เรื่องเด่น นานาเรื่องราวหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 16 กันยายน 2014.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    115
    ค่าพลัง:
    +225,719
    IMG_20180310_091054.jpg
    ประสบการณ์การฝึกมโนยิทธิแบบเต็มกำลัง
    พระครูปลัดอนันต์ฯสัมภาษณ์ คุณกมลรัตน์


    "คืออยากจะถาม เพระว่าบางคนที่ไปไม่ได้น่ะ จะได้เป็นตัวอย่างแก่บางคนที่ไปไม่ได้ กำลังใจก่อนที่จะหลุดออกไป ตัวนี้นะสำคัญที่สุด นะมะ พะธะ ใครก็ภาวนาได้ ภาวนาผิดมั่งถูกมั่งก็ภาวนาได้ แต่การทำกำลังใจให้พอดีกับจิตที่จะถอดออกไปตัวนี้น่ะสำคัญ ตอนแรกต้องทำกำลังใจยังไงก่อน อยากจะรู้ตัวอย่างตรงนี้ ช่วยเล่าให้ฟังสักหน่อย"

    คือปีนี้นะคะเป็นปีที่ไปแบบไม่ได้ไปเที่ยวนะคะ เมื่อปีที่แล้วยังไปเที่ยว ไปเที่ยวในพระนิพพาน แต่ปีนี้พอไปแล้วมีความรู้สึกว่าเราไปแบบครึ่งกำลังคือเราภาวนา ก่อนที่เราภาวนาเราขอองค์สมเด็จและหลวงพ่อ เรียกว่าขอทั้งหมดว่าชีวิตร่างกายเรานี่ เราขอมอบให้ทั้งหมดแล้ว เราจะไม่เอาอีกแล้ว แล้วพอดีช่วงนี้กำลังไม่สบาย แต่พอเราได้แล้วหายหมดเลย (หัวเราะ)

    "ตอนนี้ขอขั้นจังหวะสักนิดหนึ่งนะ เมื่อก่อนเขาจะมาเขาป่วยมาก ต้องกินยาพาราฯ ไอ้พาราฯ ดันไปติดคอเสียอีก ฉะนั้นขอญาติโยมทุกคนขอให้จำเป็นตัวอย่างว่า การจะทำความดี การปฏิบัติมโนมยิทธิเต็มกำลังนี่ถือว่าทำความดีขั้นสูงสุด คือว่าผู้ที่ได้เต็มกำลังแล้วนี่จะไม่กลับไปเป็นมิจฉาทิฏฐิอีก หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยท่านมีชีวิตอยู่ คราวนั้นฝึกกันที่ 2 ไร่ ท่านป่วยมากกว่านี้อีกเป็นร้อยเท่า ปัสสาวะไม่ออก 2 วัน ท่านบอกว่าการปฏิบัติความดีแบบนี้ พวกนี้ไปไม่กลับ ฉะนั้นช่วงจังหวะก่อนจะทำนี่มารก็มาริดรอนความดี อย่างนี้ก็ถือว่ามารมาริดรอนความดึ แต่คนนี้ไม่ยอมมาร มารแพ้ เอาไว้ไม่อยู่ เอ้าเล่าต่อไป"

    ตอนทำพิธีนะคะ ท่านให้ภาวนาได้ ก็ภาวนา นะมะ พะธะ สักเดี๋ยวหนึ่งมีความรู้สึกว่าจะล้ม ปีที่แล้วจำได้ว่ามีครูฝึกมาบอกว่าให้ตัดร่างกายเสียก่อนนะ แล้วก็จะล้มไปเลยเราก็รอ ปรากฎว่าไม่มีใครมาบอกเสียที ก็เลยกลายเป็นครึ่งกำลังไป ก็เลยรวบรวมกำลังใจภาวนาใหม่ ภาวนาคราวนี้ล้มเองเลยค่ะ บอกไม่เอาแล้ว ไม่เอาแล้ว

    พอล้มแล้ว เอ๊ะยังไง เราไปได้หรือเปล่า ปรากฏว่ามีความรู้สึกว่าเราไปกราบสมเด็จก่อนเลย กราบไปร้องไห้ไป ร้องไห้ดีใจค่ะ แล้วก็ไปกราบหลวงพ่อ บอกหนูไม่อยู่แล้ว หนูขึ้นมาแล้วหนูไม่ไปแล้วหนูตัดแล้ว ขอไปอยู่เลย พอดี ป้าเชิญ เขาบอกว่าไปกราบสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน่ะค่ะ ก็ไปกราบท่าน พอไปกราบหลวงพ่อจะพาไปที่วิมานของเรา

    ปกติเวลาก่อนนอนนี่ คือสวดมนต์เรียบร้อยแล้วนี่ จะกราบสมเด็จองค์ปฐม กราบหลวงพ่อ กราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดเลย ก็ขอให้คุ้มครองเรา เราก็ขึ้นไปข้างบน กราบสมเด็จองค์ปฐม หลวงพ่อ แล้วก็ไปวิมานของเรา แล้วก็นอนจนหลับไปเลย เป็นอย่างนี้ทุกคืนเลย พอวันนี้หลวงพ่อท่านบอกว่าให้ไปขอขมาหลวงปู่แหวน เอ๊ะเราไม่ได้มีอะไรนะ สงสัยอดีตชาติมั้ง ไปขอขมาท่าน แล้วก็พระสารีบุตร แล้วก็ไม่ได้ไปไหนอีก เหาะลิ่วเลย ไปดูวิมานของเพื่อนๆ โอ้โฮ สวยทั้งนั้นเลย รูปทรงแปลกๆ แว้บๆ ไปหมดเลย แล้วก็ไปดูวิมานของพี่ที่ที่ทำงาน สวยเป็นแก้วไปหมดแต่ยังไม่สวยเท่าของสมเด็จกับของหลวงพ่อนะคะ ปลื้มใจตัวเองมากเลย

    ป้าเชิญก็บอกว่าจะไปไหนต่อ ไปวิมานดีกว่า หนูไม่อยากจะไปไหนอีกแล้ว วิมานของเราสวย แต่ตอนอยู่ข้างล่างรู้สึกว่าเหมือนกระจกเลยค่ะ กระจกวิหารร้อยเมตร แต่พอขึ้นไปมันสวยกว่านั้นอีก ไม่มีฝุ่นเลยค่ะ

    หลวงพ่อบอกว่าให้รักษาศีลให้บริสุทธิ์ที่ขึ้นมาได้นี่ศีลบริสุทธิ์นะ เราต้องรักษาศีลให้ได้ แล้วนึกถึงความตาย ของที่ทำนี่ดีอยู่แล้วแต่ว่าอย่าประมาท อย่าประมาท ให้รักษาอารมณ์นี้ให้ได้ แล้วให้มีความมั่นคงในพระรัตนตรัย เพราะว่าหนูยังมีความกลัวอยู่ กลัวไปนิพพานไม่ได้

    บางทีนี่นะคะหลวงพี่ พอขึ้นไปข้างบนนี่นะคะ พอข้างล่างเขาร้องวี้ดว้าย กายเราตัวนี้มันสะดุ้งขึ้นมา แต่ข้างบนเราไม่หวั่นไหว

    "เอาละ เป็นตัวอย่างนะ ฟังเสียงก็รู้ว่าปลาบปลื้มใจนะ อุตสาห์มาทำกันได้"


    (จาก ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 171 มิถุนายน 2538 หน้า 92-93)


    ประสบการณ์การฝึกมโนยิทธิแบบเต็มกำลัง
    พระครูปลัดอนันต์สัมภาษณ์ คุณทองเมื้ยน แสนใหม่


    "คุณทองเมี้ยนนี่มาวัดนานแล้วหรือยัง"

    ดิฉันมาวัดนี้นานแล้วเจ้าค่ะ แต่ยังไม่เคยได้ฝึกมโนมยิทธิค่ะ

    "อ้าว อย่างนั้นเหรอ ยังไม่เคยฝึก ครึ่งกำลังก็ยังไม่เคยเหรอ"

    ครึ่งกำลังเคยฝึกเมื่อตอน 2-3 เดือนกับอาจารย์สมปองเจ้าค่ะ ก็รู้สึกว่าพอฝึกแล้วก็ได้เจ้าค่ะ แต่วันนี้รู้สึกว่าชัดเจนแจ่มใสกว่าที่ฝึกแล้ว แต่ดิฉันมาพูดวันนี้ก็เพราะว่าดิฉันได้สัญญากับหลวงพ่อไว้ บอกว่าลงมาจะต้องให้ธรรมะ ลูกอยากได้กุศลเรื่องธรรมะ คือดิฉันเวลาก่อนจะนอน ดิฉันก็ว่าบุญอะไรในโลกนี้ที่มากที่สุด ดิฉันจะทำบุญอันนั้น เพราะดิฉันก็ทำมามากแล้ว แต่ไม่ทราบว่าบุญอะไรที่มากที่สุด

    ทีนี้วันนี้ ก่อนที่ดิฉันจะขึ้นไป ดิฉันนมัสการพระพุทธเจ้า บอกว่า ข้าพเจ้าขอนมัสการเจ้าค่ะ และขอมอบกายถวายชีวิตของข้าพเจ้าเพื่อเป็นพุทธบูชาต่อพระพุทธศาสนา ธรรมใดที่พระพุทธเจ้าท่านเห็นแล้ว ธรรมนั้นขอให้ดิฉันเห็นด้วยเถิดเจ้าค่ะ พอนมัสการเสร็จดิฉันก็หลับตา ภาวนา นะมะ พะธะ

    พอไม่กี่นาทีก็มีแสงเจ้าค่ะ มีแสงใหญ่มากเกินกว่าที่จะประมาณได้เจ้าค่ะ แสงสว่างหมดทั้ง 12 ไร่ แสงสว่างหมดเลย พอแสงสว่างแล้วดิฉันก็กำหนดว่า เห็นหนอ (หัวเราะ) เพราะดิฉันเคยกำหนดแบบนั้นเจ้าค่ะ พอกำหนดเห็นหนอแล้วแสงมันก็ค่อยๆเล็กลง

    ทีนี้เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ใหญ่กว่านี้อีกเจ้าค่ะ สวยมากเจ้าค่ะ ท่านก็มาอยู่ตรงหน้า ดิฉันก็นมัสการ พอกราบครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 พอครั้งที่ 3 เงยขึ้นมาเป็นหลวงปู่ปาน พระพุทธรูปนั้นเลือนไปเป็นหลวงปู่ปานเจ้าค่ะ ดิฉันก็ตกใจ ท่านก็ยิ้มนิดๆ เห็นท่านนั่งสมาธิ ท่านลุกขึ้นเดิน จิตดิฉันก็อยากจะตามท่านเลยเจ้าค่ะ ตามท่านไปเลย ท่านเดินเร็วมาก ตามท่านไป แป๊บหนึ่งไปถึงท้องพระโรงใหญ่มากสวยมาก

    ทีนี้ดิฉันก็แหงนดูใหญ่ พอแหงนดูพอหันไปเห็นหลวงปู่ปานขัดสมาธิ แล้วใหญ่มากสวยมาก ดิฉันก็กราบหลวงปู่ปานครั้งหนึ่ง อ้าปากจะถามว่า บ้านหลวงปู่เหรอ ท่านก็ยิ้ม ท่านก็บอกว่า ใช่แล้ว

    ทีนี้ดิฉันก็ว่า แล้วหลวงพ่อฤาษีลิงดำล่ะเจ้าคะ เห็นแต่หลวงปู่องค์เดียว ทีนี้ท่านเหลียวไปข้างขวา ดิฉันมีความรู้สึกว่าทางนี้จะต้องไปหาหลวงพ่อ เพราะเป็นทางกว้าง และเป็นแก้วผสมทองสวยมาก แต่รู้สึกว่าเหมือนตัวเบาลอยไป

    พอไปแป็บหนึ่ง เห็นแบบเทวดาเยอะแยะไปหมดนับไม่ถ้วน แต่หลวงพ่อฤๅษีนั่งสูงกว่าเทวดา ทีนี้ก็เป็นทางตรงเข้ามาหาหลวงพ่อเลย ดิฉันก็ตรงเข้ามาเรื่อยๆเลยเจ้าค่ะ เทวดาเขาก็นั่งแบบไม่รู้สึกว่าเราจะไปเลยเจ้าค่ะเขานั่งเฉยๆ ฉันก็เข้าไปเรื่อยๆ ดิฉันก็เข้าไปกราบหลวงพ่อ บอกนมัสการเจ้าค่ะ หลวงพ่อก็ว่า อ้อ มาแล้วเหรอลูก

    "แล้วแต่งตัวยังไงแต่งไปแบบนี้หรือเปล่า"

    ไม่ใช่เจ้าค่ะ ดิฉันเป็นผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิง แบบเป็นหมอลิเกผู้ชายแบบนี้เจ้าค่ะ มีชฏาด้วยเจ้าค่ะ เป็นหงอนๆ

    "หงอนนี่ไม่ใช่ไก่นะ" (หัวเราะ)

    หงอนตรงแขนเจ้าค่ะ เขาเรียกอะไรนะ

    "เอ้อ อินทรธนู"

    พอไปกราบหลวงพ่อ ท่านก็บอกว่า มาหาหลวงพ่อก็ดีแล้วลูก บุญแล้ว แต่ต้องสัญญากับหลวงพ่อนะ ถามว่าสัญญาอะไรเหรอเจ้าคะหลวงพ่อ สัญญาว่าถ้าลงไปแล้วจะต้องไปเล่าให้เพื่อนฝูงฟัง ถ้าลูกไม่เล่าตามความเป็นจริงแล้วลูกจะมีอันตราย ดิฉันก็บอกว่าเจ้าค่ะ แล้วลูกนมัสการพระพุทธเจ้าหรือยัง ดิฉันก็บอกว่ายังเลยเจ้าค่ะ มานมัสการแต่หลวงปู่ปาน ท่านก็ทำมืออย่างนี้ไปทางข้างขวาของท่านอีกเจ้าค่ะ

    ดิฉันก็ไปอีก รู้สึกว่าแป๊บเดียวก็ถึง รู้สึกว่ามีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์เจ้าค่ะ ท่านยืนอยู่ ดิฉันก็ขอนมัสการกราบเท้าท่าน ท่านสูงใหญ่มากเจ้าค่ะ ท่านก็เฉยๆ ดิฉันก็น้ำตาไหลบอกไม่ถูก รู้สึกดีใจบอกไม่ถูกรู้สึกชื่นใจและดีใจ อะไรไม่เคยเท่ากับชีวิตที่เคยเจอแบบนี้เจ้าค่ะ

    พอดิฉันกราบ 3 ครั้ง ตอนนั้นท่านยืนใช่ไหมคะ ท่านก็นั่งห้อยพระบาทหมดทั้ง 5 พระองค์เลยเจ้าค่ะ ดิฉันกราบที่ตักท่าน ยิ่งดีใจมากใหญ่เลยเจ้าค่ะ

    "โยมปีติ ฉันก็ปีติด้วย"

    ทีนี้ ดิฉันร้องไห้แล้วก็ถามว่า ดิฉันไม่อยากลงไปได้ไหม ก็มีเหมือนเสียงหลวงพ่อบอกว่า ไม่ได้ลูก ยังไม่ถึงวาระ ท่านก็บอกให้หันกลับไปแลดูโลกมนุษย์เราชิลูก เป็นยังไง ดิฉันก็คิดว่าโลกมนุษย์นี่ ดิฉันไม่อยากมองกลับเจ้าค่ะ ถ้าดูโลกมนุษย์กับที่นั่น ดิฉันไม่อยากเห็นเลย เพราะมันน่าเวทนา น่าสังเวชอย่างมากเลยเจ้าค่ะ ดิฉันบอกว่า ไม่อยากกลับหลังไปดูเลยเจ้าค่ะ

    ทีนี้จิตบอกว่า ลองมองดู พอหันหลังลองมองดู เห็นมนุษย์ตัวน้อยๆกำลังทำอะไรกัน เห็นตัวนิดนึงเจ้าค่ะ เห็นเยอะแยะไปหมดเลย แต่ดิฉันมีความตั้งใจว่าถ้าอยู่ได้ ดิฉันไม่อยากลงมาเจ้าค่ะ

    "แล้วไม่ได้สั่งคนทางบ้านไว้มันจะยุ่งน่ะสิ คนทางบ้านโยมมีไหม"

    พ่อบ้านมาด้วยเจ้าค่ะ

    "อ้อ พ่อบ้านมาด้วย ไม่ได้บอกว่าฉันไปแล้วจะไม่กลับ ไม่ได้บอกเขาไว้" (หัวเราะ)

    กลับกลัวเสียอีกเจ้าค่ะ เพราะว่าให้สัญญาหลวงพ่อเอาไว้ เพราะว่าต้องขับรถกลับเอง ถึงมาเล่ารายละเอียดให้พี่น้องฟังทั้งหมดทุกๆท่านคะ

    เรื่องที่ดิฉันเล่ามานี้จริงๆเจ้าค่ะ มีจริงๆเพราะดิฉันเองก็ปฏิบัติมาเยอะแล้ว แต่ยังไม่เคยเห็นชัดแจ้งเหมือนที่นี่เจ้าค่ะ ขอให้พี่น้องทุกๆท่านตั้งใจทำแล้วจะเห็นเอง ผู้ปฏิบัติจะเห็นด้วยตนเองแน่นอนเจ้าค่ะ

    "เอ้อ สาธุ ชื่ออะไรนะโยม ชื่ออะไร"

    ชื่อ ทองเมี้ยน แสนใหม่ อยู่โคราชหลานย่าโมเจ้าค่ะ

    "อ้อ หลานย่าโมเอง คนดีหลานย่าโม คนเล่าก็ปีติ คนฟังก็ปีติ (หัวเราะ) ทุกคนน่ะเข้าไปกราบพระพุทธเจ้าถึงที่นั่นแล้วทนไม่ไหวหรอก ก็ยังบอกกับเขาบอก เหมือนคนที่อยู่มาเป็นพันปี แล้วจากกันมาเป็นพันปี แล้วไปเจอกันอีกครั้งหนึ่ง ไอ้ความอบอุ่นตัวนี้มันจะเข้ามา ใครก็ทนไม่ได้ ความอบอุ่นของจิตมันมาก ความสุขของจิตมันทนไม่ได้"

    (จาก ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 171 มิถุนายน 2538 หน้า 93-95)

    ประสบการณ์การฝึกมโนยิทธิแบบเต็มกำลัง
    สัมภาษณ์ คุณวศินี วริยพิมล


    "คนนี้นี่มาวัดเมื่อไม่นานมานี้เอง เอ้าเป็นยังไงบ้าง ฝึกปฏิบัติยังไงบ้าง"

    ตอนแรกที่เข้ามาที่นี่ก็ได้ข่าวว่าที่วัดมีการฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลัง เสร็จแล้วก็คิดดูว่าเราจะฝึกได้หรือปล่า ทีนี้ตอนที่หลวงพี่บอกเมื่อคืนนี้ว่า ให้ไปฝึกที่ห้องให้ทำกำลังใจว่าตอนที่เราทำทำยังไง เพราะตอนที่อยู่ซอยสายลมเคยฝึกได้ แต่เมื่อคืนนี้ก็ไม่ได้ทำ พอมาทำวัตรเย็นเสร็จแล้วก็มานั่ง มีครูฝึกบอกว่าเวลาว่างๆ มานั่งทำอะไรอยู่ ทำไมไม่จับภาพพระพุทธรูป พอหนูได้จับพระพุทธรูปก็ทดลองจับว่าลมหายใจเราเป็นยังไง

    พอมาถึงตอนที่หลวงพื่อนันต์บอกว่า ให้วางเฉย แล้วอย่าไปสนใจกับผู้อื่น เวลามีเสียงอะไรก็อย่าไปสนใจ พอตอนที่ยกขันครูขึ้นมาก็อธิษฐานจิตว่า ถ้าบุญบารมีเก่าของข้าพเจ้ามี บุญกุศลที่ขัาพเจ้าได้ทำมาตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันนี้ ก็ขอให้ข้าพเจ้าได้ฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังได้ พอทำพิธีเสร็จแล้วก็สวมกระดาษพระนามพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ขึ้นมา ก็เริ่มปฏิบัติ ก็ท่อง นะมะ พะธะ ไปเรื่อยๆ ระหว่างการท่องก็นึกที่หลวงพี่บอกว่า ให้ตัดขันธ์ 5 ว่าร่างกายเราเป็นยังไงบ้างก็ทำตามหมดเลย

    พอต่อมา หลวงพี่บอกว่า พอเห็นแสงก็ให้นึกถึงว่าร่างกายเรานี้ไม่มีอะไรดี พอครั้งแรกที่ทำขึ้นมาก็เห็นแสง แต่ไม่เข้าใจว่าเป็นแสงอะไร พอได้ยินเสียงคนสั่น หรือเสียงร้องจิตก็จะแว้บไป ใจก็นึกว่า หลวงพี่อาจินต์บอกว่า เราอย่าไปสนใจผู้อื่น ก็ทำต่อ ทำต่อได้สักพักหนึ่งก็มีแสงจ้าออกมาที่หน้าเรา เราก็นึกว่าถ้าเราขึ้นไปแล้วเราจะไม่ลงมาอีก เท่านั้นแหละแสงก็พุ่งขึ้นไปสูง ก็ตามขึ้นไป พอตามขึ้นไปปุ๊บ พอขึ้นไปข้างบนก็มองไปที่ไกลๆ ก็มีความรู้สึกว่าทำไมตัวเองยืนอยู่คนเดียว มันอ้างว้างไปหมดเลย สักพักหนึ่งก็มีเทวดาองค์หนึ่งมา ก็บอกว่าท่านจะไปไหน ก็บอกกับท่านว่า อยากจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็ชี้ทางไป ก่อนจะชี้ทางไปก็มองเห็นเป็นแก้วหมดเลย ก่อนที่จะขึ้นไปก็มองดูตัวเองว่า ตัวเองยังแต่งชุดขาวอยู่ พอขึ้นไปก็มีความรู้สึว่าตนเองได้เปลี่ยนชุดหมดเลย ก็ขึ้นไปถึงองค์สมเด็จ ก็ได้กราบท่าน 3 ครั้ง

