สารพันปัญหา ตอบโดยคุณ nopphakan

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย รูปติดบัตร, 26 พฤศจิกายน 2016.

  1. Pinku_Whale

    Pinku_Whale สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2020
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +7
    ท่านคะ รบกวนตอบคำถามดิฉันด้วยค่ะ
    1.ชาติที่แล้วเกิดเป็นอะไร?
    2.ชาตินี้ มีปัญหาเรื่องความรัก มีสามีอยู่แล้วแต่รักอีกคนนึง (แฟนเก่า)
    3.เคยทิ้งแฟนเก่าไป เพราะเขาไม่มีอนาคต แต่ก็รู้สึกเสียใจในทุกวันนี้ และยังคิดถึงอยู่ แต่ตอนนี้เขามีคนอื่นไปแล้ว
    4.ควรทำอย่างไรดีคะ เพื่อชดใช้กรรมในชาตินี้
    5.ทุกวันนี้กลับมาอยู่กับสามี แต่ก็ไม่เหมือนเดิมค่ะ ทั้งความรู้สึกเขาและดิฉัน

    ขอบพระคุณท่านมากค่ะ ที่ให้ความช่วยเหลือ
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,047
    ล่าสุดเป็นเทพมีฤทธิ์ทางมหายานด้วย ย้อนไป ชาติที่ ๕ เราเป็น ช (แฟนเก่าคนที่เราทิ้งไปเมื่อก่อนเป็นบ่่าว ญ คอยรับใช้เรามาก่อน) ชาติที่ส่งผลเรื่องวิบากอีกคือย้อนไป ๗ ชาติจร้า คือ มีบรรดาศักดิ์เท่ากันมาก่อน(คนปัจจุบัน)


    วิธีแก้ ไม่ต้องไปสนใจอดีต เวลานึกพวกนี้
    ให้กำหนดคำว่าอโหสิ ออกจากกลางลิ้นปี่
    และอุทิศบุญที่เคยทำซ้ำลงไปในต่ำแหน่งลิ้นปี่เหมือนกัน และให้กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลลงดินบ่อยๆจนกายเบาตัวเบาถึงพอ

    และให้ฝึกเจริญสติในชีวิตประจำวันให้ต่อเนื่อง

    คำว่าวิบาก คือ กะแสจร
    กะแสเป็นพลังงาน ตราบใด
    อยู่ในจักรวาลนี้คำว่าหมดไม่มี
    มีแต่คลี่คลาย จนไม่เป็นกะแสจรกลับมาเข้ามาอีก

    ทำบ่อยๆเด่วจะดีขึ้นเอง
    ให้เวลาตรงนี้ด้วย


    ปล ปกติไม่ตอบแนวๆนี้นะครับ
    อาจจะไม่รู้มาก่อนไม่เป็นไร
    จะตอบที่เกี่ยว
    กับการปฎิบัติ ย้อนอดีตย้อนได้
    สำคัญรู้แล้ว จะทำให้เราไม่ยึดติดสมมติได้ไหม
    สำคัญกว่า (โดยมากมักไม่ใช่
    ไม่เว้นพวกปฎิบัติ)

    ย้อนอดีตนะ ถึงย้อนเล่นยันยุคไดโนเสาร์
    ก็ไม่มีประโยชน์อะไร อีกอย่างมันพิสูจน์
    เป็นรูปธรรมยาก เอาปัจจุบันเท่านั้นพอนะ
    เครเนาะ ^_^
     
  3. Pinku_Whale

    Pinku_Whale สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2020
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +7
     
  4. Pinku_Whale

    Pinku_Whale สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2020
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +7
    การที่เคยเกิดเป็นชายแล้วมาเกิดเป็นหญิง เพราะทำกรรมไม่ดีไว้รึเปล่าคะ? เลยต้องกลับมาเป็นผญ?
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,047
    ก็บอกไว้อยู่ว่า เอาปัจจุบันเท่านั้นพอ
    และไม่เกี่ยวหรอกครับ.... เรื่อง พวกนี้เป็นญานวิถีการรู้แบบนี้
    มีความละเอียดซับซ้อนอะไรแฝงไว้อยู่

    ตัวจิตนะถ้าไม่ฝึกเจริญสติ โดยธรรมชาติ
    มันจะคิดไปทางอกุศล หรือ ทางโลกเรียก คิดเชิงลบ นั่นเอง
    แล้วมันก็จะวนเวียนไปมา ในทางที่ทำให้เราเกิดทุกข์
    ทางโลกจึงรู้จักคำว่า สมุทัย และ ทุกข์
    เพราะมันเป็นความคิด เป็นความเกิด ในทางที่อกุศลหรือไม่ดี

    หรือไม่ตัวจิตก็ชอบส่งออกหรือท่องเที่ยว
    ดังนั้นอย่าไปให้ความ
    สนใจเรื่องที่เคยได้รู้ ได้ยินมา หรือการรู้ต่างๆมาก
    เพราะมันจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อเรารู้จักเอามาอบรมใจเท่านั้น


    ปกติเวลารู้อะไรขึ้นมา มันก็จะว่าไปตามอำเภอใจและขาดการพิจารณา
    มันก็ว่ากันไปตามภูมิปัญญาของตนเอง
    แบบนี้ ทางปฏิบัติ เรียกว่า สมุทัย
    แต่หากพิจารณาใคร่ครวญสิ่งที่รู้ก่อนกระทำออกไป ทางกาย วาจา ใจ
    ทางพระท่านเรียกว่า หนทางแห่งมรรค

    จริงๆมันเป็นความเกิด แต่เป็นในทางที่เป็นกุศล
    ก่อนที่จะคิด ให้เป็นไปในทางที่เป็น กุศลได้
    จึงต้องมีเครื่องมือตัวหนึ่ง ขึ้นมาที่ได้มาจาก
    การเจริญสติในชีวิตประจำวัน
    ที่เราเรียกว่า สติทางธรรม เพื่อใช้ควบคุมความคิด
    และพฤติกรรมของจิตก่อนในเบื้องต้น


    ดังนั้นอะไรที่แนะนำไป ก็ควรพิจารณาว่า จะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติ
    ไม่ใช่ อยากไปรู้ในเรื่อง เหนือวิสัย ที่ไม่ได้จาก
    การปฏิบัติเข้าถึงด้วยตนเอง.....

