยอมอะไรง่าย ๆ ขนาดบอกว่าให้อภัย ตีนยังไปก่อนเลย แล้วก็หายป่วยเดี๋ยวนั้นเลยนะ เพราะว่าพอพิธีเขาพังก็หายเป็นปกติ
    แต่นั่นเป็นการทำให้เขารู้ว่า อาตมายังไม่เป็นอะไร เขาก็เลยต้องไปหาคนที่เก่งกว่ามาจัดการต่อ อาตมาเริงร่าอยู่ได้แค่ ๒ วัน วันที่ ๓ ก็ร่วงอีก รบกับพวกนี้แล้วน่าเบื่อ เพราะเขาเล่นไม่เลิก เขาสู้ไม่ได้ก็ไปหาคนที่เก่งกว่ามาเรื่อย ๆ แล้วถ้าไม่มีคนที่เก่งกว่า เขาก็ใช้วิธีรุมสกรัม บางทีรวมหัวกัน ๑๐-๒๐ คน ช่วยกัน
    เรื่องพวกนี้จะมีปกติ ให้ถือเป็นข้อทดสอบอย่างหนึ่งในชีวิต ว่าเราสามารถที่จะปล่อยวางได้แค่ไหน ? อย่างปัจจุบันนี้ ใครอยากทำอะไรก็ทำไป มีแรงให้ทำไป เดี๋ยวเขาเหนื่อยก็เลิกเอง อาตมาไม่ตอบไม่โต้อะไรทั้งนั้น
    บางคนถามว่าทำไมไม่ตอบโต้ ? เพราะทันทีที่เราตอบโต้ เขาจะรู้ว่าเรายังไม่ได้เป็นอย่างที่เขาต้องการ แสดงว่ายังปกติดีอยู่ เขาก็เล่นไม่เลิก ให้ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เหมือนกับเราตายไปแล้ว พอเขาคิดว่าเราตาย เดี๋ยวเขาก็เลิกไปเอง
    ถาม : ยันต์เกราะเพชรไม่ป้องกันหรือคะ ?
    ตอบ : ยันต์เกราะเพชรป้องกันไม่ให้ตายเพราะไสยศาสตร์ แต่ไม่ได้ป้องกันไม่ให้เป็นอันตรายจากไสยศาสตร์
    หลวงพ่อท่านบอกว่า เหมือนกับเขาก่อไฟกองใหญ่ไว้ เราก่อผนังกั้น เปลวไฟทำอันตรายเราไม่ได้ แต่ความร้อนก็มาถึง เพราะฉะนั้น..อย่าหวังพึ่งยันต์เกราะเพชรอย่างเดียว ต้องมีความสามารถส่วนตัวบ้าง แต่เชื่อเถอะ กระจิ๊บกระจ๊อยอย่างพวกเรา เขาไม่เสียเวลาไปทำหรอก ถ้าเขาจะเล่นงาน ก็จะเล่นหัวหน้าเลย
    __________________
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    วัดท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
    คัดลอกข้อความมาจาก
    https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php...
    #พระครูวิลาศกาญจนธรรม #หลวงพ่อเล็ก
    #ชุมชนคุณธรรม #วัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร
    #พระพุทธศาสนา #watthakhanun
    qgdWkeJyo6QCQc_WdMV-KWBf8feBROPqLVjKkNlCwGg&_nc_ohc=agE95ErD5oIAX84fVud&_nc_ht=scontent.fbkk22-1.jpg
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,358
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    ต้องมีธรรมฉันทะ....
    ผู้ต้องการพุทธภูมิ
    เป็นความอยากหรือไม่
    เป็นกิเลสหรือไม่
    ..
    ตอบ การต้องการพุทธภูมิ คือ ปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
    เป็นความอยาก ความปรารถนาอย่างหนึ่ง แต่ไม่เป็นกิเลส
    ความอยากเช่นนี้ท่านเรียกว่า ธรรมฉันทะ
    แปลว่า ความพอใจในธรรม
    ความอยากที่เป็นกิเลสก็มี ที่ไม่เป็นกิเลสก็มี คนส่วนมากมักเข้าใจว่า
    ถ้าอยากแล้วเป็นกิเลสทั้งหมด ความจริงนักปราชญ์ท่านสอน
    ให้เราอยากในสิ่งที่เป็นธรรมฉันทะ เช่น อยากให้ทาน อยากรักษาศีล
    อยากเจริญภาวนา อยากทำความดี อยากเป็นคนดี
    แม้แต่อยากได้เงิน ถ้าจุดมุ่งหมายดีก็ยังเป็นธรรมฉันทะอยู่ เช่น
    อยากได้เงินไปทำความดีไปบำเพ็ญประโยชน์ เป็นต้น
    ความอยากนี้ต้องดูที่แรงจูงใจ (motive) แรงจูงใจให้อยาก
    คืออยากได้เพื่ออะไร เช่นคน ๒ คนอยากได้เงินเดือนขึ้นเหมือนกัน
    คนหนึ่งคิดว่า เพื่อจะได้นำไปเลี้ยงดูพ่อแม่ ช่วยเหลือญาติพี่น้อง เป็นต้น
    อย่างนี้ไม่เป็นกิเลส แต่เป็นไปเพื่อความดี ซึ่งบัณฑิตท่านสอนให้ทำ
    อีกคนหนึ่งอยากได้เงินเดือนขึ้นเหมือนกัน แต่เพื่อเอาเงินไปเที่ยวเตร่
    สำมะเลเทเมา สนองกิเลสต่างๆ ความอยากอย่างนี้เป็นกิเลส
    พระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า
    เพื่อจะได้พ้นทุกข์และเพื่อโปรดสัตว์ให้พ้นทุกข์ด้วย
    อ. วศิน อินทสระ
    เพจ อาจารย์วศิน อินทสระ
    sVwSYCu2s_xf4cYoBJFHv7GCOOPuZJ2DdlcgYQ0F0gD&_nc_ohc=HW2DTzxAa4EAX_ku-kw&_nc_ht=scontent.fbkk22-1.jpg
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,358
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    ?temp_hash=227755078017d22e343cb2bb97cc5ca7.jpg


    ·
    #ลมหายใจเข้าออก
    #กับจิตผู้รู้ลม
    #รูปนามไตรลักษณ์

    “ผู้ภาวนา ให้น้อม ให้รวม เอาจิตใจดวงผู้รู้อยู่ มารู้อยู่ที่ลมเข้า ลมออก สักเกตไปสู่ดวงจิต จุดสำคัญท่านต้องการเอาจิตใจดวงผู้รู้อยู่นี้ ธาตุลมนี้ ก็เป็นแต่ให้เป็นทาง เป็นที่สังเกต จะได้รวม ได้สงบลงสู่ดวงจิต ดวงใจ ดวงที่รู้อยู่นั่นเอง
    #แต่ว่าถ้ายังจับจุดนี้ไม่ได้
    #ท่านก็ให้กำหนดลม
    ลมเข้าและลมออก
    #หรือท่านให้กำหนดความรู้สึก ทุกลมเข้าออก
    #เรียกว่าดวงจิตดวงวิญญาณ #ดวงผู้รู้
