ล้อมวงเล่าเรื่องผี

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 17 สิงหาคม 2019.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,044
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    night.png
    ล้อมวงเล่าเรื่องผี

    เล่าเรื่องสยองก่อนนอน..!!#@คิม.

    เรื่องนี้ส่งเข้ามาจากคุณแนนครับ เป็นประสบการณ์จริงของคุณยายที่คุณแนนได้ฟังมาอีกทีหนึ่ง โดยคุณแนนเล่าว่า.. ตอนนั้นยายเราอายุประมาณ 50 บ้านยายเราจะอยู่ในจังหวัดสมุทรปราการ อยู่กับตา 2 คน เป็นบ้านไม้เล็กๆ ตั้งอยู่เยื้องกับวัด มีถนน 2 เลน และหน้าวัดเป็นทาง 3 แพร่ง ถนนเส้นนี้ได้ฉายาว่า 100 ศพ เพราะเกิดอุบัติเหตุหนักๆ บ่อยครั้งโดยเฉพาะหน้าวัด สมัยนั้นยังเป็นดินลูกรัง.. ศพแรกๆ ที่ทุกคนในสมัยนั้นจำได้ดี เป็นผู้หญิงท้องแก่ 7 เดือน ออกจากวัดจะข้ามถนน แต่วิ่งช้าไม่ทันหรือยังไงไม่ทราบ ถูกรถบรรทุกดินทับเต็มๆ ..หลังจากนั้นไม่กี่วัน วิญญาณก็เฮี้ยนออกมาหลอกหลอนคนที่ขับรถไปมา บ้างว่าเจอยืนโบกรถอยู่หน้าวัดประจำ

    คืนหนึ่ง ยายจำได้ดีว่าเป็นวันพระ คืนนั้นตาไม่อยู่ เพราะไปเยี่ยมเพื่อนที่ป่วยหนักแถวปากน้ำ ยายอยู่บ้านคนเดียว แต่แกชินแล้ว.. เวลาประมาณเกือบจะเที่ยงคืน ยายกำลังนอนอยู่แต่ยังไม่หลับ ในบ้านเปิดเป็นไฟหลอดไส้เล็กๆ กลมๆไม่สว่างมากแต่พอมองเห็น แล้วยายก็ได้ยินเสียงบันไดไม้ดัง ‘เอี๊ยด อ๊าด’ เหมือนมีคนเดินขึ้นมา บันไดไม้จะมีอยู่ 3-4 ขั้นเอง ขึ้นมาจะเป็นประตูบ้าน เปิดไปจะเป็นโล่งๆ มีที่นอน และมุ้งตายายอยู่มุมด้านในบ้าน.. เมื่อได้ยินเสียง ยายก็รีบลุก คว้าไม้หน้าสามที่วางข้างมุ้ง ลุกขึ้นเปิดมุ้ง และเงียบ รอฟัง.. ผ่านไปนาน ก็ยังไม่ได้ยินอะไร ยายคิดว่าหูตัวเองคงฝาด เลยวางไม้ และนอนต่อ.. ผ่านไปสักพัก ยายก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เพราะเหลือบไปผู้หญิงท้องแก่เอามืออุ้มท้องตัวเอง ยืนอยู่ข้างๆ มุ้ง ใกล้กับที่วางไม้หน้าสาม ยายถึงกับช็อค ทำอะไรไม่ถูก รีบลุกขึ้นนั่งพนมมือ แล้วหลับหูหลับตาภาวนาสวดมนต์ จนน้ำตาไหล..

    ยายบอกเริ่มสวดต่อไม่ไหวแล้ว เพราะตัวมันสั่นกลัวมากๆ เลยลืมตาขึ้นดูว่าไปหรือยัง คราวนี้ยายถึงกับต้องเป็นลมหมดสติไปเลย เพราะเมื่อยายค่อยๆ ทำใจลืมตาขึ้นมาดู ภาพที่เห็นคือ ผู้หญิงท้องแก่คนนั้น อยู่ในท่านั่งพับเพียบร้องไห้สะอึกสะอื้น สภาพคือท้องแตก และกำลังเอามือโกยไส้ตัวเองที่กองอยู่ที่พื้นกลับเข้าไปในท้อง แลดูน่าสยดสยอง และเวทนามากๆ ..นั่นคือภาพสุดท้ายที่ยายเห็นก่อนจะหมดสติไป

    ตื่นมาอีกทีตอนใกล้สว่าง ยายก็ยังคงล้มนอนอยู่ในมุ้งท่าเดิม พอได้สติ ยายก็เปิดมุ้งเพื่อจะวิ่งออกไปหาเพื่อนบ้านข้างๆ แต่พอเปิดมุ้งมา ก็เจอผมคนร่วงเป็นกระจุก กองอยู่ตรงที่เดียวกับที่ผู้หญิงท้องแก่คนนั้นนั่ง! ยายมั่นใจว่าไม่ได้ฝันไปแน่ๆ จึงรีบวิ่งออกจากบ้านไปร้อง ‘ช่วยด้วยๆ’ สุดท้ายเพื่อนข้างบ้านก็มาช่วยพายายไปวัด ทำบุญ และรดน้ำมนต์.. ยายไม่กล้าเข้าบ้านอีกเลย รอจนตากลับมา.. ตาขึ้นบ้านไป ก็เจอผมกระจุกเดิมกองอยู่ ตาจึงเอาผมใส่ใบตองไปลอยแม่น้ำ.. หลังจากนั้นยายก็ไม่ได้เจออีกเลย จะมีก็แต่คนขับรถผ่านแถววัดบางคน ที่บอกว่ายังเจออยู่ เพราะผู้หญิงท้องแก่คนนี้ บ้านเขาอยู่บางปู วันที่เกิดเหตุเขากำลังจะไปรอรถกลับบ้าน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กลับ และเขาคงอยากกลับบ้าน แต่ก็ไม่น่าจะมีใครกล้าพาเขาไปส่งแน่นอน..
    :-
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,044
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
  3. nahim

    nahim สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2021
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +8
    ผมเห็นมีอาชีพรับจ้างนอนตามที่ผีดุด้วย
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,044
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    อ่านกันเล่นๆค่ะ
    ::: เมื่อครูบาอินปราบทายาทอสูร :::

    เรื่องนี้ เป็นประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับตัวของผู้เขียนเอง เรื่องของเรื่องที่มีชื่อเหมือนกับ “นิยายหนังผี” สยองขวัญ “ทายาทอสูร” ที่ชาวบ้านชาวเมืองต่างติดกันงอมแงมเมื่อไม่กี่ปีก่อน ด้วยวลียอดฮิตว่า “เจ้าคือทายาทคนต่อไป...” นั้น ได้เกิดขึ้นเมื่อมีผู้หญิงสาวสวยคนหนึ่ง ขอสมมุติชื่อว่า “น.ส.ชนีกร” เรื่องก็มาจากการที่น.ส.ชนีกรเธอถูก “แม่ผัว” ใจร้ายตั้งข้อรังเกียจเดียดฉันท์ ด้วยข้อหาว่า “ยากจน” กว่า และกลัวว่าเธอจะไปแย่งความรักของลูกชายเธอมากกกอดเสียหมดคนเดียว อันจะเป็นเหตุให้ลูกชายสุดสวาทลืมรักแม่ไป...ฯลฯ (บ้าจังเลย หึงแม้กระทั่งลูกตัวเอง)

    คิดไปคิดมา แม่ผัวใจร้ายปานประหนึ่งคุณหญิงแม่ของคุณชายกลางแห่งบ้านทรายทอง (ภาคพิเศษ) เลยริอ่านเล่น “ไสยศาสตร์” ให้ “หมอผี” ทางอำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ทำ “คุณไสย” ใส่ทั้ง “ผัว” ทั้ง “ลูกชาย” และทั้ง น.ส.ชนีกร “ลูกสะใภ้” (นอกกฎหมาย ไม่ได้จดทะเบียน) แบบครบวงจรเลยทีเดียว...!!!!!! ทำของใส่ “ผัว” เพื่อให้หลงอย่างไม่ลืมหูลืมตา ทำของใส่ “ลูกชาย” ก็เพื่อให้ สติเลอะเลือน จนรู้สึกเกลียดชังเมียตัวเองอย่างไม่ทราบสาเหตุ...” และทำของใส่ “ลูกสะใภ้” หมายจะให้ น.ส.ชนีกรเสียผู้เสียคนจนเป็นบ้า หรือถึงแก่ชีวิตไปเลยทีเดียว...“โหด เลว ชั่ว” ครบสูตรแม่ผัวตัวอย่างจริงๆ

    และเรื่องของเรื่องที่ผู้เขียนจะต้องมาข้องแวะในวังวนแห่งโลกีย์และไสยเวทย์สายดำสนิทโดยที่มิรู้อิโหน่อิเหน่มาก่อนนั้น ก็เกิดจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่รู้จักกับน.ส.ชนีกรดี ได้ไหว้วานให้ผู้เขียน พาน.ส.ชนีกรไปหาพระช่วยรักษาคุณไสยนี้ที...ด้วยความเมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา และเพื่ออนุเคราะห์เพื่อนร่วมโลกด้วยกัน ผมก็เลยมีอันได้พา น.ส.ชนีกรนี้ไปกราบหาหลวงปู่หลวงพ่อเพื่อปัดรังควานรักษาเป็นหลายท่านหลายองค์ จนน.ส. ชนีกร เริ่มมีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

    แต่ในขณะเดียวกัน ตัวของ “เนาว์ นรญาณ” คนนี้ กลับมี “เรื่องร้ายๆ” เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างผิดปกติ ประเดี๋ยวเป็นโน่น ประเดี๋ยวเจ็บนี่ ทั้งหน้าตาก็แลดูหมองคล้ำดำมืดอย่างไรชอบกล ไม่มีสง่าราศีเอาเสียเลย ที่เจ็บปวดที่สุด ก็เห็นจะเป็นกรณีถูก “หมากัด” ที่เอ็นร้อยหวายเข้าอย่างจัง ขณะที่ยืนดูคนให้อาหารสุนัขอยู่ดีๆ แท้ๆ แม้จะไม่เข้าเต็มๆ แต่ก็ทำให้หนังถลอก เลือดซิบๆ ต้องไปฉีดยากันโรคกลัวน้ำ (ปลอดภัยไว้ก่อน) เสียหลายเข็ม เจ็บระบมไปหลายวัน เฮ้อ.ทำไมถึงต้องเจ็บตัวอย่างนี้นะ ตั้งแต่ได้พาน.ส.ชนีกรไปรักษาคุณไสย ทำไมข้าพเจ้าจึงเจอแต่เรื่อง “ซวยงัก” ถี่ปกตินักนะ งงจังเลย...