    เพราะแม้ว่า รู้ได้เอง จากการปฏิบัติ หากไม่พิจารณาก็
    เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ได้
    และยิ่งไปพยายามรู้ จากการคิดวิเคราะห์เอาเอง
    จะทำให้สัญญา สติ ทิฐิ เราผิดเพี้ยน คือ เห็นต่างจากความเป็นจริง
    พูดง่ายๆสัญญาวิปลาส
    แล้วมันก็วนไปวนมา ในทางอกุศล ที่ทำให้
    เราเองนั่นหละเป็นทุกข์


    วิธีแก้ ก็ได้แนะนำไปแล้ว....
    หลักการก็บอกไปแล้ว....

    อย่านอกเรื่อง นอกประเด็น ในสิ่งที่ไม่มีประโยชน์กับตนเอง
    มันเสียเวลาเฉยๆ และไม่มีประโยชน์อะไร

    เข้าใจเนาะ
     
  6. Pinku_Whale

    Pinku_Whale สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2020
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +7
    เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
    เนื่องจากดิฉันเป็นคนค่อนข้างยึดติดกับอดีต (ซึ่งทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว) เวลาเหม่อก็จะคิดถึงอดีตตลอด แต่สุดท้ายคิดไปก็เป็นทุกข์เปล่าๆ ตอนนี้ก็พยายามฝึกเจริญสติในชีวิตประจำวันอยู่ค่ะ และกำลังฝึกนั่งสมาธิให้ได้นานๆค่ะ
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,047
    ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ให้เวลาตรงนี้กับการฝึกหน่อย
    ทำให้ได้ต่อเนื่องจริงๆ
    แรกๆ ความคิดในอดีตมันก็จะขึ้นมาถี่หน่อยเรื่องปกติ
    เพราะเราเผลอไปสร้างกำลังให้มันมานาน
    (สร้างกำลังให้มันคือ การไปคิด ไปปรุงนั่นหละ)
    ประมาณ ๑ เดือนขึ้นไปเด่วจะเริ่มเห็นผลด้วยตัวเอง
    เครเนาะ
     
  8. White Fox

    White Fox เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    783
    ค่าพลัง:
    +12,473
    ยินดีที่ได้รู้จักกันผ่านตัวหนังสือ
    และขอบคุณในความรู้ที่พี่ทิ้งไว้ให้โลกนี้
    สำหรับให้คนหลงมาเจออย่างนู่ได้นำมาศึกษา
    ..
    นู๋คงมีบุญเก่ามาเยอะ จึงได้มาเจอผู้รู้โดยบังเอิญ
    (ที่ไม่บังเอิญ) อย่างนี้
    ..
    เมื่อวันส.ที่แล้ว ได้ทำสมาธิ
    แล้วก็นึกภาพตัวเองไปนั่งอยู่ในกุฎิหลวงปู่ดู่(วัดสะแก)
    เห็นตัวเอง(ที่ไปนั่ง)ห่มผ้ากรัก(โกนหัวเหม่งๆ)

    แล้วก็ตัวค่อยๆหายไป จากหัวลงไปจนถึงขา(ที่นั่งอยู่)
    เหลือเพียงผ้ากองหนึ่ง กองอยู่(ผ้ากรักที่ห่ม)

    แล้วเมื่อพิจารณาสักพักกายก็กลับมา

    เช่นนี้ควรพิจารณาสิ่งใดต่อไหมคะ
    --------
    (ตอนเด็กๆเคยฝันเห็นหลวงปู่ทวดค่ะ)

    ขอบคุณค่ะ
    --------
    (เมื่อชั่วโมงก่อนได้ PMไป และเพิ่งอ่านจนมาถึงหน้านี้ จึงก้อป PM มาขอคำชี้แนะในกระทู้นี้ค่ะ)
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,047

    ดีจร้า....

    ส่วนนี้เรื่องทั่วๆไปนะเล่าให้ฟังเฉยๆ...พอให้แง่คิด
    การได้เห็นครูบาร์อาจารย์ในอดีตที่เคยมีสัมพันธ์กับตนเองมาก่อน
    ไม่ว่าทางหนึ่งทางใดนั้น สามารถเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะมาแบบในฝัน
    ในสมาธิหรือกึ่งหลับกึ่งตื่นหรือแม้กระทั่งตาเปล่าๆ
    และไม่ว่าเราจะปฏิบัติหรือยังไม่ปฏิบัติก็ตาม
    ถามว่าดีไหม ก็ดีนะ เพียงแต่เราก็ให้ความเคารพนับถือทุกๆท่าน
    เท่าเทียมกับหมด ไม่ได้ยึดท่านใดท่านหนึ่งเลย
    เพราะการปฏิบัติบูชาที่ดีที่สุดแท้แล้วก็คือการปล่อยวาง และ
    เพราะว่า เราไม่ได้มีครูบาร์อาจารย์เพียงท่านเดียว
    โดยมากการปรากฏก็จะมาตามสภาวะการปฏิบัติของเรา
    สภาพของจิตใจเรา ณ ช่วงเวลานั้นๆ