    #มารู้สึกลมหายใจเข้าออก
    #เมื่อลมหายใจเข้าและออก ออกและเข้าอยู่
    #จิตก็มีความรู้สึกอยู่
    และบริกรรมภาวนาคำว่า “พุท” ทุกลมหายใจเข้า
    และ “โธ” ทุกลมหายใจออกอยู่
    รู้จักปล่อยวางเรื่องราวอารมณ์อันเป็นเรื่องภายนอกออกไปให้หมดสิ้น
    ตั้งจิตเจตนาในจิต ในใจของตนให้มั่นคงลงไป เรียกว่าระลึกถึงพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเครื่องกระตุ้นเตือนจิตใจของตน”
    "เมื่อพระพุทธเจ้าของเรานั่งภาวนาใต้ร่มไม้โพธิ์พระองค์ก็บริกรรมภาวนาเมื่อพระองค์นั่งขัดสมาธิเพชรเสร็จเรียบร้อยแล้ว
    ตั้งสัตย์อธิษฐานลงไปว่าการนั่งสมาธิภาวนาในครั้งนี้ พระองค์จะไม่ลุกไปมาในที่ใด ๆ จนกว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    แม้เลือดเนื้อเชื้อไขจะเหือดแห้งหายไปเหลือแต่หนังและกระดูกก็ตามที
    ไม่ยอมลุก ท่านตั้งใจเด็ดเดี่ยวอย่างนั้น แล้วท่านก็เลือกอุบายภาวนา ว่าจะนึกอุบายธรรมอันใด พระองค์ก็เลือกได้นึกลมหายใจเข้าออก เรียกว่า อานาปานสติกรรมฐาน
    ลมเข้าไปพระองค์ก็มีสติตามรู้ อันนี้ว่าเป็นลมเข้าไป ลมออกมาพระองค์ก็มีสติรู้ว่านี้เป็นลมออกมา ท่านระมัดระวังจิตใจเหมือนกับว่าเป็นพระปิดทวาร ทวารตาไม่ต้องดู ทวารหูไม่ต้องฟังอย่างอื่น ฟังแต่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น จมูก ลิ้น กาย ใจ
    ระวังจิตไม่ให้แล่นไปที่อื่น เรียกว่าเป็นพระปิดทวาร ปิดทวารทั้งห้า ปิดทวารทั้งหก ปิดทวารทั้งสิบสอง
    พระองค์ภาวนาแน่วแน่จนจิตใจออกไปจากตัวไม่ได้ ภายในปริมณฑลหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ พระองค์เอาจิตใจอยู่ภายในหนังหุ้มเข้าไปได้หมด จนนานอย่างน้อยก็เรียกว่าเที่ยงคืน ตั้งแต่พลบค่ำจนกระทั่งเที่ยงคืน จิตใจของพระองค์ก็แน่วแน่เป็นดวงเดียว เป็นสมถกรรมฐานเต็มที่
    เป็นสมาธิภาวนาเต็มที่
    #สมาธิอย่างต่ำ #สมาธิอย่างกลาง #สมาธิอย่างสูง
    #จิตใจของพระองค์ก็ไม่ไปที่อื่น ภาวนาในใจอยู่
    #และพระองค์ก็
    #กำหนดรูปนาม
    จนเห็นแจ้งในหลัก
    #อนิจจัง #ทุกขัง #อนัตตา
    จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ละกิเลสตัดกิเลสราคะ โทสะ โมหะให้หมดสิ้นไป
    กิเลสพันห้า ตัณหาร้อยแปด กิเลสมีมากเท่าไรในโลกนี้พระองค์ก็ละได้หมด
    ต่อมาก็สอนสาวกสาวิกามีปัญจวัคคีย์ฤาษีทั้งห้า เป็นต้น"
    "#ดวงใจอันเดียวนี้แหละ
    #มันเป็นได้ทั้งรู้
    #มันเป็นได้ทั้งหลง
    เมื่อปล่อยให้มันหลงใหลไปตามรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ แล้ว
    ใจอันนี้ จิตอันนี้ มันก็หลงมากระทั่งวัน กระทั่งคืน ตลอดตั้งแต่เกิดจนแก่ ตั้งแต่แก่จนตาย หลงใหลมาอย่างนี้ นับภพนับชาติไม่ถ้วนแล้ว
    #เมื่อภาวนาทำความเพียร #เพียรแผดเผากิเลสในหัวใจอันนี้
    ให้มันเบาบางหมดสิ้นไป ก็คือว่าเพียรเพ่งอยู่จำเพาะดวงจิตอันนี้เตือนบอกดวงจิต ดวงที่มีความรู้สึกอยู่ภายในนี้ว่า
    "#นอกจากจิตที่รู้อยู่
    #ตั้งอยู่ในขณะปัจจุบันนี้ออกไป
    #จะเป็นอดีต #อนาคต
    ร้ายดีอย่างไร ไม่ต้องไปสนใจ
    #เพราะไม่เที่ยงทั้งหมด"
    ไม่มีอะไรที่เป็นของเที่ยงมั่นถาวรอยู่ได้เลยในโลกนี้ เป็นทุกข์เปล่าๆ
    นอกจากที่รู้อยู่นี้เป็นทุกข์ นอกจากที่รู้อยู่นี้ไม่ใช่ตัวตนของเรา
    แม้ที่รู้อยู่นี้ก็ยังไม่แน่เพราะยังมีอาสวกิเลสต่างๆ ห่อหุ้มเต็มดาษดื่นอยู่ จำเป็นต้องทำความเพียรแผดเผากิเลสในที่นี้
    บำเพ็ญทาน รักษาศีล ภาวนา ในที่นี้
    ในดวงจิตที่มีความรู้อยู่เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ เวลานี้ คอยระวังเสียงเข้ามาทางหู อย่าได้ไปตามมัน รูปผ่านทางสายตา อย่าได้ตามมันไป กลิ่นมาทางจมูก อย่าได้หลง
    รสอาหารผ่านลิ้น อย่าได้หลงไป
    เย็นร้อนอ่อนแข็งมาทางผิวกาย อย่าได้หลงไป ความนึกคิดปรุงแต่งดีชั่วประการใด อย่าได้หลงไปตามอาการเหล่านั้น"
    หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,358
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
    "อานนท์ เราจะอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้อื่น เหมือนช้างศึกก้าวลงสู่สงคราม ต้องทนต่อลูกศรซึ่งมาจากทิศทั้ง ๔
    เพราะคนในโลกนี้ส่วนมากเป็นคนชั่ว คอยแส่หาแต่โทษของผู้อื่น
    เธอจงดูเถิด พระราชาทั้งหลายย่อมทรงราชพาหนะตัวที่ฝึกแล้วไปสู่ที่ชุมนุมชน เป็นสัตว์ที่ออกชุมนุมชนได้
    อานนท์เอย ในหมู่มนุษย์นี้ ผู้ใดฝึกตนให้เป็นคนอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้อื่นได้ จัดว่าเป็นผู้ประเสริฐสุด
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย...