    และแล้ว น.ส.ชนีกร ก็เป็นผู้เฉลยความนัยนั่นให้ฟังเองในเวลาต่อมาว่า “หนูเอาเรื่องที่พี่เนาว์ถูกหมากัดไปเล่าให้น้องเณรที่มีญาณองค์หนึ่งที่อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอนฟัง ท่านก็เข้าสมาธิดูก็รู้ว่า ไอ้หมอผีทำของใส่หนูน่ะ มันทำคุณไสยกันท่าเผื่อเอาไว้ด้วยว่า ใครก็ตามที่คิดอ่านมาช่วยหนู ก็จะต้องมีอันเป็นไปตามกันด้วย อย่างที่พี่เนาว์โดนหมากัดน่ะ ก็ไม่ใช่เป็นกรณีปกตินะคะ แต่เป็นการใช้ไสยศาสตร์พลังจิตไปบังคับหมาให้มากัดพี่เนาว์เป็นการเฉพาะ เหมือนอย่างที่คุณยายวรนาถในเรื่องทายาทอสูรทำอย่างไรก็อย่างนั้นเลยล่ะค่ะ...”

    “อ้อ...เหรอ...” ผมเออออก่อนที่จะนึกในใจว่า “อิ๊บอ๋ายแล้ว...นี่กรูต้องมาเจอะเจอกับเรื่องพรรค์นี้กับเขาด้วยหรือนี่...???”

    และ...“กรูไม่น่ามาช่วยเจ๊ชนีกรนี่เล้ยจริงๆ...ให้ตายสิ” มีแต่เรื่องซวยซับ ซวยซ้อน และซวยไม่มีที่สิ้นสุดเสียจริงๆ กรรมของเวรแท้ๆ...

    และแล้ว วันที่ “กรรมของเวร” ของผู้เขียนจะสิ้นสุดลง เมื่อได้พาร่างอันหมองคล้ำไปกราบครูบาอินในวันหนึ่ง เหมือนท่านครูบาอินจะรู้แจ้งถึงการทั้งปวงดี ท่านจึงเพ่งดูหน้าผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยตบะเดชะอันแรงกล้าที่แม้แต่คนเข้าวัดอย่างผม ก็ยังอดสะท้านด้วยความเกรงบารมีท่านไปมิได้ ก่อนที่จะได้หยิบเอาน้ำมันจันทน์มาเจิมกระหม่อมผู้เขียนอย่างตั้งใจ และในขณะนั้นนั่นเอง ก็มีผู้จับภาพตอนที่ครูบาอินกำลังลงกระหม่อมให้ผู้เขียนในตอนนั้นไว้ได้

    และเมื่อล้างอัดออกมา ภาพที่น่า “สยองใจ” ก็ปรากฏขึ้นในทันใด เพราะปรากฏ “เงาดำ” แห่งไสยเวทย์มนต์ดำทายาทอสูรจากนรก พุ่งออกจากบริเวณศีรษะและต้นแขนของผู้เขียน เห็นกันได้จะๆ เต็มสองตา...!!!

    ช่างน่าขนพองสยองเกล้าเป็นนักแล้ว...บรื๋ววววส์ส์ส์ส์ส์...

    หมายเหตุ, เคยสงสัยว่า อันพระเครื่องรางของดีๆ เราก็มีมากมาย แต่เหตุไฉนไสยศาสตร์ฝ่ายต่ำจึงเข้ามาสิงสู่ในกายในใจแห่งเราได้ จนเมื่อได้ยินคำเฉลยจากหลวงพ่อพุธ ฐานิโย พระอริยปัญญาแห่งวัดป่าสาลวัน จึงได้เข้าใจ โดยท่านบอกว่า “อันพระเครื่องรางนั้น แม้จะดีอย่างไร ก็ยังเป็นของภายนอกอยู่ แต่หากจะให้กันคุณไสยมนต์ดำได้จริงๆ คนๆ นั้นต้องไหว้พระสวดมนต์แผ่เมตตาเป็นนิตย์ จึงจะป้องกันได้”

    (จำได้ว่า ตอนนั้นผมขี้เกียจสวดมนต์มาก และก็ไม่ได้ห้อยพระตลอด ๒๔ ชั่วโมงด้วย ของเลยมีช่องเข้าตัวได้ให้ซวยสนิทไปหลายรอบด้วยประการฉะนี้)

    ช่างนับเป็นบุญและวาสนาแท้ๆ ที่ยังมีโอกาสได้เจอกับ “พระดีและเก่ง” แบบสุดๆ เยี่ยงหลวงปู่ครูบาอิน มาช่วยขับไล่ “มนตราทายาทอสูร” ให้เห็นกันจะๆ เห็นปานนี้ หาไม่...ผมจะต้อง “มีอันเป็นไป” ในลักษณาการเช่นไหนอีก ก็สุดที่จะคาดเดาได้แล้วจริงๆ โอย..ไม่อยากจะคิดเลย

    พระเดชพระคุณและความเก่งกล้าสามารถของหลวงปู่ครูบาอินนั้น จึงติดตราตรึงในท่ามกลางดวงใจของผมอย่างไม่มีวันจะจางคลายไปได้นับแต่บัดนั้น แม้หลวงปู่วรวุฒิคุณท่านจะได้ “ละสังขาร” สู่บรมสุขไปแล้วก็ตาม

    ปัจจุบัน สรีระขันธ์ที่ท่านทิ้งไว้คู่กับโลก เมื่ออายุได้ ๑๐๑ ปี ก็ยังคงนอนนิ่งสงบอย่างสง่าภายในโลงแก้วที่วัดคันธาวาส (ทุ่งปุย) กิ่งอำเภอดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ เหมือนหนึ่งท่านเพียงแค่ “จำวัด” หลับไปเท่านั้น

    วันมรณภาพเป็นอย่างใด ในวันนี้สรีระแห่งท่านก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ต่างไปเพียงแค่มีการ “ปิดทอง” จนเหลืออร่ามตามประเพณีล้านนาแต่เพียงอย่างเดียว และที่นั้น ก็ยังมี “วัตถุมงคล” ที่หลวงปู่ครูบาอินท่านเสกทิ้งทวนไว้อย่างดีที่สุด ตกค้างอยู่เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นพระสมเด็จไจยะเบงชร, เหรียญยืน, ประคำ, ตะกรุด, ผ้ายันต์ ฯลฯ

    รับรองว่า คุณภาพแห่งพุทธคุณที่หลวงปู่ครูบาอินท่านฝากไว้ในเครื่องมงคลทุกอย่างนั้น ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพระเครื่องของอดีตพระเกจิอาจารย์รุ่นเก่าๆ ราคาแพงๆ เป็นแสนเป็นล้านอย่างแน่แท้ เพราะมี “อาจารย์” ศิษย์สายเจ้าคุณนรรัตน์ฯ, หลวงปู่เทสก์ ที่มีสมาธิจิตสูงเคยลองสัมผัสพลังพระของครูบาอินแล้ว ก็แทบจะถึงแก่การอึ้งพร้อมกับอุทานขึ้นมาเลยทีเดียวว่า “นี่พระของใครนี่...ทำไมพลังจึงแรงกล้าในระดับเดียวกับหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ซึ่งไม่น่าจะมีใครเสมอเหมือนได้อีกเล่า.???”
    สวัสดี
    :- https://palungjit.org/threads/เทศนา...โธ-หลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร-วชิรมโน.613512/page-7
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,044
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    ตายไปแล้วหยิบได้อะไรหรือ
    แม้ทรัพย์สินล้นมือหยิบได้ไหม
    แม้แต่ร่างเขายังเอาไปเผาไฟ
    ที่หยิบได้ก็คงแต่"แค่บาปบุญ"

    @Exzeries Indyman
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,044
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    #เรื่องเล่าสยองขวัญ. "รับขันธ์ผี"

    โดยส่วนตัวผมไม่มีความรู้เกี่ยวกับวิธีการและพิธีการแก้คุณไสย อะไรต่างๆ เท่าไหร่นัก และด้วยชีวิตส่วนตัวของผมซึ่งคิดว่าน่าจะห่างไกลเรื่องพวกนี้ เพราะเป็นคนเมืองกรุง เจอแต่ความเจริญ ชีวิตที่ทันสมัยสะดวกสบาย นิสัยส่วนตัวไม่ชอบเรื่องราวพวกนี้ ไม่คิดเข้าไปข้องเกี่ยว เห็นเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ ไร้แก่นสารสำหรับชีวิตไปด้วยซ้ำ