    "แต่งตัวเป็นยังไง เราเองน่ะ"

    หนูเองมีสวมอะไรที่หัว แล้วก็มีอะไรห้อยที่หน้าอก แล้วก็เหมือนไม่ได้เดินติดดิน ท่านก็ถามว่ามีความรู้สึกยังไงที่ขึ้นมา หนูบอกว่ามีความรู้สึกสบายใจ อุ่นใจ ท่านก็บอกว่าจำไว้นะ ให้นึกถึงอารมณ์นี้ไว้อยู่เสมอ ท่านบอกว่าทั้งหมดที่ปฏิบัติมานี่น่ะรู้ไหมอะไรที่สำคัญ หนูบอกว่า ไม่รู้เจ้าค่ะ หนูรู้แต่ว่าหนูได้รักษาศีล 5 หนูเพิ่งเริ่มปฏิบัติค่ะ ท่านก็บอกว่าดีแล้ว หนูก็กราบลาท่าน ท่านถามหนูว่า แล้วอยากจะไปไหน หนูบอกว่า หนูอยากจะไปพระจุฬมณีเจ้าค่ะ พอเท่านั้นเเหละก็ถึงพระจุฬามณี

    พอก่อนจะขึ้นพระจุฬมณีจะเป็นวิมานสวยมาก แล้วก็จะมีบันไดสองข้างเหมือนพญานาค แล้วพระพุทธเจ้านั่งอยู่ พอกราบท่านเสร็จแล้วท่านก็บอกว่า ยังขาดบกพร่อง
    อยู่ หนูบอกว่าหนูก็ปฏิบัติถูกแล้ว ท่านบอกศีล 5 อย่างเดียวไม่ได้ การตัดที่อะไร 4 นี่เหละค่ะหนูจำไม่ได้แล้วท่านก็บอกว่า ให้หมั่นทำความดี แล้วหนูก็เลยบอกว่า ลูกขอพร ท่านบอกว่า พรอยู่ที่ศีล ถ้าเรารักษาศีลหมดเราก็ไม่เป็นทุกข์

    พอเสร็จแล้วหนูก็กราบลาท่าน ก็นึกอธิษฐานจิตว่า ลูกขอบารมีหลวงพ่อช่วยพาหนูไปกราบพระศรีอาริยเมตไตรย พอหนูไปถึงพระศรีอาริยเมตไตรย ท่านก็
    บอกว่าเป็นยังไงล่ะลูก หนูบอกว่าหนูมีความทุกข์มาก ทุกข์เรื่องอะไรล่ะลูก ทุกข์ว่าหนูไม่มีอะไรจะทำ ต่อไปนี้หนูคงต้องลำบากอีก แล้วท่านบอกว่าไม่ต้องทุกข์หรอก ท่านบอกให้หนูพนมมือหลับตา หนูก็หลับตา ท่านก็เอาพัดอันใหญ่ๆ มาพัดให้หนู ท่านบอกว่าสิ่งอะไรที่ไม่ดีก็พัดออกไป พอหนูพัดไปเสร็จแล้วหนูก็หลับตา ท่านถามหนูอีกว่า มีความรู้สึกยังไง หนูก็บอกว่า มีความรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเกิดใหม่ ท่านก็บอกว่า ต่อไปนี้นะ ให้หลับตา ให้นึกแต่สิ่งที่ดีๆ ตอนที่หลับตาก็นึกว่า ถ้าข้าพเจ้ามีบุญกุศลที่ข้พจ้าได้ทำในอดีตชาติจนถึงปัจจุบันนี้ ถ้าข้าพเจ้าได้ตัดขันธ์ 5 ก็ขอให้ข้าพเจ้าได้ไปพระนิพพาน ท่านก็ยิ้ม แล้วท่านก็พัดกลับมาอีก แล้วท่านก็ต่อว่าหนูว่า จำไว้นะ พระศรีอาริยเมตไตรยที่ท่านบูชาอยู่น่ะ ท่านน่ะวางผิดที่แล้ว หนูนึกขึ้นได้ก็มองเห็นเป็นภาพขึ้นมา ท่านบอกว่าเอาท่านไปสูงกว่าพระพุทธเจ้า หนูก็นึกได้ว่าใช่ เพราะทุกวันเราบูชาอยู่

    พอจากนั้นไปหนูก็ไปไหว้ท่านปูท่านย่า ท่านปู่ท่านย่าก็บอกว่า การที่เราทำบุญนี่น่ะไม่ต้องอุทิศให้ท่านหรอก เพราะว่าหนูทำบุญทีไรหนูก็ขอให้ท่านปู่ท่านย่าโมทนาสาธุ ท่านก็บอกว่าท่านเต็มแล้ว ไม่ต้องอุทิศให้ท่าน ท่านก็หัวเราะ แล้วครั้งสุดท้ายก็ถามว่า แล้วลูกจะไปไหนอีก ก็บอกว่า ลูกอยากจะไปเจอคน 3 คนที่เมืองนรก หนูอยากจะรู้ว่าคน 3 คนนี้ไปอยู่ที่ไหน หลวงพ่อก็พาไป พอพาไปปุ๊บ หนูก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งรูปร่างใหญ่ๆ หน้าตาน่ากลัวมากเลย หลวงพ่อก็บอกว่า ให้กราบท่านสิ หนูก็กราบ พอกราบเสร็จแล้วท่านก็บอกว่า นี่ไงคือลุงพุฒิ พอกราบเสร็จแล้วท่านก็บอกว่ามานี่เพื่ออะไร หนูบอกจุดประสงค์ว่าหนูอยากจะเจอคนที่ตายไปแล้ว 3 คนว่าเขาไปอยู่ที่ไหน

    ลุงพุฒิก็บอกว่า แล้วไม่อยากดูบัญชีเราบ้างเหรอ หนูก็บอกว่า ไม่รู้จะดูดีหรือไม่ดี ท่านก็ชี้ไปที่นิ้วท่าน ก็เป็นบัญชีทอง ท่านก็บอกว่า เห็นเป็นอันนี้อย่าดีใจนะ เราก็ยังมีบาปอยู่ แต่ตอนนี้ตามไม่ทัน ให้สะสมบุญไว้เยอะๆแล้วพอต่อมาท่านก็บอกว่า นาย 3 คนที่อยากจะเจอนี่ชื่ออะไรบ้าง (ขอสงวนนาม) เป็นญาติกันค่ะ พอหนูพูดปุ๊บเขาก็มานั่งกัน 3 คน สองคนผัวเมียเขาก็บอกกับหนูว่า อ้าวเอ็งมายังไงล่ะ หนูบอกว่าขอบารมีหลวงพ่อให้พามาค่ะ เขาบอกอีกว่า เอ็งอย่ามาที่นี่เลย ที่นี่มันลำบาก หนูก็ถามเขาอีกว่า ที่นี่มันลำบากยังไง เขาบอกว่าเขาได้ทำบาปไว้ตั้งแต่ตอนที่เขายังอยู่ เขาทำไว้เยอะ แต่ข้าก็จะสบายแล้วแล้วก็สั่งมาถึงลูกสาวว่า เอ็งกลับไปบอกลูกสาวข้าว่า ให้ลูกสาวข้าทำบุญเยอะๆ

    แล้วหนูก็กลับไปถามพ่อเลี้ยงหนูว่า พ่อเป็นยังไงบ้าง พ่อก็บอกว่า พ่อยังไม่หมดอายุขัย แต่ต้องมาตายตอนที่เขาผ่าตัด หนูก็เลยบอกว่า แล้วตอนนี้พ่ออยู่ที่ไหนล่ะ บุญกุศลที่หนูได้ทำเป็นยังไงบ้าง ท่านก็บอกว่า ไม่ได้รับ ตอนนี้พ่ออยู่ที่ไหน พ่อบอกว่าอยู่ขุมที่ 16 หนูก็พูดแค่นี้เขาก็บอกว่า หมดเวลาแล้วเขาก็ไป

    ท่านลุงพุฒิก็บอกว่า ให้ลงไปดูว่าข้างล่างมีอะไรบ้าง พอลงไปดูหนูเห็นน้ำบ่อใหญ่ๆเดือดขึ้นมา มีความรู้สึกว่าถ้าใครตกลงไปก็คงจะไม่เหลือ แล้วก็หันไปดูอีกว่ามีคนตัวใหญ่กำลังเฆี่ยนคนอยู่ ตีคนใหญ่เลย หนูก็ทนดูไม่ได้ ก็เลยบอกหลวงพ่อ หลวงพ่อเจ้าคะหนูอยากจะกลับแล้วค่ะ หลวงพ่อบอก ดูพอแล้วเหรอ มีอีกเยอะนะ หนูบอกหนูทำใจไม่ได้ คะ

    "เออ แหมนี่ ของจริงเลย เอ๊ะ ท่านเป็นผู้ใหญ่ยังลงนรกได้นะ พูดไปเดี๋ยวญาติเขาจะหาว่ายังงั้นนะ เพราะเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่นี่ เออ ท่านสั่งไหมว่าทำบุญยังไงถึงจะได้บ้าง ถามหลวงพ่อ ถามลุงพุฒิหรือเปล่า"

    หนูไม่ได้ถาม ความที่เห็นนรกแล้วตกใจก็ไม่ได้ถามอะไร เห็นนรกแล้วอยากกลับ พอตอนสุดท้ายจะกลับ หลวงพ่อก็ให้ลูกแก้วเป็นลูกเล็กๆ แล้วหลวงพ่อก็บอกว่าจะสงเคราะห์ให้ หลวงพ่อก็บอกให้อธิษฐานจิต พออธิษฐานจิตเสร็จแล้วหลวงพ่อก็บอกให้กลืนลูกแก้วนี้เข้าไป ก็มีความรู้สึกว่ากลืนเข้าไปจริงๆ

    "มีความมั่นใจใช่ไหมว่านรก สวรรค์ มีจริง มั่นใจใช่ไหม"

    มั่นใจค่ะ

    "นรกก็มีจริง สวรรค์ก็มีจริง นิพพานก็มีจริงใช่ไหม"

    มีจริงค่ะ

    "ถ้าใครเขาสอนว่านรก สวรรค์ ไม่มี ตายแล้วสูญนี่ไม่เชื่อใช่ไหม"

    ไม่เชื่อค่ะ แล้วก็จะบอกได้เต็มปากด้วยว่าอย่าประมาทในชีวิต เพราะว่าตัวเองได้ไปเห็นในครั้งนี้ครั้งแรกในชีวิต

    "เออดี สาธุๆ ชื่ออะไรนะ"

    ชื่อวศินีค่ะ

    "วศินี รู้จักแต่ชื่อเล่นชื่อเจี๊ยบ ขอบใจมากนะ"

    (จาก ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 171 มิถุนายน 2538 หน้า 96-98)
     
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    115
    ค่าพลัง:
    +225,719

    (สัมภาษณ์ผู้ฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังได้ที่ศาลา 12 ไร่ 12 กุมภาพันธ์ 2555)


    การฝึกมโนยิทธิเต็มกำลัง 2 ลีลา โดย ประไพ สุนทราณู
    ตอนที่ 1


    ข้าพเจ้าเป็นอีกคนหนึ่งได้รับการฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังที่วัดท่าซุง ข้าพเจ้าบวชชีพราหมณ์และถือธุดงค์ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2536 เป็นครั้งแรกจริงๆในชีวิตที่ได้บวช ได้ร่วมเดินเวียนรอบโบสถ์กับพระที่บวชใหม่และชีพราหมณ์ทั้งหมด ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะภาวนาว่าอะไร ก็เลยสวดอิติปีโสฯไปตลอด สวดไปเรื่อยๆ

    พอเวียนรอบโบสถ์ได้รอบหนึ่ง เวียนมารอบที่ 2 ก็ตั้งจิตอธิษฐาน คืออธิษฐานตั้งแต่ที่บ้านแล้ว พอไปถึงก็อธิษฐานต่อหน้าพระอีกครั้งหนึ่งว่า วิชาความรู้นี้ถ้าข้าพเจ้าได้รับการฝึกฝนมาก่อนในอดีตชาติ และได้สร้างบารมีทางนี้มาก็ขอให้ข้าพเจ้าฝึกได้ แต่ถ้าในอนาคตกาลถ้าข้าพเจ้าจะใช้วิชาความรู้นี้ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ขออย่าให้ข้าพเจ้าฝึกได้เลย ไม่ต้องการ พอใจแค่ครึ่งกำลัง

    วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2536 ข้าพเจ้าเจอข้อสอบอย่างแรง จิตตกถึงขนาดที่ว่าถ้าจะเทียบก็ติดลบทีเดียว คืนนั้นคืนวันศุกร์ข้าพเจ้านอนไม่หลับพอเช้าวันเสาร์รับการฝึก ข้าพเจ้าก็หวนคิดไปถึงคำอธิษฐานที่หน้าโบสถ์ ข้าพเจ้าสงสัยว่าต่อไปในอนาคตข้าพเจ้าจะต้องเลวแน่ๆ พระท่านถึงดลใจให้เจอข้อสอบ ตอนนั้นจิตมันบอกไม่ถูก มันติดลบอย่างแรง.. รู้แต่เพียงว่าโลกนี้มันไม่น่าอยู่จริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่ใช่ของเราจริงๆ มันเป็นโลกธรรมที่กระทบได้ตลอด ใจตอนนั้นมันไม่ต้องการจะอยู่อีกแล้ว

    ก็คิดไปว่าต่อไปในอนาคตเราจะต้องเลวจัดแน่ๆ แต่ถ้าเราจะเลวขนาดนั้น เราขอตายตอนนี้ดีกว่า เราตายพร้อมศีล เราได้บวชเราได้ห่มผ้าขาวเป็นบุญใหญ่ๆทั้งนั้น อย่างน้อยๆเราก็ไปดาวดึงส์ แต่เราจะไม่ไป เราจะ
    ตรงไปพระนิพพานเลย คิดอย่างนี้ คือตอนนั้นมันไม่เอาจริงๆขันธ์ 5 ก็เลยบอกว่า คือตั้งจิตไว้เลยว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี่มันไม่ใช่ของเราจริงๆ

    ขณะที่เปิดเทปบวงสรวง หลวงพ่อให้สมาทานศีล สมาทานกรรมฐานและเปิดเทปคำสอน ก่อนหน้านี้ก็มีเจ้าหน้าที่มาแจกกระดาษปิดหน้าเขียนคาถา นะโมพุทธายะ ก็เอาคาถาขึ้นมาปิดหน้าไว้ น้ำตามันมาจากไหนก็ไม่รู้ มันไหลออกมาเองโดยที่เรายั้งไม่อยู่ มันร้องไห้แล้วก็ได้เรียก รู้ตัวว่าเรียกท่านพ่อท่านแม่ว่า "ลูกไม่เอาแล้วขันธ์ 5 นี่มันทุกข์เหลือเกินเจ้าค่ะ" ก็บอกแบบนี้แล้วเริ่มภาวนาไป เห็นเทวดาที่ท่านสงเคราะห์ท่านมายืนอยู่ข้างหลัง ข้างบนหัวของข้าพเจ้า ก็เห็นพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ เป็นแก้วใสลอยอยู่

    ก็เลยอธิษฐานจิตไปว่า ขอให้ผู้ที่เป็นพ่อเป็นแม่ในกาลก่อนหรือผู้มีพระคุณนั้นล้อมเราไว้อย่าให้จิตเราแลบออกไป ลูกไม่เอาจริงๆขันธ์ 5 มันเลวเหลือเกิน ก็เห็นหลายๆองค์ยืนล้อมอยู่

    ภาวนาก็ภาวนาไปเรื่อยๆ นะมะพะธะๆ ภาวนาได้สักครู่หนึ่ง อาการทางร่างกายมันก็ร้อน ร้อนแบบร้อนรุมๆขึ้นมา พอมันร้อนลมหายใจมันก็แรงขึ้นๆ แต่แรงพอทนได้
    เหมือนเราเหนื่อย ไม่ใช่แรงแบบจะขาดใจไม่ใช่แบบนั้น แรงขึ้นเรื่อยๆ เสร็จแล้วมันก็ค่อยๆหาย เหมือนลักษณะเราวิ่งเหนื่อยแล้วค่อยๆหาย พออาการเหนื่อยมันหายลง คำภาวนาก็หายไปด้วย ลมหายใจก็หายไปด้วย มันก็เบา มันเบาเหลือเกิน แต่ช่วงที่มันเบานี่จิตเริ่มมีความสุข มีความสุขมากๆ แบบมันไม่มีอะไรเลยจริงๆ ตัวเรา ขันธ์ 5 เรามันไม่มี มันเบาเหลือเกิน

    พอมองดูก็มีความรู้สึกว่า เอ๊ะทำไมเราไม่เหมือนชาวบ้านเขา ก็เอาใหม่ตั้งต้นภาวนาใหม่ ภาวนา นะ มะ พะ ธะ ใหม่ พอภาวนาไปมันก็เบาไปอีก หายไปอีก ก็เอาใหมตั้งต้นใหม่ พอครั้งนี้เริ่มจะตั้งต้นใหม่จิตก็ไปนึกถึง หลวงพี่อาจินต์ ที่ท่านสอนฝึกซ้อมวันก่อนจะขึ้นมาได้ว่า ท่านพูดเชิงพูดเล่นว่าเป็นยังไงล่ะ เป็นยังไงบ้างลมหายใจมันหายไปแล้ว ตายแล้วมั้งๆ ก็เลยคิดว่า เอ..อันนี้มันฝึกเหมือนกันมั้ง แต่เราคงจะไม่ได้ออกไปแบบของชาวบ้านเขา เพราะว่าเราฝึกแบบนี้นี่ เราก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้าพเจ้ายอมรับเลยว่าฝึกครั้งนี้เป็นครั้งแรก ก็เลยตั้งต้นใหม่ ก็ได้ยินเสียงหลวงพ่อว่า "เอ็ง จะภาวนาไปถึงไหน" เท่านี้เองก็เลยคิดว่า เอ้อ ! ออกได้หรือไม่ได้ก็ไปดีกว่า เพราะว่ามันมีความสุขมากจริงๆ

    พอจิตมันเริ่มเคลื่อน บริเวณตรงตัวเรามันจะเป็นโพรงใสขยายออกไป กว้างขึ้นๆแล้วก็ใสขึ้นๆ จนมันเคลื่อนออกไปได้ เคลื่อนออกไปได้นี่ ร่างกายกับจิตนี่มันไม่สัมผัสกันเลย มันไม่รู้เลยว่าเรามีกายที่นั่งตรงนั้น มันนิ่งจริงๆแล้วมันก็หายออกไป สว่างโล่งทั้งจักรวาลนี่สว่างมาก ก็กราบสมเด็จองค์ปฐมฯ

    ก่อนที่จะขึ้น จิตก็ตั้งไว้ว่าจะไปที่พระนิพพาน ไม่แวะที่ไหนเพราะว่าต้องการตาย ถ้าพบบ้านของเราเมื่อไหร่เราจะอยู่ที่นั่น ก็คิดไว้อย่างนี้ กราบท่านแล้วก็กราบทุกๆองค์ ท่านรออยู่ข้างบนหมด ทุกองค์ที่ขึ้นพระนิพพานได้ ท่านช่วยพวกเราหมด ภาพนี้ข้าพเจ้าอยากให้ทุกคนได้เห็นได้รู้จริงๆว่าผู้มีพระคุณ หรือว่าคนที่เคยเป็นพ่อเป็นแม่ในชาติก่อนๆท่านตั้งใจช่วยจริงๆ

    ท่านบอกว่าท่านรอเวลานี้มานานแล้วที่ลูกจะทำความดี ไปกราบสมเด็จองค์ปฐม ก็บอกกับท่านว่า "ลูกขอให้สอนธรรมะลูก" ท่านตรัสได้ไพเราะเพราะพริ้งมากท่านตรัสว่า "ดูแลกายแต่น้อย ให้สนใจจิตให้มาก" คำพูดสั้นๆแค่นี้เอง แต่ว่าถ้าเราได้ยินขณะนั้นแล้วปัญญาเราแล่นจริงๆ เหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์มันจะขยายความไปได้เยอะเลยว่า กายนี้คืออะไร ดูแลยังไง อะไรยังไง จะขยายไปเรื่อยๆ จะรู้จะฉลาด การคล่องตัวจะคล่อง
    ตัวมาก จะขยับทางไหนจะรวดเร็วมาก เพียงแต่เราคิดนิดเดียว พระจะรู้จิตเราหมดแล้วท่านก็พูดตัดบท

    ข้าพเจ้าได้รับคำสอนจากทุกองค์จะขอเล่าแต่เพียงย่อๆ จิตนั้นก็ไม่ได้ติดอะไรคือทุกองค์จะสอนหมด ท่านปู่ท่านย่า ท่านแม่ท่านพ่อ ท่านย่าวิสาขาท่านก็เดินมาหา ทุกองค์จะรอรับหมด ท่านย่าวิสาขามาทักว่า "เป็นยังไงล่ะ ย่าไปหาทำไมไม่ใช้วิปัสสนาญาณ" เท่านั้นเราก็จะร้องไห้อีกแล้ว เพราะสมัยท่านเราก็เคยเกิด ข้าพเจ้าบอกไม่ถูก ข้าพเจ้าจะไม่ขอเล่า แล้วก็กราบพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ที่อยู่บนนั้น หันมามองข้างล่างไม่ทันจะคิดที่จะทำอะไรทั้งสิ้น เพราะตอนนั้นมันตกตะลึง มันบอกไม่ถูก มันมีความสุขจริงๆ ลืมไอ้ตัวข้างล่างไปเลย

    ก็หันมามองดูข้างล่างก็เห็นลำแสงของทุกคนที่ขึ้นมาได้นั้น ถ้าเห็นจากข้างล่าง เราจะเห็นเป็นลำแสงขาวๆ แต่ถ้ามองจากข้างบนก็จะเห็นว่าไอ้แสงนั้นคือตัวของเราที่ใส่ชฎาแล้วหลุดขึ้นมา แล้วก็ขึ้นปรู้ด บางคนก็วิ่งลงไปใหม่