    ผู้อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้สูงกว่าก็เพราะความกลัว
    อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้เสมอกันเพราะเห็นว่าพอสู้กันได้
    แต่ผู้ใดอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้ซึ่งด้อยกว่าตนได้ เราเรียกความอดทนนั้นว่า “สูงสุด”"
    fW4fRtkj3WOmx1m0TGMRO9D4ftGxn41kX4W6ekymM02a&_nc_ohc=QG0WSgtswh0AX-fdEvi&_nc_ht=scontent.fbkk2-7.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,358
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    zqUFZUkHhAJ1z6rRGQ0aRh80R_J9x7u7JwG5QpF1U9zh&_nc_ohc=oYANRclDoS4AX8g0ehD&_nc_ht=scontent.fbkk2-8.jpg
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,358
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    "ขอนับถือแค่พระพุทธกับพระธรรม"
    โยม : หลวงปู่ครับ ผมจะขอนับถือแค่ พระพุทธ กับ พระธรรมนะครับ เพราะพระสงฆ์ทุกวันนี้ มีแต่เรื่องเสื่อมเสีย ผมว่าพระแท้ๆ หมดแล้วจากพุทธศาสนาไปแล้ว !!!
    หลวงปู่ : ถ้าเป็นอย่างนั้น แสดงว่า โยมก็ไม่นับถือ อาตมาด้วยสิ
    โยม : เปล่าครับๆ หลวงปู่ ผมยังเคารพศรัทธาหลวงปู่เหมือนเดิม
    หลวงปู่ : อ้าว ! ไหนว่าไม่นับ ถือพระสงฆ์ไงล่ะ
    โยม : เว้นหลวงปู่สิครับ
    หลวงปู่ : เว้นหลวงปู่ก็แสดง ว่า หลวงปู่ก็ไม่ใช่พระสงฆ์สิ
    โยม : (ทำหน้าเหมือนคิดหนัก)......
    หลวงปู่ : โยม ! เวลาเขาหาเอาทองคำนั้น เขาไปหามาจากที่ไหน
    โยม : ไปขุดดินแล้วร่อนแยกเอาทองมาครับ
    หลวงปู่ : ดินมากหรือทองมาก
    โยม : ดินมากครับผม ร่อนจากดินมาก ได้ทองแค่นิดเดียว
    หลวงปู่ : มันก็เหมือนพระสงฆ์นั้นแหละ พระสงฆ์ก็ร่อนมาจากลูกชาวบ้าน ลูกสมมติ
    พระสงฆ์ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์แล้วมาบวชเมื่อไหร่ มันก็มีดีบ้างเสียบ้าง จะให้ดีหมด มันก็ทำไม่ได้ ...จะให้มันเสีย หมดก็ทำไม่ได้ ...
    ส่วนที่มันเป็นดินก็ อย่าเอา.....
    ให้เอาส่วนที่มันเป็นทองสิ ....
    ถ้าเชื่อหลวงปู่ ... ถ้าเคารพหลวงปู่ ก็จงเชื่อว่า ...
    พระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มีมากมาย อย่าเหมาว่าไม่ดีทั้งหมด
    ขนาดคุณ ยังมีข้อเสีย จะให้ดีทั้งหมดทั้งโลกก็ไม่ได้
    พระรัตนตรัย เหมือนไม้สามลำค้ำกันไว้
    เอาออกอันหนึ่งมันก็ล้ม
    จำไว้ ....
    พระก็คือนักเรียน
    ผู้เป็นอริยะ คือ ผู้สอบผ่าน
    ผู้ประพฤติไม่เหมาะสม คือ ผู้สอบตก
    ให้สงสารคนสอบตก อย่าไปเกลียดคนสอบตก เพราะไม่มีใครอยากจะสอบตก เข้าใจน๊ะ !
    เทศนาธรรม..หลวงปู่หา สุภโร วัดป่าภูกุ้มข้าว จ.กาฬสินธุ์
    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,358
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    'สมาบัติแปด'...เวลาจะใช้ฤทธิ์ทำอย่างไร
    บัดนี้บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้พากันสมาทานศีล พากันสมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อไปขอบรรดาพุทธบริษัททุกท่านพยายามรวบรวมกำลังใจของท่านให้เป็นสมาธิ สำหรับอิริยาบถให้เป็นไปตามอัธยาศัย จงพยายามอย่าเคร่งเครียดในอิริยาบถใดอิริยาบถหนึ่งโดยเฉพาะ ถ้านั่งท่านี้ไม่ดีก็ขยับไปท่าโน้น นั่งเก้าอี้ นั่งห้อยขา นั่งเหยียดเท้าก็ได้ แล้วถ้านั่งไม่สบายจะนอนก็ได้ นอนไม่สบายจะยืนก็ได้ ยืนไม่สบายจะเดินก็ได้ ให้ร่างกายมันเป็นสุข ทั้งนี้ถ้าหากว่าเราไปยุ่งอยู่กับร่างกาย กำลังใจจะเข้าไปยุ่งอยู่กับทุกขเวทนานั้น อย่าลืมว่าผลแห่งการปฏิบัตินี่เราปฏิบัติใจ อย่างไรๆ ก็พยายามเชื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ก่อน ในเมื่อองค์สมเด็จพระชินวรตรัสไว้อย่างนี้ก็ปฏิบัติตามนั้น และเวลาปฏิบัติอย่าทรมานตนอย่างหนึ่ง และกำลังที่ปฏิบัติอย่าคิดว่าอยากจะได้จุดนั้น อยากจะได้จุดนี้ ทำจิตของเราให้เป็นไปตามคัลลองที่กำลังปฏิบัติ