    ส่วนนี้ควรฟังหูไว้หู
    สถานที่โปรดปราณที่เป็นที่นิยม เลยนะ สำหรับคนที่มาทาง
    สายบารมีหรือสายบุญฤิทธิ์(ที่สร้างบารมีจากการอุทิศส่วนกุศล
    ให้ภาคส่วนภพภูมิทุกภาคส่วนและการสร้างอานิสงค์ต่างๆที่มีประโยชน์ทั้ง
    ทางโลกทางธรรมโดยไม่หวังผลตอบแทนอะไร) และเกี่ยวข้องกับเรื่องพลังงานนั้น
    หนึ่งในที่โปรดปราณก็คือ ภายในกุฏิหลวงปู่ท่านนั้นหละ
    เพราะท่านได้ทิ้งสภาวะนิโรธสมาบัติเอาไว้ ฟังดูอาจจะ
    สูงไปนิดหากไปเจอนักปฏิบัติที่ยังยึดภาษาสมุมติอยู่
    เราเลยมีคำเรียกสภาวะนี้ ว่า สภาวะดับ......
    ดับในที่นี้มันคือ มันคือ สภาวะที่ในระดับพลังงานนั้น
    มีกำลังเพียงพอ ที่จะไม่เอื้อต่อสภาวะการการก่อตัวของจิต
    หรือ สภาวะการเกิดต่างๆที่มาจากการมารวมกับตัวจิตแล้วเกิดขึ้นมา
    ประโยชน์ข้อดีคืออะไร ข้อดีคือ เป็นสภาวะที่ช่วยฟอก ฟอกคือ
    ทำให้มันน้อยลงไปเรื่อยๆ ไม่ว่า จะตัวโทสะ โมหะ และ โลภะ
    ที่มีอยู่เดิมในจิตเรา....... ทำไมต้องฟอก
    ก็เพราะว่า พวกนี้ มันมีอยู่แล้วในจิตเราเอง ตั้งแต่ก่อนที่เราจะมาเกิด
    ดังนั้น การเกิด จึงถือว่าเป็นกิเลสละเอียดอย่างหนึ่ง
    และอีกสถานที่หนึ่ง ก็คือ ใต้ต้นไม้ ต้นหนึ่ง
    ที่ เชื่อว่า อดีตพระพุทธเจ้า องค์ปัจจุบัน ท่านประทับอยู่นั่นเอง
    ถ้าประเภทนึกไม่ออกว่า จะไปนั่งสมาธิที่ไหน
    มีสองที่ๆกล่าวมานี่หละ ที่เป็นสถานที่นิยม.......


    ส่วนนี้เรื่องการปฏิบัติว่าจะไปต่อยังไง
    ถ้าอ่านข้างบน พอเข้าใจ เราจะไม่แปลกใจว่า
    ทำไมเราถึงเห็นว่า ร่างกายเรามันค่อยๆหายไป
    จนเหลือแต่ผ้า ลองค่อยๆนึกนะ นึกคำว่า สภาวะดับ
    กับคำว่า การเกิดคือกิเลสละเอียดอย่างหนึ่งไว้ แล้วจะเข้าใจ..
    ...

    ก็จะเริ่มเข้าใจว่า ทำไปพอไปที่กุฏิท่าน เราถึงเห็นแบบนั้น
    และจะเข้าใจว่า จะไปต่ออย่างไร...

    ถ้ายังไม่เกทเท่าไหร่
    มีหลักสังเกตุว่า ทำไมภาพถึงปรากฏหลังจากที่เราพิจารณา ?


    ทั้งๆที่ สภาวะนั้น หรือ ลักษณะที่เราเห็นนั้น
    มันควรเป็นสภาวะที่ทำให้จิตถึงในลักษณะของความไม่เที่ยง
    คือมันไม่ควรมีภาพอีกแล้ว...

    ความไม่เที่ยงไม่ใช่แค่หายไป เพราะคำว่าหายไป
    บอกได้แค่ สภาพจิตตอนนั้นที่ไม่ยึดกาย คือไม่ได้ห่วงสวยอะไร
    หรือถ้าเป็น ช ก็คือพวกไม่ได้บ้ากาม หรือ ต้องไปทำอะไร
    เพื่อให้สาวๆมาสนใจนั่นหละ...เปรียบให้ดูเฉยๆ

    (คือ ไม่ชื่นชมและยินดีในกามรมย์ และกามคุณ)
    แต่ถือว่า มาถึงในระดับทีเข้าเริ่มเข้าถึงกิเลสละเอียดได้แล้ว
    แต่มันยังมีอยู่


    ต่อไปถ้าถึงสภาวะนั้น ให้อยู่เฉยๆนิ่งๆไปก่อน ให้รักษาสภาวะ
    ต่อไป อย่าไปเผลอพิจารณาอะไร ปล่อยให้สภาวะมันไปต่อ
    ของมันเองตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะไปแบบไหนก็ตาม
    คือ มันจะไปต่อได้ อีก ๒ แบบ
    แต่เป็นสภาวะที่ไม่ควรบอกไว้ก่อนล่วงหน้า

    แต่บอกได้อย่างหนึ่งว่า มันจะไปได้ของมันเอง
    โดยที่เราจะควบคุมอะไรไม่ได้เลย
    เรียกได้ว่า ดูอย่างเดียว....ประมาณนี้


    ซึ่งเวลาลืมตาขึ้นมา ไม่ว่า จะไปสภาวะใดใน ๒ แบบที่บอก
    จะส่งผลต่อตัวจิต ในเวลาใช้ชีวิตปกติประจำวันแน่นนอน
    เราจะสังเกตุเห็นได้เองนั่นแระ

    เครเนาะ
     
  10. White Fox

    White Fox เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    783
    ค่าพลัง:
    +12,473
    ขอบคุณในความเมตตาตอบมาค่ะพี่

    เราไม่ได้มีครูท่านเดียว เนื่องจากเราเกิดมาหลายภพชาติ
    แม้แต่ชาตินี้ เรายังมีครูมาหลายท่านกว่าจะถึงวันนี้
    เห็นด้วย และเห็นจริงตามที่พี่กล่าว
    ซึ่งหากนู๋มีโอกาส ได้รู้จักท่าน ได้ทราบว่าท่านเป็นใครบ้างก็คงจะดีไม่น้อย