    ข้าพเจ้ามัวแต่โง่เสียเวลาขึ้นๆลงๆ เวลาเลยมีน้อย แต่ความตั้งใจตอนแรกว่าถ้าพบบ้านเราจะไม่ยอมลงมา แต่เราก็โง่อีกตามเคย ท่านชวนพูดชวนคุยจนได้สัญญาณหมดเวลา ข้าพเจ้าจำเป็นต้องลงมาดิ่งลงไปเลย

    ข้าพเจ้าขอจบการฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังของวันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ.2536 ไว้แเค่นี้


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 157 มีนาคม 2537 หน้า 95-97)

    การฝึกมโนยิทธิเต็มกำลัง 2 ลีลา โดย ประไพ สุนทราณู
    ตอนที่ 2



    ต่อไปจะเล่าถึงการฝึกวันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2536 วันอาทิตย์นี้ข้าพเจ้าขึ้นไปไม่เหมือนอย่างครั้งแรก ครั้งแรกที่ขึ้นไปนั้นท่านบอกว่าเป็นฌาน 4 ละเอียด แต่ว่าการขึ้นไปครั้งที่ 2 คือวันอาทิตย์นี้ไปแบบอภิญญา

    ข้าพเจ้าก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก เพียงแต่ว่าพอวันที่ 2 พอได้คาถา นะโมพุทธายะ ปิดหน้า ภาวนาไปได้สักประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นเอง เห็นลำแสงพุ่งมาจากไหนก็ไม่รู้ มาจากทุกทิศ มาจากทุกทิศจริงๆ ก็นึกในใจว่า เอ...ทำไมแสงมากอย่างนี้ ไม่รู้จะไปลำไหน ก็เลยเอาจิตพุ่งไปตรงกลางขึ้นไป ก็ไปอยู่ที่สมเด็จองค์ปัจจุบัน ไปวิมานท่าน ไปบนพระนิพพาน ไปถึงบนนั้นก็พบทุกพระองค์ครบเหมือนเดิมกราบทุกพระองค์ พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ข้างบนหมดพรหมทุกองค์ แล้วก็หลวงปู่แหวน ทุกองค์ได้พบหมดจริงๆ

    กราบองค์ปัจจุบันท่านแล้ว ก็นึกได้ถึงเรื่องเมื่อวานว่า คือท่านสอนข้าพเจ้า แล้วก็ข้าพเจ้าได้พูดออกไปว่า "ในเมื่อพ่อ...(ขอประทานอภัยที่ใช้เรียกแทนหลวงพ่อว่าพ่อเพราะขณะอยู่บนนั้นข้าพเจ้าเรียกอย่างนี้จริงๆ) พ่อเคยบอกว่าการที่ขึ้นมาได้บนนี้เป็นบุญอันสูงสุดของในพุทธศาสนา ลูกก็ถือว่าลูกทำความดีแล้ว ลูกจะขออยู่บ้านของลูกเลยได้ไหมเจ้าคะ"

    ท่านก็ทรงพระเมตตาตรัสว่า "นั่น..เธอทำไมถึงได้โง่อย่างนี้ เธอหันไปดูซิว่าเธอเกิดมากี่ชาติ เธอเป็นทาสขันธ์ 5 มากี่ชาติแล้ว ทำไมชาตินี้เธอชนะแล้ว ทำไมเธอไม่ใช้มันให้คุ้มให้หมดอายุขัย"

    (ข้าพเจ้าขอวงเล็บไว้ในที่นี้นะว่า "ที่ชนะแล้ว" นี่ ท่านหมายถึงตอนที่ข้าพเจ้าได้ขึ้นมาข้างบน ไม่ได้หมายถึงว่าข้าพเจ้าลงไปข้างล่างนะ การขึ้นมาข้างบนได้นี้ก็ถือว่าตอนนั้นจิตว่างจากกิเลส ขอให้ทุกท่านอย่าเข้าใจว่าข้าพเจ้าคุยโอ้อวดแต่ประการใด เจตนาจริงๆไม่มี ต้องการจะบอกเพียงแต่ว่าท่านสอนท่านตรัสแบบนี้จริงๆ)

    แล้วก็นึกสงสัยในใจว่า เอ...ทำไมสมเด็จองค์ปฐมฯก็สอนให้เราตัดขันธ์ 5 แล้วทำไมองค์ปัจจุบันท่านจะให้เราอยู่ต่อ ในเมื่อเราก็ไม่ต้องการมัน เพียงแค่นึกแค่นี้ ท่านไม่ตรัสอะไร ท่านยิ้มๆแล้วท่านก็บอกว่าทุกองค์เขาเข้ามาสอนเอง พระโมคคัลลาน์ก็มา ก็กราบท่านเพราะว่ารักท่านมาก แล้วก็เคยอยากจะเห็นท่านมาก กราบแล้วขอพรท่าน ท่านก็ให้พร

    ก็หันไปเห็นพระสารีบุตร ท่านกวักมือเรียกเข้าไปหา "เข้ามาซิ" ก็คลานเข้าไปกราบท่าน ท่านก็บอกว่า "มาใกล้ๆ มาใกล้ๆ มาให้ชัดๆ" ก็เลยเข้าไปกราบท่าน เห็นหลวงพ่อยืนอยู่ข้างๆด้วย ท่านบอกว่า "เรามันลูกพ่อนะ" แต่ว่าท่านเตือน "เวลาอยู่ในหมู่คณะเนี่ยให้สำรวมพวกมันจะบาปใหญ่" ตอนนี้ปัญญามันแล่นนะ ท่านหมายถึงอะไรข้าพเจ้ารู้

    ข้าพเจ้าขอขยายความตรงนี้นิดหนึ่ง (ขอกราบประทานอภัยถ้าหากไปกระทบจิตผู้หนึ่งผู้ใด ข้าพจ้าไม่มีเจตนา) การที่พระสารีบุตรท่านสอนครั้งนี้ ท่านเตือนครั้งนี้ถือว่าเป็นพระคุณใหญ่ คือข้าพเจ้าจริงๆแล้วนั้นจริตของข้าพเจ้านี้เลวมาก ข้าพเจ้าเป็นคนที่ไม่สำรวม จะไม่สำรวมอะไรเลยเป็นคนที่หน้าเป็นอยู่ตลอด ซึ่งมันผิดกับท่านที่ปฏิบัติจะเอาดีทางนี้ ท่านปฏิบัติอย่างเคร่งครัด แต่ข้าพเจ้านี้เลวจัด ไม่เคยสำรวมอะไรเลย

    ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ยึดที่ขันธ์ 5 ยึดที่จิต จิตข้าพเจ้าไม่ได้มุ่งทำร้ายใคร ปฏิบัติเพื่อเอาตัวของตัวเองพ้นนรก ท่านสอนนี้ท่านตั้งใจจะย้ำเตือนว่าอย่าทำอะไรที่มันทำให้คนอื่นมันจะบาปใหญ่

    ขอให้ทุกท่านอย่าสนใจกับขันธ์ 5 มากนัก อย่าดูคนที่การแต่งกาย อย่าดูคนที่ความรวย อย่าดูคนที่ความสวย อย่าดูคนที่ไม่สวย ให้ดูเขาที่จิต พวกเราลูกพ่อทุกคนได้รับการฝึกมาแล้ว อย่างน้อยๆมโนมยิทธิครึ่งกำลัง แจ่มใสบ้าง ไม่แจ่มใสบ้าง แต่ให้ดูกันที่จิต ให้วัดกันที่คุณงามความดี ลีลาของแต่ละคนไม่มีใครเปลี่ยนลีลาของตัวเองได้ นอกจากพระพุทธเจ้าองค์เดียว


    ตอนนั้นเราก็มีสติ เราก็คิดว่า เออ..เราเลวนะ เรายังปฏิบัติไม่ได้ ออกมาสำรวมก็คงจะสำรวมไม่ได้ ก็ขอกราบทุกๆท่านที่ท่านปฏิบัติได้ ปฏิบัติสำรวม ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบได้ ข้าพเจ้ากราบขอขมา จิตจริงๆข้าพเจ้าไม่ได้มีเจตนาจะลบหลู่หรือเจตนาที่จะล้อใครเล่น แต่เพียงแต่ว่านิสัยสันดานของข้าพเจ้านั้นมันเคยเป็นลิงมาก่อน คือเป็นคนหน้าเป็นขอให้ทุกท่านอย่าดูที่เสื้อผ้า อย่าดูที่กาย อย่าดูที่การกระทำ ให้ดูที่จิต ข้าพเจ้าฝากไว้แค่นี้ที่พระสารีบุตรท่านเตือน ท่านเมตตาเตือนมา

    พอหลังจากที่ท่านสอนแล้ว ท่านย่าก็มาสอนอีก (แต่ตอนนี้จะไม่ขอเล่า) มาเตือนอีกมาสอนอีก ใจก็ขยับจะไปกราบองค์ปัจจุบันและจะบอกว่าเบื่อจะขออยู่บ้านเราเลย พอเราคิดเท่านั้นเอง ท่านก็พูดขึ้นมาก่อน ท่านพูดขึ้นมาก่อนว่าให้หลวงพ่อพาข้าพเจ้าเที่ยว(อย่าใช้คำว่าเที่ยวเลยนะ ถ้าใช้คำว่าเที่ยวมันต้องเพลิดเพลินใช่ไหม แต่ไม่ใช่เลย ขอเรียกว่าการฝึกมากกว่า) ท่านพาไป 3 จุดใหญ่ๆ

    จุดแรกคือดาวดึงส์ หลวงพ่อฝึกเร็วมากรวดเร็วถึงขนาดที่ตั้งตัวไม่ได้ พอไปดาวดึงส์ก็ไปกราบท่านปู่ท่านย่าเป็นประธาน ทุกคนที่ดาวดึงส์ทุกองค์เป็นแก้วใสพรึบสว่างไปหมดไม่เห็นใครเป็นหน้าใคร สว่างพรึ่บไปหมด หลวงพ่อสั่งให้กราบผู้มีพระคุณ เราก็กราบ ขณะที่เรากราบ ท่านก็กราบด้วย เสร็จแล้วท่านก็ไม่ได้พูดอะไรมาก กราบท่านย่าเสร็จท่านก็พาขึ้นไปพรหม

    ตรงพรหมนี้เอง ท่านก็พูดว่า "เอ้า..! แกอยากจะเห็นลูกแกไม่ใช่หรือ เอ้า...! ฉันให้เวลาแกคุยกับลูกแก" ข้าพเจ้าก็ได้พบลูกชายที่ได้เสียชีวิตไปแล้ว คุยกับลูกชายสักครู่เดียวเท่านั้นเอง เขาเข้ามากราบที่เท้า แล้วเขาก็พูดเรื่องส่วนตัวของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าพูดกับเขาได้ครู่เดียว หลวงพ่อก็บอกว่า "ไปได้แล้ว"

    ท่านก็พาไปถึงพรหมชั้นที่ 16 ทุกอย่างสว่างไสวมาก สวยสดงดงามมาก แต่ว่าอารมณ์จิตที่พรหมนี้เทียบเท่าพระนิพพานไม่ได้เลยทุกอย่าง เบาก็จริง สว่างก็จริง แต่บนนิพพานนี้ไม่มีแม้กระทั่งลมหายใจ มันบอกไม่ถูกนะ มันไม่มีจริงๆ แต่ว่าบนพรหมนี้ยังรู้สึกมีลมหายใจเล็กน้อย การเคลื่อนไหวยังมีการ.. ไม่ทราบว่าจะอธิบายยังไงดีนะ ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงจริงๆ แต่ที่แน่ๆก็คือว่าถ้าขึ้นไปได้จะรู้ว่าอารมณ์จิตมันจะต่างกัน

    จากพรหมชั้นที่ 16 กราบท่านผู้เป็นใหญ่บนนั้นแล้ว ยังไม่ทันจะตั้งตัวเลย หลวงพ่อพาพุ่งลงมาหาท่านลุงพุฒิ พอเห็นท่านลุงปุ๊บ ข้าพเจ้าก็เกิดอาการลีลาของลิงเก่า วิ่งเข้าไปกอดเอวทันที แล้วก็กราบท่าน ข้าพเจ้าคุ้นกับท่านมานาน ก็ยังคิดอยู่ว่าเราคงตกนรกมาหลายแสนชาติ แต่ก็ได้รับคำตอบว่า "แกน่ะ ฉันเลี้ยงมาหลายชาติ ลุงดีใจที่แกขึ้นมา ที่แกมาได้นี่นะหรือหลานลุง ไม่เสียแรงที่ลุงเคยเลี้ยง" เสร็จแล้วท่านก็บอกว่าถ้ารักลุงก็ให้ขึ้นมาทุกวัน แล้วท่านก็ให้เห็นภาพอะไรเยอะแยะไปหมด ภาพนรกนี่มันชัด มันชัดมาก ชัดทำให้เราเห็นเลือดเกิดสดๆ ให้ดูแป๊บเดียว

    แล้วท่านก็ให้ดูรายชื่อคนที่อยู่ในบัญชีที่มันยังเป็นตัวแดงที่มันยังไม่พัน ท่านก็ให้ดู โอ...! ข้าพเจ้าตกใจ มากมายเหลือเกินชื่อในบัญชีแดงนี่มากเหลือเกิน ใจก็นึกค้าน ค้านท่านว่าทำบุญกันขนาดนี้แล้วทำไม ทำไมยังไม่พ้น ไม่พ้นนรกอีกหรือ นี่ข้าพเจ้าไม่ได้พูดออกมา แต่เพียงแต่นึกค้านในใจ

    ท่านลุงก็ตอบว่า "มันทำบุญ มันมีหลายระดับจิต มันทำบุญ แต่ว่ามันไม่ฝึก มันไม่มีธรรมะ มันไม่ได้ฝึกกรรมฐานกัน ใจมันก็ไม่ติดบุญ ในเมื่อไม่ติดบุญ ถ้ามันตายตอนนี้ มันก็ต้องมาที่นี่ เพราะมันมีทั้งบุญทั้งบาป แต่บอกพวกมันนะว่าลุงจะไม่คอยแล้ว พวกมันประมาทมาก มันถือว่าพ่อสร้างตาข่ายไว้หลายชั้น มันถึงได้ประมาทกันขนาดนี้"

    ข้าพเจ้าบอกว่าข้าพเจ้าไม่กล้าพูด ขัาพเจ้าไม่ขอพูด ท่านบอกให้ใช้คำพูดแบบนี้ ท่านสอนมาว่า "ให้บอกพวกมันว่า ถ้าพวกมันยังขืนประมาทอย่างนี้ ลุงจะไม่คอย ลุงจะไปแล้วนะ เพียงแต่พูดแค่นี้ คนที่มันฟังมันจะรับความรู้สึกได้เอง" ข้าพเจ้าก็รับปาก แล้วเสียงสัญญาณก็ดังขึ้นหมดเวลา

    ข้าพเจ้าก็กลับมา ลงมาตามเคย โง่อีกตามเคย จะขอพระท่านอยู่ข้างบน เสร็จแล้วเวลาก็หมดจนได้ ก็มารู้สึกตัวอีกทีหนึ่งก็คือข้างล่างนี่เอง การขึ้นไป 2 วันนี้ ความสุขจะต่างกันมาก วันแรกจะมีความสุขมาก มากถึงขนาดที่ว่าไม่เคยได้รับมาก่อน แต่วันที่ 2 จิตกับขันธ์ 5 นี้มีความรู้สึกยังต่อเนื่องกันอยู่ตลอด รู้สึกตลอดว่าเราทำอะไรแม้กระทั่งเกิดปีติ

    มีอยู่ตอนหนึ่งพระท่านตรัส องค์ปัจจุบันท่านตรัสเราเกิดปีติขึ้นมา จะมีขนลุกทางร่างกาย ไขสันหลังจะมีขนลุกขึ้นมา ท่านบอกให้ตัดปีติออกไปให้หมด แล้วเราก็จะร้องไห้ตอนแม่ศรีเข้ามากอดแล้วลูบหัวว่า "ไม่เสียแรงที่เป็นลูกแม่" ตอนนั้นมันอยากจะร้องไห้ออกมา ก็ถูกท่านดุว่า ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งร้องไห้ แต่ถ้าเราตัดไอ้ตัวนี้ออกไปข้างบนจะยิ่งมีความสุขใหญ่ อันนี้เองมั้งที่ท่านบอกไม่ให้เราห่วงร่างกาย ไม่ให้เราห่วงขันธ์ 5

    การที่ข้าพเจ้าได้เขียนมานี้ จะเป็นประโยชน์กับผู้คนมากก็ดีน้อยก็ดี ข้าพเจ้าเองนี้ไม่ได้คิดจะโอ้อวดตัวเอง ไม่เคยคิดที่จะเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา ไม่เคยที่จะคิดว่าการปฏิบัตินี้จะปฏิบัติพื่อตัวเองให้พ้นนรก อย่างน้อยๆก็จะขอสอนลูก จะขอช่วยลูกช่วยสามีให้เขาเห็นทุกข์เหมือนเรา เราเห็นทุกข์ก็อยากให้เขาเห็นด้วย ก็ยังไม่รู้ว่าจะทำได้มากน้อยแค่ไหน

    สิ่งที่พูดมานี้หรือเขียนมานี้ ข้าพเจ้าไม่ใช่นักเขียน คำพูดและวาจาอาจจะกระท่อนกระแท่น ไม่ไพเราะรื่นหู ขอกราบอภัยทุกๆท่านด้วย แต่ส่วนไหนที่จะเป็นประโยชน์ต่อพระศาสนา ต่อผู้คนที่จะพึงปฏิบัติ ก็ขอให้ส่วนนั้นเป็นความดียกให้กับเจ้าอาวาสก็คือหลวงพี่อนันต์ หลวงพี่ทุกองค์ที่อยู่ในวัดที่ท่านจัดงานนี้ขึ้นมา ข้าพเจ้าไม่รู้จะสนองคุณท่านอย่างไร กำลังกายร่างกายของข้าพเจ้าก็ไม่ค่อยแข็งแรง กำลังทรัพย์ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนชาวบ้าน ก็เลยคิดว่ากำลังใจคือกำลังจิตที่ฝึกนี้ จะขอเอาส่วนนี้สนองคุณท่านเป็นคุณงามความดีที่จะถวายท่าน และก็จะขอรับใช้พระศาสนาถ้ามีบุญวาสนาพอ

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 157 มีนาคม 2537 หน้า 97-101)


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2019
  3. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    115
    ค่าพลัง:
    +225,719
    ประสบการณ์ผู้ฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลัง
    ระหว่างวันที่ 18-19 ธันวาคม 2536


    สัมภาษณ์โดย หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าซุง

    คุณทิพยา วิลาวัลย์

    พระครูปลัดอนันต์ เป็นผู้สัมภาษณ์ (ถาม)
    คุณทิพยา วิลาวัลย์ (ตอบสัมภาษณ์)


    ถาม : ว่าไง ทิพยา ขึ้นไปครั้งแรกทำอารมณ์ใจอย่างไร

    ตอบ : ก่อนจะภาวนา ขณะที่ยกจานบูชาครูขึ้นแล้วกล่าวคำสมาทานพระกรรมฐานว่า
    ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายขอมอบกายถวายชีวิต ขอ
    มอบกาย วาจา ใจ ทั้งหมดบูชาแด่พระรัตนตรัย พร้อมตายถวายชีวิตบูชาพระพุทธศาสนา ถ้าจะ
    ตายเดี๊ยวนี้ก็ยินดี จิตไม่กลัว ไม่ห่วงใยอะไรทั้งสิ้น

    ขณะสมาทานอยู่นั้น ก็เห็นเทวดาและพรหม ยืนสองข้างทาง เป็นแถวระเบียบเรียบร้อย ยืนพนมมือ แต่งกายสีเหลืองแบบดอกบวบ ไม่ใช่เหลืองส้ม รัศมีสว่างออกจากเสื้อผ้าและผิวกาย ยิ่งแถวที่สูงขึ้นไปๆ ยิ่งมีรัศมีสว่างมาก ผิวกายเป็นแก้วใสระยิบระยับ ทางเบื้องหน้าเราเป็นสีขาวเรียบเสมอ สูงขึ้นไปมีแสงสว่างจ้าอยู่เบื้องหน้าลิบๆ จิตเราก็จะพุ่งไปที่แสงสว่างนั้นว่าเป็นที่ประทับขององค์สมเด็จฯองค์ปัจจุบัน จิตจะไป

    แต่ก็คิดว่าสมาทานยังไม่เสร็จเลย ภาวนาก็ยังไม่ภาวนา ใจนึกถึงพวกที่มาด้วยกันว่าไปกันหรือยัง จะไปไหนก็ไปกันถอะ ห้ามจิตไม่อยู่แล้ว ก็พุ่งไปกราบองค์สมเด็จฯท่าน แล้วก็ลากลับมาบอกว่าขอภาวนาและรับน้ำมนต์ก่อน

    ถาม : (หัวเราะ) อดโง่ไม่ได้เหมือนกันนะ

    ตอบ : กลับมาคืนอีกแล้วภาวนาไป ทีนี้ก็นั่งภาวนาไปก็มีความรู้สึกว่าทั้งพระทั้งฆราวาสเต็มไปหมด หัวติดกันเป็นแถวเลยมีมากเลย เดินไปข้างหน้าเรื่อยๆงั้นแหละ และมีหลวงปู่ปาน หลวงพ่อคอยพรมน้ำมนต์อยู่ข้างทาง โยมก็เห็นสภาพอย่างนั้น พอสักพักมีพระมาพรมน้ำมนต์ให้เหมือนกัน ทีนี้ก็โยมก็ภาวนาอีก เอ๊ะ..ทำไมว่ามีแสงสว่าง ไม่เห็นมีแสงสักทีเลย จิตก็คิดอย่างนี้ ภาวนาไปๆมีแสงเหมือนจากข้างล่างขึ้นมาเป็นเหมือนวงแหวนนะ หมุนอย่างนี้เลย โยมก็ว่า เอ๊ะ..เอาไฟฉายมาส่องหรือไงนะ จิตก็คิดยังงี้ โยมก็สงสัยเอาไฟฉายมาส่องมั้ง ไม่ใช่แสงจริง โยมคิดยังงี้ ทีนี้ภาวนาไปแสงก็มากขึ้นๆ เอ๊ะ..ลืมตามาดูหน่อย อ้าว...ไม่เห็น ไม่มีไฟฉายไม่มีอะไรเลย