    นักปฏิบัติทั้งหมดนี่จำเป็นอย่างยิ่งก็คือการกำหนดลมหายใจเข้าออก เพื่อให้จิตทรงสมาธิ หรือว่าถ้ากำหนดลมหายใจเข้าออกไม่สบาย จะใช้คำภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่งหรือว่าจะพิจารณาอย่างหนึ่งอย่างใดก็ตามใจชอบ ตามแบบที่ศึกษามาแล้ว หากว่าท่านทั้งหลายที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วจะใช้ปัญญาใคร่ครวญในขันธ์ห้า ที่เรียกกันว่าร่างกาย ว่านี่ร่างกายเราเต็มไปด้วยความสกปรก ร่างกายของเราเป็นของไม่เที่ยง ถ้าเรายึดว่ามันเป็นเรา เป็นของเราอยู่ จิตมันก็เป็นทุกข์ เราจะปล่อยมันไปเสียเพราะมันเป็นอนัตตา ในที่สุดนั้น ร่างกายคนอื่นหรือว่าทรัพย์สินอื่นๆ ในโลกก็เช่นเดียวกัน ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก เราสักแต่ว่าเห็น เราสักแต่ว่ารู้ ไม่ยึดถือว่ามันเป็นเราของเรา
    ถ้าทำจิตอย่างนี้ได้จนเป็นเอกัคตารมณ์ มีปัญญาเห็นได้ชัด สามารถตัดขันธ์ห้า คือไม่เกี่ยวข้องกับขันธ์ห้าได้ ใจจะเป็นสุข ถ้าพิจารณาอย่างนี้ได้เสมอๆ จะไม่กำหนดรู้คำภาวนา ไม่กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกก็ได้ ถ้าการพิจารณาปลงใจอย่างนี้ เป็นที่ชอบใจขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งนี้เพราะพิจารณาอยู่อย่างนี้เป็นปกติอารมณ์ของท่าน อย่างเลวท่านก็เป็นพระโสดาบัน ดีขึ้นไปอีกนิดหนึ่งท่านก็เป็นพระสกิทาคามี ดีขึ้นไปอีกหน่อยหนึ่งท่านก็เป็นพระอนาคามี แต่จิตทรงอย่างนี้ได้จริงๆ ตลอดเวลานั่น ท่านเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์เป็นกันตรงนี้เท่านั้น เป็นไม่ยาก แต่เรื่องพระอรหันต์อธิบายกันแล้ว
    วันนี้ก็จะขอนำเอาปฏิปทาของท่านผู้เฒ่าเล่าสู่กันฟัง จะได้จำไว้ว่าพระในปัจจุบัน คำว่าปัจจุบันก็หมายความว่าหลังนี้ไปประมาณ ๓๐ ปีเศษ ซึ่งเป็นระยะที่ไม่นาน ที่พยายามปฏิบัติเชื่อฟังคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระพิชิตมารแล้วก็ปฏิบัติตามก็เป็นพระอรหันต์ได้เวลาไม่ไกล จะมานั่งนึกว่าเวลานี้ไม่มีอรหันต์ เวลานี้ไม่มีพระอริยเจ้า เวลานี้ไม่มีพระทรงฌาน พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกไว้ บอกไว้แต่เพียงว่าศาสนาของเราในพันปีที่หนึ่งจะมีพระอรหันต์มากไปด้วยปฏิสัมภิทาญาณ พันปีที่สองจะมีพระอรหันต์มากไปด้วยอภิญญาหก พันปีที่สามจะมีพระอรหันต์มากไปด้วยวิชชาสาม พันปีที่สี่จะมีพระอรหันต์มากไปด้วยสุกขวิปัสสโก พันปีที่ห้าจะมีพระอริยเจ้ามากไปด้วยพระอนาคามี
    คำว่ามากหมายความว่าพวกนี้มากพวกอื่นก็ยังมีแต่ว่าน้อยไปหน่อย ท่านบอกว่าอย่างนี้ แล้วมีคนบางคนมาเขียนบอกว่าเวลานี้พระอริยเจ้าไม่มีแล้ว ท่านผู้เขียนเขาไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า จะเอาคนตาบอดไปคลำช้างไม่รู้จักว่ารูปร่างหน้าตาของช้างเป็นอย่างไร ถ้าไปคลำขาช้างก็จะนึกว่าช้างนี่เหมือนเสา ถ้าไปคลำงวงช้างก็จะนึกว่าช้างเหมือนกับปลิง ไปคลำหางช้างก็จะนึกว่าช้างนี้เหมือนกับไม้กวาด เป็นอันว่าคนตาบอดไม่มีโอกาสจะรู้จักว่าสภาพของช้างเป็นอย่างไร ข้อนี้ฉันใดแม้คนที่เขียนหนังสือไว้ก็เช่นเดียวกัน
    เขาเป็นคนที่ยังเมามันด้วยอำนาจของกิเลส แต่กลับมาพยากรณ์ศาสนาขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ ว่าเวลานี้พระผู้ทรงฌานไม่มีแล้ว พระอริยเจ้าไม่มีแล้ว ก็ถอยหลังจากนี้ไปประมาณ ๓๐ ปี เรายังมีพระอรหันต์ ตามที่เล่าสู่ท่านฟัง ที่บอกว่าท่านเป็นอรหันต์ก็เพราะว่าบันทึกของท่านเขียนไว้ว่ามีจิตจุดเข้าถึงพระนิพพาน ซึ่งจะได้ฟังต่อไปในวันหน้า ท่านยืนยันของท่านอย่างนั้น ท่านก็ไม่ได้เขียนหนังสือปฏิปทาของท่านเป็นการค้าขายเอาสตางค์ เวลานี้ตัวท่านไปไหนแล้วก็ไม่รู้ บังเอิญหลวงตาเฒ่าผู้นี้ไปค้นไปคว้ามาบังเอิญไปพบตำรับตำราหรือว่าหนังสือที่ท่านบันทึกเอาไว้ จึงได้มีความเข้าใจว่า โอ หนอ นี่เราอาจจะเดินชนพระอรหันต์ตายไปกี่องค์แล้วก็ไม่ทราบ ทั้งนี้เพราะเราเป็นคนตาบอดเราเป็นคนหูหนวก เราไม่มีความดีสม่ำเสมอกับท่านจึงไม่รู้ว่าท่านทรงคุณธรรมอะไร เวลาที่พบกับท่านก็สภาวะเหมือนคนธรรมดา ไม่เคยถือตัวถือตน ชอบอย่างเดียวคือการคุยกันด้านกุศลท่านชอบ ถ้าคุยเรื่องอกุศลท่านเงียบ ท่านไม่ชอบ แต่ว่าท่านก็ไม่ปฏิเสธ เราพูดไปท่านก็ยิ้มเรื่อยๆ แสดงว่าท่านไม่เห็นด้วย