    แต่ด้วยชีวิตประสบพบเจอเรื่องแปลกๆ ที่ไม่คิดว่าจะได้มาเจอ จึงอยากนำมาเล่าให้อ่านได้รับรู้เผื่อจะมีประโยชน์ต่อท่านผู้ที่ประสบปัญหาอยู่

    นานมาแล้วประมาณ 6-7 ปีได้ ผมได้ถูกสลัดรักจากแฟนที่อยู่ร่วมกันมา ครั้งหนึ่งจำได้ว่าเธอเคยบอกผมว่าเคยไปทำพิธีกรรมอย่างหนึ่ง ก่อนมามีเพศสัมพันธ์กับผม คือ ไปให้หมอร่างทรงคนหนึ่งทำพิธีกรรมลงทองที่อวัยวะเพศของตนเอง ผมเข้าใจว่าปิดทองที่ตรงนั้นแต่ก็ไม่ได้ถามรายละเอียด แต่เธอบอกว่าเป็นวิธีการแก้ของหมอที่ทำให้คนอาภัพเรื่องคู่ มีคู่ได้อย่างยั่งยืน

    สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับผมระหว่างที่คบผู้หญิงคนนี้ คือ จะมีอาการทรมาน ร้อนรุ่มจิตใจเมื่อไม่ได้อยู่ใกล้ผู้หญิงคนนี้ สมองจะเบลอๆ คิดอ่านอะไรไม่ค่อยได้เหมือนปกติ ทั้งหมดนี้ระลึกได้หลังจากที่เลิกกับเธอแล้วกลับมาพิจารณาอาการที่เป็นซึ่งได้หายจากอาการดังกล่าวแล้ว

    หลังจากที่ได้เลิกกับผู้หญิงคนนี้แล้ว อาการรุนแรงขึ้นจนถึงขั้นทรุด น้ำหนักตัวลด ผอมแห้งจนเห็นซี่โครงเกือบทุกซี่ ซึ่งผมเองก็พยายามสู้กับอาการ พยายามไปหาหมอทานยาระงับประสาท สารพัดเพื่อหาวิธีตัดแต่ก็ร้อนรุ่มจิตใจจนทำงานทำการไม่ได้ ผมพยายามสู้อาการประมาณ 3 เดือน

    จนตัวเองตัดสินใจหันเหเข้าไปรักษาศีล ปฏิบัติธรรมที่วัดป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งถือว่าอยู่ในป่าลึกและห่างไกลความเจริญ ไปอยู่ได้ประมาณ 1 อาทิตย์ก็เจอเรื่องแปลกๆ อาทิเช่น แมลงสัตว์ พยายามเข้ามากัดต่อยตนเอง ตั้งแต่ โดนแมงป่องต่อย ผึ้งต่อย (ตอนกลางคืน) หน้าศาลาที่พักมีแมงป่องช้างตัวใหญ่ที่บันไดล่างสุด มีงูห้องอาบน้ำ แต่ก็พยายามคิดว่าเรามาอยู่กลางป่า กลางเขา การเจอสัตว์แบบนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดา

    กิจวัตรประจำวันคือ สวดมนต์ทำวัตร เช้า เย็น นั่งสมาธิ เดินจงกรม ถือศีลอุโบสถ นุ่งขาวห่มขาว รับใช้พระภิกษุ แต่ทำอย่างไรอาการเบลอ คิดอะไรไม่ออก ประสาทหลอนเหมือนเห็นโน่นเห็นนี่ ได้ยินเสียงนั่นเสียงนี่ ก็ไม่หาย

    วันหนึ่งก็ได้สนทนาธรรมกับพระรูปหนึ่งในวันพระ ก่อนเข้าปาฏิโมกข์ ท่านพูดถึงพระสงฆ์รูปหนึ่งซึ่งดูแลวัดสาขาของวัดที่ผมได้มาปฏิบัติ มีความรู้ความสามารถในการแก้อาการดังกล่าว และแล้วในวันพระนั้นผมก็ได้จับพลัดจับผลูเดินทางไปที่วัดสาขากับพระสงฆ์รูปนั้น ระหว่างทางผมยังจำได้แม่นว่าท่านพูดคุยกับผมหลังรถกระบะที่นั่งมากับท่านว่า

    “องค์เทพอะไรไม่เห็นมี เห็นแต่ผีตามมาเต็ม”

    ผมได้แต่นั่งอึ้ง ท่านว่าเมื่อถึงวัดแล้วค่อยคุยกัน และเมื่อถึงวัดยอมรับเลยว่า วัดนี้อยู่ในที่ลึกและกันดารสุดๆ เป็นวัดร้างที่ท่านได้รับมอบหมายให้มาบูรณะ ซึ่งที่วัดจะมีศาลเจ้าแม่กวนอิมเก่าๆ ที่พังแล้ว เมรุเผาศพ ศาลาเผาศพที่เลิกใช้ กุฏิในป่าลึกประมาณ 4 กุฏิ ศาลาโรงครัว ผมยอมรับเลยมันเป็นวัดร้างที่วังเวงมาก เพราะว่าป่าไม้แถบนั้นถูกโค่นหมด มันโปร่งแต่มันมีบรรยากาศหวิวๆ มากๆ

    พอถึงวัดท่านก็ให้ผมเข้าไปสนทนาธรรมกับท่านที่กุฏิท่าน ระหว่างที่ผมสนทนาผมรู้สึกได้ว่าอาการเบลอๆ ผมผ่อนคลาย หัวที่เหมือนมีความรู้สึกว่าถูกมัดด้วยอะไรบางอย่างเหมือนถูกคลายออก (ความรู้สึกนี้จำได้แม่นเลย) ผมได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ท่านทราบอย่างละเอียด

    ท่านฟังแล้วก็ตอบผมว่า ทั้งหมดที่ตามผมมาเข้าวัดไม่ได้ตอนนี้รออยู่นอกวัดกันเต็ม ที่วัดนี้มีผีคอยปกป้องอยู่เข้ามาไม่ได้ง่ายเพราะพวกที่อยู่ไม่ให้เข้ามา แต่ก็ประมาทไม่ได้เพราะว่าผีพวกนี้มีคนเลี้ยงและส่งมา ผมเองก็อึ้งๆ เพราะว่าเห็นว่าวัดท่านเป็นวัดสายธรรมยุต ไม่มีเครื่องรางของขลัง ไม่สร้างไม่เล่นคาถาอาคมใดๆ ทำไมท่านพูดอย่างนี้ ท่านบอกว่าคืนนี้คงหนักหน่อยให้นอนร่วมกุฏิกับท่านแต่คนละห้อง แต่ก่อนจะทำอะไรทุกอย่างท่านให้ผมทำตามดังนี้

    อาราธนาตนเองอีกครั้งให้เป็นพุทธมามกะ เป็นอุบาสก ที่นับถือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งของชีวิต หลังจากนั้นให้บวช ศีล 8 นุ่งขาวห่มขาว เริ่มภาวนา ในอริยาบถ เดิน ยืน นั่ง นอน ผมทำตามอย่างเคร่งครัด
    และอธิษฐานจิตให้คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ปกป้องคุ้มครองผมอยู่เสมออย่าให้ขาด สายตาของท่านจ้องมองผมอย่างรู้สึกได้ถึงความเมตตา ผมยังจำได้แม้ผมจะไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน

    ในคืนนั้นเองท่านกำชับผมว่าห้ามออกมาจากกุฏิโดยเด็ดขาด และมีเหตุแปลกประหลาดดังนี้

    ตั้งแต่เข้านอนมีเสียงแปลกสิ่งของตกลงมากระทบกับหลังคากุฏิ เสียงดังตลอดทั้งคืน ดังปัง ดังตุ้บ เสียงเหมือนคนเอาใบไม้กวาดหลังคากุฏิ ผมได้ยินจนผมนอนหลับไป แล้วฝันในจังหวะที่เกือบตื่นพอดี ผมเห็นผู้หญิงผมยาวชุดขาวที่หน้าตาดูเคียดแค้นชิงชัง หน้าขาวเผือด ผมยาว ตาโต ใบหน้าขรุขระ แง้มหน้าต่างบนหัวนอนของผมด้วยมือ จังหวะที่ผมสะดุ้งตื่นพอดีหน้าต่างปิดดัง ปัง! และก็มีเสียงดังกระหน่ำหลังคากุฏิมาตลอดทั้งคืน ทั้งที่ไม่มีลมพายุใดๆ

    จนกระทั่งเช้า ท่านพระสงฆ์ได้ออกมาคุยกับผมนอกห้องและกล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ผมจำได้ว่าท่านได้ปีนไปดูหลังคา หลังคาก็สะอาดไม่มีเศษหินเศษกิ่งไม้หรืออะไรที่จะทำให้เป็นเสียงได้ ท่านจึงถามผมต่อไปว่าผมได้เคยรับขันธ์ หรือไปครอบองค์ ครอบครูอะไรกับเขาไหม ผมก็ตอบว่าเคย ท่านถามต่อว่าแล้วขันธ์พวกนั้นอยู่ที่ไหน ผมตอบว่าอยู่ที่ห้องพระบ้านผม ท่านไม่รีรอช้าพยายามติดต่อลูกศิษย์อุปัฏฐากวัดให้มารับผมไปนำขันธ์นั้นมาทำลาย และหลังจากได้ทำลายเสร็จด้วยการเผาภายในวัดของท่านด้วยตัวท่านเอง

    ภายในคืนนั้นก็มีเสียงอะไรบางอย่างหล่นดัง ตุ้บ! ดังมากๆ จนผมคิดว่าหลังคาต้องเสียหายแน่ๆ เป็นเสียงเดียวในคืนนั้นจริงๆ นอกนั้นสงบมีแต่เสียงจิ้งหรีดเรไร