    ถาม : อดโง่ไม่ได้อีกแล้ว แหม.โง่รอบสองเลยทีนี้ (หัวเราะ)

    ตอบ : เอ๊ะ..สงสัยแสงมาจริง ทีนี้ก็เลยหลับตาภาวนาใหม่ แสงตอนนี้ที่เห็นแสงสีทองตอนนี้ มันเป็นวงแหวนหมุนเร็วขึ้นๆ โยมก็เลยพุ่งไปเลยตอนนี้ พุ่งไปเห็นหลวงปู่ปาน หลวงพ่อนำหน้าเลย ท่านเดินอย่างเร็วเลย ไปถึงจิตโยมว่าเป็นพระจุฬามณี ไปถึงหลวงปู่ก็ประทับนั่งท่านอยู่ด้านนี้ หลวงพ่อฤๅษีท่านนั่งประทับแท่นอยู่ด้านนี้ เป็นแท่นสวยงาม โยมเห็นลักษณะสีทองบนนั้นน่ะ แล้วมีพวกเพชรพลอยประดับด้วย และมีลวดลายวิจิตรสวยงามมากเลย ทีนี้โยมก็เห็นว่าเท้าใครอยู่ข้างหลังหลวงปู่หลวงพ่อ แต่โยมไม่ทันสังเกต

    ก็กราบหลวงปู่หลวงพ่อก่อน หลวงพ่อท่านก็บอกว่า กราบองค์สมเด็จชิลูก โยมถึงเงยหน้าดู อุ๊ย...องค์สมเด็จทำไมองค์สูงใหญ่แท้ ว่ายังงี้ แต่งตัวเป็นเหมือนเทวดา มีเครื่องประดับ มีอะไร แล้วท่านนั่งห้อยพระบาท โยมก็กราบกราบแล้วโยมก็จับขาองค์สมเด็จ สวยจัง โยมก็กราบแทบพระบาทท่าน จิตก็คิดอีกว่า เรายังไม่ได้รับคทาเลย (หัวเราะ)

    ถาม : เอ้า..นี่โง่รอบสาม (หัวเราะ) จะมาเล่นคทาอีกแล้ว เออ..รอบสามแล้ว โง่นี่ไม่ได้สอนเลยน่ะ เป็นเอง (หัวเราะ)

    ตอบ : นี่ให้เป็นตัวอย่างว่าที่ควรจะจำไว้ (หัวเราะ) โยมก็กราบลาท่านบอก ขอไปรับคทาก่อน (หัวเราะ) แล้วโยมก็ลงมาคืน ลงมาคืนก็ภาวนาใหม่ ไม่เห็นมีแสงซะที คทาก็ไม่มาซะที ก็ภาวนาไปๆ ก็จิตพอดีได้ยินเสียงคนอื่นดังอะไร ตัดสินใจไม่สนใจ ภาวนาไปๆๆเห็นจานพลูที่บูชา จานพลูลอยขึ้นๆๆ เอ๊ะ..เอาอีกแล้ว แต่ตอนนี้ไม่มีแสงเป็นจานพลูเฉยๆลอยขึ้นๆ โยมเอาลอยก็ลอยตามไปเลยตามไป ทีนี้พอถึงข้างบนก็มืด โยมก็อธิษฐานขอบารมีองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอประทานแสงสว่างให้ลูกด้วยเถิดพระเจ้าข้า

    เทียน 5 เล่มในถาดเจ้าค่ะ เป็นแสงขึ้นเลย ปักตรงเป็นแสงเลยแล้วสว่าง พอไปถึงที่แห่งหนึ่งเทียนก็ปักข้างหน้าเลย ปุ๊ปๆๆ 5 ที่ โยมก็ เอ๊ะ..เทียนมาปักอยู่ตรงนี้ทำไม ก็มองผ่านไป เห็นมีเท้าใครอยู่เหมือนกับมีใครนั่ง มองขึ้นไป เอ้า..องค์สมเด็จ จิตก็คิดว่านี่พระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ โยมก็น้อมจิตกราบท่าน ขอประทานโอวาท ทีนี้ท่านก็ว่าแต่ที่โยมเห็นเป็นพระสงฆ์ค่ะ เป็นพระสงฆ์แต่ว่าสวยมากเลย จีวรนี้สวยมาก เท้าท่านก็สวยนิ้วท่านก็งอนสวยมาก เป็นแบบพระสงฆ์ค่ะแต่สวย และรัศมีสว่าง

    โยมก็กราบท่าน ท่านก็ว่า อิทธิบาท 4 ท่านว่าแต่ละองค์นะคะ อิทธิบาท 4 อริยสัจ 4 และก็บารมี 10 และองค์สุดท้ายท่านติดด้วยว่า นิพพาน โยมก็กราบท่านๆ ขอลาท่านอีกแหละ บอกว่าลงมารับคทาอีก (หัวเราะ)

    ถาม : เอ๊..ปราจีนบุรีทำไมมันโง่ยังงี้ว่ะ (หัวเราะ) แหม..

    ตอบ : (หัวเราะ) ก็หลวงพี่ไม่บอกว่า ไปเล้วก็แล้วเลยไม่ต้องคอยหรอก หลวงพี่ไม่บอก หลวงพี่บอกต้องมีพระพรมน้ำมนต์ ต้องมีไฟฉาย ต้องมีคฑาแตะหัว

    ถาม : เออๆๆ ต้องเป็นตัวอย่าง ครูก็โง่ด้วย (หัวเราะ) ไม่บอกให้หมด เลวจริงๆ เออ..

    ตอบ : ฟังเป็นตัวอย่าง ความโง่ โง่หลายหลายขั้นตอน ทีนี้โยมก็ภาวนาไปๆๆ ก็มีพระ ไม่รู้พระหรือเปล่า แต่ว่ามีไม้มาวางเบาๆตรงศีรษะ รู้สึกซู่ซ่าขึ้นมา แล้วเห็นร่างตัวเองเนี่ยเป็นเหมือนคนที่ตายแบบผุๆน่ะ ตายนานแล้ว แล้วก็มีสิ่งหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากศีรษะ แผ่นกระโหลกนี้แยกออก คล้ายกับศพที่ตายไปนานแล้วมันผุ มีสิ่งหนึ่งโผลขึ้นมา เป็นแสงประกายใสสีขาว โผล่ๆๆออกมา พอมาถึง เอ้า..นี่ พระพุทธเจ้านี่นา แท่นโผล่ออกยกเลย ถึงรู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้า โยมก็ตกใจ เอ๊ะ..พระพุทธเจ้าอยู่ในตัวเราได้ไง ก็ผลุบเข้าไปคืน (หัวเราะ)

    ถาม : โง่รอบที่หก (หัวเราะ) โง่รอบที่หก เอาพระพุทธเจ้าเก็บเสียอีก

    ตอบ : ผลุบเข้าไปคืน ก็ว่า เอ๊ะ..ทำไม จิตก็อยากจะออกอยู่นั่นแหละ ก็ภาวนาไป เอ้า..ออกก็ออก พระพุทธเจ้าก็พระพุทธเจ้าซิ โยมก็เลยพุ่งแบบตั้งจิตพุ่งไปเลย ก็เห็นเป็นเเบบพระพุทธเจ้าทั้งองค์พร้อมด้วยฐานบัว ฐานเป็นดอกบัวท่านประทับนั่งแบบสมาธิ องค์เป็นเพชรหมดใสสีสว่างหมดเลย สีขาวทั้งองค์และก็ท่านก็ลอยพุ่งขึ้นอย่างเร็วเลย ทีนี้โยมก็....จิตก็ว่าตัวเองนั่นแหละ องค์นั้นน่ะก็อยู่ในนั้นเลย

    ถาม : จิตอยู่ในนั้นเลย

    ตอบ : จิตอยู่ในนั้นลยค่ะ พุ่งขึ้นไป ไปถึงบนวิมานอีกวิมานหนึ่ง วิมานนี้ใหญ่มากมีเสาใหญ่ๆ คนโอบไม่รอบ สว่างมากเลย

    ถาม : เสาสีอะไร

    ตอบ : สีขาวเป็นเพชรค่ะ ขาวหมดเลยทั้งหมด มีลวดลายวิจิตรมาก สวยงามมาก มียอดก็เยอะๆๆ ซ้อนๆกัน ไปวนๆอยู่รอบ 3 รอบ 3 รอบแล้วพอไปถึงด้านหน้าก็หยุด หยุดแล้วก็ดอกบัวก็อยู่ตรงนั้นค่ะ แล้วก็โยมลุกขึ้นเป็นแบบเหมือนปางนิพพานยังงั้น เดินเข้าไปกราบองค์สมเด็จ องค์ท่านใหญ่มากเลยสีขาวใสสว่างหมด

    ถาม : รู้ไหมองค์นั้นมีพระนามว่าอะไร

    ตอบ : จิตไม่รับสัมผัส แต่จิตว่าองค์นี้ใหญ่มาก สงสัยจะสมเด็จองค์ปฐม ทีนี้ก็ไปกราบๆท่านบอกว่ามาแล้วหรือ โง่เหลือเกินนะ ท่านว่า (หัวเราะ) หลวงพ่อก็อยู่นั่นด้วย หลวงพ่อท่านก็มานั่งคอยอยู่

    ถาม : หลวงพ่อคงก้มหน้า ลูกศิษย์กนี่โง่จริงๆ (หัวเราะ)

    ตอบ : หลวงพ่อก็นั่งคอยอยู่ตั้งนานแล้ว จิตว่ายังงั้น หลวงพ่อท่านก็ว่า มาแล้วหรือ โง่เหลือเกิน กราบองค์สมเด็จซะ ว่ายังงี้ โยมก็ไปกราบท่าน ท่านบอกว่า ลูกน่ะ ต้องศึกษาพระไตรปิฎกให้มากนะ ได้ช่วยพระศาสนาทำงานทุกอย่างเหมือนที่หลวงพ่อเอ็งทำ บอก อุ๋ย..ลูกจะไปนิพพานแล้วค่ะ ลูกไม่เอาแล้วไม่อยู่ ลูกจะไปนิพพาน ท่านบอก จะไปก็ได้แต่ต้องช่วยศาสนาก่อน แล้วท่านก็บอกว่า รู้ไหม เอ็งกับพระอาจินต์น่ะเป็นพี่น้องกัน ปรารถนาที่จะมาช่วยเหลือหลวงพ่อช่วยพระศาสนา แล้วเอ็งมัวแต่เล่นยังงี้ เดี๋ยวก็แก่ตายเสียเปล่าไม่ได้อะไร ช่วยงานก็ไม่ได้ช่วย ท่านก็ว่ายังงี้ แล้วโยมก็ว่า กลัวจะทำไม่ได้ ท่านบอก ได้ชิ ถ้าเอ็งตั้งใจ โยมก็บอกลูกจะไปนิพพานเจ้าค่ะ ลูกไม่เอาแล้ว ท่านบอก นิพพานได้แน่ แต่เอ็งต้องช่วยศาสนาก่อน โยมก็นั่งฟังท่าน ท่านก็บอกว่าให้ฝึกกำลังใจให้เข้มแข็ง แล้วหลวงพ่อน่ะท่านเอาฝ่ามือทำงี้ ซัดโยมน่ะ

    ถาม : ตบหรือไง

    ตอบ : ไม่ตบค่ะ เหมือนกับจะผลักยังงั้นแหละ ซัดโยมน่ะ โยมก็กระเด็นไปโดนเสาโน้นเสานี้ๆ โดนกระแทก โยมว่าเอ๊ะ..เราเจ็บหรือเปล่า ก็ไม่เจ็บ จับดูหัวแตกหัวโนหรือเปล่า ก็ไม่เป็นไร เสาก็ไม่หัก โยมก็ว่า เอ๊ะ..ก็ดีน้อ

    ถาม : ท่านเอาพิษโง่ออกไงเล่า (หัวเราะ)

    ตอบ : (หัวเราะ) ท่านว่า เอ็งต้องฝึกพลังให้จิตให้เข้มแข็ง แล้วก็ฝึกตามพระไตรปิฎกให้มาก ท่านก็ว่ายังงี้ โยมก็นั่งฟังนั่งๆ หลวงพี่อาจินต์ก็มาฉุดข้อมือไป ไปๆๆ เร็วๆ ไปกราบพระพุทธเจ้า หลวงพี่อาจินต์ก็แต่งตัวเหมือนเทวดา เหมือนกับโยมนั่นแหละ แต่งเหมือนกันเลย ท่านก็จูงมือโยมไปกราบพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ โยมก็น้อมจิตกราบพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ แล้วก็กราบท่านพ่อท่านแม่ทั้งหมด หลวงปู่ หลวงพ่อ ก็พอสักพักก็หมดเวลาจริงๆ หมดเวลาก็เลยกลับ

    ถาม : ทีนี้คงไม่โง่แล้ว ปีหน้าครูก็ฉลาดขึ้นกว่านี้ เออ..ดีนี่เป็นตัวอย่าง

    ตอบ : เพราะว่าตอนเย็นก่อนที่จะฝึกเต็มกำลัง ตอนเย็นโยมนั่งสมาธิแบบสุกขวิปัสสโกอยู่ โยมก็พยายามนั่ง เต็มกำลังนี่ไม่มีครูเข้ามาแนะนำแน่ เราต้องพยายามทำจิตสงบให้ได้ฌาน 4 เพราะปกติโยมอยู่บ้านไม่ค่อยได้ทำเท่าไหร่ คิดว่าสมาธิตัวเองไม่ค่อยดี ก็พยายามภาวนา ภาวนาอย่างเดียวไม่ให้ไปไหน ให้จิตทรงฌาน 4 ให้ได้ ภาวนาไปๆๆ ตอนขั้นสุดท้ายนี่โยมเห็นตัวเองนี่ว่าหลวงปู่ หลวงพ่อ ทุกคนที่ฝึกในที่นี้ทั้งหมด เดินกันแบบ เดินสมาธิเข้าหาหลวงพ่อ แต่โยมไม่เดิน โยมนั่งไปเฉยๆ นั่งไปหาแบบไม่รู้ไปยังไง อยู่ๆก็ถึงอยู่ตรงหน้าหลวงปู่ หลวงพ่อ หลวงปู่อยู่ข้างขวา หลวงพ่ออยู่ข้างซ้าย


    พอไปถึงหลวงปู่ก็ซัดเอาแบบมือผลักยังงี้เลย ผลักอีกด้านหนึ่ง หลวงพ่อก็อีกด้านประกบกันนี่ ร่างโยมนี้แตกออกเลย ผิวงี้เหมือนกับเปลือกไม้กระเด็นออกไป แล้วก็ตัวเองก็เป็นแก้ว เป็นแก้วเหมือนแก้วกินน้ำ แก้วธรรมดาที่เห็นๆ แล้วโยมก็เห็นตัวเองเป็นผู้หญิงอย่างนี้ นั่งเบบนี้นั่งวางมือแบบนี้ เป็นเหมือนรูปปั้นงั้นแหละ โยมนั่งอยู่อย่างนี้ หลวงปู่ท่านก็จับหันมายังงี้ ท่านทำรุนแรง ท่านไม่ทำค่อยๆหรอก

    ถาม : เรียกว่าอยู่ตีนอยู่มือหน่อย

    ตอบ : (หัวเราะ) จับหันมาอย่างแรงเลย แล้วหลวงปู่ท่านก็เอาเกศพระพุทธรูป มาปักตรงข้างบน แล้วหลวงพ่อท่านก็มาตะปบตรงหน้าอกอย่างนี้ว่าให้เหมือน ทำตะปบอย่างนี้ จิตโยมว่าหลวงพ่อทำให้เราเป็นผู้ชาย ว่ายังงั้นแล้วก็หมุนๆๆ พอดูตัวเองอีกที เอ้า..เป็นรูปพระ เป็นพระธรรมดา เป็นพระแก้วธรรมดาไม่สว่างไม่ใสอะไร

    ท่านก็ผลักไปโน่นผลักไปนี่ ก็กระดอนกระเด็นชนโน่นชนนี่ แล้วก็จิตโยมก็คิดว่า ถ้าเป็นแก้วธรรมดาก็ต้องแตกแล้วนะว่ายังงั้ นอกจากเพชรเท่านั้นที่ไม่แตก แล้วแก้วโดนอะไรๆก็ต้องมีเหลี่ยมกระเทาะๆบ้าง โยมคิดไปเอง โยมคิดว่านอกจากเป็นเพชรเท่านั้นที่โดนอะไรแล้วไม่แตก ไม่หักจิตโยมก็คิดอย่างนี้

    ถาม : ไม่หวั่นไหว จิตเป็นเพชรที่พระนิพพาน

    ตอบ : พอโยมคิดอย่างนั้น หลวงปู หลวงพ่อท่านทำฝ่ามือแล้วแสงออกจากฝ่ามือท่านมาใส่โยมชะสว่างไปหมดเลย เป็นเพชรเลยทั้งตัวเลย ทีนี้ท่านก็ผลักโยมออกไปเลย โยมก็หันไปทั้งถอยหลังอย่างนั้นแหละ ถอยหลังไปเลย ทีนี้โยมก็ดูคนอื่นว่าหลวงพ่อทำ ท่านทำท่านยิ้มไหม โยมก็จ้องดูหน้าหลวงปู

    ถาม : จับผิดว่างั้นเถอะ ทำเรานี่ทำยังงี้ ทำคนอื่นยิ้มหรือเปล่า

    ตอบ : โยมก็ดูหลวงปู่ ดูหลวงพ่อ เอ๊ะ..หลวงพ่อท่านทำหน้าทรงสมาธิ ทำหน้าแบบตั้งใจมาก ทำหน้าทรงสมาธิทั้งหลวงปู่หลวงพ่อเลย ท่านทำแบบโป๊ะๆๆ คนอื่นเหมือนกัน แต่โยมว่าไม่รู้ว่าเป็นแก้วหรือไม่เป็นแก้ว โยมไม่รู้ มัวแต่ดูหน้าหลวงปู่กับหลวงพ่อ

    แล้วต่อไปก็เห็นท่านซัดเหมือนท่านซัดลูกบอลยังงี้แหละ บางคนก็ไปทั้งยืนเลย ใสเป็นเพชรไป บางคนก็ไปเป็นแบบกลมๆน่ะ บางคนก็กระเด็นไปไกล บางคนก็เด็นกลางๆ บางคนก็กระเด็นตกใกล้ๆ

    แต่ว่ารุ่นแรกๆจะเป็นแสงเหมือนเพชรที่ท่านผลักไป แต่รุ่นหลังๆ นี่จะเป็นทรงเครื่องเหมือนเทวดานี่ค่ะ แต่เป็นแก้วออกสีเหลืองอ่อนๆนิดๆ ไม่แก้วใสแต่เป็นสีเหลืองอ่อนๆหน่อยรุ่นหลังๆ

    ถาม : ที่ผลักไปคล้ายๆว่าเราขึ้นไปพบท่านนี่ชาร์ตแบตเตอรี่นี่ ไปเจอพ่อแม่ก็ดีใจใช่ไหม เหมือนคนชัดมา พอท่านเปล่งฉัพพรรณรังสีมาชัดงี้ก็ชื่นใจ ตัวก็เป็นพชรหมด ไม่เชื่อไปเจอหลวงพ่อเถอะ เราไปเจอหลวงพ่อใจก็ชื่นใช่ไหม ชื่นก็กำลังใจก็รวม

    ตอบ : โยมฝึกน่ะ ที่ขึ้นไปหาสมเด็จพระพุทธกัสสปน่ะ โยมไปกราบท่านพระพักตร์องค์นี้เลย องค์นี้พระพุทธกัสสป แล้วว่าท่านเป็นพ่อด้วย โยมนอนตักท่านกอดท่านตั้งนาน ท่านใจดีมาก สมเด็จองค์ปฐมน่ะ โยมนั่งสมาธิในห้องโยมก็เห็นแค่ปาก ปากท่านอิ่มๆสวยโยมยังคิดเลย พระองค์นี้ใครน้าก็ไม่เห็นหน้า เห็นแค่ตรงปาก โยมมาฝึกถึงว่าองค์ปฐมพระโอษฐ์ท่านอิ่มอูมและพระพักตร์ท่านสวยมากอิ่มสวย ก็ว่าองค์ปฐมนั่นเอง

    ตอนนั่งสมาธิในห้องเห็นแค่ปากท่าน ทีนี้พอกลางคืนหลังจากทำวัตรเย็นนั่งกรรมฐานเสร็จ โยมไปก็นอน ตอนเช้าโยมจะตื่นราวๆตี 3 โยมก็เจริญพระกรรมฐานคืนหลังจากที่ฝึกเต็มกำลังค่ะ คืนวานองค์
    สมเด็จโตท่านมา ท่านมาเทศน์โปรด ท่านบอกว่าเป็นนักบวชต้องสำรวมกาย วาจา ใจ ให้ระวัง เพราะมีโอกาสพลาดพลั้งกว่าชาวบ้านธรรมดา ท่านว่ายังงี้ ระวังเถอะมาปฏิบัติธรรม ไม่สนใจข้อวัตรปฏิบัติเอาแต่กินแล้วนอนๆ ตายไปจะเป็นหมู ท่านว่ายังงี้

    ถาม : โยมซิ โยมคอยจะเลี้ยงอยู่เรื่อยเลย

    ตอบ : แล้วท่านก็บอกว่าคอยแต่ว่าคนโน้นไม่ดี คนนี้ไม่ดี ติคนโน้น ติคนนี้ ทำเสียงดังกวนเขา เดี๋ยวจะไปเป็นหมา ท่านว่ายังงี้ แล้วก็กินข้าวเขาไม่รู้จักคุณคนที่เอาข้าวมาให้กิน เขาเหน็ดเหนื่อยกว่ามาจะได้ข้าวมากิน กินไม่สำรวม กินไม่ระวังเนี่ยจะต้องไปเป็นหมาเฝ้าสมบัติให้เขา เพราะว่าไม่รู้จักคุณค่าสมบัติที่เขามาทำบุญให้ แล้วท่านบอกว่าพูดคุยกันจ๊อกแจ๊กๆจอแจกวนสมาธิคนอื่นน่ะ ไปเป็น
    นกน่ะ ปากอยู่ไม่สุข ท่านก็ว่ายังงี้น่ะเจ้าค่ะ