    เรื่องสถานที่ อันเอื้ออำนวจต่อสภาวะของการฟอกจิตนั้น
    2 ที่ ตามที่พี่กล่าวมา
    นู๋เคยไปนั่งสมาธิมาแล้วทั้งสองที่

    ทั้งกุฏิ ลป.ดู่ และ ที่ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ อินเดีย
    โดยเฉพาะที่อินเดียนั้น ให้พลังงานทำให้จิตนิ่งสงบ
    ได้ดีอย่างนั้นจริง

    ซึ่งตอนนั้นที่ไป
    คือ ไปกับหมู่คณะ ทั้งสงฆ์และฆราวาส
    ไปสวดธรรมจักร 108 จบ
    12522924_1325116567514051_4223188348510325635_n.jpg
    ซึ่งเมื่อสวดจบแล้ว ก็เกิดปิติท่วมท้น
    (อันที่จริงปิติก็เกิดตลอด ในระหว่างสวด)
    แต่มันทำให้รู้สึกว่า
    อยากจะทำอะไรสักอย่าง
    ถวายอะไรสักอย่าง เป็นพุทธบูชา
    บูชาคุณพระพุทธเจ้า
    จึงได้เอ่ยปาก ขอกับพระสงฆ์
    ว่า ขอโกนหัว บวชจิตบวชใจ
    โกนผมถวายเป็นพุทธบูชา ในสถานที่แห่งนี้

    12508832_907174899379359_1407934586951232203_n.jpg



    ในสภาวะที่หายไปเพราะจิตไม่ยึดกาย
    นอกจากไม่ยึดตัวเองแล้วก็ไม่ได้สนใจผู้อื่นด้วย
    มีลุงท่านหนึ่งได้ถามว่า ในสภาวะนั้น เห็นคนอื่นด้วยไหม
    ก็ตอบเขาว่า ไม่เห็นใครนอกจากตัวเอง อาจจะเพราะไม่ได้สนใจมองด้วยค่ะ

    หากปฏิบัติแล้วมีสิ่งใด
    เพิ่มเติมจะนำมาปรึกษาค่ะ
    ขอสาธุคุณ
     
  11. White Fox

    White Fox เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    783
    ค่าพลัง:
    +12,473
    พี่นพคะ ขออนุญาติเรียกตามหลายท่านในกระทู้นี้

    นู๋มีเรื่องติดขัด คับข้องใจ ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นและอยู่ในใจมากว่า 5 เดือน
    ซึ่งเป็นประเด็นค่อนข้างล่อแหลม จึงเล่ารายละเอียดเนื้อหาไปในทางข้อความส่วนตัว

    หากพี่มีเวลา กรุณาอธิบายให้ฟังทีค่ะ
    จะมาอธิบายในสาธารณะนี้ก็ได้
    ขอบคุณค่ะ
     
  12. Gobshite

    Gobshite เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +118
    สวัสดีครับพี่นพ ผมหายไปหลายปีเลย
    ตอนนี้มีเรื่องทุกข์ใจครับ อยากก้าวผ่านมันให้ได้เลยอยากจะกลับมาปฏิบัติ คิดว่าตอนนี้พอมีความเข้าใจอะไรขึ้นจากเดิมพอสมควรแต่อยากได้หลักที่ชัดเจน

    1 อยากสอบถามวิธีการปฏิบัติครับ (ในแนวเชิงที่ว่าพิเศษหน่อยๆ ที่ตัวผมชอบแล้วพี่น่าจะถนัดให้ความรู้ผมได้) อยากสัมผัสกับภพภูมิ อะไรแบบนี้ ที่เป็นของเก่าครับ จะได้มีอะไรมาเป็นที่พึ่งเพื่อที่ก้าวผ่านเหตุการณ์สะเทือนใจในปัจจุบันได้ + รู้สึกว่าผมต้องใช้มันในอนาคตครับ
    2 ผมรู้สึกว่าผมมีความผูกพันกับถ้ำกับป่าเหลือเกินอันนี้คิดไปเองหรือเปล่าครับ
    3 อยากทราบว่าผมเคยเป็นอะไรกับลป ดู่ / ทวด ครับ ไม่เคยเจอไม่เคยฟัง แต่ทำไมรู้สึกผูกพันเหลือเกินครับ
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,047
    เกือบทุกคนนะ ที่มีเจตนาที่ดี ในการนำความสามารถพิเศษเพื่อไปใช้งาน
    ที่มีประโยชน์ในอนาคต โดยที่ไม่หวังผลตอบแทน และใช้ในทางสาธารณะ

    เพียงแต่ว่า ก่อนที่เราจะไปถึงตรงจุดนั้น สิ่งที่เราต้องเตรียมพร้อมให้ดีก็คือ
    เรื่อง ของกำลังสติทางธรรมที่ได้จากการเจริญสติในชีวิตประจำวัน
    จนสามารถเดินปัญญามาได้ในระดับหนึ่ง เพื่อป้องกันการไปยึด ไปหลงนามธรรมต่างๆ

    ตลอดจนกำลังสมาธิพื้นฐาน รวมทั้งกำลังจิต และที่สำคัญก็คือ
    เกราะป้องกันตนเอง และการรู้จักเคลียร์กายเคลียร์จิตตนเองเสมอๆ



    สติทางธรรมได้ จากการเจริญสติในชีวิตประจำวันให้ต่อเนื่องจริงๆ
    จนจิตแยกรูปแยกนามได้ แล้วเดินปัญญาไประยะหนึ่ง