    ในตอนเช้าท่านให้ผมไปจัดสำรับอาหารคอยอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร หลังจากฉันจังหันแล้วท่านจึงมานั่งสนทนากับผมว่าเมื่อคืนมีอะไรบ้าง และเมื่อเห็นว่ามีเหตุการณ์ตรงกัน ท่านก็บอกว่าท่านได้ปีนขึ้นไปดูบนฝ้าของกุฏิเมื่อเช้านี้ ท่านได้พบของชิ้นหนึ่งอยู่บนฝ้าคือ เหมือนผ้า กิ่งไม้ (ผมจำไม่ได้แล้วว่ามีอะไรอีก) ถูกพันด้วยสายสิญจน์อยู่บนฝ้ากุฏิที่ผมนอน ซึ่งเป็นกุฏิเดียวกับท่าน

    ท่านไม่รอช้าจึงรีบนำไปเผาไฟ ถ้าจำไม่ผิด ท่านไม่ต้องการให้ผมไปเห็น เพราะว่าป้องกันของเข้าผม หลังจากนั้นผมปฏิบัติธรรมด้วยความสงบสุข ผมอยู่วัดได้ประมาณ 1 เดือนอาการทุกอย่างหายไปเป็นปลิดทิ้งตามลำดับ ก่อนออกจากวัดของท่าน ท่านได้ฝากข้อคิดไว้ประโยคหนึ่งให้ใช้ในการดำเนินชีวิตว่า

    “อย่าคิดถึงอดีต ให้เดินปัจจุบัน อย่าฟุ้งซ่านอนาคต”

    ชีวิตหลังจากนั้น ผมไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับ ร่างทรง องค์เทพ หรืออะไรที่นอกเหนือจาก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อีกเลย มีความสุขกาย สุขใจ ตามอรรถภาพตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน

    ป.ล. พระภิกษุรูปนี้ที่ช่วยเหลือผมไว้ ผมเห็นว่าเป็นเหมือนพระป่าสายธรรมยุตทั่วไป แต่ไม่ข้องแวะเกี่ยวกับเครื่องรางของขลังเลย ท่านเองมีเรื่องเล่าประสบการณ์ลึกลับมากมาย รวมถึงวัดของท่านเองที่ผมไปอยู่ก็เฮี้ยนไม่ธรรมดาเลยทีเดียว จนชาวบ้านแถวนั้นมักจะไม่ผ่านมาวัดนี้ในยามค่ำคืนกัน วัดนี้เฮี้ยนจนวัดทั้งวัดมีพระภิกษุประจำอยู่กันแค่ 2 รูป ส่วนพระรูปอื่นมาอยู่ก็อยู่ไม่ได้ขอย้ายวัดกันตลอด

    ขอขอบคุณที่มา: กระทู้ผีพันทิป
    @ExZeries Indyman
    :- https://www.facebook.com/ล้อมวงเล่า...03CPtzAu-CyCDqCiOjh9xY8Vk&fref=nf&__tn__=kC-R
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,044
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    ไม่มีประสบการณ์ตัวเองหรือน่าจะสนุกดีนะ...
    หรือลองถามมาเล่นๆก็ได้ เพื่อพอเล่าให้ฟังได้บ้าง...
    เช่น ผีแบบโน้นนี่นั้น เป็นอย่างไร ประมาณนี้...
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,044
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    ไม่เคยเห็นค่ะ แต่ทราบว่าท่านอ นพ เจอทุกวัน น่าจะเล่าให้พวกเราฟังบ้างค่ะว่าเขามาให้เห็นเพื่ออะไร?:)
     
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    การเห็นได้ไม่ใช่ประเด็นหลัก
    แม้จะเห็นหรือไม่เห็นก็ไม่ใช่ประเด็น
    ส่วนการรู้ได้ เข้าใจได้ถึงสิ่งที่เห็น มาจากกำลังสติทางธรรม
    ประเด็นหลักคือ การเห็นนั้นมีวัตถุประสงค์อะไร
    ตามด้วย สาเหตุที่เห็นได้เกิดจากอะไร
    ทำไม ณ ปัจจุบันถึงเห็นได้แบบนี้....
    เช่น เห็นเงา เห็นแบบนั้น แบบนี้ สีนั้น สีนี้ ฯลฯ
    เป้าหมาย เพื่อให้จิตมันย้อนค้นหาต้นตอแห่งสาเหตุ
    การเห็น จนจิตมันคลายความสงสัยได้เอง
    มันก็จะไม่ยึด ได้เอง ในเรื่องนามธรรมต่างๆ..

    ส่วนเรื่องเล่าต่างๆ ระหว่างทาง
    ส่วนตัวมองว่า เพื่อความบันเทิงเท่านั้น....
     
  11. rachotp

    rachotp เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2020
    โพสต์:
    1,216
    กระทู้เรื่องเด่น:
    252
    ค่าพลัง:
    +23,810
    ผมขออนุญาตบังอาจรบกวนแซวพี่นพเพื่อความบันเทิงเท่านั้นนิดนึงนะครับพี่ _/\_ รูปกับชื่อ User Profile ใหม่... เท่ห์มากครับพี่ [^_^]


    A.PNG

    บุรุษไร้เงา (AKA. Ghostman) ชื่อและฉายานี้พี่นพได้แต่ใดมาครับ? … ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าพี่นพให้เกียรติมาตอบโพสต์ของคุณ @supatorn (AKA. My Dear Sister) วันนี้ตอน 1:44 am. !!!


    B.PNG

    พี่นพนี่ช่างเป็น บุรุษไร้เงา ที่ไร้เงาจริงๆในยามพลบค่ำที่นอนดึกเป็นยิ่งนัก !!! ปานประหนึ่ง “Batman” ชัดๆก็ไม่ปาน (^_^) ตอน 1:44 am. นี่โปรดอย่าได้สงสัยนะครับว่า “Robin” (AKA. บุรุษผู้มีเงา) อย่างผมกำลังทำอะไรอยู่ !!! ดูแลสุขภาพนะครับพี่ (^__^) ด้วยความปรารถนาดีครับ _/|\_


    A.gif
    B.gif

    รีวิวหนังสือ บุรุษไร้เงา
    (Ghostman) เขียนโดย: รอเจอร์ ฮอบส์ แปลโดย: ปัทมา อินทรรักขา พิมพ์ครั้งแรก มีนาคม 2557 แพรวสำนักพิมพ์ ราคา 245 บาท

    16-2_0.jpg

    ในโลกแห่งอาชญากรรม การจารกรรมถือเป็นงานที่ต้องรวบรวมคนเพื่อนำมาใช้งานอย่างเหมาะสม การจะปฏิบัติงานในแต่ละครั้งให้สำเร็จอาจประกอบไปด้วยคนจากหลากหลายที่มา ทั้งนักวางแผน นักขับ นักปลอมแปลง และอื่น ๆ

    ส่วนผมน่ะหรือ? ผมคือนักล่องหน คุณคงสงสัยว่าแล้วผมมีหน้าที่อะไรในโลกแห่งอาชญากรล่ะ เอาแบบนี้ดีกว่า เปิดหนังสือหน้าแรกขึ้นมา แล้วผมจะค่อย ๆ เล่าให้คุณฟัง


    16-3.jpg

    ชื่อของผม คือ แจ๊ค เดลตัน (ไม่โกรธกันนะ ถ้าผมจะบอกว่านี่ไม่ใช่ชื่อจริง) และตอนนี้ผมจำเป็นต้องรับงานเก็บกวาดจากอดีตผู้จ้างวานคนหนึ่งซึ่งผมติดหนี้เขาอยู่ (ถ้าคุณสงสัย นี่ไม่เกี่ยวกับเรื่องเงิน แม้ในความเป็นจริงผมอาจเป็นต้นเหตุให้เขาสูญเงินก้อนใหญ่ก็ตาม) ข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับมา คือ ผมรู้แค่ว่าลูกน้องสองคนของเขาทำพลาดในการปล้นกาสิโน และหนึ่งในนั้นหนีไปได้พร้อมกับเงินก้อนโต ดังนั้น ผมมีหน้าที่ต้องไปตามหาเงินจำนวน 1.2 ล้านเหรียญกลับมาให้ได้ภายใน 48 ชั่วโมง ก่อนที่เงินพวกนั้นจะระเบิดจนเสียหายทั้งหมด

    16-5.jpg

    เพื่อให้พวกคุณรู้จักผมมากกว่านี้อีกสักนิด ผมจะเล่าความลับเล็ก ๆ ของตัวเองให้คุณฟัง ผมไม่กลัวคุณเอาไปบอกคนอื่นหรอก เพราะถึงยังไงกว่าจะถึงพรุ่งนี้ก็คงไม่มีใครจำผมได้แล้ว ผมเก่งเรื่องการปลอมตัว ทั้งที่อายุจริงของผมอาจอยู่ในช่วงสามสิบเศษ และหน้าตาดี (อันนี้ผมไม่ได้พูดเองนะ สาว ๆ ในเรื่องเขาบอกมา) แต่ผมสามารถปลอมเป็นนักบัญชีหรือคนขายประกันอายุราวห้าสิบปลายได้อย่างง่ายดาย โดยที่แม้แต่สายสืบฝีมือดีของ FBI ก็ยังจับไม่ได้

    แล้ว ผมจะทำภารกิจสำเร็จไหมน่ะเหรอ? คุณบอกผมสิ ก็คุณเป็นคนที่กำลังจะได้อ่านเรื่องราวทั้งหมดของผมหลังจากนี้นี่นา