    แล้วพอเมื่อเช้านี้ก็โยมเจริญพระกรรมฐาน สมเด็จเจ้าคุณนรฯ ท่านก็มาเทศน์โปรดท่านพูดถึงเรื่องขันธ์ 5 เรื่องร่างกาย พอหลวงพี่อาจินต์นำวันนี้ คล้ายเลยเหมือนที่ให้เกี่ยวกับตัดร่างกาย ร่างกายอย่างโน้นอย่างนี้อะไรๆ โยมก็จดไว้เหมือนกัน ลืมบ้างจำได้บ้าง โยมถึงว่าที่ไปกราบองค์สมเด็จที่ท่านประทานพระไตรปิฎกด้วย เป็นเล่มใหญ่และสีทอง โยมยังว่าเอ๊ะ..เกี่ยวอะไรกับโยม โยมปฏิบัติเบบหลวงพ่อนี่ก็สบายๆอยู่แล้ว เกี่ยวอะไร

    ถาม : พระไตรปิฏกคือ ขันธ์ 5 เรานี่แหละ รู้ขันธ์ 5 รู้ตามความเป็นจริง พระไตรปิฏกอยู่ในนี้แหละ อยู่ในร่างกายเรานี่แหละ พระไตรปิฎกน่ะ ที่พระโบราณสมัยเห็นไหมล่ะปฏิสัมภิทาญาณไม่ได้เรียนหนังสือสักตัว ไม่ได้เรียนรู้หนังสือสักตัว คือรู้ขันธ์ 5 ทุกอย่าง รู้ในขันธ์ 5 คือพระไตรปิฎก ความหมายจริงๆ

    ตอบ : โยมก็ลืมไป ตอนท่านเทศน์น่ะ ท่านแกะห่อเหมือนห่อหมกเนี่ยให้โยมคู

    ถาม : ใครเทศน์

    ตอบ: หลวงปู่โตค่ะ โยมคูนึกว่าห่อหมก ทีไหนได้กลายเป็นอุจจาระเฉยเลย ท่านบอกว่าเอ้า กินเข้าซิๆๆ โยมว่จะกินได้ยังไง กินไม่ได้ท่านบอก กินได้ ทำไมจะกินไม่ได้ เอ็งพิจารณาดูชิลุจจาระมีอะไรบ้าง ท่นก็ว่ายังี้โยมพิจารณาดูก็ว่ามันมีอหารที่เราล่น้อ มีเนื้อ มีเศษผักอะไรต่ออะไร แล้วก็มีเชื้อโรค มีพยาธิด้วย
    โยมก็ดูในนั้นว่าเป็นอย่งนี้มันสกปรก ของเราก็กินไปแล้วมันก็เป็นยังงี้ ที่แท้มันก็สกปรกเหมือนกัน แล้วโยมก็คิดว่าหนอนน่ะ หนอนมันกินของเน่าของสกปรก เราก็ว่ามันสกปรกที่เท้เรากับหนอนก็เหมือนกัน โยมก็คิดอย่างนี้แล้วพอโยมคิดอย่างนี้ ท่านก็บอกดีแล้ว ถกแล้ว เวลากินอาหารก็พิจารณาอย่างนี้น่ะ ท่าน
    ก็ว่ายังงี้ แล้วท่านก็ถาม มีมีดอีโต้เล่มหนึ่งแล้วก็มีพวกเพชรนิลจินดาอยู่อีกกองหนึ่ง ท่านก็ถามว่าสองกองนี้เอ็งว่าอันไหนมีค่ามากที่สุดโยมก็ดูไปดูมา มันคิดเองน่ะ ถ้าเป็นตอนนี้โยมเอาทองน่ะ (หัวเราะ)

    ถาม : ตอนนั้นเอาอะไร

    ตอบ : โยมก็บอกว่า มืดอีโต้ดีกว่าเจ้าค่ะท่านก็ถามว่ามันดียัไงโยมก็บอก มีดนี่ใช้ได้สารพัดเลย สามารถถากถางจากไม้ธรรมดาให้เป็นสิ่งโน้นให้เป็นสิ่งนี้ได้ ใช้ประโยชน์ใช้สอยได้ ตัดผ้าก็ได้ ทำอะไรก็ได้สารพัด โยมก็ว่ายังงี้ ทำอะไรได้เป็นประโยชน์ทั้งหมดแหละเพชรนิลจินดาได้แค่ประดับเอง ตายไปก็ไม่
    เห็นเอาไปได้ แล้วก็มันแค่ไว้โชว์ไว้อวดเขาเท่านั้นเอง ไม่เห็นมีประโยชน์ตรงไหนเลย สู้มีดอีโต้เล่มเดียวไม่ได้ โยมก็ว่ายังงี้ท่านก็บอก เออ..ถูกแล้ว ให้ทำจิตยังงี้เสมอๆ พิจารณาเสมอๆ ไม่ว่าอะไร พยายาม
    อย่าติดในสมบัติในวัตถุทั้งหลาย ท่านว่าอย่างนี้

    ถาม : เออ..ดีมากๆๆ สาธุ สาธุ สาธุ

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 156 กุมภาพันธ์ 2537 หน้า 83-86)


    สัมภาษณ์คุณทิพยา วิลาวัลย์ (ต่อจากเมื่อวาน)


    ถาม : ทีนี้คงไม่โง่แล้ว ปีหน้าครูก็ฉลาดขึ้นกว่านี้ เออ..ดีนี่เป็นตัวอย่าง

    ตอบ : เพราะว่าตอนเย็นก่อนที่จะฝึกเต็มกำลัง ตอนเย็นโยมนั่งสมาธิแบบสุกขวิปัสสโกอยู่ โยมก็พยายามนั่ง เต็มกำลังนี่ไม่มีครูเข้ามาแนะนำแน่ เราต้องพยายามทำจิตสงบให้ได้ฌาน 4 เพราะปกติโยมอยู่บ้านไม่ค่อยได้ทำเท่าไหร่ คิดว่าสมาธิตัวเองไม่ค่อยดี ก็พยายามภาวนา ภาวนาอย่างเดียวไม่ให้ไปไหน ให้จิตทรงฌาน 4 ให้ได้ ภาวนาไปๆๆ ตอนขั้นสุดท้ายนี่โยมเห็นตัวเองนี่ว่าหลวงปู่ หลวงพ่อ ทุกคนที่ฝึกในที่นี้ทั้งหมด เดินกันแบบ เดินสมาธิเข้าหาหลวงพ่อ แต่โยมไม่เดิน โยมนั่งไปเฉยๆ นั่งไปหาแบบไม่รู้ไปยังไง อยู่ๆก็ถึงอยู่ตรงหน้าหลวงปู่ หลวงพ่อ หลวงปู่อยู่ข้างขวา หลวงพ่ออยู่ข้างซ้าย

    พอไปถึงหลวงปู่ก็ซัดเอาแบบมือผลักยังงี้เลย ผลักอีกด้านหนึ่ง หลวงพ่อก็อีกด้านประกบกันนี่ ร่างโยมนี้แตกออกเลย ผิวงี้เหมือนกับเปลือกไม้กระเด็นออกไป แล้วก็ตัวเองก็เป็นแก้ว เป็นแก้วเหมือนแก้วกินน้ำ แก้วธรรมดาที่เห็นๆ แล้วโยมก็เห็นตัวเองเป็นผู้หญิงอย่างนี้ นั่งเบบนี้นั่งวางมือแบบนี้ เป็นเหมือนรูปปั้นงั้นแหละ โยมนั่งอยู่อย่างนี้ หลวงปู่ท่านก็จับหันมายังงี้ ท่านทำรุนแรง ท่านไม่ทำค่อยๆหรอก

    ถาม : เรียกว่าอยู่ตีนอยู่มือหน่อย

    ตอบ : (หัวเราะ) จับหันมาอย่างแรงเลย แล้วหลวงปู่ท่านก็เอาเกศพระพุทธรูป มาปักตรงข้างบน แล้วหลวงพ่อท่านก็มาตะปบตรงหน้าอกอย่างนี้ว่าให้เหมือน ทำตะปบอย่างนี้ จิตโยมว่าหลวงพ่อทำให้เราเป็นผู้ชาย ว่ายังงั้นแล้วก็หมุนๆๆ พอดูตัวเองอีกที เอ้า..เป็นรูปพระ เป็นพระธรรมดา เป็นพระแก้วธรรมดาไม่สว่างไม่ใสอะไร

    ท่านก็ผลักไปโน่นผลักไปนี่ ก็กระดอนกระเด็นชนโน่นชนนี่ แล้วก็จิตโยมก็คิดว่า ถ้าเป็นแก้วธรรมดาก็ต้องแตกแล้วนะว่ายังงี้ นอกจากเพชรเท่านั้นที่ไม่แตก แล้วแก้วโดนอะไรๆก็ต้องมีเหลี่ยมกระเทาะๆบ้าง โยมคิดไปเอง โยมคิดว่านอกจากเป็นเพชรเท่านั้นที่โดนอะไรแล้วไม่แตกไม่หัก จิตโยมก็คิดอย่างนี้

    ถาม : ไม่หวั่นไหว จิตเป็นเพชรที่พระนิพพาน

    ตอบ : พอโยมคิดอย่างนั้น หลวงปู่ หลวงพ่อท่านทำฝ่ามือแล้วแสงออกจากฝ่ามือท่านมาใส่โยมชะสว่างไปหมดเลย เป็นเพชรเลยทั้งตัวเลย ทีนี้ท่านก็ผลักโยมออกไปเลย โยมก็หันไปทั้งถอยหลังอย่างนั้นแหละ ถอยหลังไปเลย ทีนี้โยมก็ดูคนอื่นว่าหลวงพ่อทำ ท่านทำท่านยิ้มไหม โยมก็จ้องดูหน้าหลวงปู

    ถาม : จับผิดว่างั้นเถอะ ทำเรานี่ทำยังงี้ ทำคนอื่นยิ้มหรือเปล่า

    ตอบ : โยมก็ดูหลวงปู่ ดูหลวงพ่อ เอ๊ะ..หลวงพ่อท่านทำหน้าทรงสมาธิ ทำหน้าแบบตั้งใจมาก ทำหน้าทรงสมาธิทั้งหลวงปู่หลวงพ่อเลย ท่านทำแบบโป๊ะๆๆ คนอื่นเหมือนกัน แต่โยมว่าไม่รู้ว่าเป็นแก้วหรือไม่เป็นแก้ว โยมไม่รู้ มัวแต่ดูหน้าหลวงปู่กับหลวงพ่อ

    แล้วต่อไปก็เห็นท่านซัดเหมือนท่านซัดลูกบอลยังงี้แหละ บางคนก็ไปทั้งยืนเลย ใสเป็นเพชรไป บางคนก็ไปเป็นแบบกลมๆน่ะ บางคนก็กระเด็นไปไกล บางคนก็กระเด็นกลางๆ บางคนก็กระเด็นตกใกล้ๆ

    แต่ว่ารุ่นแรกๆจะเป็นแสงเหมือนเพชรที่ท่านผลักไป แต่รุ่นหลังๆนี่จะเป็นทรงเครื่องเหมือนเทวดานี่ค่ะ แต่เป็นแก้วออกสีเหลืองอ่อนๆนิดๆ ไม่แก้วใสแต่เป็นสีเหลืองอ่อนๆหน่อยรุ่นหลังๆ

    ถาม : ที่ผลักไปคล้ายๆว่าเราขึ้นไปพบท่านนี่ ชาร์ตแบตเตอรี่นี่ ไปเจอพ่อแม่ก็ดีใจใช่ไหม เหมือนคนชัดมา พอท่านเปล่งฉัพพรรณรังสีมาชัดงี้ก็ชื่นใจ ตัวก็เป็นเพชรหมด ไม่เชื่อไปเจอหลวงพ่อเถอะ เราไปเจอหลวงพ่อใจก็ชื่นใช่ไหม ชื่นก็กำลังใจก็รวม

    ตอบ : โยมฝึกน่ะ ที่ขึ้นไปหาสมเด็จพระพุทธกัสสปน่ะ โยมไปกราบท่านพระพักตร์องค์นี้เลย องค์นี้พระพุทธกัสสป แล้วว่าท่านเป็นพ่อด้วย โยมนอนตักท่านกอดท่านตั้งนาน ท่านใจดีมาก สมเด็จองค์ปฐมน่ะ โยมนั่งสมาธิในห้องโยมก็เห็นแค่ปาก ปากท่านอิ่มๆสวยโยมยังคิดเลย พระองค์นี้ใครน้าก็ไม่เห็นหน้า เห็นแค่ตรงปาก โยมมาฝึกถึงว่าองค์ปฐมพระโอษฐ์ท่านอิ่มอูมและพระพักตร์ท่านสวยมากอิ่มสวย ก็ว่าองค์ปฐมนั่นเอง

    ตอนนั่งสมาธิในห้องเห็นแค่ปากท่าน ทีนี้พอกลางคืนหลังจากทำวัตรเย็นนั่งกรรมฐานเสร็จ โยมไปก็นอน ตอนเช้าโยมจะตื่นราวๆตี 3 โยมก็เจริญพระกรรมฐานคืนหลังจากที่ฝึกเต็มกำลังค่ะ คืนวานองค์สมเด็จโตท่านมา ท่านมาเทศน์โปรด ท่านบอกว่าเป็นนักบวชต้องสำรวมกาย วาจา ใจ ให้ระวัง เพราะมีโอกาสพลาดพลั้งกว่าชาวบ้านธรรมดา ท่านว่ายังงี้ ระวังเถอะมาปฏิบัติธรรม ไม่สนใจข้อวัตรปฏิบัติเอาแต่กินแล้วนอนๆ ตายไปจะเป็นหมู ท่านว่ายังงี้

    ถาม : โยมซิ โยมคอยจะเลี้ยงอยู่เรื่อยเลย

    ตอบ : แล้วท่านก็บอกว่าคอยแต่ว่าคนโน้นไม่ดี คนนี้ไม่ดี ติคนโน้น ติคนนี้ ทำเสียงดังกวนเขา เดี๋ยวจะไปเป็นหมา ท่านว่ายังงี้ แล้วก็กินข้าวเขาไม่รู้จักคุณคนที่เอาข้าวมาให้กิน เขาเหน็ดเหนื่อยกว่ามาจะได้ข้าวมากิน กินไม่สำรวม กินไม่ระวังเนี่ยจะต้องไปเป็นหมาเฝ้าสมบัติให้เขา เพราะว่าไม่รู้จักคุณค่าสมบัติที่เขามาทำบุญให้ แล้วท่านบอกว่าพูดคุยกันจ๊อกแจ๊กๆจอแจกวนสมาธิคนอื่นน่ะ ไปเป็นนกน่ะ ปากอยู่ไม่สุข ท่านก็ว่ายังงี้น่ะเจ้าค่ะ

    แล้วพอเมื่อเช้านี้ก็โยมเจริญพระกรรมฐาน สมเด็จเจ้าคุณนรฯ ท่านก็มาเทศน์โปรดท่านพูดถึงเรื่องขันธ์ 5 เรื่องร่างกาย พอหลวงพี่อาจินต์นำวันนี้ คล้ายเลยเหมือนที่ให้เกี่ยวกับตัดร่างกาย ร่างกายอย่างโน้นอย่างนี้อะไรๆ โยมก็จดไว้เหมือนกัน ลืมบ้างจำได้บ้าง โยมถึงว่าที่ไปกราบองค์สมเด็จที่ท่านประทานพระไตรปิฎกด้วย เป็นเล่มใหญ่และสีทอง โยมยังว่า เอ๊ะ..เกี่ยวอะไรกับโยม โยมปฏิบัติแบบหลวงพ่อนี่ก็สบายๆอยู่แล้ว เกี่ยวอะไร

    ถาม : พระไตรปิฏกคือ ขันธ์ 5 เรานี่แหละ รู้ขันธ์ 5 รู้ตามความเป็นจริง พระไตรปิฏกอยู่ในนี้แหละ อยู่ในร่างกายเรานี่แหละ พระไตรปิฎกน่ะ ที่พระโบราณสมัยเห็นไหมล่ะปฏิสัมภิทาญาณไม่ได้เรียนหนังสือสักตัว ไม่ได้เรียนรู้หนังสือสักตัว คือรู้ขันธ์ 5 ทุกอย่าง รู้ในขันธ์ 5 คือพระไตรปิฎก ความหมายจริงๆ

    ตอบ : โยมก็ลืมไป ตอนท่านเทศน์น่ะ ท่านแกะห่อเหมือนห่อหมกเนี่ยให้โยมดู

    ถาม : ใครเทศน์

    ตอบ : หลวงปู่โตค่ะ โยมดูนึกว่าห่อหมก ที่ไหนได้กลายเป็นอุจจาระเฉยเลย ท่านบอกว่าเอ้า กินเข้าซิๆๆ โยมว่าจะกินได้ยังไง กินไม่ได้ ท่านบอกกินได้ ทำไมจะกินไม่ได้ เอ็งพิจารณาดูซิอุจจาระมีอะไรบ้าง ท่านก็ว่ายังงี้ โยมพิจารณาดูก็ว่ามันมีอาหารที่เราล่ะน้อ มีเนื้อ มีเศษผักอะไรต่ออะไร แล้วก็มีเชื้อโรค มีพยาธิด้วย

    โยมก็ดูในนั้นว่าเป็นอย่างนี้มันสกปรก ของเราก็กินไปแล้วมันก็เป็นยังงี้ ที่แท้มันก็สกปรกเหมือนกัน แล้วโยมก็คิดว่าหนอนน่ะ หนอนมันกินของเน่าของสกปรก เราก็ว่ามันสกปรกที่แท้เรากับหนอนก็เหมือนกัน โยมก็คิดอย่างนี้ แล้วพอโยมคิดอย่างนี้ ท่านก็บอกดีแล้ว ถูกแล้ว เวลากินอาหารก็พิจารณาอย่างนี้น่ะ ท่านก็ว่ายังงี้

    แล้วท่านก็ถามมีมีดอีโต้เล่มหนึ่งแล้วก็มีพวกเพชรนิลจินดาอยู่อีกกองหนึ่ง ท่านก็ถามว่าสองกองนี้เอ็งว่าอันไหนมีค่ามากที่สุด โยมก็ดูไปดูมา มันคิดเองน่ะ ถ้าเป็นตอนนี้โยมเอาทองน่ะ (หัวเราะ)

    ถาม : ตอนนั้นเอาอะไร

    ตอบ : โยมก็บอกว่ามีดอีโต้ดีกว่าเจ้าค่ะ ท่านก็ถามว่ามันดียังไง โยมก็บอก มีดนี่ใช้ได้สารพัดเลย สามารถถากถางจากไม้ธรรมดาให้เป็นสิ่งโน้นให้เป็นสิ่งนี้ได้ ใช้ประโยชน์ใช้สอยได้ ตัดผ้าก็ได้ ทำอะไรก็ได้สารพัด โยมก็ว่ายังงี้ ทำอะไรได้เป็นประโยชน์ทั้งหมดแหละ เพชรนิลจินดาได้แค่ประดับเอง ตายไปก็ไม่เห็นเอาไปได้ แล้วก็มันแค่ไว้โชว์ไว้อวดเขาเท่านั้นเอง ไม่เห็นมีประโยชน์ตรงไหนเลย สู้มีดอีโต้เล่มเดียวไม่ได้ โยมก็ว่ายังงี้ ท่านก็บอก เออ..ถูกแล้ว ให้ทำจิตยังงี้เสมอๆ พิจารณาเสมอๆ ไม่ว่าอะไรพยายามอย่าติดในสมบัติในวัตถุทั้งหลาย ท่านว่าอย่างนี้

    ถาม : เออ..ดีมากๆๆ สาธุ สาธุ สาธุ


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 156 กุมภาพันธ์ 2537 หน้า 80-86)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ธันวาคม 2019
  4. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    115
    ค่าพลัง:
    +225,719

    (งานธุดงค์วัดท่าซุงปี 2562 หลวงพ่อชัยวัฒน์ อชิโต อบรมนาค 210 ท่าน นาทีที่ 4.20 ขึ้นไปหลวงพ่อเล่าถึงผ้ายันต์พิชัยสงครามเอาไว้ด้วยครับ)


    ผ้ายันต์พิชัยฯ.jpg
     
  5. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    115
    ค่าพลัง:
    +225,719


    ประสบการณ์ผู้ฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลัง
    ระหว่างวันที่ 18-19 ธันวาคม 2536


    สัมภาษณ์โดย หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าซุง


    คุณปู ศรีนวล จ.สุพรรณบุรี

    พระครูปลัดอนันต์ พทฺรญาโณ ผู้ถาม
    คุณปู ศรีนวล ผู้ตอบ (เล่าผลการฝึก)


    ถาม : ไม่ต้องกลัว พี่น้องกันทุกคนนี่ ลูกพ่อเดียวกันทุกคนน่ะ บ้านอยู่ที่ไหน สุพรรณหรือ วันที่ได้มโนมยิทธิเต็มกำลังนี่วันไหน วันเสาร์
    หรือวันอาทิตย์

    ตอบ : วันที่ วันอะไรล่ะ วันแรก

    ถาม : วันที่ภาวนา นะมะ พะธะ หรือเปล่า

    ตอบ : ที่ภาวนาก็ที่เขาบอกว่าให้นั่งบอกว่า นะมะ พะธะ เนี่ย เขาว่าเนี่ย ขอบารมีอยากจะเห็นหลวงพ่อ อยากจะเห็นหลวงพ่อด้วย แล้วก็อยากเห็น ก็ขอพระพุทธเจ้าช่วยลูกด้วย ฉันก็ว่าไม่เป็น ฉันก็ว่าไปยังงั้นแหละ พูดไปพูดมา มันก็สั่น มันก็ตึ้กๆๆ ฉันก็กลัว ใจมันยังไงก็ไม่รู้ ตึ้กๆๆ บอกไม่ถูก มันรัว ฉันก็ร้องไห้เลย