    กำลังสมาธิที่จะสร้างกำลังให้เกิดกับตัวจิตได้จากอะไร
    ตอบว่า ได้จากกรรมฐานอะไรก็ได้ ที่ขึ้นด้วยภาพ
    จนเราสามารถไปเล่นกับภาพนั้นได้ ในระดับปฏิภาคนิมิต
    จนในเวลาลืมตาปกติ จิตเกิดมีกำลังจิตขึ้นมา

    เกราะป้องกันได้จากไหน ได้จากการสร้างบารมีส่วนตัว
    เรียกง่ายๆว่า พันธมิตรทางภพภูมิ ที่จะคอยดูแล คอยป้องกันให้เรา
    ได้มาจาก การรู้จัก อุทิศส่วนกุศลให้ภาคส่วนภพภูมิ จนเค้ายอมรับเราเป็นมิตร

    การเคลียร์ร่างกายตัวเอง ได้มาจาก การรู้จักเคลียร์กระแสตกค้างต่างๆ
    ที่มาเกาะกับตนเอง เวลาเราเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่อง บุคคล ต่างๆ
    ต้องรู้จักผลัก ออกจากกลางลิ้นปี่ รู้จักอุทิศบุญซ้ำลงไป
    รู้จัก การกรวดน้ำ ยืนบนหญู้า เหยียบดิน การสวดมนต์
    จนกว่ากายเราจะรู้สึกเบา


    ส่วนการรู้สึกสัมพันธ์กับท่าน เพราะถ้าเรามาทางพลังงาน ทางสร้างบารมี
    ย่อมมีท่านสนับสนุนเป็นเบื้องหลังอยู่แล้วปกติ......



    เราจะช่วยใครได้ ไม่ว่าเรื่องอะไร ตัวเราต้องมีก่อน
    และมีในระดับที่จะป้องกัน การย้อนมาทำร้ายตัวเราเองได้อย่างไม่ตั้งใจ


    ปล. การที่เรามีเรือลำใหญ่ และกำลังขับเคลื่อน เพื่อข้ามไปอีกฝั่งอยู่
    เวลาเราเจอคนกำลังจะจมน้ำระหว่างทาง เราก็สามารถรับคนขึ้นมาบนเรือเราได้
    แต่เราไม่สามารถประกันได้ว่า คนเหลานั้นจะแอบโยนเราทิ้งแม่น้ำเวลาไหน
    และไม่อาจประกัน ความสามารถของเรือ ในการรับจำนวนคนขึ้นมาบนเรือได้
    โดยที่เรือยังแล่นได้ปกติ ตรงนี้เป็นที่มาที่เราต้องมีคนช่วยดูแล ป้องกันตัวเรา
    และรู้จักอุเบกขาที่จะเลือกรับคนขึ้นมาบนเรือ ......

    ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การมีทรัพย์จนสามารถซื้อและมีเรือลำใหญ่อย่างเดียว ยังไม่เพียงพอ
    เข้าใจเนาะ....
     
  14. Panan51

    Panan51 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +1
    คุณนพอยากจิถามควรปฏิบัติแนวไหน มีของเก่าอะไรที่น่าเอามาปฏิบัติแล้วจะก้าวหน้ารวดเร็ว ทำไงสมาธิ สติ ปัญญาถึงจะพัฒนามากกว่านี้ค่ะ ปกติพยายามดูจิต แต่ที่ตัวจิตชอบหนักๆเหมือนมีอะไรเกาะ แผ่เมตตาถึงจะเย็นเบาลงพักนึง ออนไลน์มือถือหรืออยู่ในที่มีคนทีไรหนักที่ใจตลอด ปวดหัวแน่นจมูกเกือบทั้งวัน ปิดมือถือเบาลงเยอะ แต่ไม่สามารถปิดได้นาน ถ้าเรอหรือผายลมจะดีขึ้น ระหว่างวันการดูจิตดูได้บ้างไม่ได้บ้าง เวลามีอะไรเกาะจิตดูไม่ค่อยรู้เรื่อง หรืออะไรไม่แน่ใจ แต่ช่วงหัวไม่สามารถคลายตัวเบาได้ง่ายๆ ไม่เคยฝึกจักระแต่คิดว่าของเก่าคงเคยฝึกจักระมามักรู้สึกเห็นจักระหมุนบนหัวตามเข็มบ้างทวนเข็มบ้าง แต่ไม่ได้สนใจเพราะไม่มีคนสอน เลยดูจิตเป็นหลัก

    งานที่ทำต้องใช้สมองตลอด อยู่กับคนเจ็บป่วย ช่วงเดือนนี้เพิ่งเริ่มพยายามสวดอิติปิโส 108ให้ได้ทุกวัน เพราะก่อนช่วงโควิดอยู่ประเทศทางคริสต์แล้วมีคนทักว่าพาเพื่อนกลับมาไทยด้วยเพียบเลย เลยตั้งใจจะสวด108ให้เป็นนิสัยทุกวันหลังเลิกงาน อีกทั้งก่อนหน้านี้2-3ปีตอนกำลังปล่อยวัว แล้วจิตเบาๆใสๆเลยมันเด้งขึ้นบอกว่าจะไม่กินวัวตลอดชีวิต!!! ทันทีก็ใช้สมองพูดบอกตัวเองเผื่อมันจะทับๆลบที่ขึ้นมาตะกี้ได้ ว่าไม่ได้หรอกเดี่ยวต้องเลือกกินลำบากนะ มาคิดว่าสัจจะมันตั้งใจออกจากจิตไปแล้ว เรามาคิดไปแย้งมันก็คงไม่ช่วยอะไร แล้วตอนอยู่ต่างประเทศก็กินเข้าไปด้วยความสนุกสนาน!!! 1หรือ2ครั้ง เลยตั้งใจทำใหม่ เลิกกินเนื้อวัวอีกครั้ง รวมถึงสวดมนต์ด้วยแต่สวดมนต์คือตั้งใจทำไม่ได้ตั้งสัจจะอะไร การทำผิดสัจจะที่จิตบอกไว้แบบนี้ทำให้มีข้อเสียยังไงบ้างค่ะในทางภพภูมิ แล้วต้องแก้ไขอะไรไหม