    มาคุยกันถึงปฏิปทาของท่าน คุยกันตั้งแต่ต้นจำอะไรได้บ้าง ยึดถืออะไรได้ไว้บ้าง เมื่อคืนที่แล้วพูดกันมา ท่านตีโป่งไปถึงสมาบัติแปด แล้วนั่งเล่นสมาบัติแปดเข้าฌาน ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘, แล้วมา ๗, ๖, ๕, ๔, ๓, ๒, ๑ แล้ว ๒, ๕ ,๗ สลับกันไปเรื่อย มันเพลินดีเหลือเกิน จิตมีความสุข จิตมีอารมณ์ชื่นบาน ท่านว่าดีกว่าคุยกับชาวบ้าน ดีกว่าดูมหรสพ แต่อย่าลืมว่าจิตที่เข้าสมาบัติแปดนั้นยังไม่ได้ทิพจักขุญาณและก็ยังไม่ได้อภิญญาหก ถ้าบังเอิญจะใช้พื้นฐานของสมาบัติแปดเป็นพื้นในการเจริญวิปัสสนาญาณ เวลากาลที่จะเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ไม่ยาก อย่างช้าไม่ถึงเจ็ดเดือน อย่างเร็ว ๗ วัน ไม่ถึง ๗ ปีแน่ เป็นอันว่าท่านที่เจริญพระกรรมฐานทรงสมาบัติแปดได้ แล้วเอาสมาบัติแปดเป็นพื้นฐานแห่งการเจริญวิปัสสนาญาณ
    พระอาจารย์รุ่นเก่าท่านบอกว่าเพียงแค่ชั่วเคี้ยวหมากแหลกก็สำเร็จอรหัตผล ก็สงสัยเหมือนกันว่าคนที่เคี้ยวหมากน่ะหมากแข็งหรืออ่อนก็ไม่ทราบ ถ้าบังเอิญเป็นหมากแข็งคนที่เคี้ยวไม่มีฟันก็น่าคิด แต่ทว่าสาวกขององค์สมเด็จพระธรรมสามิสร์ คงไม่คิดอย่างนั้น ท่านถือว่าผู้ที่ทรงสมาบัติแปด สามารถที่ทรงความเป็นอรหันต์ได้โดยฉับพลันแล้ว ถ้าหากปฏิบัติตนเข้าถึงพระอนาคามีก็จะเข้าถึงปฏิสัมภิทาญาณ มีวิชชาสามและอภิญญาหกคลุมไว้ได้หมดทุกอย่าง แล้วได้ยิ่งไปกว่านั้นคือปฏิสัมภิทาญาณ คือมีการทรงพระไตรปิฎก สามารถจะรู้ภาษาคนภาษาสัตว์ทุกอย่าง อันนี้เป็นอำนาจของปฏิสัมภิทาญาณ
    ในเมื่อท่านเล่นสมาบัติแปด ตั้งแต่สมาบัติหนึ่งถึงสมาบัติแปดจนมีความชำนาญ เข้าเมื่อไรก็ได้ เข้าฌานไหนออกฌานไหนก็ได้ตามอัธยาศัย ท่านบอกว่าเพลินเรื่อยไปประมาณ ๑ เดือน พอครบหนึ่งเดือนท่านก็มานั่งนึกในใจว่า เราจะมานั่งเล่นสมาบัติแบบคนหูหนวกตาบอดคลำช้างอยู่เพื่อประโยชน์อะไร ถ้าจะหันไปเล่นวิชชาสาม กำลังจิตใจของเราก็สูงไปกว่านั้น ก็จะมาลองเล่นอภิญญาหกดูบ้างจะเป็นไร เห็นเพื่อนๆ เขาอยู่ใกล้ๆ เห็นเขามีอภิญญาหก ทรงอิทธิฤทธิ์ อภิญญาหก นี่มีฤทธิ์ มีอำนาจมาก อิทธิฤทธิ์ แสดงฤทธิ์ได้ทุกอย่าง จะนิรมิตอะไร จะแสดงอะไร เหาะเหิน เดินอากาศก็ได้ ดำดิน ดำน้ำ อะไรก็ตามใจนึก ทิพพโสตญาณ มีประสาทเป็นทิพย์
    ถ้าต้องการจะฟังเสียงใกล้เสียงไกล จิตจับฌานเดี๋ยวเดียวได้ยินเสียงหมด แล้วก็ทิพจักขุญาณ มีอารมณ์ใจเป็นทิพย์ จุตูปปาตญาณ รู้คนและสัตว์ที่มาเกิดนี่มาจากไหน คนและสัตว์ที่ตายไปแล้วไปไหน เจโตปริยญาณ รู้อารมณ์จิตของคน คนและสัตว์นึกว่าอย่างไรนี่รู้หมด ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ รู้ระลึกชาติได้ไม่จำกัดชาติ อตีตังสญาณ รู้อดีตของคนและสัตว์สถานทั้งหมด อนาคตังสญาณ รู้เรื่องราวคนและสัตว์สถานทั้งหมดว่าเขาจะเป็นอย่างไร รู้ได้หมด และก็ปัจจุปปันนังสญาณ รู้ว่าเวลาปัจจุบันใครทำอะไรอยู่ที่ไหน มีความสุข ความทุกข์ประการใดรู้หมด ยถากัมมุตาญาณ คนและสัตว์ที่มีทุกข์อยู่ในปัจจุบันอาศัยกรรมอะไรเป็นปัจจัยรู้หมด เป็นอันว่าอภิญญาหกมันดีอย่างนี้
    ท่านเล่าไว้ในหนังสือว่าลองมันดู ตำราท่านว่ามันดี แต่เราก็จะไปรับรองว่าตำราดีเสียจริงๆ เราก็จะกลายเป็นคนโง่ เราก็มานั่งพิสูจน์ความดีองค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงพรรณนาไว้ว่ามีจริงหรือไม่จริงเป็นประการใด ท่านก็มานั่งตั้งกันใหม่ จับกสิณสิบ ว่าตั้งแต่ปถวีกสิณ คือ กสิณดิน เตโชกสิณ กสินไฟ วาโยกสิณ กสิณลม อาโปกสิณ กสิณน้ำ โลหิตกสิณ กสิณแดง นีลกสิณ กสิณสีเขียว ปีตกสิณ กสิณสีเหลือง โอทาตกสิณ กสิณสีขาว อากาสกสิณ กสิณคืออากาศ อาโลกกสิณ กสิณคือแสงสว่าง ท่านชำนาญในฌานถึงสมาบัติแปด ในเมื่อมาเล่นกสิณอย่างนี้มันก็เป็นของเด็กเล่น ท่านบอกจับกสิณอะไรมันก็ได้ไปหมด ไม่เห็นมันมีอะไรยาก จับปถวีกสิณ ปถวีกสิณก็ปรากฏ ปฏิภาคนิมิต ไม่ได้ขึ้นต้น จับปลายเพราะกำลังของจิตสูงมากเกินไปเกินกว่า ที่จะมาไล่กสิณตามลำดับ แล้วมานั่งจับกสิณน้ำ กสิณดิน กสิณไฟ กสิณลม กสิณอะไรก็ตาม เดี๋ยวเดียว กสิณ ๑๐ อย่างภายในวันเดียวจบ