    ถาม : ร้องเพราะอะไร

    ตอบ : มันกลัวน่ะ มันกลัวมันจะขาดไปเลยน่ะ มันขาดเปี๊ยบไปงั้น ทีนี้มันก็ไงก็ไม่รู้ มันปุ๊บหายไปไงก็ไม่รู้ ไม่กลัวอีกแล้ว ไม่กลัวก็เห็นรูปพระพุทธเจ้าเนี่ย องค์อย่างนี้องค์ใหญ่อย่างนี้ ก็เลยไหว้เลย บอกช่วยลูกด้วยลูกกลัว ขอพรให้ลูกได้ไปเห็นหลวงพ่อทีเถอะ ว่ายังงั้น มาอีกองค์แล้ว ทีนี้ก็สูงซิ ฉันก็แหงนขึ้นไปสูงใหญ่ โอ๊ย..ไม่มองแล้ว ทีนี้ก็กราบเท้า ก็ขอให้เห็นพ่อทีเถอะ ลูกอยากเห็นพ่อเห็นหลวงพ่อ ทีนี้ก็มันก็แวับอีกแล้ว อะไรมันแว้บขาวพรึบไปเลย ก็ไม่รู้ไปยังไง แพ๊บไปเห็นหลวงพ่ออีกแล้ว

    ถาม : เห็นหลวงพ่ออีก

    ตอบ : ฉันก็เลยไหว้ ฉันก็ร้องไห้ หลวงพ่อลูกกลัวจะตายไป ว่างั้นน่ะ ลูกกลัวเหลือเกิน หลวงพ่อช่วยลูกด้วยซิ "อีคนนี้มันขี้แงจริงๆ" หลวงพ่อว่าฉันขี้แง

    ถาม : หลวงพ่อว่าหรือไง

    ตอบ : ใช่ แล้วก็เอาไม้นั้นน่ะเคาะหัวฉันทีหนึ่ง มันขี้แง ขี้ขลาดว่างั้น ฉันก็ว่าหลวงพ่อ ลูกอยากเห็นหลวงพ่อ "ก็เห็นแล้วก็ไหว้ซิ" หลวงพ่อบอก "ไม่ไหว้หลวงปู่ก่อนล่ะ"

    ถาม : หลวงปู่ปาน

    ตอบ : ใช่หลวงปู่ปาน บอกไม่ไหว้หลวงปู่ก่อนล่ะ ฉันก็เลยไหว้หลวงปู่ปานอีก ไหว้ๆ ฉันก็ว่า หลวงพ่อ ลูกอยากเห็นอะไรล่ะ หลวงพ่อต้องพาลูกไปน่ะ ลูกกลัว ว่างั้น ท่านก็เดิน เอ้า..ไปก็ไป หลวงปู่ปานก็เดินขึ้นหน้า หลวงพ่อก็ตามหลัง ฉันก็ตามตูดไปนั่นแหละ

    ถาม : ตามตูด (หัวเราะ)

    ตอบ : (หัวเราะ) ตามไปๆๆ ฉันก็บอกอยากเห็นพระมุนีน่ะ

    ถาม : พระจุฬามณี

    ตอบ : จ๊ะ เรียกไม่ถูก เอ้า...ไป ฉันก็ไป แว้บไปถึงอีกแล้ว ไปถึง ก็ไหว้ๆๆ ฉันก็ร้องไห้อีก ร้องไห้อีกแล้ว หลวงพ่อยืนรอ ฉันก็บอกหลวงพ่ออย่าไปไหนน่ะ อยู่รอลูกตรงนี้น่ะ

    ถาม : ชักดุแล้ว (หัวเราะ)

    ตอบ : ฉันขี้ขลาดน่ะ ว่ายังงี้ หลวงพ่อบอก "เออ ยืนรอก่อน" ฉันก็ไหว้ๆๆ แล้วก็องค์ขาวๆน่ะเป็นพลอย ขาวเลย สวยเหลือเกิน ที่นั่งอยู่น่ะสวยแว๊บหมดเลย สวย ฉันก็ร้องไห้อีก ขอสตังค์

    ถาม : ขอใคร ขอเงินหลวงพ่อ (หัวเราะ)

    ตอบ : ฉันก็ขอเงิน ขอเงินๆ ทีนี้บอกลูกตัวคนเดียวน่ะ ลูกลำบาก ลูกอยากมาหาหลวงพ่อได้ไหม มาง่ายๆ มีเงินเยอะๆ ว่างั้น ท่านก็หัวเราะ พูดไปพูดมา ไม่ให้ พูดไปพูดมา ให้กระเป๋า ให้กระเป๋าเป็นสี่เหลี่ยม อุ๊ย..ไม่เอาหรอกกระเป๋าไม่เห็นมีอะไรเลย ฉันว่ายังงั้นน่ะ
    กระเป๋าเป็นพลอยๆ ไม่มีอะไร ไม่เอาหรอก ท่านก็นิ่ง ท่านก็ว่า "เออ..อะไรให้กระเป๋าไม่เอา" ทำไปทำมา เอาก็เอาว่ะ

    ถาม : (หัวเราะ) ตัดสินใจเอาเลย

    ตอบ : เอาๆๆ กระเป๋าเปล่าๆก็ดี ฉันว่างั้นน่ะ เอามาก็เอามาแต่กระเป๋าเฉยๆ ไม่มีเงินเลยน่ะ ให้ส่ง ฉันว่างั้น

    ถาม : (หัวเราะ) แหม..ให้ส่งได้ สตังค์จะใส่สักหน่อยก็ไม่ได้

    ตอบ : ฉันก็ว่าให้ส่ง ฉันก็ว่าขอเงิน ท่านก็ "เอาน่ะเดี๋ยวมีเอง" ท่านว่างั้นแหละ ก็ไปๆๆแว้บไป ไปถึงมีแม่ เขาบอกว่าเป็นแม่ศรีนั่งอยู่ขาวๆน่ะ เป็นขาวๆ ขาวเป็นแก้วน่ะ นั่งยังงี้ ฉันก็ไหว้ ไหว้ก็เอ๊ะ..ทำไมเป็นสองคนขึ้น
    มาได้ก็ไม่รู้ ข้างหลังมีอีกองค์ เอ๊ะ..ไงเดี๋ยวคนเดียว ไงสองคน ฉันก็ไหว้ ฉันก็ขอสตังค์ ขอสตังค์อีกแล้ว ขอสตังค์ ไม่รู้เป็นยังไง (หัวเราะ) ขอสตังค์อีกแล้ว (หัวเราะ)

    ไม่รู้เป็นไงขออยู่นั่นแหละ ทีนี้ท่านบอกว่า เออ..เดี๋ยว
    ก่อนน่ะๆๆ ทีนี้ไปๆๆ ก็บอกว่า เออ..ให้พรก็ได้ไม่ต้องเอาสตังค์ลูก เอาไปทำไม ประเดี๋ยวก็มีเองนั่นแหละ เดี๋ยวชีวิตกับร่างกายก็เอาไปไม่ได้ตายไป ก็บอกก็ฉันมีหนี้มีสินน่ะ

    ถาม : (หัวเราะ) นี่ไม่รู้อะไร แม่ศรีนี่ ลูกเต้ามีหนี้มีสิน

    ตอบ : ฉันยังจนอยู่น่ะ ยังไม่มีเงินเยอะๆๆ ฉันก็ขอแม่ซิ ว่างั้นน่ะ แม่ก็บอกว่าให้วิชาเอาไหม ฮู้..ไม่อยากได้เลย แต่อยากจะได้เงิน

    ถาม : (หัวเราะ) วิชามันต้องท่องนี่ ลำบาก

    ตอบ : ฉันก็ว่า เออก็ว่างั้น ทีนี้ฉันก็ไป นึกในใจ เดี๊ยวต้องไปไหว้หลวงพ่อสักหน่อย ว่ามีแม่คนเดียว นี่น่ะมีมาสองคนแล้ว ไปอีกเเป๊บนึงเป็น 3 คน เป็น 3 สวยๆ งั้นเลย หลวงพ่อก็ยังอยู่ตรงนั้น หลวงพ่อยืนอยู่ ฉันก็ว่า หลวงพ่อบอกว่ามีองค์เดียว มีตั้ง 3 คน ฉันว่ายังงี้ ท่านแม่ก็บอกว่าจะให้คาถา ฉันก็ว่าให้คาถายังไงล่ะ โธ่..คาถาอันนี้ฉันเลยเห็นพ่อว่าเห็นเขาว่ากัน จะเป็นเรื่องเป็นราวหรือ ฉันว่างั้น เอาเถอะ เอาไปเถอะเดี๋ยวดีเอง ว่าลูกเดี๋ยวดีเอง เอาไปเถอะ แล้ววันหลังมันก็ตามไปเองแหละเงินทอง ไม่ต้องกลัว แล้วก็ฉันที่จริงฉันไม่อยากไป อยากอยู่กับแม่จังเลย สวยดีที่นี่ ฉันว่างั้นน่ะ ไปก็ลำบากเหลือเกิน


    ถาม : ตอนนั้นเราแต่งตัวยังไงรู้ไหม ตอนนั้น

    ตอบ : ฉันหรือ ฉันมันตัวเล็กๆ มันเหมือนไม่ใช่ตัวฉันหรอก มันก็ขาวสวยเหมือนเขาแหละ

    ถาม : แน่..สวยเหมือนกันน่ะ ไม่ใช่เล่น สวยเหมือนกัน ใช่ไหม

    ตอบ : จ้ะ ฉันก็ยืนฉันก็สวยมั่ง มันตัวเล็กแต่ว่าสวยมั่งเหมือนกันแฮะ ว่างั้น เหมือนกันแฮะ แม่ก็สวยมาก เราก็สวยหวิดเหมือนแม่แล้วน่ะ

    ทีนี้ก็ให้คาถา ลองว่าซิคาถาอะไร ฮึ..ไม่เอาดีไหมคาถาอันนี้ เอาไปเถอะ ไปใช้เวลาทำบุญหรือว่ามีงานอะไรก็ไปว่าเถอะ ว่าเรื่อยๆมันดีเอง ฉันก็บอกว่า ว่าอะไรล่ะ
    ก็ว่า

    พระพุทธัง พระพุทธเจ้าเปิดโลก
    พระธัมมัง พระพุทธเจ้าเปิดโลก
    พระสังฆัง พระพุทธเจ้าเปิดโลก
    เปิดโลกครอบจักรวาลด้วยนะโมพุทธายะ


    ว้า...ฉันร้องว่ายังงั้น ว้า...ฉันเคยได้ยินที่ไหนก็มึว่างั้น ฉันก็จะไม่เอา

    ถาม : ที่ไหนก็มียังงี้ใช่ไหม

    ตอบ : ที่ไหนก็ได้ยินเขาว่า ฮึนึกว่าจะเงินก็ยังดีมั่ง (หัวเราะ) ทีนี้ท่านก็ว่า เดี๋ยวมีเอง เอาไปเถอะ ไปใช้เถอะ ทีนี้ก็ไปบอกลา ไปแล้วก็ไปหลวงพ่อ ก็ไปๆๆ ฉันอยากจะดูไอ้นั่นอีกแล้ว อะไรเห็นเรียกปฐมๆๆ น่ะ หลวงพ่อบอกไปซิ ปฐมอะไรก็ไม่รู้

    ถาม : สมเด็จองค์ปฐม

    ตอบ: ใช่ๆๆ นั่นแหละๆ ไป สวยแหม..สวย เป็นพลอยแล้วก็มีรูปท่านสวยมากเลย หลวงพ่อบอก ไปไหว้ชิ ฉันก็ไปไหว้ๆๆ เสร็จออกมา หลวงพ่อบอก ไปเที่ยววิมานหลวงพ่อไหมล่ะ ไป ฉันบอกไปๆ ก็ไปปุ๊บไปอีกแล้ว อู๊ฮู....เยอะแยะจัง ทำไมไม่มีหลังเดียว มันหลายหลังจัง

    ถาม : หลายหลังใช้ไหม

    ตอบ : จ้ะ เยอะแยะไปหมด คนก็เยอะ มีเขาไม่แต่งตัวอย่างนี้หรอก แต่งไงก็ไม่รู้ใส่ชฎาบ้างไม่ใส่บ้าง แล้วก็มีพระมีชีแถบหนึ่ง ประเดี๋ยวพอไปถึงเล้ว ไปนั่ง หลวงพ่อบอก ยืนมา อยากตามแท้ ดูซิเป็นไง หลวงพ่อหนูอยากตาม ลองมองหน้าซิ หลวงพ่อทำท่าไงก็ไม่รู้ ตาโบ๋เลย โอ้ย..แหงนมอง กลัวไหมนี่ ทำไมก็นึกในใจ ไม่กลัวหรอกๆๆ แต่ไม่มองหน้าก้มที่ตีน ไม่กลัวหรอกๆๆ แต่ไม่มองหน้า หลวงพ่อทำหน้ายังงั้นน่ะ อะไรก็ไม่รู้น่ากลัวจริงๆ

    ทีนี้ท่านบอก กลัวไหมล่ะ อยากติดตามกลัวไหมบอกไม่กลัวหรอกๆ ตะโกนใหญ่ แต่กราบตีนไม่มองหน้า ประเดี๋ยวก็เป็นหน้าอย่างเดิมบอกอ้อ..ดีอย่างเก่าแล้ว ทีนี้ก็ทำเป็นชุดขาวๆอีกแล้ว แต่งสวยอีกแล้ว ไม่เป็นหลวงพ่อหรอกเป็นอะไรก็ไม่รู้ สวย แว๊บแวม ขาวๆ สวยแก้วเหมือนยี่เกยังงั้นแหละ เอ..หลวงพ่อนี่ทำได้หลายแบบจริง บอกยังงั้น

    หลวงพ่อบอก อีคนนี้มันต้องยังงั้นๆ มันโง่ๆๆอยู่ ท่านบอกกับหลวงปู่ปาน มันโง่ๆ ต้องทำยังงี้ให้มัน ทีนี้ก็หลวงพ่อ ที่หลวงพ่อเทศน์ หลังที่เคยเทศน์สอนอยู่ตรงไหนล่ะ พาฉันไปทีซิ อยากไป หลวงพ่อบอกไป แว๊บเดียวถึงอีกแล้ว หลวงพ่อเทศน์ อู้ฮู.ทั้งพระทั้งอะไรเยอะ นั่งฟังเทศน์หลวงพ่อ ที่นั่นน่ะ

    พอเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลวงพ่อว่าจะไปไหนอีกล่ะ ชวนไปก็ชวนให้หมด ท่านว่ายังงั้น หลวงพ่อฉันอยากเห็นนั่นน่ะ เขาว่าพระอินทร์ หลวงพ่อก็บอก ไม่กลัวหรือพระอินทร์น่ะ ฉันก็ว่าไปกับหลวงพ่อไม่กลัวหรอก หลวงพ่อให้ไปอีก ก็ไปๆๆ โอ้โห.สวยน่ะ

    ถาม : พระอินทร์สวยไหม ใส่รองเท้าหรือเปล่า

    ตอบ : สวย ใส่ เขาสวยแหละมันช่างงอนไปหมด สวย บอกไม่ถูกพูดยังไงล่ะ

    ถาม : พระอินทร์หนุ่มหรือแก่ล่ะ

    ตอบ : หนุ่มๆๆ จ้ะ แต่ผู้หญิงมีนั่งอีกคนข้างๆน่ะ สวย จะใช่ไงก็ไม่รู้ น่ากลัวจะเป็น
    แฟนเขาหรือไง ไงก็ไม่รู้ ฉันก็ไหว้หมดเลย ไหว้องค์ผู้ชายก่อน แล้วก็ไหว้ผู้หญิง ไหว้ๆๆ ดูๆๆ แล้วก็ขอพรพระอินทร์บอกว่า ไปบ้านน่ะ ไปทำบายศรีน่ะ เอา 16 ชั้น ว่างั้นน่ะ และฉันข้างๆ เอา 9 ก็ได้ ฉันบอกทำไมต้อง 16 นะ ท่านก็บอกมันไม่ 16 ชั้นฟ้าซิ แล้วก็เอาดอกบัวตรงกลางน่ะ แล้วก็เอาดอกดาวเรืองดอกอะไรก็ได้ เอาดอกไม้ 3 สีน่ะ

    พระอินทร์ท่านบอกว่ายังงั้นว่า แล้วเวลามีงานมีการน่ะ ให้ดูที่หลวงพ่อซิ ที่สัคเคน่ะ โอ้ย..ฉันว่าไม่เป็นหรอก ฉันว่ายังงั้นน่ะ ก็เอาหนังสือกางซิ ฉันก็ งั้นก็ได้จ้ะ แล้วก็จะดีขึ้นไหม ฉันไม่อยากไปอยากอยู่นี่ ท่านก็บอก ยังอยู่ไม่ได้น่ะ ให้กลับไปทำบารมีให้เยอะๆก่อน ไปทำบุญให้เยอะๆก่อน พูดไปพูดมาพอเสร็จแล้วก็ลากลับ

    หลวงพ่อบอก จะไปไหนอีกล่ะ ฉันอยากเห็นแม่จัง ไปก็ไป ลงมาอีกแล้วขึ้นแล้วก็ลง ลงแล้วก็ขึ้นอยู่งั้นเอง ทีนี้ลงมาหาแม่ก็เดินไป ฉันไม่รู้เดินไป เหมือนไม่เดินน่ะ มันเเว้บๆๆ ไปงั้น ทีนี้ไปถึงแล้วเร็วอีกแล้วเข้ามานี่

    ถาม : แม่ตายแล้วหรือยัง

    ตอบ : ตายแล้ว เนี่ยเข้าไป หลวงพ่อเข้าด้วยซิ รอตรงนี้ ท่านบอกยืนรอตรงนี้ ฉันก็เดินเข้าไป แม่ฉันน่ะก็แก่ เห็นแม่เป็นแม่แล้วล่ะ ประเดี๋ยวเป็นสาวอีกแล้ว ไงแก่เดี๋ยวเป็นสาวอีกแล้ว ก็บอกนี่ล่ะเขาล่ะ แม่ฉันก็ร้องไห้ แม่ก็สบาย บ้านแม่เขามี มีโต๊ะ มีพระพุทธไหว้

    สักประเดี๋ยว ถาดที่ฉันเด็กๆ ยังจำหน้าไม่ได้ ที่ฉันเอาข้าวไปวัดน่ะ มาตั้งฉึกๆๆๆ เอ๊ะ..ถาดเนี่ยเมื่อก่อนทำบุญ ถาดก็ใช่ ขันก็ใช่ เนี่ยมาอยู่นี่ ฉันว่ายังงี้น่ะ เอ๊ะ..ของทำไมมาอยู่นี่หมดล่ะ บอกว่ามาให้แม่เอ็งกินน่ะซิ ฉันก็ว่าเออดีแม่ได้ จำได้ เสร็จแล้วหลวงพ่อช่วยแม่ฉันทีได้ไหม เฮ้ย..ช่วยเองซิ ว่างั้น ฉันไม่ใช่บวชได้นี่ จะช่วยไงล่ะ ฉันว่างั้น

    ถาม : (หัวเราะ) ฉลาดดีนี่

    ตอบ : ฉันว่างั้น หลวงพ่อบอก เออ..ค่อยๆไปเถอะ เดี๋ยวได้เอง ว่างั้นน่ะ พอเสร็จแล้วก็ลากลับ หลวงพ่อบอก ไปไหนอีกล่ะ หลวงพ่อบอก มันขี้แงต้องถามแบบนี้ ท่านพูดกับหลวงพ่อปาน มันขี้แง ต้องถามยังงี้ มันขี้ขลาดก็ไปอีก ไปๆๆ ฉันอยากเห็นพ่ออีกแล้ว ท่านก็ว่า อะไรเดี๋ยวพ่อเดี๋ยวแม่ เอ้า...ไป ไปก็ปุ๊บไป

    ไปถึงพ่อ โอ้โฮ..หลวงพ่อไม่ยอมเข้าไป พ่อฉันโดนล่ามโซ่เส้นเท่าแขนสองข้างเลย ตายเดินไม่ได้เลย ฉันเห็นฉันจำได้ร้องโฮๆๆเลย ร้องไห้ใหญ่ พ่อ พ่อทำไงโดนเขาล่ามเล่า ว่างั้นน่ะ ทำไงดีช่วยไม่ได้แล้ว ก็มีนุ่งผ้าตาโสร่งเท่านั้นแหละ ทีนี้ก็บอกหลวงพ่อช่วยพ่อหนูด้วยซิ

    หลวงพ่อบอก กรรมใครกรรมมัน ว่างั้น กรรมใครกรรมมัน บอกกรรมใครกรรมมัน เส้นเบ่อเร่อเลยน่ะ หลวงพ่อเฉยๆไม่ช่วย บอก เออ..แล้วค่อยๆไปเถอะ ฉันก็ไม่รู้จะทำไง มีคน โฮ..น่ากลัวเหลือเกิน 4 คน มีคนเยอะ แต่ 4 คนนั่นน่ากลัว เป็นรูปยักษ์รูปอะไรก็ไม่รู้ โอ้ใหญ่ทำเขี้ยวทำงา มันน่ากลัว แต่ว่าข้างล่างเป็นคน แต่ข้างบนไม่ใช่ น่ากลัว หลวงพ่อกราบเขาซิ ขอซิ ฮึ..ตัดสินใจไม่มองหน้ามองขาดีกว่า ฉันก็ไปไหว้ขางั้นแหละทั้ง 4 คน ขอช่วยพ่อฉันด้วยเถอะ ช่วยที ช่วยพ่อไม่ต้องล่ามได้ไหม ฉันว่างั้นน่ะ

    ทั้ง 3-4 คนก็นิ่ง นิ่งซิ ช่วยทีซิ สงสารฉันเถอะ ฉันบวชไม่เป็นน่ะ ฉันว่างั้นน่ะ ช่วย
    ฉันทีเถอะ สงสารพ่อ เป็นพ่อฉันแล้ว ช่วยทีเถอะ เขาก็มองๆกัน ก็เออ..เฉยๆ เออ..จะช่วยไม่ช่วยก็ไม่บอก ก็เออ..งั้นแหละ หลวงพ่อช่วยทีซิ ฉันยืนเรียกหลวงพ่อ ท่านเฉยไม่มาช่วยหรอก