    16-4.jpg

    บุรุษไร้เงา เป็นผลงานชิ้นแรกของนักเขียนท่านนี้ เมื่ออ่านจบนักอ่านทุกท่านน่าจะได้รับคำตอบตรงกันว่าเขาเป็นคนมีพรสวรรค์ แนวเรื่องของเขาแม้เกี่ยวกับโลกอาชญากรแต่ก็เป็นในอีกแขนงหนึ่ง ซึ่งตัวเอกไม่ใช่ทั้งคนของรัฐบาลหรือสายลับระดับมือพระกาฬ และเขาอาจเป็นคนธรรมดาที่เราสามารถพบเห็นได้ทั่วไป แต่ แจ๊ค เดลตัน ใช้ชีวิตอย่างไร้ตัวตนมาตลอด แม้แต่ในโลกของคนประเภทเดียวกับเขา และทำได้ดีเสียด้วย

    ผู้แต่งมีการทิ้งปมปริศนา และหลอกล่อนักอ่านให้หัวหมุนไปกับคำถามในทุกขณะที่อ่าน และตลอดทั้งเรื่องจนเกือบจะถึงบทสรุปสุดท้าย เราไม่สามารถแน่ใจได้เลยว่าใครเป็นผู้ล่า และใครกันแน่ที่เป็นเหยื่อ ถือได้ว่าเป็นนวนิยายแนวสืบสวนที่สนุกอีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

    Credit: ขอขอบคุณที่มาจาก รีวิวหนังสือ บุรุษไร้เงา

     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,044
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    พระเจอผี ผีเจอพระ

    prajerpee
    May 25, 2021
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    นิทานนะ เรื่องทายาทอสูร การสืบเชื้อ ปัจจุบันไม่ค่อยมีแล้ว เพราะสมัยนี้ลูกหลานมักให้ร่างทรงมาทำพิธีตัดขันธ์ให้ (ใช้เกจิ ผู้ทรงศีล พระสงฆ์ คนมีวิชากำลังจิตไม่ได้เพราะเค้าไม่ศรัทธา และอาจส่งผลให้คนที่จะตัดขันธ์เสียชีวิตได้อย่างคาดไม่ถึง)

    ส่วนกรณีที่ไม่มีใครสืบทอด เนื่องจากรุ่นนั้นไม่มีลูกหลานที่เหมาะสมจะรออีกประมาณ ๒ ถึง ๓ รุ่นเค้าจะกลับมาอีก และหากเลือกใครคนนั้นไม่รับ ก็จะป่วยไม่ทราบสาเหตุ แพทย์แผนปัจจุบันจะตรวจหาโรคไม่เจอ แต่ก็สามารถมาทำพิธิตัดขันธ์ได้อีกเช่นกัน

    ส่วนกรณีขันธ์ผียังมีอยู่ เกิดจากกรณีที่บุคคลที่มีสัมผัสบ้าง หรือนั่งสมาธิเห็นโน้นนี่นั่นบ้าง ได้น้อมรับ นามธรรมที่เห็นเข้ามาจนกลายเป็นตัวตน สุดท้ายกลายเป็นการสกดจิตตนเอง เป็นปฐมเหตุแห่งการเปิดรับขันธ์ และการอุปโลกน์ตนเป็นผู้วิเศษในลำดับถัดมา

    และต่อมาเมื่อทำการเปิดรับขันธ์ จะกลายเป็นการพร้อมเปิดใจที่จะรับนามธรรมอื่นๆเข้ามาและด้วยสัญญาที่มีใจจิต ถูกชักจูงสร้างกลจิต ให้เห็นในภาพที่ตนเคารพนับถือ พลังงานภายนอกที่จะเข้ามาแทรก จะใช้จุดอ่อนนี้มาเป็นอุบายในการส่งเสริม เพื่อสร้างมายาจิตขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง แสดงเป็นอุคนิมิต ขึ้นมาให้บุคคลนั้นเห็นนั่นเอง
    และด้วยการน้อมนำนามธรรมเข้า เนื่องด้วยนามเหล่านี้เป็นแรง เมื่อสะสมค้าง(เนื่องจากการน้อมเอง) จึงส่งผลต่อระบบธาตุที่เป็นนามธรรมปกติ เป็นสื่อนำแรงที่เป็นส่วนประกอบในการสร้างกายปกติเกิดการขาดสมดุลย์ ไม่ว่าน้อยหรือมากไป เป็นเหตุส่งผลให้เกิดผลกระทบทางกายต่างๆ
    ถามว่าทำไมตรวจไม่พบ เพราะเครื่องมือทางการแพทย์ จะตรวจพบได้เฉพาะ รูปธรรมที่สร้างขึ้นจากองค์ประกอบของสะสารหรือพลังงานหรือจิตได้ที่ละหนึ่งชุดการสร้างเป็นกายเท่านั้น
    ยกเว้นจะใช้เครื่องตรวจจับอนุภาค ซึ่งปัจจุบันมีขนาดเท่ากับ สระว่ายน้ำมาตราฐาน ถึงจะพบแรงหรือที่แตกต่างได้(เมืองนอกมี)


    บุรุษไร้เงาแค่เพียงแต่เล่านิทานให้ฟัง



    ปล. มายาจิตเป็นเพียงกลจิตประเภทหนึ่ง
    ระวังอย่าเผลอคิดว่าจิตเป็นเรา

    มันจะสร้างอัตตาตันให้เราทันที

    อย่าไปตามรูปธรรม และนามธรรมของใคร
    และสรรพสัตว์และแม้กระทั่งของตัวมันเอง

    ถอยออกจากการเพ่งรู้ เพ่งเห็นให้เป็น
    หัดไม่อะไรๆกับมันให้เป็นมันถึงจะไม่ค้องไม่คาไม่วกวน กับนามธรรมทั้งหลายได้ของมันเอง

    ถ้ามันจะรู้ปล่อยมันรู้ไป แต่อย่าไปยึด ถ้ามันไม่รู้ก็อย่าไปพยายามที่จะรู้มัน แค่รู้ให้เป็น
    แค่เห็นให้เป็น แค่ฟังให้เป็น อนาคตใจจะเริ่มคลายตัวได้ของมันเองทุกดวงจิตนั่นเอง และต่อไป การรู้มันจะอัตโนมัติได้ของมันเองและ
    รู้แล้วมันก็จะวางมันเองอัตโนมัติได้ของมันลำดับต่อมา


















     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,044
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    แปลกจังค่ะท่าน อ ทําไมอ่านแล้วขนลุกซู่ซ่า !
    ตัวที่เข้าสิงเรามานานก็คือกิเลสนั่นเอง
     
  15. rachotp

    rachotp เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2020
    โพสต์:
    1,216
    กระทู้เรื่องเด่น:
    252
    ค่าพลัง:
    +23,810
    สาธุครับพี่นพ _/|\_ ผมขอน้อมรับคำแนะนำของพี่นพเอาไปพิจารณา และ จะพยายามนำไปไปปฏิบัติครับ … ขอบคุณครับ _/\_ ผมขออนุโมทนาบุญในการโพสต์ข้อธรรมที่เป็น “สัมมาวาจา” และ สาระข้อคิดดีๆที่พี่นพได้โพสต์กล่าวไว้ดีแล้วในครั้งนี้ครับ (^ ^)

    … แต่ด้วยกำลังสติทางธรรม และ ระดับของปัญญาในทางโลกและทางธรรมของผมในขณะปัจจุบันนี้… ผมยอมรับว่าผมยังทำได้บ้าง ไม่ได้บ้างครับ… คือผม รู้” เท่าทันนะครับแต่บางครั้งผมก็ยัง “วาง” ไม่ได้เองโดยอัตโนมัติครับพี่… ผมเคยสงสัยว่าทำไมในบทสวดมนต์ โอวาทปาฏิโมกขคาถา ซึ่งเป็นบทสวดมนต์ที่สำคัญบทหนึ่งของพระพุทธองค์ มีอยู่ท่อนหนึ่งกล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของความอดทน ขันตี ปะระมัง ตะโป ตีติกขา แปลว่า “ขันติ คือความอดทนอดกลั้น เป็นธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างดียิ่ง” อย่างนักปฏิบัติธรรมอย่างเราๆโดยมากก็จะถูกเรียกว่า “โยคี” ซึ่งหมายถึง ผู้เพียรเพ่งเผากิเลสให้หมดไป สรุปคือ ความอดทนเป็นสิ่งสำคัญมากครับ _/|\_


    1.PNG

    ขันติ” หรือ ความอดทน” นั้นเป็นหนึ่งในบารมีสิบทัศ และ เป็นคุณธรรมสำคัญที่จะช่วยเอื้ออำนวยให้เกิดคุณธรรมอื่นๆ ซึ่งเกื้อกูลต่อความสำเร็จขั้นต่อๆไปในคุณธรรมและสภาวธรรมอื่นๆที่สูงขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นความพากเพียร ความเสียสละ ไปจนถึงการมีปัญญารู้แจ้งในอริยสัจธรรม… ความอดทน” ช่วยให้ภูมิต้านทานทางด้านจิตใจเราสูงขึ้น ทำให้เรา “อด คือไม่ทำในสิ่งที่เราชอบ” และ “ทน ต่อสิ่งที่เราชัง” ต่อการถูกดูถูก เหยียดหยาม ท้าทาย เยาะเย้ย ทับถม ถูกท้าให้ทดสอบ ที่จะระงับยับยั้งชั่งใจ... ความอดทน” ทำให้เราไม่ไหลไปตามอำนาจของกิเลส ไม่ไหลไปตามทางอกุศลต่างๆเหล่านั้น… โดยส่วนตัวแล้วผมรู้สึกไม่ค่อย “ถูกจริต” กับสิ่งเหล่านั้น ผมคิดว่าเราไม่ควรที่จะ อดทน หรือ วางเฉย อุเบกขา หรือ ปล่อยวางให้มันผ่านไปเฉยๆนะครับ (An eye for an eye, a tooth for a tooth) เพราะอาจจะส่งผลที่ไม่ดีต่อตัวเรา ผู้อื่น และสังคมโดยรวมได้ครับ… บางครั้งผมจึง Step In อย่างบริสุทธิ์ใจด้วยเจตนาที่ต้องการจะช่วยทำให้อะไรๆมันดีขึ้น… ผมจึง Step In เข้าไปในสถานการณ์นั้นๆครับ เช่นในสถานการณ์ ตัวอย่างอ้างอิงจากในโพสต์ #1822 #285 นี้เป็นต้นครับ