    ช่วงนี้บางคืนเห็นภาพหน้าคนน่ากลัวหน่อยเกาะหน้าต่างห้อง ลุกไปเปิดพาหุงนอน แผ่เมตตา เอารูปพระมาตั้งถึงหายไป บางวันถ้าไม่ติดเข็มกลัดท้าวเวสสุวรรณ จะฝันเปะปะมาก เมื่อวานฝันเห็นในทะเล คนจมน้ำตาย2คนหน้าชัดมาก แต่ไม่รู้จักสักคน กำลังมีคนดึงลากเข้าฝั่ง ตอนอยู่ต่างประเทศก็ฝันเห็นน้ำท่วมมีศพจมน้ำหน้าชัดแต่ไม่รู้จักลอยผ่านไป ตัวเราก็แช่อยู่ในน้ำด้วยแต่ปกติดี เห็นปุ้บก็ตื่นทุกครั้ง แล้วแผ่เมตตา เขามาขอส่วนบุญหรือเป็นลางบอกเหตุค่ะแบบนี้ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะคุณนพ
     
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,047
    กิริยาแบบนี้ดีแล้ว เป็นสัญญา แสดงถึงการตัดสินใน
    การแก้ปัญหา เป็นไปในทางที่ดีขึ้น..
    เช่น เมื่อก่อน มีปัญหา A คิดแบบนี้ พอปัจุบัน ปัญหา A คิดอีก
    แบบไปในทางที่พัฒนาตนเองขึ้นมาทาง ความคิด พอมองเห็นภาพนะ

    มันจะมีดังกว่านั้นอีกนะเสียง บางทีเหมือนฟ้าฝ่า เหมือนระเบิดเลยก็มี
    ไม่มีอะไรส่งผล ต่อกาย หรือ อื่นๆ
    ดีแล้วที่รับรู้ได้

    ปล.ที่เหมือนกัน คือ ทุกครั้งที่สัมผัสเสียงได้เราจะลืมตา
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,047
    การตั้งใจปฏิบัติธรรมไม่ใช่ว่า ไม่ดีนะ แต่ว่ามันจะเป็นการปิดกั้นใจเราเองได้อย่างไม่รุ้ตัว
    จะทำให้เกิดอาการรู้สึกแน่นๆนั่นหละ.... ส่วนการแผ่เมตตา เป็นการสร้างกระแสเย็น
    เวลาเราแน่นๆ บริเวณลิ้นปี่ หรือ หน้าอก จะช่วยผ่อนคลายได้อยู่แล้ว

    การดูจิต หรือแม้กระทั่งดูกาย มันเป็นภาษาที่ใช้เรียก ในด้านวิธีการปฏิบัติ
    แต่ไม่ใช่ เราจะไปตีความหมายของมันตรงๆแล้วมาเป็นคำกิริยานะ
    ดูจิต ดูกาย เป็นคำนาม พอเข้าใจเนาะ

    แต่การดูจิต เหมาะดีสำหรับคนเมือง แต่ถ้าจะไปได้เร็ว ต้องดูกายไปด้วย........

    0=จิต ๑= ความคิด ๒=ความคิดผุดหรือขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม

    การดูจิต ก็คือ การที่เรามาสร้างเครื่องมือตัวหนึ่งขึ้นมา เรียกว่า สติทางธรรม
    ที่ได้จากการเจริญสติในชีวิตประจำวันให้มีขึ้นมา เพื่อที่จะนำมาใช้
    ๑.ควบคุมความคิดไม่ให้เกิด ควบคุม ๒.ความคิดทีผุดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือเรียกว่า ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม(หรือ กระแสแหย่ หรือ วิบากกรรม หรือกระแสจร)ซึ่งมักจะเป็นเรื่องราวในอดีตตรงนี้เอาไว้ก่อน ส่วนตัวความคิดเราจะดับเลย
    ความคิด ตย.ให้พอมองเห็นภาพ เช่น
    มองนาย A แม้ว่านาย A ผิวขาว แต่มันสามารถคิดว่า นาย A ผิวดำได้
    แต่ถ้าเป็นความคิดขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม จะเป็นเรื่องราวในอดีต
    ที่อยู่ดีๆ มันจะทำให้เราระลึกขึ้นมาได้เอง นึกขึ้นเอง คิดขึ้นเอง
    ความคิดทั้งสองแบบนี้ เราต้องควบคุมไว้ โดยเฉพาะ ความคิด ๑.ต้องดับเลย
    ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้คิด........

    เรามาสร้างสติทางธรรมตรงนี้ ดูจิตในที่นี้ ในเบื้องต้น คือ การระลึกรู้ลมหายใจเข้า
    ออกหยุดที่ปลายจมูก และหายใจเข้าจนท้องพอง หายใจออกท้องยุบ แต่ห้ามตามลมหายใจ
    เพราะจิตจะเกิด จิตเกิดเพราะมันไปตามดูลมหายใจ (จิตเกิด เป็นนาม กิริยามันคือ
    ตัวจิตส่งตัววิญญานการรับรู้ออกจากตัวมันไปสนใจลมหายใจ) ควรทำในเวลาที่เราอยู่นิ่งๆ

    และ ก็มาสร้างสติทางธรรมต่อ ถ้ามีการเคลื่อนไหว เช่น เดินไปห้องน้ำกี่ก้าว ไปทานข้าวกี่ก้าว
    ไปโน้นนี่นั้นกี่ก้าว นับในใจ ซึ่งเรามักจะขาดตรงนี้.......