    ทีนี้ทำไง เห็นมีอีกแล้ว เขามีเป็นสมุด เป็นสองคน นั่งยังงี้โต๊ะเงี้ยโต๊ะนึง เขาเขียน
    อะไรน้อ ลองไปดูซิ ฉันไปกราบ บัญชีใช่ไหม บอกนี่บัญชี ฉันก็ดูๆๆ ชื่อฉันมีไหมน่ะ (หัวเราะ) ชื่อฉันมีไหม เขาบอกว่าดูๆ ชื่ออะไรล่ะ ชื่อปู ศรีนวลน่ะ ดูๆๆ เอ...ไม่มีน่ะ โอ๊ะโฮ..ดำๆๆแล้วนี่ล่ะ มีชื่อฉันไหมนี่ เขาก็ดูๆ ไม่มี ไอ้ที่ข้างฝาใหญ่ๆน่ะมีไหม ไอ้ที่ข้างฝามีอีกไหมล่ะ ยัง เอ..ยังไม่มีนะ

    แล้วนี่เขาคืออะไรล่ะ นี่แหละสอบสวน ตกนรกขึ้นสวรรค์อยู่ตรงนี้ งั้นช่วยพ่อฉันด้วยซิ ฉันว่างี้น่ะ เขาบอกว่า อือ..ช่วยยังไงล่ะ ก็พ่อฉันยังงี้ จะทำไงได้ล่ะ เดินไม่ได้ติดโซ่ยังงั้นล่ะ แล้วเขาก็พูดว่า เออ..ดูๆ ก็น่าสงสารดี มันร้องไห้จัง เออ..ช่วยสักหน่อยก็ได้ ว่ายังงี้นะ เอางี้น่ะ ถึงเวลาขึ้นก็ขึ้น ถึงเวลาลงก็ลง เขาว่างั้นน่ะ

    ทีนี้ก็หลวงพ่อช่วยทีซิ หลวงพ่อก็หัวเราะ งั้นแหละ ช่วยเองซิ ท่านว่างั้น กรรมใครกรรมมัน เอ..ทำไง ทำไงก็ไม่เห็นช่วยสักที ทีนี้ฉันบอกหลวงพ่อไม่รักลูกเลย ไม่ช่วยพ่อลูกด้วย หลวงพ่อบอกว่า ดูมันซิๆ ท่านบอกกับหลวงปู่ปาน ดูมันซิๆ มันว่าเรื่อยซิ

    ทีนี้ฉันก็นิ่งก็ไปๆๆ อีกพักหนึ่ง ไงก็ไม่รู้ ไปดูอะไร เดี๋ยวมาช่วยพ่อใหม่ หลวงพ่อพาไปรำทีซิ ที่เขารำกันน่ะ ที่เทวดานางฟ้าสวรรค์เขารำ ตรงนั้นน่ะพาฉันไปดูที ไปอีกแล้วไปดูรำเขาสวย รำสวยๆๆ กว้างขวางสวยๆๆ อยู่นี่ไหมล่ะ หลวงพ่อบอก อยู่นี่ไหมล่ะ เขารำได้สวย อยู่นี่เปล่า ฉันก็ว่า หลวงพ่ออยู่หรือเปล่าล่ะ เออ..ไปทำบารมีก่อนเดี๋ยวค่อยมาก็ได้ งั้นกลับเดี๋ยวแวะไปดูพ่อหน่อยซิ เผื่อเขาจะยกโทษให้หรือเปล่า ฉันว่างี้

    กลับอีกแล้ว อื๋อ..นี่ไงว่ะ มาแป๊บๆๆ ให้กลับอีกแล้ว ก็มาๆๆ พ่อเขาปล่อย นุ่งผ้าม่วงเขียวๆ ใส่เสื้อขาว โอ..ไม่มีโซ่แล้ว ดีแล้วซิ ว่างั้น พ่อดีแล้วน่ะ พ่อบอกช่วยด้วยซิ อีเล็กช่วยพ่อด้วยซิ อีเล็กช่วยพ่อด้วย แล้วฉันจะช่วยไงเล่า ทีนี้ก็บอกว่า หลวงพ่อทำไง เออ..แล้วก็ดีเอง ไปน่ะกลับไปก็ไปสังฆทานให้เยอะๆ ลูกน่ะ กลับไปสังฆทานให้พ่อให้เยอะๆ แล้วก็ลูกรวยน่ะ อย่าลืมวัดท่าซุงล่ะ หลวงพ่อท่านว่ายังงี้ อย่าลืมวัดท่าซุงน่ะ ลูกต้องมาวัดท่าซุงบ่อยๆน่ะ จ้ะ..แล้วฉันจะรวยไหมหลวงพ่อ เออ...ไปเถอะมันดีเอง ท่านว่างั้นน่ะ แล้วก็จะกลับหรือยังล่ะ หลวงพ่อว่า หลวงพ่อให้กลับก็กลับ หลวงพ่อไม่กลับฉันก็ไม่กลับ ฉันว่างั้นน่ะ กลับไปก่อนเถอะลูก ไปทำกุศลก่อน ไปทำบุญให้เยอะๆ ไปสังฆทานทำอะไรต่ออะไร ทีนี้ก็แว้บๆๆ แล้วก็กลับมา กลับเลยหมดซิทีนี้

    เมื่อวานนี้ไปใหม่อีกหน่อย นั่งๆๆอีกแหละ ภาวนางี้น่ะ นี้ก็แป๊บฉันก็ร้องไห้ หลวงพ่อบอกว่า อี้ขี้แยนี่น่าดู ฉันก็เลยบอกว่าทำไมล่ะ พ่อฉันนี่เขาจะเอาลงนรกอีกเปล่า ฉันว่างี้ ห่วงพ่อจังเลย เออ..เดี๋ยวก็ขึ้นมาเอง ทำกุศลให้ได้เดี๋ยวช่วยเอง เดี๋ยวก็ช่วยขึ้นมา แล้วตรงนั้นใครล่ะที่นั่ง ไม่รู้จักพระยายมหรือ ? พระยายมราชไม่รู้จักหรือ นายสมุห์บัญชีไม่รู้จักหรือ ก็ฉันไม่ตายจะรู้จักไงเล่า ฉันว่างั้น (หัวเราะ)

    หลวงพ่อบอกว่า อื้อฮือ...มันเถียงทุกอย่าง ก็ฉันไม่ตายไม่รู้ยังไง หลวงพ่อเพิ่งพามาแค่นี้ ฉันก็ว่า เออ..แล้วทีนี้ทำไงดีล่ะ จะไปไหนดีล่ะ ใช้ทั้งปีเลย ท่านว่างั้น หลวงพ่อว่าฉันน่ะ ใช้ต้องเอาไปด้วย ไปคนเดียวก็ไม่ได้ต้องไปด้วย

    ทีนี้ฉันก็ไม่ว่าอะไร ก็นิ่งก็ไปให้กลับอีก กลับไปกลับมา กลับไป ไม่รู้มาดูอะไร จำไม่ได้ น่ากลัวจะตายข้างล่าง ไม่อยากดูเลยหลวงพ่อ ดูข้างบนดีกว่า ฉันว่างั้นน่ะ เดี๋ยวเอาลง มันเป็นหลุมๆงี้ ลึกๆเป็นน้ำแล้วมันเดือดเป็นไฟวุ๊บๆๆขึ้นมา โยนผลุ๊แล้วขึ้นมาเป็นคนอีกแล้ว โยนก็ไม่ตายโยนกันมือสลอนๆๆ โยนไปเดี๋ยวมันขึ้นมาได้กลับเป็นคน น่าจะเน่าตายไม่ตาย ไม่เป็นไรมาเป็นคน เป็นกระดูกก็มี แล้วเป็นรูปก็มีเยอะแยะ

    ไม่ดูนี่หลวงพ่อไปเถอะ นี่แหละนรก หลวงพ่อว่านี่มันเมืองนรก โอ้โฮ...เจ้าประคุณ อย่าให้ลูกตกนรกน่ะ (หัวเราะ) กลัวจังเลย น้ำอะไรแดง โอ๊...ตัมเดือดพลั่กๆๆ ทีนี้หลวงพ่อก็ว่า ดูอะไรหมดแล้วจะกลับหรือยังล่ะ กลับเถอะๆๆ ไม่ดู ฉันว่างั้น ถ้างั้นฉันก็กลับจ๊ะ

    ถาม : ไม่ไปดูวิมานตัวเองเลยหรือ

    ตอบ : ทีนี้ก็มาอีกซิ มากลับมาก็มานั่งที่นี่ที่อีกวันมานั่ง ก็ไปแบบนี้ ไปๆๆ ก็ไปดู ทีนี้ลัดแล้วน่ะไม่เล่าแล้ว ก็ไหว้หมดแล้วๆ หลวงพ่อว่า ไปดูวิมานตัวเองมั่งชิ ก็ไป อ้อ..มีแล้วทีนี้ นั่งได้ไหม นั่ง เอ๊ะ...มันไม่เป็นฉันนี่ ตัวฉันอยู่นี่ไง โน้นไปนั่งนิดหนึ่ง แล้วก็มันก็สวยด้วย มันแต่งตัวสวย นอนก็ได้

    ถาม : ผู้หญิงหรือผู้ชาย ตอนนั้นน่ะ

    ตอบ : มันแต่งตัวเหมือนผู้ชายแน่ะ แต่งตัวเหมือนผู้ชายแต่ไงมันก็ฉันอยู่เนี่ย แต่โน้นก็ฉันอีกแหละ ทีนี้ก็ไปๆกระโดด เห็นน้ำก็เล่นน้ำไหม โอ้..มีดอกบัว ครั้งแรกก็เป็นดอกบัวขาวๆ แล้วก็เป็นสีดอกบัวจริงๆน่ะมี

    ถาม : น้ำใสไหม

    ตอบ: น้ำใส โดดลงไปแล้ว ว่ายไม่เป็น แล้วทำไมว่ายเป็นก็ไม่รู้นะ ว่ายเป็นโอ้..ไม่รู้ ว่ายน้ำได้โว้ย ไม่ตายโว้ย ฉันว่างี้ เอ๊ะ..นี่ก็ฉัน นั่นก็ฉัน ยังไงกันหว่า

    ถาม : ตอนโดดลงไปตัวนั้นโดดหรือตัวนี้โดด

    ตอบ: ตัวนั้นโดด ตัวเล็กๆที่สวยๆน่ะโดด โดดลงไปเอาดอกบัวมา ทีนี้เก็บดอกบัว เอ๊ะ..ดอกบัวไงพอเอามาแล้ว ไงเป็นขาวหมดก็ไม่รู้ เป็นแก้วขาวหมดเลย 9 ดอก ดีใจเลยเอามา มาถึงก็ หลวงพ่อ เอาดอกบัวมาฝากใส่ย่ามหลวงพ่อเลย 9 ดอก หลวงพ่อบอกให้พ่อใช่ไหม ไปไหนอีกล่ะ หลวงพ่อบอกเหาะไหมล่ะ เหาะไปดูทางโน้นไป ฉันเหาะไม่ได้นะ ว่างั้นน่ะ จับตีนหลวงพ่อบาปเปล่าก็ไม่รู้ ว่างี้

    หลวงพ่อฉันหิ้วย่ามเอง หลวงพ่อบอกพ่อหิ้วเอง ก็เอาๆ ขอหลวงพ่อก็ให้ เอ๊ะ..จะสะพายแขนก็กลัวหล่น ใส่คอเลยดีกว่า ใส่คอ ก็หลวงพ่อไปน่ะ หลวงพ่อก็ปู๊ดไป พ่อฉันทำไง จับขาเลย บาปก็บาปเถอะ เหาะจ๊อกแจ๊กตามหลวงพ่อ จะหล่น ไม่หล่นโว้ย พึ๊บลงมาอีก ได้อีกแล้ว ไม่หล่น บาปเปล่า เจ้าประคุณอย่าให้บาปน่ะ เขาว่าผู้หญิงห้ามจับก็จับเข้าไปแล้วนี่ (หัวเราะ) กลัวหล่น จับไปหลวงพ่อไปแล้วนี่ ก็ไป

    ทีนี้ก็เลยเถียง หลวงพ่อไม่ใช่ขาหลวงพ่อแล้วน่ะ ขาพ่อเป็นแก้วแล้วนี่ หลวงพ่อไม่ใช่ยังงี้น่ะ หลวงพ่อเป็นแก้วๆไปหมดทั้งตัว ก็จับไม่ถูกเนื้อไม่บาปหรอก ฉันว่างี้น่ะ หลวงพ่อบอกไม่บาปหรอก ทีนี้ก็กลับไปกลับมา หลวงพ่อบอก เออ...กลับบ้านได้แล้ว กลับสถานที่อยู่เถอะ ไปทำกุศลให้เยอะๆ จ๊ะฉันก็รับพรหลวงพ่อมา

    ขอตังค์อีกแล้ว ขอตังค์หลวงพ่อตะพึดไม่รู้เป็นเรื่องอะไร (หัวเราะ) หลวงพ่อบอก เอา
    สตังค์ที่ไหนล่ะ เอาตังค์ทำไม ก็ฉันไม่มีสตังค์ เอ้า..พ่อจะให้น่ะ รอนั่งอยู่นั้นแหละเมื่อไหร่ก็ไม่ให้สักที นั่งอยู่นั่นแหละ ไม่เห็นควักซะที (หัวเราะ) นั่งๆ หลวงพ่อเมื่อไหร่จะควักซะที ทำไปทำมา ไอ้ที่พ่อให้นี่รู้ไหมดียิ่งอะไร ฉันก็คอยฟังเต็มที่เลย ไอ้มโนมยิทธิที่นั่งๆนี่ พ่อให้นี่มันดีที่สุดแล้วลูกเอ้ย ให้วิชานี่ให้ลูกน่ะ ดี ดียิ่งกว่าสตังค์เสียอีก ฉันก็ว่า ดีน่ะดี แต่สตังค์ไม่มีใช้ (หัวเราะ)

    ถาม : แหม..ยอดจริงๆ มโนมยิทธิน่ะมันดี แต่สตังค์ไม่มี (หัวเราะ) รู้นะดีไม่ใช่ไม่รู้

    ตอบ : ทีนี้ก็ว่าสตังค์ไม่มีใช้ซิ หลวงพ่อจะให้ หลวงพ่อก็ควักชิ อะไรหว่า เป็นแหวนมีพลอยขาวๆด้วย แว็บๆๆเนี่ยเป็นอำนาจ ไม่เอาหรอกประเดี๋ยวพอลงไปไม่มีแหวน
    จริงๆ (หัวเราะ) ฉันบอกไม่เอาหรอก เดี๋ยวลงไปเขาถาม ไม่เห็นมีอะไร หลวงพ่อให้หลอกๆน่ะซิ ฉันว่างั้น

    หลวงพ่อก็ว่า ดูซิมันว่า หาว่าให้หลอกๆ ฉันก็ เอ๊ะ..เอาดีไม่เอาว่ะ นึกไปนึกมา เอ๊ะ..เอามือไหนใส่ดี หลวงพ่อบอกเอานิ้วชี้ หลวงพ่อถ้าลงไปใครไม่เห็นล่ะ ก็เขาไม่ว่าฉันโกหกตายห่-หรือ (หัวเราะ) ฉันว่างี้ (หัวเราะ)

    ถาม : (หัวเราะ) โอ๊ย..ของแท้เลย (หัวเราะ) เล่าต่อเออ..ดีๆๆ

    ตอบ : หลวงพ่อหัวเราะร่วนๆๆ หัวเราะก๊ากๆใหญ่น่ะเลย หัวเราะใหญ่ ก็ว่า ดูมันพูดซิ ฉันก็ว่า ก็ตอนนี้ให้แล้ว มันเดี๋ยวกลัวหล่นหาย มันเป็นของกายสิทธิ์หลวงพ่อจะหายได้ เดี๋ยวเขาหัวเราะตาย อวดเขาที่ไหนมีแต่นิ้วเปล่าๆ หลวงพ่อ อือ..เอาเถอะน่า เป็นของนิมิตเนี่ยมันดี พ่อให้ติดนิ้วดี เอาก็เอาว่ะ ฉันก็เอามือไหนดีหว่า สองมือ เอามือนี้ก็ได้ เออ..พ่อก็ใส่พรึ่บลงมา มองดูก็สวยเหอะพลอยขาวๆแวบๆ เอ้า..ชี้ไหนอำนาจวาสนาดีน่ะลูก ไอ้ตอนนี้ก็ดีแล้วพอลงไปข้างล่างชี้ไม่ได้ละตายเลย (หัวเราะ)

    ถาม : บอกข้างบนนี่ก็ชี้ดีหรอก ชี้ก็เห็น ลงข้างล่างชี้ไม่ได้ตายห่าเลย (หัวเราะ)

    ตอบ : หลวงพ่อก็บอกว่า อีลูกคนนี้มันย้ำจังเลย เถียงเก่งจริงๆ ฉันก็ว่า ก็ทีแรกหลวงพ่อว่าฉันเป็นอะไรกับหลวงพ่อล่ะ ถึงได้มายังงี๊ หลวงพ่อก็ว่า ก็เป็นลูกหลวงพ่อน่ะซิ ลูกอดีตน่ะซิ ฉันก็ว่าอดีตก็ให้ของจริงๆซิ ท่านก็ว่านี่ก็ของจริง เดี๋ยวดีเอง พ่อให้ดีเอง ทีหลังน่ะนึกว่าจริงน่ะลูกนะ นึกจริงก็จริงล่ะ เอาว่างั้นน่ะ แล้วหลวงพ่อก็ใส่ให้แล้ว ท่านว่าไง ท่านว่า

    พุทธัง ประสิทธิ์โชคลาภ
    พระธัมมัง ประสิทธิ์โชคลาภ
    พระสังฆัง ประสิทธิ์โชคลาภ

    พุทธังให้มีอำนาจ ธัมมังให้มีอำนาจ โอ๊ย..อำนาจไม่เอาหลวงพ่อ (หัวเราะ) เอาโชคลาภเถอะ ฉันว่างั้น อำนาจไม่เอาหรอก ไม่เห็นใครกลัวฉันเลย ฉันว่างั้น ฉันไม่ใช่ตำรวจนี่เขาจะได้กลัว

    ทีนี้หลวงพ่อบอกว่า เออ..ไอ้นี่มันของคาถา พูดแล้วมันเถียงจังน่ะ งั้นเอาก็เอา ฉันก็ว่า แล้วท่านก็บอกว่าลงอย่างอื่นลงอะไรก็ได้ลงไปเถอะ ชี้ไปเรื่อยๆเถอะ เอาๆ นิมิตเอา แล้วก็หลวงพ่อ ฉันมันขี้โรคขี้ภัยเป่าหัวให้ด้วยซิ ฉันว่างั้นน่ะ หลวงพ่อก้มเอาไม้นั้นน่ะเขียนๆๆที่หัว แล้วก็เป่าพ่วง หลวงพ่อกันอะไร (หัวเราะ)

    ถาม : ถามเสียด้วยน่ะ

    ตอบ : หลวงพ่อ กันอะไร หลวงพ่อ กันหมดทุกอย่างนั่นแหละ ให้มันดีไม่ให้มันบ้า (หัวเราะ) ท่านว่างั้น งั้นก็กลับได้แล้วซิน่ะ หลวงพ่อ เอ้า..กลับก็กลับกัน ท่านว่างั้นนะ ฉันก็เลยกลับมาเลยจ้ะ กลับมาข้างล่างก็ไม่เห็นมีแหวนอะไร (หัวเราะ)

    ถาม : นี่ดีมาก นี่เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดนะเห็นชัดที่สุด นี่ไม่เคยสัมภาษณ์ใครอย่างนี้เลยนี่ เรียกว่าออกมาจากใจล้วนๆเลย ใจล้วนๆ ของจริงล้วนๆเลย เป็นตัวอย่างของคนต่อไป

    อันนี้นี่อาจจะไปลงหนังสือธัมมวิโมกข์ เพราะว่าอาจจะถอดเป็นหนังสือออกมา ตัวอย่างของคนอื่นที่ปฏิบัติธรรมนะ เป็นบุญใหญ่ของคนที่ไม่เกิดศรัทธา เป็นบุญใหญ่ เออ..ของที่อยู่ด้วยน่ะ

    ตอบ : อยู่ตลาดทุ่งคอก อำเภอสองพี่น้อง บ้านเลขที่ 62

    ถาม : นี่พูดแล้วอารมณ์ใจเหมือนลูกคนที่สนิทชิดเชื้อกันมากเลย อารมณ์ที่พูดเป็นการพูดอย่างนั้น ล้อเล่นอย่างนี้นี่ เรารู้ได้ว่าเป็นลูกที่ติดกระเป๋ากันมาเลย อย่างนี้เป็นลูกติดกระเป๋า นี่คนสุพรรณเหมือนกัน หลวงพ่อก็คนสุพรรณ พูดแล้วเหมือนสนิทกัน เคยมาวัดแล้วใช่ไหม

    ตอบ : มา แต่ไม่เคยทำยังงี้จ้ะ มาตอนมาบวชก็ทำ แต่ก็ไม่เป็นเรื่องเป็นราวหรอก ทำก็เห็นมั่งแว้บๆ แวมๆ งั้นน่ะ มาปฏิบัติก็ พุทโธ เพิ่งจะมา นะมะ พะธะ นี่เเหละ

    ถาม: นี่เป็นไง ชื่นใจจริงๆเลย คุ้มแล้ว คุ้มแล้วที่จัดงานนี้ คุ้มมากเลย พระหายเหนื่อยเลย หายเหนื่อย คือดีใจน่ะ มีความดีใจมาก

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 156 กุมภาพันธ์ 2537 หน้า 87-95)



     
  6. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    115
    ค่าพลัง:
    +225,719


    ประสบการณ์การฝึกมโนมยิทธิแบบเต็มกำลัง
    โดย...คุณสุภา คลังรัตนโชคชัย


    1.jpg 2.jpg 3.jpg 4.jpg 5.jpg 6.jpg
    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 228 มีนาคม 2543 หน้า 126-131)
     
  7. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    115
    ค่าพลัง:
    +225,719
    พระนอน.jpg
     
  8. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    115
    ค่าพลัง:
    +225,719
    ฉบับ 49 หน้า 146.jpg
     
  9. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    115
    ค่าพลัง:
    +225,719

    เมื่อข้าพเจ้าฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลัง
    โดย... คุณสุนันทา วิทยาสุนทรวงศ์



    99.jpg 100.jpg 101.jpg 102.jpg 103.jpg

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 158 เมษายน 2537 หน้า 99-103)
     