    อดทน ในนัยยะนี้คือ อดทนต่ออำนาจ กิเลส [ความโลภ โกรธ หลง] ที่มายั่วยวนให้ได้... อย่าว่าแต่ปุถุชนคนธรรมดาเลย… แม้แต่พระอริยบุคคลในระดับพระโสดาบัน และ พระสกทาคามี ก็ยังลุแก่อำนาจของ กิเลส เลยครับ ท่านก็ยังไม่สามารถจะละกามราคะ และ ปฏิฆะได้เลยครับ… คงมีแต่พระอริยบุคคลในระดับพระอนาคามี และ พระอรหันต์เท่านั้นที่สามารถจะละความติดใจในกามารมณ์ และ ความขัดเคืองในใจได้… กิเลส จึงเป็นเรื่องที่ต้องข่ม และ ในขณะที่ข่ม อดทน อยู่นั้น… ก็ควรกำหนดรู้ ไปด้วยพร้อมกันคือ พิจารณาโดยแยบคายและนำมาใส่ใจ พยายามการกำหนดรู้ให้เท่าทันความคิด อารมณ์ และ ความรู้สึกของตนตามความเป็นจริงในปัจจุบันขณะ แล้วมันก็จะวางได้โดยอัตโนมัติได้เอง… ใช่หรือไม่ครับพี่นพ?


    ผมขออนุญาตยกตัวอย่างเพิ่มเติมในห้อง อภิญญา – สมาธิ นิดนึงนะครับ… คือจะด้วย ทิฏฐิ มานะ โมหะ ความเมามัน หรือ จิตหรือสติที่วิปลาสอะไรก็ตามแต่ (หมายเหตุ: วิปลาสแปลว่าคลาดเคลื่อนไปจากธรรมดาสามัญ, ผิดปกติไปในทางเสื่อม ไม่ได้หมายถึง บ้า หรือ เสียสติ นะครับ)… ในห้อง อภิญญา – สมาธิ นี้นี่… ผมเจอสมาชิกบางท่านที่ชอบโพสต์แสดงความเห็นในเชิงที่ Offensive ที่ยั่วยุ กระทบกระเทียบ Bully และ เสียดสี สมาชิกท่านอื่นๆอยู่บ่อยมากครับ… ตรงนี้บางทีผมก็เคยโดนนะครับ ซึ่งโดยส่วนตัวผมว่าเราเห็นต่างกันได้ แต่ก็ไม่ควรที่จะให้ร้าย หรือ คอมเมนต์ไปในด้านลบครับ … ผมยอมรับได้ครับ … แต่ที่ผมเคยเจอหนักๆจริงๆนะ และ ทุกวันนี้ผมก็ยังคงเห็นอยู่บ่อยๆคือการชอบโพสต์แสดงความเห็นในเชิงที่ไม่ค่อยเหมาะสม พาดพิงจาบจ้วง ปรามาส ครูบาอาจารย์ และ พระสงฆ์สุปฏิปันโนที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนะครับ… ที่ผมเห็นนะครับ คือการโพสต์พาดพิงจาบจ้วงพระเดชพระคุณท่านหลวงพ่อฤาษีลิงดํา, หลวงปู่ดู่, หลวงตาม้า, หลวงพ่อเทียน, พระอาจารย์ชานนท์ ชยนนฺโท และ พระอาจารย์มหาวรพรต กิตติวโรครับ!!! และก็ยังมีครูบาอาจารย์ และ พระสงฆ์สุปฏิปันโนที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอีกหลายๆท่านที่ถูกโพสต์แสดงความเห็นไปในเชิงที่ไม่ค่อยเหมาะสม โพสต์พาดพิงจาบจ้วง และ ปรามาสครับ


    ผมก็อดคิดไม่ได้นะครับว่าต้องเป็นคนประเภทไหนกันหนอที่ทำอะไรได้อย่างนั้น? ผมก็พยายาม อดทน และ ปล่อยวาง ครับ… ผมคิดว่าหากว่าเราได้พยายามทำเต็มที่แล้ว… หลังจากนั้น ก็คงต้องปล่อยวาง ให้มันเป็นไปตามกฎแห่งกรรมครับ เราไม่อาจจะฝืนได้ ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามกฏแห่งกรรม สรรพสิ่งนั้นเป็นเพียงสิ่งสมมุติเท่านั้นไม่มีอะไรจริงแท้แน่นอนในโลกนี้ หากเราทำเต็มที่แล้ว สุดท้ายก็คงต้องปล่อยวางคนและสรรพสัตว์ทั้งหมดในโลกนี้ สุดท้ายก็คงต้องตายเหมือนกันหมด ทั้งคนดี คนชั่ว คนเลว คนโกง และ คนพาล… ตายเมื่อไหร่ คนชั่วก็จะต้องรับผลกรรมนั้นเอง ในที่สุด… คงไม่มีใครหนีกรรมได้พ้นครับ


    ประมาณนี้ครับ… ขอบคุณสำหรับพื้นที่ตรงนี้ครับ _/|\_
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    ถือว่าเล่าให้ฟังเนาะ.....
    สำนวนไทย ''เส้นผมบังภูเขา'' พอเข้าใจไหม.....
    กำลังสติเรามี ในการรู้เท่าทันความคิด
    กำลังสมาธิเรามี ในการควบคุมระงับยับยั้งชั่งใจไม่ให้เกิดความคิด
    จึงเป็นเหตุให้เราไม่ไปปรุงแต่งต่อ หรือ เข้าไปร่วมได้
    ปัญญาเรามีไม่ว่าทางโลกทางธรรม เป็นเหตุให้เรารู้เหตุว่า
    หากเข้าไปร่วม หรือ เห็นสิ่งต่างๆนั้น ว่าสงผลเสียอย่างไร.....
    เมื่อกำลังสติที่เป็นนามธรรมเราก็มี
    เมื่อสภาวะทางสมาธิที่เป็นนามธรรมเราก็มี
    เมื่อปัญญาทางโลกทางธรรมเราก็มี เหตุใดเราจึงรู้ บางครั้งเหมือนเข้าใจ
    แต่กลับพบว่า ในเวลาต่อมา ใจกลับไม่วางแบบธรรมชาติของมันเอง .......
    จนบางครั้งทำให้ตัวเราเองสับสน ว่าการสร้างบุญ สร้างบารมีเราก็มี
    กุศลเราก็สร้าง อกุศลเราก็ละ ทำไมใจไม่วางซักที...

    เหตุเพราะเราขาดเพียงการเพิ่มการสังเกตุ?

    ฝากพิจารณาเป็นข้อดังต่อไปนี้ ไปลองฝึกเพิ่มการสังเกตุเอาเองนะ....

    ๑.เมื่อสติเรารู้เท่าทันนั้น เช่น เราไปอ่าน เราได้ยิน เราได้ฟัง
    เราได้มาสังเกตุไหม ว่าใจเรามันก็ยังเกิดอยู่หรือเปล่า
    ถ้านึกไม่ออก ให้สังเกตุตรงลิ้นปี่ว่า มันขุ่นๆไหม หรือ ให้ลองเอามือจับดู
    บริเวณลิ้นปี่ มันรู้สึกเหมือนมีอะไรๆ ขยับข้างในไหม สังเกตุดูนะ
    ๒.และเมื่อสติเรารู้ทันแล้ว เรามีผลของสมาธิในการระงับยับยังช่างใจ
    ไม่ให้ไปปรุงร่วมได้ และเมื่อมาถึงจุดนี้ เราก็เลยไปพิจารณา ไปเข้าใจในแบบ
    อาจจะเข้าใจว่า เป็นการตามรู้ ตามดู เพราะมันมีเหตุมีผล จากปัญญาที่เรามี
    ได้ผ่าน ได้ยิน ได้ฟังได้อ่านมา
    จนสุดท้ายเราก็ไม่ปรุงร่วมได้
    และทำให้เรารู้ ว่าอะไร ใครเป็นอย่างไร.....
    ทั้ง ๒ ข้อที่กล่าวมา ไม่มีอะไรเสียหาย แต่มันจะเป็นการ
    ไปรู้ ไปเห็น และเข้าใจด้วยปัญญาที่เกิดจากสัญญาความจำได้
    ซึ่งเหมาะสำหรับการใช้เป็นแนวทางสำหรับการเดินปัญญาได้แต่ว่า
    มันจะเพียงแค่ระงับ ยับยั้ง ทำให้ใจนิ่งๆ ณ ช่วงเวลานั้นๆ