    มันจะไม่จบอย่างไร ก็กำลังใจของท่านทรงสมาบัติแปด เล่นเข้าฌานออกฌานตั้งแต่ฌานหนึ่งถึงฌานแปด ล่ออยู่ตั้งเดือน แล้วก็สลับกันมาสลับกันไปในระหว่างฌาน ก็สนุกสนานดีมีความสุข มีความคล่องจนชิน ถอยหลังมาจับกสิณซึ่งเป็นกรรมฐานต่ำกว่า เป็นของยากที่ไหน ก็เหมือนกับบุคคลที่เป็นผู้ใหญ่มีกำลังมากไปยกของที่เด็กๆ ยกไหว เด็กอายุ ๑๒, ๑๓ ยกไหว แล้วคนที่เป็นผู้ใหญ่ที่มีกำลังสมบูรณ์มากยกไม่ไหวมันก็ซวยเต็มที เป็นอันว่าท่านเล่าให้ฟังว่าคิดว่า มันจะยาก แต่เนื้อแท้จริงๆ แล้วมันง่ายเหลือเกิน วันเดียวนั่งเล่นกสิณสบายๆ สิบกองมันเรื่องเล็ก ท่านบอกว่าทำเหมือนกับเด็กเล่นปั้นลูกกระสุน สมัยนั้นไม่มีอย่างอื่น มีแต่เล่นลูกกระสุน เด็กๆ ปั้นลูกกระสุนยิงนกได้คล่องตัวฉันใด การทรงสมาบัติแปดเข้าฌานออกฌานสลับกันไปสลับกันมาตั้งเดือนเป็นประโยชน์มาก เมื่อเข้าฌานในกสิณตามลำดับฌานคือ ๑, ๒, ๓, ๔ ในกสิณต้นและก็ว่าไปถึง ๑๐ ๑-๒ ๓-๔ แล้วก็สลับทุกกสิณ แล้วเข้าฌานสลับฌาน ๑-๒-๓-๑ อะไรก็ตามว่ากันไปสลับกันไปกันมาจนคล่อง
    ท่านบอกว่ามันง่ายจริงๆ เล่นอย่างนี้ให้มันช่ำเพื่อความมั่นใจ ตั้งเวลาไว้ว่าจะใช้เวลาสักหนึ่งเดือนเล่นให้มันสนุก แล้วท่านก็ไม่ทิ้งสมาบัติแปดของท่าน เล่นกสิณบ้าง เล่นสมาบัติแปดบ้าง คลุกเคล้ากันไปตามลำดับจนมีความคล่องดีถึงวันที่ ๑๕ เมื่อวันที่ ๑๕ ผ่านไป เวลานั้นท่านบอกว่าใครเขาหาว่าฉันเป็นใบ้ไปหมด ใครเข้ามาพูดกับฉันๆ ก็ไม่อยากจะคุยมันเกรงใจชาวบ้านก็พูดคำสองคำ เออๆ ค่ะ ชาวบ้านเขาเห็นคุยน้อย เขาก็เลยไม่อยากคุยด้วย เขากลับไป เขากลับไปฉันก็นั่งเล่นของฉันคนเดียวสบาย กลางคืนกลางวันฉันไม่รู้ กินข้าวอิ่ม หลังกินข้าว ก่อนกินข้าว ไม่ทราบ เวลาทำงานฉันก็ทำ ขึ้นหลังคา ลงก้นแม่น้ำก็ทำ ทำทุกอย่างงานการใดๆ ที่มีในวัดฉันทำหมด ขณะที่ฉันทำงานกิริยาที่มันทรงตัว จะนั่งหรือจะยืนอยู่ก็ดีก็เล่นกสิณไปด้วย ฉันเล่นสมาบัติแปดของฉันไปด้วย หนึ่ง สอง สาม ถึงแปด เล่นไปสนุก ท่านบอกว่าเวลาบางทีแดดร้อนๆ มันก็ไม่รู้สึก อากาศหนาวก็ไม่อยากจะหนาว เพราะเนวสัญญานาสัญญายตนะปรากฏจับจิตจนชิน
    นี่ความจริงท่านบอกว่ามันมีอารมณ์เป็นสุขบอกไม่ถูก ท่านเขียนไว้ภายในประวัติ ท่านดีใจแล้วท่านไม่เคยคิดเลยว่าคนอย่างท่านจะเป็นคนมีวาสนาบารมีได้อย่างนั้น หวนกลับไปท่านก็มีความเข้าใจว่าหลวงพ่อปานท่านมีคำแนะนำไว้เสมอ เห็นหน้าทุกวัน หลวงพ่อปานบอกว่า นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยาย เอตัง กาสาวัง คเหตวา ว่าคุณจงจำไว้ว่า คุณบวชเข้ามารับผ้ากาสาวพัสตร์เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน หลวงพ่อปานท่านบอกอย่างนั้นเสมอ เมื่อถึงวันที่ ๑๕ ผ่านไป รุ่งขึ้นหลวงพ่อปานเรียกเข้าหาเป็นส่วนตัวเวลากลางคืนสักสองทุ่มเศษ
    หลังจากที่ท่านคุยกับพระบริษัทของท่านเพื่อเป็นการปลุกใจให้สร้างความดีแล้ว ท่านก็บอกว่าขอพบเป็นส่วนตัว เมื่อเข้าในกุฏิท่านก็ถามว่า คุณเล่นกสิณสลับไปสลับมาจนคล่องตัวแล้วใช่ไหม ท่านบอกใช่ ท่านก็ถามว่าหลวงพ่อท่านทราบได้อย่างไร หลวงพ่อปานท่านก็บอกว่าพระท่านบอกฉัน ฉันไม่ใช้กำลังใจของฉันให้เป็นประโยชน์ แต่ว่าถ้าฉันใช้ความรู้ที่ฉันมีอยู่แล้วก็เกรงว่าอุปาทานจะกิน ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะรู้ได้ก็เพราะอาศัยพระท่านคอยบอกฉัน
    ตามบันทึกของท่านก็ถามว่าพระท่านว่าอย่างไรต่อไป หลวงพ่อปานก็บอกว่าใช้กสิณเป็นฤทธิ์ได้แล้ว ถ้าเล่นตามนั้นเป็นปกติ ความจริงขณะที่ท่านเล่นนั้นทิพจักขุญาณก็คอยจะปรากฏท่านก็ตัดทิ้งไป ท่านไม่เอา ท่านว่าถ้ากำลังใจยังไม่คล่องยังต้องใช้เวลาถึงหนึ่งนาทียังใช้ไม่ได้ เป็นอันว่าฌานทุกอย่างที่ท่านเข้าได้ทรงได้ ท่านจะเข้าภายในขณะจิตเท่านั้น ท่านคล่องถึงขนาดนี้ ก็เลยถามหลวงพ่อปานว่าเวลาจะใช้ฤทธิ์ทำอย่างไร หลวงพ่อปานท่านก็เลยบอกว่าเอาอย่างนี้ สมมติว่าจะให้หินมันอ่อนก็ตั้งใจเวลาจิตอยู่ในอุปจารสมาธิ คิดว่าหินนี้จงอ่อน แล้วก็เข้าอาโปกสิณ คือกสิณน้ำให้ถึงฌานสี่ แล้วคลายจากฌานสี่มาตั้งจิตอีกทีว่าหินจงอ่อน แล้วก็เอามือจับหินๆ มันจะอ่อน จะให้มันอ่อนขนาดไหนก็ได้ ถ้าคิดอยากจะเหาะก็คิดว่าจะต้องไปโน่น ลอยไปที่นั่นแล้วก็ลอยไป