    ทำจนกระทั้ง เกิดตัวสติทางธรรมขึ้นมา จนตัวสติทางธรรมตัวนี้
    เข้าไปสังเกตุ ได้ทัน ตอนที่ ตัว ๒ จะมารวมกับ ตัว 0 หรือ ทันตอนที่
    ตัว ๑ กำลังจะขึ้นมาจาก 0 ใจถึงจะคลาย ตัวจิตบางที่ บางท่านเรียกใจ
    จะพลิกทันที หงายออกจากขันธ์ ๕ ทันที หรือ บางที่เรียก พลิกขันที่หงาย
    บางที เรียกแยกรูปแยกนาม(ไม่ใช่แยกร่างนะ)

    กายเราก็จะเบา ใจเราก็เบา เราก็จะเริ่มเข้าใจนามธรรมต่างๆได้
    ด้วยตัวเอง และก็จะเริ่มเข้าใจภาษาโลก ภาษาธรรม
    เข้าใจ หมายถึง ไม่ใช่ อ่านภาษาโลกเป็นนาม แล้วคิดว่า เป็นกิริยาด้วย
    เหมือนเมื่อก่อน แต่จะเข้าใจกิริยาจริงๆ ที่เรียกว่า สภาวะธรรม


    พอตรงนี้ เราก็จะเริ่มเดินปัญญาได้ ทริคมีอยู่ว่า

    จะพิจารณาอะไร ก็ปล่อยให้จิตว่างรับรู้อยู่อย่างนั้น
    ตรงนี้เค้าถึงเรียกว่า ดูจิตทางกิริยา

    คือจะไปดูมันได้ ทางกิริยา หลังจากแยกรูปแยกนามได้แล้ว
    เราถึงจะสังเกตุ อาการ จิตว่างชั่วคราว หรือจิตเป็นกลางออก
    (ก็คือ 0 ไม่มี ๑ และ ๒ มาปรุงร่วม)
    ตัวสติ ก็จะทำหน้าที่ควบคุม 0 ให้รับรู้อยู่อย่างนั้น
    ผ่านตรงนี้ ถึงจะเกิดเป็นปัญญาทางธรรมขึ้นมาได้

    เอาสเตปขั้นที่ผ่านมานี้ ให้เกท ให้รู้เรื่องก่อน
    เราจะไปได้เร็วของเราเอง

    ปล. ส่วนความฝัน อย่าไปสนใจว่าจะฝันอะไร
    ความเข้าใจความฝันนั้น ขึ้นอยู่กำลังสติทางธรรมของเราเอง

    ความฝัน ไม่ใช่หาคำตอบว่า ในฝัน เป็นอะไร ที่ไหนอย่างไร
    ทำไมฝัน เรื่องราวเป็นอย่างไร
    หรือเพราะอะไรถึงฝัน จะทำให้เราปรุงไปเรื่อย

    ความฝัน เป้าหลักคือ วัตถุประสงค์ จำไว้
    เราคิดอะไรไม่ออก หลังจากลืมตาให้ลืมความฝันไปเลย
    แล้วให้ ทำบุญอุทิศส่วนกุศล ให้บุคคลที่เราเจอในฝันไปก่อน
    ไม่ว่าอะไร ทำๆของเราไปเรื่อยๆ อนาคต เราจะย้อนรู้วัตถุประสงค์ได้เอง
    ทุกเรื่องที่เราเคยฝัน...


    และอย่าไปสวดมนต์ไล่ อย่าไปพึ่งเทพสิ่งศักดสิทธิ์ เผื่อให้ไม่ฝัน
    เพราะการฝันแล้วเราทำบุญ มันเป็นการสร้างบารมีทางนามธรรมเฉพาะบุคคล ซึ่งมีส่วนสำคัญมาก ที่จะหนุนความก้าวหน้าในการปฏิบัติ
    ของเราให้ไปได้เร็วขึ้น........
    เหตุที่บุคคล ฝึกกรรมฐาน ฝึกปฏิบัติ มาสิบยี่สิบปี แล้วไม่ก้าวหน้า
    เพราะเหตุแบบนี้แระ ทำให้ไม่ได้รับความเมตตาจากสิ่งที่มองไม่เห็น
    พอเกทเนาะ

    พอเข้าใจเนาะ
    ปล. อาหารการกิน อย่าไปตึงมาก เน้นตามสภาพแวดล้อม
    เน้นเพื่อสุขภาพ ออกกำลังกายบ้าง หัดเป็นคนยิ้มง่าย
    ฝึกความเป็นมิต กับคนและสัตว์ไว้ แต่อย่าให้มากไปจน
    คนมองว่าเราไม่ปกติ ...... อยู่ร่วมกับชาวโลกได้อย่าง
    แยบยล คือ การฟ้องการปฏิบัติที่ก้าวหน้าของเราเอง
     
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,047
    วันที่ ๑๕ ถึง ๑๖ เดือน ตุลาคม จะไป วัดป่าฉัพพรรณรังษีนะครับ
    จะไปงานกฐิณ จะไปก่อน กะว่าไปช่วยงาน ไปเล่นๆเน้นฮาๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2020
  18. Panan51

    Panan51 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +1
    ขอบคุณค่ะ คุณนพช่วยแนะนำ ครูบาอาจารย์แถวกรุงเทพ สมุทรสาคร นครปฐม ให้หน่อยค่ะ

    เรื่องความฝัน คิดว่าพอจะเข้าใจมากขึ้นค่ะ มันมาแบบละเอียดขึ้น 555 เมื่อเช้าวันที่2กย เห็นน้ำท่วมอีกครั้งแต่รู้สถานที่ เป็นในชุมชน แม้แต่ตึกในเมือง ปริมณฑลก็มีน้ำมาฉับพลันสูง4เมตร ให้ระวังคนที่อาศัยชั้นล่างของตึก