    ถ้าจะไปต่อ ถึงในระดับที่จิตจะวางได้ ในอนาคต
    ซึ่งจะส่งผลให้ใจเราคลาย หรือ รู้สึกเบาขึ้นได้เอง
    ตามธรรมชาตินั้น
    ให้มาเพิ่มการสังเกตุ อีกนิดหนึง
    คือ เมื่อ สติรู้เท่าทันแล้ว ให้สังเกตุว่า ขณะที่มันรู้ จิตเรามันเกิดหรือไม่
    ถ้าจิตมันเกิดแม้แต่นิดเดียว ให้หาวิธีการดับซะ
    ไม่ว่า จะกำหนดดับ จะระลึกรู้ลมหายใจเข้าออกหยุดที่ปลายจมูก
    หรือจะเคลื่อนไหวร่างกายส่วนใดก็ตามเช่น นับนิ้ว นับก้าวเดิน
    หรือจะหายใจเข้าออกให้ยาวที่สุดซักครั้งสองครั้ง หรือจะใช้สมาธิด้วยการกำหนด
    ผลักออกจากกลาลิ่นปี่(คือในขณะที่หายใจออก ให้นึกว่า บริเวณลิ้นปี่เข้ามาในกาย
    เป็นศูนย์กลาง แล้วผลักลมออกแบบไม่ต้องสนใจทิศทาง ๓ ถึง ๔ครั้ง
    เลือกวิธีเอาตามความเหมาะสม

    ไม่ต้องไปเสียดาย ในสิ่งที่จะรู้ หรือจะเข้าใจอะไร จำไว้ให้ดับก่อน จนใจเรานิ่ง
    เหตุเพราะแม้มีกำลังสติในการรู้เท่าทัน แต่ตัวจิตมันยังเกิดร่วมกับความคิดอยู่
    มันจึงเหมือนกับตัวจิตเป็นตัวทำงานร่วมกับสติ ในการไปรู้ไปเข้าใจในสิ่งต่างๆ
    มันเลยตัด วงจรที่ตัวสติจะคอย กำกับ ควบคุมจิต ให้เค้ารับรู้อย่างเดียว
    ซึ่ง การกำกับ ควมคุมจิต ให้ว่างรับรู้นั้น เป็นทางวิปัสสนา ที่จะทำให้เกิดปัญญาทางธรรม
    ซึ่งเป็นตัวส่งผลให้จิตวาง และคลายตัวเองได้แบบธรรมชาติในอนาคต

    ๓.เมื่อดับในข้อที่ผ่านมาได้ ควบคุมจิตไม่ให้เกิดได้
    เมื่อสติรู้เท่าทัน จนมั่นใจว่าจิตนิ่ง สงบไม่เกิดได้แล้ว...
    ก็ควรทำให้เป็นนิสัย จนเกิดความเคยชิน เมื่อทำจนชำนาญ
    สังเกตุนะว่า ในขั้นนี้ เราจะไม่พิจารณา หรือ ต้องไปตามรู้ ตามดูอะไร
    และให้พึ่งระลึกว่า ความคิดในข้อที่ ๒ เราจะดับไม่สนใจเลย เมื่อทำแล้ว ต่อมาเราจะพบว่า
    ๔.เราจะเริ่มสังเกตุเห็น สิ่งที่เราเรียกว่า อาการของขันธ์ ๕ หรือ ความคิดที่ผุดขึ้นมา
    โดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งมักจะเป็นเรื่องราวในอดีต สายพลังงานเรียกกระแสแหย่ สายญานวิถีเรียกกระแสจร สุดแล้วแต่จะเรียก เราจะเริ่มเห็นได้ ก็จากกำลังสติอีกนั่นเอง แรกๆ มักทำให้เรานึกคิดปรุงตาม ไปกับเรื่องราวที่ผุดขึ้นมานั้นๆ ก็ใช้หลักการเดียวกันกับที่ผ่านมา
    คือ ดับมันซะ ดับบ่อยๆ ดับจนเป็นนิสัย มันก็จะทำให้สติเราเร็วขึ้น รู้เท่าทันได้เร็วขึ้น
    แรกๆเราอาจจะไปคิดปรุงร่วมเป็นนาที ต่อมามันจะสั้นลงๆ มาเรื่อยๆ อาจจะภายในเสียววิ
    นาทีเราก็รู้ทันแล้ว ว่าอาการขันธ์มันผุดมาแล้ว
    ๖.เมื่ออาการขันธ์ ๕ มาเราก็ดับๆๆๆ อย่างเดียวในช่วงนี้ ดับไปบ่อยๆ เด่วเราจะเริ่มสังเกตุ
    ได้ทันเองว่า มันขึ้นมาเวลาไหน
    ๗.เมื่อสังเกตุท่านเรื่อยๆ เราจะเริ่มเห็นตอนที่มันกำลังจะเข้ามารวมกับตัวจิตได้เอง ถึงตรงนี้
    อาการของจิต มันก็จะคล้ายๆ ข้อที่ ๓ ที่ผ่านมา คือ แม้อาการขันธ์ ๕ ขึ้นมา
    แต่เราจะรู้ว่า ใจเรานิ่งได้หรือยัง

    ๘.เมื่อใจเรานิ่งแล้ว ต่อไปนี้ เราจะสามารถพร่ำสอนจิตเราเองได้แล้ว
    โดยที่ไม่ต้องกลัวว่า จะเป็นวิปัสนึก
    ๙.ในอาการของขันธ์ ๕ มันจะมีเรื่องราวของมันในตัวอยู่เอง กำลังสติเรา
    จะคอยพร่ำสอน เช่น เรื่องนี้ไม่ใช่ทาง ไม่ใช่แนว เรื่องนี้กุศล หรืออกุศล ไม่ควรนะ ฯลฯ
    ในขั้นนี้ ช่วงแรกๆ พอผ่านไปซักพัก อาการขันธ์ ๕ มันจะชอบย้อนมารวมกับตัวจิต
    ดังนั้น เมื่อเราพร่ำสอน ต้องสังเกตุให้ทันว่า เราไปร่วมปรุงด้วยกับอาการขันธ์ห้าไหม
    พูดง่ายๆ จิตเริ่มกลับมาเกิด(ใหัสังเกตุบริเวนลิ้นปี่) ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ให้ดับอีก

    สรุป ที่ผ่านมา รู้ทัน ควบคุมได้ รู้เห็นได้ เข้าใจได้ นิ่งได้ สงบได้ ณ เวลานั้น
    ณ ปัจจุบัน ให้เพิ่มการสังเกตุขึ้นมาอีก หลักการคล้ายๆกัน
    คือ ความคิดให้ดับ ไม่ต้องไปสนใจ ไปใช้งานมัน
    หากจะใช้คำว่าตามดู ตามทำความเข้าใจ
    ให้ใช้ในกรณี ที่เป็นอาการของขันธ์ ๕ เท่านั้นไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามที่ขึ้นมา
    และที่สำคัญใจจะต้องนิ่งก่อน ถ้าเริ่มใจไม่นิ่งก็ดับอีก

    สังเกตุเพิ่มบ่อยๆ และทำบ่อยๆคือ การพร่ำสอน
    (เหมือนพูดกับตัวเราเอง) ย้ำว่า จิตจะต้องไม่เกิดเลยแม้แต่นิดเดียว
    นั่นหละ ต่อมาปัญญาทางธรรมมันถึงจะเกิดขึ้นมาได้
    มันจะเป็นตัวที่ช่วยให้เราวางเรื่อง นั้นๆได้ อย่างรวดเร๊ว
    โดยไม่มีผลอะไร ไม่ปรุงต่ออะไร และเมื่อ
    ตัวสติที่คอยพร่ำสอน ตัวจิตที่อยู่นิ่งๆไม่เกิดได้ในเรื่องนั้นๆ
    จนกระทั้งตัวจิตมันเข้าใจได้เอง ตัวจิตมันจะคลายตัวได้ของมันเอง
    ณ ช่วงเวลานั้น เราจะพบการเปลี่ยนแปลง จากคำว่า นิ่ง คำว่าสงบ
    เป็นการคล้ายตัวของจิต(กิริยาคล้ายๆ เวลาเราทำบุญ แล้วรู้สึกเบาๆสบายๆ
    บริเวณลิ้นปี่)เพียงแต่มันจะเกิด ณ เวลาที่คลายเรื่องนั้นๆได้แล้ว

    และก็ใช้หลักการนี้ กับอาการของขันธ์ ๕ ในทุกๆเรื่อง
    ไม่ว่า เรื่อง ที่เกี่ยวกับ รัก โลภ โกรธ หลง



    ผ่านขั้นตอนที่กล่าวมาแล้วข้างต้นได้ เรื่องใดเรื่องหนึ่ง
    เช่น อาการขันธ์ ๕ เรื่อง นาย A ต่อมาเมื่อเวลาผ่านไป
    ซักระยะหนึ่ง จะพบว่า เรื่อง นาย A ยังกลับมาได้อยู่
    ถ้าเราไปอยู่ในเหตุ ที่เคยได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน เรื่องราวนาย A มา
    และการกลับมา ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อใจเราเลย จะบอกว่ามันเป็นปกตินะ
    เพียงแต่เราอาจจะสงสัยว่า มันเคยวางไปแล้วในอดีตเรื่องนาย A
    แต่ทำไมยังขึ้นมาได้อีกแม้ไม่มีผลอะไร จะบอกว่า มันคือ กิริยาปกติของ
    ลักษณะปัญญาทางธรรม


    ถ้าเราจะไปต่ออีก เพื่ออนาคต ให้เรื่องนาย A หายไปจากจิต
    หรือพ้นจากจิตไปเลยแบบถาวร
    เราต้องมาเพิ่มการพิจารณา ก่อนนอน และก่อนลืมตาตื่นว่า
    วันนี้ เราทำอะไรมาบ้าง พบกับใคร คุยเรื่องอะไร
    ใส่เสื้อสีอะไร วันนี้พลาดเรื่องอะไร ฯลฯ
    เพื่อเพิ่มในส่วนของกำลังสติให้ต่อเนื่อง
    ตรงนี้เรียกว่า ส่วนเสริมสติสัมโภษชงค์