    เมื่อตั้งใจอย่างนี้แล้วก็เข้าวาโยกสิณ เข้าถึงฌานสี่ แล้วถอยหลังมาอีกทีเข้าในอุปจารสมาธิว่าเราจะลอยไปที่ตรงนั้น เข้าฌานสี่อีกทีมันจะไป เล่นอย่างนี้ให้มันคล่อง อยากจะทำอะไรก็ได้ อยากจะให้ฝนตก ก็ตั้งจิตไว้ในอุปจารสมาธิต้องการให้ฝนตก แล้วเข้าอาโปกสิณถึงฌานสี่ฝนมันก็จะตก ถ้าหากว่าจะให้แสงไปปรากฏก็เข้าเตโชกสิณ อยากจะให้มีลมมาก็เข้าอาโลกกสิณ ถ้าหากว่าที่ไหนอากาศมันน้อยก็เข้าอากาสกสิณ
    ท่านบอกว่าทำตามนั้นแหละคุณ สีแดงต้องการให้มันเป็นสีเหลืองก็เข้าปีตกสิณ ถ้าของสีขาวหรืออากาศสีขาวต้องการให้มันดำมืดก็เข้านีลกสิณ ต้องการของสีอื่นให้เป็นสีขาวก็เข้าโอทาตกสิณ ถ้าความมืดมันปรากฏก็เข้าอาโลกกสิณ ถ้าหากว่าที่ไหนอากาศมันน้อยก็เข้าอากาสกสิณ ท่านบอกว่าทำตามนั้นแหละคุณแล้วมันจะได้ เป็นอันว่าในเมื่อหลวงพ่อปานท่านสั่งมาอย่างนั้น ท่านแนะนำมา ท่านกลับมาที่เรือนท่านๆ ก็ทำทุกอย่าง
    เป็นอันว่ากิจทั้งหมดทำได้ท่านว่าไม่ยากเลย ท่านว่าอย่างนั้น เอาตามแบบ ต้องเข้าอุปจารสมาธิให้เข้าถึงฌานสี่ ออกฌานสี่มาตั้งอุปจารสมาธิ ในเมื่อเอาเข้าจริงๆ พอนึกปัปเข้าเลย เพราะความคล่องของการทรงฌาน และอาศัยที่ท่านได้อภิญญาสมาบัติอย่างนี้ ท่านจึงอาศัยอภิญญาสมาบัติเป็นการช่วยการปฏิบัติในด้านวิปัสสนาญาณ เพราะฉะนั้น ในการเล่นฤทธิ์ของท่านอาตมาภาพจะของดไม่อธิบาย เพราะว่าอธิบายในการเล่นฤทธิ์ของท่านอีก ๓๐ ปี ก็ไม่จบ ทั้งนี้เพราะว่าการที่ได้ใหม่ๆ ไม่ว่าอะไรทั้งหมดมันชนทุกอย่าง พิสูจน์คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่โลกันตนรกขึ้นมาจนกระทั่งถึงพรหมชั้น ๑๖ ว่ากันแบบสบายๆ ด้วยความคล่องทุกวัน ท่องเที่ยวไปตามแบบฉบับพระมหาโมคคัลลาน์ เอาแบบพระโมคคัลลานะมาบ้าง เอาประวัติพระมาลัยมาบ้าง แล้วก็ไปตามนั้น แล้วก็ไปตามได้ทุกทิศทาง ทุกที่ที่ตามประวัติมีอยู่ก็ไปให้หมดความสงสัย ในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาหมดเสียแล้วสำหรับวันนี้ เรื่องกสิณนี้ก็จะไม่ซ้ำต่อไป ต่อไปนี้จะพูดถึงเรื่องวิปัสสนาญาณที่พูดถึงไว้ เพราะไม่ต้องการให้ประวัตินี้ยาวเกินไป ต่อแต่นี้ไปขอบรรดาพุทธบริษัททุกท่านพยายามทรงกำลังใจให้เป็นสมาธิ ใช้ปัญญาพิจารณาในขันธ์ห้าหรือตั้งใจตามสภาวกาลจนกว่าจะถึงเวลาสมควรของท่าน
    ...............................
    คัดลอกจากหนังสือ ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า โดยคำสอนพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วันทาซุง จังหวัดอุทัยธานี (ลานธรรมจักร)
     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,358
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    เห็นรูป นี้น้ำตาซึม #ความเมตตากรุณาของหลวงพ่อที่มอบให้กับ #รั้วของชาติ ปกป้องผืนแผ่นดินเกิด 1f622.png 2764.png 1f64f_1f3fb.png
    #กราบพระราชพรหมยานมหาเถระด้วยเศียรเกล้า
    ความเมตตาของหลวงพ่อมีเกินล้นประมาณ
    ไม่มีสิ่งใดๆจะมาเทียบได้.
    ลูกขอกราบด้วยความสำนึกกตัญญู 1f64f_1f3fb.png 1f64f_1f3fb.png 1f64f_1f3fb.png 1f622.png
    ข้าพเจ้าภูมิใจเหลือเกินที่ได้เกิดบนผืนแผ่นดินไทย
    #ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร
    #มีพุทธศาสนาเป็นสรณะอันสูงสุด
    #โชคดีที่เกิดเป็นคนไทย
    =AZWZL6GVMpAglJjLAu-EtSVw2301Q5klWSNxM8GvzTUfJ72FAXgpjM3StOH525ZsJH9A2XTk2C1cFVxZCw7mnoKJ2NHYvHxTRReAklqLIp8OlGVZqiDQLPiiUiC9SvHtdl06PeyZLkw9tOXrQsiWTrRsGGPkak8NPihYbWNEXIW5Nw&__tn__=EH-R'] LB7xVEWWOmgJ2LlXExahL4acKYc1uG3TEsr9saPcEK3&_nc_ohc=YJD05T3bCzMAX8i9u7p&_nc_ht=scontent.fbkk22-1.jpg
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,358
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    ถาม : ผมอยากเรียนถามว่า พระเจ้าจักรพรรดิชื่อ "มันตุราช" ทำบุญอะไร จึงเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวในพระไตรปิฎก ที่สามารถขึ้นไปครองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้ และมีอายุนานถึง ๑ อสงไขยครับ ?