    ลองไม่เปิดบทสวดมนต์ป้องกันตัวกลางคืนได้2-3วัน แผ่เมตตาอย่างเดียว แต่เมื่อวานซืนไปงานเทกระจาดมา ขับรถกลับบ้านขับมาได้แค่ 30นาที ทนๆเอาเหมือนมีอะไรไต่ขาเกาะๆ สองขาเลย ทนได้30นาที ต้องเปิดพาหุง สวดไปด้วยขับต่อไป1ชมครึ่ง จนถึงบ้านเลย ไม่ไหวเพราะว่าไม่รู้ ไม่รู้ว่าคืออะไร จะมีอันตรายไหม แล้วควรทำยังไง ไม่มีใครให้ถามเรื่องพวกนี้ จัดพาหุงไปชั่วคราว ทั้งที่เพิ่งไปเทกระจาด แผ่เมตตา ทำบุญมาเอง กลับมาอยู่บ้านปวดเข่าปวดขาก๊อกแก๊กๆ ไม่สบายไปวันนึง ขายังก๊อกแก๊กอยู่เลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กันยายน 2020
  19. Panan51

    Panan51 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +1
    อนุโมทนาบุญค่ะ อ.นพ
    เคยมีโอกาสไปกราบพระอาจารย์ที่วัด ครั้งนึง 4-5ปีก่อน ออกจากบ้านไปค้างแถววัด. ตื่นไปรอหน้าประตูวัดตั้งแต่ตี2-3 พาเพื่อนๆไป ได้ยกมือถามพระอาจารย์ด้วยไหนๆก็มาถึงวัด คนเยอะมาก เห็นมีคนมาทำพิธีไล่ผีกลางแจ้ง เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่เคยเห็นพิธีแบบนี้ น่ากลัวสุด
     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,047
    รู้จักคำว่า เส้นผมบังภูเขา หรือ น้ำท่วมตาตุ่มไหม....๕๕

    ต่อไปนะ ถ้าเกิดกิริยาแบบนี้อีก หลังจากไปทำบุญมา
    เปรียบร่างกายเป็นท่อปะปานะ ตรงต่ำแหน่งกลางลิ้นปี่เรานะ
    ให้กำหนดอุทิศส่วนกุศลออกจากต่ำแหน่งที่ว่านี้แระ
    ย้ำว่า อุทิศส่วนกุศลนะไม่ใช่แผ่เมตตา (เวลานึกอุทิศส่วนกุศล
    ต้องขึ้น ด้วยอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยก่อนทุกครั้ง แล้วค่อยรวมกับบุญที่เราทำมา
    อย่าไป อเมริกันลูกทุ่ง บอกว่า ขออุทิศบุญที่ข้าพเจ้าทำมา ยกให้โน้นนี่นั้น
    เพราะกำลังเราจะไม่พอ )
    ให้กำหนดแผ่ออกไปจากต่ำแหน่งนี้โดยไม่ต้องสนใจทิศทาง
    ให้ทำบ่อยๆ ถ้ายังรู้สึกยุบๆยิบๆบริเวณหน่อง
    ซึ่งปกติมันจะมาพร้อมกับการยุบยิบบริเวณต้นแขนอยู่
    ก็ให้มาทำซ้ำอีกทีพร้อมกับการกรวดน้ำลงดิน
    ให้ทำจนรู้สึกว่า ร่างกายและบริเวณลิ้นปี่เบา เป็นอันเสร็จพิธี


    สวดมนต์ ใช้คาถา ให้เลิกซะ จะเป็นการตัดบารมีทางภพภูมิตนเอง
    อย่างไม่รู้ตัว


    เวลาเราไปทำบุญ แล้วอุทิศให้ภพภูมิที่มี บารมี มีกำลังอยู่แล้ว
    ท่านๆไม่ได้ต้องการบุญอะไรจากเราหรอก แต่จะมองว่าเรามีเมตตา
    เหมือนเด็กคนหนึ่งเอาขนมไปให้ผู้ใหญ่ พอนึกออกเนาะ

    แต่สำหรับกลุ่มที่กำลังบุญน้อย บารมีน้อย ตรงนี้สำคัญเพราะว่า
    ถ้าเราอุทิศแบบปกติ เค้าจะไม่สามารถรับได้ เนื่องจากกำลังเค้าไม่พอที่จะรับ
    และเครื่องส่งเราก็กำลังยังไม่มากพอ จึงจำเป็นต้องมีการใช้อุปกรณ์เสริม
    ร่วมกับทริคในการส่ง นั่นก็คือ ใช้น้ำเป็นตัวเชื่อม เพราะน้ำเป็นตัวน้ำกำลังบุญ
    ได้ดี พูดง่ายๆเป็นตัวนำกระแสพลังงานบุญได้ รวมทั้งทริคในการผลักออกจาก
    กลางลิ้นปี่ที่แนะนำไป เพื่อสร้างอุบาย ให้ตัวจิตมีความสามารถในการส่งกำลังออกไป.....

    คับบริเวณหน่อง บริเวณต้นแขน ศรีษะร้อนลุ่มๆ ศรีษะหนักๆ ตัวร้อนผิดปกติ
    หลังจากไปทำบุญมา หรือ วันพระ วันโกน ให้ใช้วิธีตามที่แนะนำ
    ทำจนตัวเบากายเบา แรกๆจะเปลื้องน้ำหลายลิตรหน่อยเรื่องปกติ

    แก้ปัญหาผิดทางจะส่งผลต่อร่างกาย เพราะ กำลังบุญน้อยถือว่าเป็นพลังงานร้อน
    ถ้ามาเกาะตามร่างกายเรา จริงๆ เค้าเห็นจากตัวจิต เกาะกายเป็นแค่ผล
    จะส่งผลให้ธาตุร่างกายเราพร่อง จะเป็นโน้นนี่นั้น
    ทำอย่างที่บอก ร่างกายจะปกติเอง
    และที่สำคัญ ได้สร้างบารมีทางภพภูมิด้วย
    ตรงนี้ สำคัญมาก ต่อความก้าวหน้าทางด้านกรรมฐานต่างๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...