    ถ้าทำได้จนเป็นนิสัย ในอนาคต จะพบว่า
    เมื่อเรื่องนาย A ขึ้นมาอีก แบบไม่มีผลอะไร
    มันจะมีตัวหนึ่ง ที่ทำหน้าที่ย้อนไปจนรู้ต้นตอ
    แห่งการเกิดขึ้นมาของเรื่อง นาย A ได้อัตโนมัติต
    ของมันเอง จนจิตมันหายสงสัย
    เรื่องนาย A ก็จะไม่ขึ้นมาอีกเลย
    แม้พยายามจะคิด มันก็จะคิดไม่ออก
    ตรงนี้ คือ การคลายตัวของจิตได้เองตามธรรมชาติ
    ในเรื่องนั้นๆ ที่ยกตัวอย่างเป็นเรื่อง นาย A

    เรื่อง โลภ โกรธ หลง หลักการเหมือนกัน

    เมื่อผ่าน ตรงจุดนี้ ผ่านหลักการณ์ที่กล่าวมาก่อนหน้านั้น
    ความเข้าใจทางธรรม เราจะลึกขึ้น เข้าใจได้มากขึ้น
    มันจะออกมาในลักษณะองค์ความรู้ที่นำไปสู่การปล่อยวาง
    ได้ตามธรรมชาติของมันเอง ซึ่งส่งผล
    ให้ระยะเวลาในการคลายตัวเองตามธรรมชาติ
    ของจิตเราเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากหลักวินาที
    เป็น วินาทีเหมือนเดิม แต่บ่อยขึ้น ถี่ขึ้น
    จนเป็นหลายวินาที

    ยิ่งหลายวินาที ความเข้าใจทางธรรม
    ที่เป็นสภาวะธรรม เป็นนามธรรม เราจะละเอียดขึ้นได้เอง

    ไม่ว่าเรื่องอะไร จิตก็จะเหมือนย้อนรู้ถึงต้นตอการเกิดได้ของมันเอง
    เรื่องอื่นๆ ทางนามธรรม มันก็จะรับรู้สัมผัสได้ดีขึ้นตามลำดับของมันเอง
    นอกจาก ความเข้าใจที่มันย้อนลึกได้ถึงต้นตอการเกิดเรื่องนั้นๆ


    ลำดับขั้นตอนมีประมาณที่เล่าให้ฟัง

    ที่เหลือ ก็คือ การละคลายในเรื่องอื่นๆ
    ไม่ว่า โกรธ โลภ หลง ตามลำดับ
    ตามเชื้อที่ยังเหลืออยู่

    ต่อไป เราแทบจะต้องไม่ไปถามใคร
    เพราะมันแทบจะไม่สงสัย ในธรรม
    ในเรื่องใดๆ เพราะผลที่จิตเรามันมีกำลังเพียงพอ
    ในการย้อนไปถึงต้นตอได้นั่นเอง
    มันจะมีตัวอะไรๆ ไปรู้ได้ของมันเอง
    รู้และเข้าใจและวางได้เองนั่นหละ

    รู้จนไม่อยากรู้
    ไม่รู้ก็รู้ได้
    รู้จนกลายเป็นว่า
    สิ่งที่รู้ทำให้เกิดเวทนาโน้นแระ

    ปล. จิตเป็นธาตุรู้ เราปล่อยให้เค้ารับรู้ แต่ไม่ให้เค้าเกิด
    จะพิจารณาอะไร ก็ปล่อยให้จิตว่างรับรู้ภายในอยู่อย่างนั่น
    ไม่ว่า กาย เวทนา จิต ธรรม
    มันจะกลายเป็น สติปัฏฐาน ๔ ได้ของมันเองในอนาคต
    ต่อไปไม่ว่า ธรรมมันก็จะวางเอง ไม่ว่าตัวจิตมันเอง
    มันก็จะวางตัวมันได้เอง นั่นแระ

    สติกับปัญญา ต่อไปเค้าจะกลายเป็นตัวเดียวกัน
    จะมาทำหน้าที่แทนความคิดได้เอง
    เราจะเอาตัวนี้นี่แระ ไปใช้ในชีวิตประจำวันต่อไป


    ยาวหน่อย รวมๆ ไม่มีอะไรหรอก
    เล่าสู่กันฟัง

    บุรษไร้เงา
     
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    นิทานนะ มีอยู่สองสามที่นะ ที่ไปนอนแล้ว ไม่มี ไม่พบ ภพภูมิ หรือ ไม่ประสบว่าท่านแวะมาหานะ
    มีล่าสุด มีแอบมาคุยกัน ห่างเตียงไปประมาณ ๑ เมตร พอส่วนตัวได้ยิน รีบเงียบทันที
    สงสัยเกรงใจเห็นว่า ข้าพเจ้ากำลังหลับอยู่ ๕๕
    ที่เจอมาพร้อมหน้าพร้อมตาเยอะหน่อย แถว ยุดยา แต่โดยรวมน่ารักกันทุกท่าน
    โดยเฉพาะภพภูมิสาวๆ ส่วน ชาย ไม่ค่อยสนใจข้าพเจ้าเท่าไหร่
    ที่เท่ห์หน่อย ดูมีบารมี จะเป็นท่าน ตามโรงแรมใหญ่ๆ
    ผีฝรั่งก็เจอนะที่โรงแรม แต่อย่างว่าหละนะ ขาดเรื่องมารยาทนิด ๕๕
    พวกภพภูมิสาว ที่อยู่มานาน พวกชุดขาว ผิวสีเขียวอ่อน ผมหยังศก จะดูหยิ่งเล็กน้อย
    ยืนอยู่ข้างเตียงแท้ๆ ไม่มียิ้มซักเลย งงใจจริงๆ
    พวกแต่งคล้ายชุดไทย ส่วนมากอายุเฉียดๆ สองร้อยปี พวกนี้น่ารัก ยิ้มง่าย
    สังเกตุง่ายๆ ผมเส้นเล๊ก หน้ารูปไข่

    ส่วนภพภูมิบรรบุรุษแต่ละที่ มาให้เห็นตั้งแต่ก่อนจะไปค้าง๒ ถึง ๓ วัน
    ที่ส่วนตัวรู้สึกเกรงๆ แปลกๆนิดๆ ออกแนวแรง จะเป็นภพภูมิแขก
    ที่ใจดีๆ มีฤิทธิหน่อย จะอยู่ตามวัดดังๆ
    ตามภูเขาก็เจอนะ บางที่ยืนใส่สูตรเท่ห์ อยู่ริมทางด้วยนะ เพื่อออออ ?
    (คือถ้าเรามองกระจก เราจะเห็นในมุมเดียวกับที่เราขับรถผ่าน พอนึกออกนะ)
    ที่ประทับใจคือ ท่านที่อยู่ศาลมีชื่อบนเขานั้น ท่านนั่งในรถมาเป็นเพื่อนก่อนลงเขา
    แต่ที่ทำให้รู้สึกตกใจเล็กน้อย คือพวกที่ตายโหง แล้วชอบปรากฏตัวในต่ำแหน่งที่ตาย
    พวกนี้ไม่มาทำอะไรหรอก อยู่ท่านั้นแระเข้าใจว่า ที่เกิดอุบัตเหตุ คงตกใจหักหลบไปเอง
    นั่นแระ จริงๆขับผ่านไปก็ไม่มีอะไรหรอก
    ที่สวยแบบนางแบบนะ ไม่ใช่พวกนางฟ้านะ แต่จะเป็นพวกชุดขาว
    ที่หน้าคมๆ รูปร่างเพียวบาง ผิวขาวมาก พวกนี้ตาสีเขียวหรือฟ้านี่หละ จำไม่ค่อยได้
    เอาแค่นี้ก่อน ขี้เกียจนึก ๕๕พอขำๆ

    ลองๆถามมาดูก็ได้นะ เพื่อว่าจะพอเล่าได้
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,044
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    เค้าคงดีใจที่ไม่ได้ถาม"งวดนี้ออกอะไร?"ค่ะ:D
     
  19. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047

    แห๋มๆคงเป็นนักปฏิบัติสายคณิตศาสตร์นะ
    ที่ฝันแล้วจะนึกถามเรื่องตัวเลขในฝัน ๕๕๕

    สมมุตินะ ว่ามีภพภูมิมาบอกเรื่องตัวเลขนะ
    ส่วนมากจะบอกได้สองตัว
    ถ้าบอกสามตัวจะต้องตัดทิ้งหนึ่งตัว

    และไม่บอกว่าบนหรือล่าง
    เราจะได้ยินเสียงเยื้องๆ
    ทางหูด้านขวาค่อนข้างชัด
    ถ้าได้ยินทางหูด้านซ้ายคือ
    ถูกผีหลอก 55

    ปล.และมีอีกแปดกรณี
    ในการเห็นตัวเลขในลักษณะ คล้ายฝันและกึ่งหลับกึ่งตื่น แต่ขี้เกียจเขียน
    อย่างว่าเนาะเรื่องแบบนี้
    แล้วแต่ดวงของแต่ละบุคคล
    บางคนชอบ บางคนเฉยๆ

    ที่ชัวสุด คือ ตัวเลขสีใสที่ลอยมาแบบเยื้องๆ โค้งๆจากมุมบนด้านขวาของศรีษะทีละตัว สมมติว่า
    ลอยมา 1,2,3 อาจจะออก 231 เป็นต้น
    จบนิทานทางคณิตศาสตร์
























     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,044
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    อย่างที่ อ นพ ว่าแหละค่ะ ทางซ้ายสูงกว่าหูนิดนึงแต่ในนิมิต เรียงมา๓ตัวเลย ๒-๓ครั้ง แต่บอกอย่ามาอีกเลย กลัวหลงทางค่ะ ตั้งแต่นั้นก็ไม่มีอีกเลย คิดว่าเขามาลองใจเราค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...