    ตอบ : "พระเจ้ามันตุราช" ไม่ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดินะ พระเจ้ามันตุราชเป็นต้นตระกูลองค์หนึ่งของพระพุทธเจ้า กว่าจะมาถึงเจ้าชายสิทธัตถะ น่าจะเป็น "พระเจ้ามันธาตุราช" มากกว่า
    ต้องไปถามท่านเองว่าทำบุญอะไรมา เพราะว่าท่านไม่ได้ครองแค่ดาวดึงส์เฉย ๆ ในพระไตรปิฎกบอกว่า เมื่อพระเจ้ามันธาตุราชได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิแล้ว ยึดครองทวีปทั้งสี่ มีทวีปน้อยอีกสองพันเป็นบริวาร ก็แปลว่ายึดดวงดาวไปอย่างน้อยก็สองพันดวง ท่านก็ยังรู้สึกว่าไม่พอ ถามบรรดาเสวกามาตย์ว่ามีสมบัติอะไรที่ยิ่งไปกว่านี้อีก ? ข้าราชบริพารก็บอกว่าสวรรค์ ท่านจึงขึ้นจักรแก้วลุยขึ้นไป ท้าวมหาราชทั้งสี่ก็มอบราชสมบัติให้ ครองราชสมบัติจนกระทั่งเบื่อ ถามท้าวมหาราชว่ามีที่ดีกว่านี้อีกไหม ? ท้าวมหาราชก็บอกว่าต้องสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
    พอขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระอินทร์ก็แบ่งสมบัติให้ครึ่งหนึ่ง ครองสมบัติร่วมกัน จนกระทั่งพระอินทร์จุติไปสามสิบกว่าพระองค์ ท่านเองยังไม่หมดอายุเลยนะ แล้วท่านก็เบื่อ คิดว่ามีอะไรยิ่งกว่านี้หรือเปล่า ? พอเกิดพระอินทร์องค์ใหม่ขึ้นมาอีกเพื่อครองสมบัติต่อ พระเจ้ามันธาตุราชอยากจะได้สมบัติคนเดียว ไม่ต้องแบ่งครึ่ง จึงคิดไม่ดีจะทำร้ายพระอินทร์องค์นั้น ตนเองก็เลยร่วงตกกลับมาที่โลกมนุษย์ตามเดิม บรรดาเสวกามาตย์เห็นเข้า อาตมารับประกันว่าไม่เคยรู้จักหรอก ขนาดพระอินทร์ยังผ่านไปสามสิบกว่าพระองค์ แต่เขาก็รู้ว่านี่คือพระเจ้าจักรพรรดิ จึงถามว่าจะให้ปฏิบัติกับพระองค์อย่างไร ท่านก็บอกว่าท่านแก่มากแล้ว ใกล้จะตายแล้ว
    ส่วนที่อยากจะบอกกับทุกท่านก็คือ ความอยากของคนไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าไม่สามารถควบคุมความอยากได้ ชีวิตนี้จะหาความสุขที่แท้จริงไม่ได้ แล้วจะเดือดร้อนเหมือนกับพระองค์ท่านเอง
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประชุมชาดกว่า พระเจ้ามันธาตุราชนั้นเกิดมาเป็นตถาคตในปัจจุบันนี้ ท่านไม่ได้บอกรายละเอียดว่าทำบุญอะไรไว้ แต่บุคคลที่จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดินั้น ต่ำสุดต้องเคยถวายสังฆทานไว้ในพุทธศาสนา ถ้าใครอยากเป็นก็สร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ๆ หน้าตักสัก ๔ ศอกก็ได้แล้ว ไม่ได้เป็นครั้งเดียวด้วย เป็นจนเบื่อไปเอง
    อย่าจำสับสนกันนะ พระเจ้ามันธาตุราช กับ พระเจ้ามันตุราช เป็นคนละท่านกัน
    เก็บตกบ้านวิริยบารมี
    เดือนสิงหาคม ๒๕๕๙
    =AZV2sw3WJxj8iXkP90gI_v3EfWe0Ilz_AM3fKV_glm8uAJ4VRFDYMGyHma0nOIEL2al1nAH22BtEnXP2EgzN7ZXvQHxUaOcwNnJ0FuU5NMWeIkVvcQDhm_beGGdHkeccxgYh7BtBymN3DPMHkn2kV_uEAa1ftxpYhLwZ0mkq-weJqjBm68EX1S2DGubWe15G8wU&__tn__=EH-R'] 3ZDmaqjf-j6tul4lPWKZltZh&_nc_ohc=OdsAfE_QZjkAX99wDlC&tn=32SMgKculfo9F24p&_nc_ht=scontent.fbkk2-5.jpg
     
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,358
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    เรื่องของพระซน
    สมัยที่อาจารย์ไปรับปริญญาบัตรกับ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ขนาดที่อาจารย์นั่งเพื่อรอเรียกไปรับใบปริญญา อาจารย์ก็มองไปที่ในหลวง แล้วเห็นเป็นฉัตรลอยเหนือหัวในหลวงอาจารย์ตั้งใจนับฉัตรที่ลอยอยู่ อาจารย์บอกว่ามีเป็นชั้นๆๆ ขึ้นไปสุดลูกหูลูกตา หลังจากวันนั้น อาจารย์ได้มาเรียนถามหลวงปู่ในสิ่งที่เห็น หลวงปู่ก็เล่าให้ฟังว่า ข้าเริ่มทำตั้งแต่ได้ยินข่าวที่พี่ชายท่านสวรรคต ข้าก็เริ่มอธิษฐานจิตส่งไปให้ท่านทุกวัน วันละ 3 เวลาไม่เคยขาด มันก็แค่เรื่องของพระซนๆ นั้นแหล
    9PmNo3giPriiDZdjjysCih8H3L3h91Z0s_gSNW7hu6NN&_nc_ohc=H0padJfmUCoAX-JUme7&_nc_ht=scontent.fbkk2-3.jpg
     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,358
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    ชุมชนคุณธรรมฯวัดพุทธบริษัท

    1f539.png ถาม : #อธิษฐานบารมีกับสัจบารมี แตกต่างกันอย่างไรครับ ?
    1f538.png ตอบ : แตกต่างกันตรงที่ว่า อธิษฐานบารมี เป็นความตั้งใจ ส่วนสัจบารมี เป็นการทำความตั้งใจนั้นให้เห็นผลจริง
    ——————————————————-
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    ที่มา www.watthakhanun.com
     
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,358
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,358
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    fGLWuLHUO3hFcM1k9iSsC-8dyOT2puR86fby-k6wUH8&_nc_ohc=vU6D97XMyZIAX8-cjJU&_nc_ht=scontent.fbkk22-6.jpg
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...