  10. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    115
    ค่าพลัง:
    +225,719
    เหรียญพระศรีอาริยเมตไตรย.jpg


    เหรียญวันเกิดรุ่นสุดท้ายรูปพระศรีอาริยเมตไตรย

    ทางวัดจัดเตรียมเหรียญรุ่นนี้จำนวน 24,000 องค์ไว้แจกให้แก่ผู้ทำบุญทำสังฆทานตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไปได้รับแจก 1 องค์ ในช่วงงานทำบุญประจำปีวันเสาร์-อาทิตย์ 12-13 เดือนมีนาคม พ.ศ. 2537 โดยวันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคมมีพิธีหล่อพระรูปสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย

    เรื่องเหรียญพระศรีอาริยเมตไตรย.jpg 0001 (3).jpg 20170312_102837.jpg DSC02149.jpg DSC02148.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2019
  11. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    115
    ค่าพลัง:
    +225,719
    รวมเหรียญวันเกิด 2 แบบ.jpg
    เหรียญวันเกิดรุ่นสุดท้ายรูปพระศรีอาริยเมตไตรยเข้าพิธีพุทธาภิเษกเมื่อวันศุกร์ที่ 3 กรกฏาคม 2535 ณ พระวิหาร 100 เมตร พร้อมสมเด็จองค์ปฐมรุ่น 2 , พระหางหมากรุ่นพิเศษ, เหรียญวันเกิดรุ่นสุดท้ายรูปสมเด็จองค์ปฐม-หลวงพ่อ และมีดหมอชาตรีทั้ง 3 แบบ

    เหรียญวันเกิดรุ่นสุดท้าย.jpg เหรียญวันเกิดรุ่นสุดท้าย หลัง.jpg รุ่น 2.jpeg รุ่น 2.1.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ธันวาคม 2019
  12. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    115
    ค่าพลัง:
    +225,719
    11010555_696306260497140_1045546937455777532_o.jpg

    ยำท่านย่า

    "ตอนที่หลวงพี่มาอยู่กับหลวงพ่อใหม่ๆ หลวงพ่อผอมหรืออ้วนครับ"

    ยังผอม หลวงพ่อเพิ่งอ้วนเมื่อไม่กี่ปีนี้ ที่อ้วนนี้เพราะว่าท่านแม่ศรีหรือใครให้กินมันหมูต้ม มัน 3 ชั้นจิ้มน้ำปลา สั่งให้กินยังไงก็ต้องกินยังงั้น

    เย็นๆท่านจะคุยเรื่องอาหารเหมือนกัน วันนี้จะกินอะไร ท่านย่าก็ดี แม่ศรีก็ดี จะสั่งอาหารตอนจะฉันยา พรุ่งนี้ต้มหัวปลีนะ ทำนั่นทำนี่

    มีอยู่วันหนึ่ง สั่งอาหารชื่อ "ยำท่านย่า"

    ท่านย่าสั่งบอกว่า เอาเห็ดฟางมาต้มนึ่งให้สุก แล้วก็เอาเนื้อมาย่าง ตำโขลกพริกใส่มะนาว น้ำปลา น้ำตาลหน่อย พอโขลกพริกแล้วเอามะนาวบีบ ให้รสจัด เอาเห็ดฟางเนื้อย่างหั่นเป็นชิ้นๆใหญ่ๆ เอาแตงกวาลูกขาวๆหั่นซอยเคล้ากันให้ดีรสจะแซบ เราได้ยินแล้วกลืนน้ำลายเอื้อก

    หลวงพ่อหันมาเห็น ไอ้นี่มันน้ำลายไหลแล้วนี่

    "ที่ทำนี่ทำถวายหลวงพ่อใช่ไหมครับ"

    ถวายหลวงพ่อ ตอนหลังเขาก็ทำถวายเรา

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 158 เมษายน 2537 หน้า 96)


    ยำท่านย่า.....jpg ยำท่านย่า.jpg
     
  13. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    115
    ค่าพลัง:
    +225,719
    28698937_951929384983601_5287427940391191495_o.jpg

    (สนทนาที่นวราช วันที่ 20 ก.ค. 2522)
    เรื่อง..คุยกับพระเจ้าตากสินเรื่องการทำน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืด


    ตอนนั้นไปนั่งที่ระยอง ไปนั่งๆเล่นที่ท่ามองดูน้ำมอง นึกถึงพระจ้าตากสินว่าที่นำกำลังมาจากชลบุรีเข้ากรุงเทพฯนี่น่ะ ก็มาแล้วท่านใช้กองทัพเรือ กำลังพลประมาณ 5,000 คน ก็คิดว่าไอ้เรือพายเรือแจวเรือใบกว่าจะถึงกรุงเทพๆนี่ ต้องใช้เวลาเยอะ เรื่องที่น่าหนักใจมากที่สุดก็คือน้ำ เรื่องส้วมไม่สำคัญ นั่งห้อยก็ได้นะ

    ถามกินน้ำอะไร

    ท่านบอกมันมีวิธีง่ายๆ

    ถามทำยังไง

    ท่านบอกก็ตักน้ำในทะเลมาแล้วก็ใช้ปูนขาว ปูนขาวใส่ลงไป และก็ในเมื่อมันนอนดีแล้ว ไอ้ตะกอนปูนขาวนอนก้นเกลือมันอยู่ข้างบน และก็เอาน้ำออกจากก๊อกนะ ดึงน้ำออกมา ไอ้น้ำนี่จะมีรสกร่อยน้อยๆ แล้วก็ใส่ขันฑ์ทสกรลงไป ก็ดีกว่าไม่มีน้ำกิน

    เราก็เอามั่ง ทีนี้ก็ลองทำดู เช้าก็เอาซิ ก็เอาน้ำมาใส่คูลเลอร์ พอเอาไอ้ปูนขาวใส่ไปปึกหนึ่ง พอตกตะกอนดี เกลือนี่ขึ้นมาอยู่ข้างบนเป็นฝาเลย เหมือนกับนาเกลือ

    "ฝาเป็นแผ่น" เป็นแผ่นเลยเหมือนนาเกลือ แต่อย่าไปถูก ไปถูกมันจะละลาย ลองเอามือไปแตะถูๆจะละลาย

    ทีนี้ทำไง ก็ไขก้อกให้เขาเอาน้ำออกมา แล้วลองจิบน้ำกร่อยนิดๆเอง มันกร่อยนิดๆทำไง ท่านบอกให้เอาขันฑ์ทสกร ขันฑ์ทสกรนี่ใส่นิดเดียวมันหวาน ใช่ไหม ก็กินชุ่มๆคอหวานๆ อันนี้มันทรงตัวได้

    เอ..เราก็แปลก ไปถามนักวิทยาศาสตร์ บอกมันเป็นไปไม่ได้ บอกเฮ้ย...มันเป็นไปแล้ว กูลองแล้ว

    "แสดงว่าโง่ โง่กว่าคนโบราณ" เขาบอกเป็นไปไม่ได้ บอกเป็นไปแล้วกูลองแล้ว นั่งคุยๆ เห็นท่านยืนก็ถามท่าน บอกใช้วิธีนี้ คือว่าเราไม่มีน้ำจืดเต็มที่ แต่มันกร่อยเล็กน้อย นี่คุณกินได้ถ้าอยากจะกิน ทีนี้ถ้าให้มันกินดีขึ้นทำไง ใส่ขันฑ์ทสกร เพราะหวานๆนี่ ชุ่มๆชื่นๆ ชาวบ้านสบายๆ นะ

    "วิธีนี้ดีมาก" ถามท่านแล้วถ้าไม่ลองก็ไม่แนใจ นี่เราลองแล้ว ลองกันเลย บอกเอาลงมือทำกันเลย

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 159 เดือนพฤษภาคม 2537 หน้า 15)


    28698963_951929371650269_3917281307430086740_o.jpg
     
  14. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    115
    ค่าพลัง:
    +225,719
    อยากทำความเพียร


    ผู้ถาม : อยากทำความเพียรเพื่อทำความดี แต่บางครั้งก็มีอารมณ์ท้อแท้ จะทำอย่างไรดีครับ ?

    หลวงพ่อ : ถ้าท้อแท้ต่อความเพียรก็แสดงว่าขี้เกียจ คนที่มีความเพียรคือคนขยัน ความเพียร เพียรสู้กับความชั่วเพื่อหวังให้มีผลในความดี เป็นเรื่องธรรมดาของคน ไอ้การต่อสู้ความขยันหมั่นเพียรมันจะมีทุกเวลาไม่ได้นะ ในบางครั้งกรรมที่เป็นอกุศลเดิมมันเข้ามาครอบงำจิต เวลานั้นจะตัดความดีของเราให้รู้สึกท้อแท้ไม่กล้าต่อสู้ เบื่อ !

    พอกุศลเข้ามาสนองปั๊บ ! กุศลเตะไอ้นั่นออกไป นี่ขยันแล้วสร้างความดี ต้องเป็นอย่างนั้นเหมือนกันทุกคน หนักเข้าๆ กุศลมีกำลังแรงก็เตะไอ้นั่นกระเด็นออกไป

    พอถึงพระโสดาบันปั๊บ ! อกุศลยังเข้ามาได้ แต่เข้าก็เข้าแรงไม่ได้ ถ้าถึงพระโสดาบัน อกุศลเข้าแรงไม่ได้ มันจะสร้างความขุ่นมัวบ้าง แต่จะถึงกับทำบาปไม่ได้

    คำว่า " ขุ่นมัว " อาจจะต้องโกรธใช่ไหม พระโสดาบันยังมีโกรธ พระโสดาบันยังมีความรักในระหว่างเพศ พระโสดาบันยังมีความอยากร่ำรวย แต่เรื่องละเมิดศีลไม่มี

    แต่ที่อารมณ์ที่แจ่มใสจริงๆ คือพระอรหันต์ ถ้ายังไม่ถึงพระอรหันต์เพียงใด ก็ยังเตะกันไป แต่ว่าเตะเบา

    (จากธัมมวิโมกข์ กันยายน 2544)
     
  15. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    115
    ค่าพลัง:
    +225,719
    เบื่อโลก

    ผู้ถาม : หลวงพ่อคะ คนที่ไม่เคยปฏิบัติธรรม แต่ว่ามีความรู้สึกเบื่อโลกอย่างนี้เป็นนิพพิทาญาณหรือเปล่าคะ ?

    หลวงพ่อ : เบื่อนิพพิทาญาณหรือเบื่อหนักหนี้หรือเบื่อกลุ้มใจ นิพพิทาญาณเขาแปลว่าเบื่อ ญาณเขาแปลว่ารู้สึกเบื่อ เราก็ต้องดูว่าเขาเบื่อโลกไม่หวังเกิดอีก ไม่หวังเป็นเทวดาหรือพรหม หวังนิพพาน นี่เป็นนิพพิทาญาณ ถ้าเบื่อเฉยๆไม่อยากอยู่ในโลกนี้ อันนี้เรียกมีจิตกังวลหรือจิตเศร้าหมอง นิพพิทาญาณนี่เขาไม่ซึม

    ผู้ถาม : อย่างนี้จะแก้โดยการเจริญสมาธิได้ไหมคะ ?

    หลวงพ่อ : จะไหวเรอะ ไม่ไหวนะ ใจเขาเป็นแบบนั้น ต้องใช้พระสูตรง่ายๆ จะเป็นเทปพระสูตรหรือหนังสือพระสูตรก็ได้ เอาของที่ยากไปก็ไม่ไหว ถ้าพระสูตรหรือชาดกก็ดี ตอนที่ท่านประชุมชาดกดีมาก


    (จากหลวงพ่อตอบปัญหา ธัมมวิโมกข์ มีนาคม 2541)
     
  16. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    115
    ค่าพลัง:
    +225,719
    พิจารณาโลกเป็นสมมติ

    ผู้ถาม : พอนั่งพิจารณาโลกนี้อยู่บ่อยๆว่าโลกนี้น่ะเป็นของสมมติ พิจารณาไปสัก 10 นาทีเห็นจะได้ ปรากฏว่าจิตมีความรู้สึกว่าจิตมันหยุดนิ่ง โลกนี้มันหยุดเคลื่อนไหวทั้งหมด อยากเรียนถามหลวงพ่อว่าตอนนั้นเป็นอารมณ์จิตอะไรครับ ?

    หลวงพ่อ : จิตคน

    ผู้ถาม : อ้าว ! ทำไมถึงตอบอย่างนั้นล่ะ ?

    หลวงพ่อ : ก็คนนึกนี่ ไอ้นั่นเป็นอารมณ์ฌาน การพิจารณาไปๆ จิตจะเริ่มรวมตัวเป็นสมาธิทีละน้อยๆ ใช่ไหม พอเป็นฌานเต็มอัตรามันก็หยุด นั่นเป็นฌาน ดีมาก ! ทำอย่างนั้นแหละดีคือใช้ปัญญาก่อน เมื่อจิตมีปัญญาค่อยเคลื่อนทีละหน่อยๆจิตก็หยุด หยุดนี่เป็นอารมณ์ฌาน ปัญญาตอนนั้นก็เป็นปัญญาคมกล้า สามารถตัดกิเลสได้ดี เขาทำถูกต้องมาก

    (จากหลวงพ่อตอบปัญหา ธัมมวิโมกข์ มิถุนายน 2544)
     
  17. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    115
    ค่าพลัง:
    +225,719
    อารมณ์ไม่มีอะไรจะต้องทำแล้ว

    ผู้ถาม : หลวงพ่อคะ เวลาลูกกำลังนั่งอยู่เฉยๆ นี่มีความรู้สึกบอกว่า "ไม่มีอะไรจะต้องทำแล้ว" มันว่างแล้วจิตมันฟูขึ้น เกิดขึ้น 2 ครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งครึ่งวัน แล้วก็ครั้งหนึ่งในเวลาทำงานได้ชั่วโมงกว่า มีความรู้สึกว่า "ไม่มีอะไรจะต้องทำอีกแล้ว"

    อารมณ์แบบนี้มันเป็นอย่างไรคะ ?

    หลวงพ่อ : นั่นแหละ ! อารมณ์พระนิพพานก็เป็นแบบนั้นแหละ ถ้าพูดง่ายๆว่า อารมณ์พระอรหันต์ก็เป็นแบบนั้น ทำได้เดี๋ยวเดียวใช่ไหม ?

    ผู้ถาม : ประมาณชั่วโมง แล้วอีกครั้งได้ครึ่งวัน

    หลวงพ่อ : เอาละ ช่างมันเถอะ ! ถ้ามันได้ช่วงนิดๆ หน่อยๆก็ดี ให้มันชิน บาทีมันจะได้สักชั่วโมง ครึ่งชั่วโมง หรือ 10 นาทีหรือ 2 นาที เราก็พอใจให้มันชิน ไม่ช้ามันจะชิน อารมณ์นี้เวลาจะตายมันจะจับอารมณ์นี้ แต่การสอนเขาสอนนะว่า อารมณ์ว่าง คำว่า "อารมณ์ว่าง" คือ ว่างจากกิเลส มันจะเป็นความสุขที่สุด มันสุขเบาๆ ใช่ไหม มันเป็นนิรามิสสุข ไม่ใช่สามิสสุข

    ไอ้สามิสสุข คือ ได้ของ ได้คน ได้สัตว์ที่เราชอบ เป็นความสุขเขาเรียกว่า "สามิสสุข" คือสุขอิงอามิส

    ถ้านิรามิสสุข ไม่เกี่ยวข้องกับอามิส อารมณ์มันเฉยๆ

    ผู้ถาม : สังเกตุว่าก่อนที่จะได้อารมณ์อย่างนี้ คือจิตนึกถึงความตายค่ะ

    หลวงพ่อ : ใช่ตัวนี้เป็นสำคัญ ตัวจิตนึกถึงความตาย ถ้าเป็นสมถะเรียกว่า "มรณานุสสติ" ถ้าวิปัสสนาญาณเขาเรียกว่า "สักกายทิฏฐิ" ใช่ไหม เป็นสังโยชน์

    พระพุทธเจ้าจึงทรงแนะนำว่าทุกคนให้นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ ตัวนี้ต้องยืนตัว ถ้าไอ้ตัวนี้ไม่ยืนตัวอะไรก็ไม่ได้ ถ้าตายทุกคนก็ต้องตาย ไอ้คนที่จะไม่ตายไม่มี แล้วถ้าเรายังเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด มันจะเกิดเพื่อประโยชน์อะไร ใช่ไหม เราตายคราวนี้ให้มันตายเป็นครั้งสุดท้าย เราจะไม่เกิดต่อไปอีก

    ทำยังไงจะไม่เกิดต่อไป ?

    เราก็ไม่ต้องการร่างกายนี้ซิ ไอ้คำว่าไม่ต้องการไม่ใช่ตัดผลุนผลันไปเลยนะ คำว่าไม่ต้องการคือค่อยๆคิด ค่อยๆปลด แต่หน้าที่มีเท่าไหร่ทำให้ครบถ้วน แต่ทว่าทำแล้วก็คิดไปเลยว่า ไอ้งานประเภทนี้จะมีชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ชาติต่อไปไม่มีอีก

    วิธีตัดเขาตัดแบบนี้นะ ไม่ใช่ตัดแบบวางมันส่งเดช ข้าวปลาไม่กิน ขี้เข้อก็ปล่อย ไม่กินข้าวพอทนไหว ไอ้ขี้นี่มันยุ่ง (หัวเราะ)

    (จากหลวงพ่อตอบปัญหา ธัมมวิโมกข์ กันยายน 2545)
     
  18. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    115
    ค่าพลัง:
    +225,719
    ภาวนา " ทุ สะ นะ โส "

    ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้่าคะ หนูนั่งๆ มีอยู่วันหนึ่ง พอนั่งนิ่งๆ มีคนมาบอกว่าตอนที่ท่องพุทโธนี่แก้วหูจะลั่น แล้วเขาบอกว่าท่อง " ทุสะนะโส "


    หลวงพ่อ : ก็ว่าตามเขาสิ

    ผู้ถาม : แล้วถึงจะว่าพุทโธได้ใช่ไหมคะ ?

    หลวงพ่อ : ว่าตามเขาสั่งก่อน จนกว่าจะสบายนะ ทุ สะ นะ โส นี่เป็นหัวใจเปรต เขาเรียกว่าหัวใจเปรต ถ้าอย่างนั้น ทุ สะ นะ โส ต้องปราบอาการนั้นได้ อาการที่ขวางนะ ก็ว่าไปจนกว่าจะสบายก่อน ตอนหลังก็ลองเปลี่่ยนดู สบายแล้วก็สบายเรื่อยก็ใช้ได้เลย เว้นไว้แต่ว่าเขาจะบอกให้เปลี่ยนใหม่ก็เปลี่ยน ยาวกว่านั้นใช่ไหม คำว่า ทุ ตัวเดียวจมลงไปในหม้อทองแดง อีกตัวโผล่มา สะ แล้วก็ นะ แล้วก็ โส นี่น่ะ พอโผล่พูดคำก็จมลงไป เป็นหัวใจเปรตที่พระพุทธเจ้าเคยตรัสกับมานพคนหนึ่ง

    ถ้าเราว่าคาถาบทนี้อาจจะปราบไอ้อาการนั้นได้ เขาจึงมาบอกให้ใช่ไหม ก็ว่าเรื่อยๆไป ถ้ายิ่งสบาย ใช้คาถานี้สบายก็ว่าไปเลย เพราะว่าให้ถือว่าคาถาบทนี้พระพุทธเจ้าบอกเรา เพราะคาถาบทนี้พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ในธรรมบทนะ ถือว่าเป็นพุทธานุสสติเหมือนกัน

    (คัดจากหลวงพ่อตอบปัญหาในธัมมวิโมกข์ ธันวาคม 2533)
     
  19. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    115
    ค่าพลัง:
    +225,719
    ภาวนาอยากรวย

    ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าขา ลูกเห็นทีว่าศรัทธาชักจะเตี้ยลงเหมือนสาละวันเสียแล้ว ทั้งนี้เพราะว่ากำลังใจในด้านการทำความดีมันเหี่ยวแห้งยังไงบอกไม่ถูก คือ ว่าอย่างนี้ ทำบุญทำกุศล ลูกทำตามแบบฉบับหลวงพ่อทุกอย่าง ศีลรักษาแถมยังมีศีล 8 ผสมในวันพระด้วย ภาวนาไม่ต้องห่วงเลยหลวงพ่อคะ ลูกว่าถี่ยิบ เพราะอยากจะรวยเร็วๆ แต่อนิจจาสู้คนข้างบ้านไม่ได้เลย เขารวยมากกว่าลูก เขาทำอะไรได้ดีไปทุกอย่าง ลูกทำอะไรแล้วไม่ได้เรื่องเลย ลูกจึงอยากจะมาปรึกษากับหลวงพ่อว่า มีทีเด็ดคำแนะนำอย่างไรจะไปสู้ข้างบ้านได้บ้างเจ้าคะ ?

    หลวงพ่อ : เออ ดูตัวอย่าง อนาบิณฑิกเศรษฐี เขาอยู่กับพระพุทธเจ้าใช่ไหม มีศรัทธา เป็นมหาเศรษฐี แต่วันหนึ่งกรรมที่เป็นอกุศลมาตัด กลายเป็นคนยากจน ต้องกินปลายข้าว แต่ว่าอาศัยที่เคารพพระพุทธเจ้าไม่ช้าก็รวยตามเดิม เป็นกรรมชั่วคราวนะ

    ผู้ถาม : อ้อ..อย่างนี้ก็ต้อทำกำลังใจว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นวิบากกรรมชั่วคราว อย่างนั้นก็ต้องรักษาอารมณ์เดิมไว้ก่อน

    หลวงพ่อ : ใช่ๆๆๆ ยันไว้อย่าให้พัง

    ผู้ถาม : แต่ความจริงที่หลวงพ่อบอกว่า คาถาเงินล้าน ถ้าหากว่าทำเป็นปกติ จิตสบายๆ ก็จะยันไว้

    หลวงพ่อ : ต้องทำแบบสบายๆ ปกติๆ จิตเย็นๆ ค่อยๆ ทำนะ ว่าแบบสบายๆ จิตเป็นสุข แต่อย่าลืมว่ากฏของกรรมเข้ามาริดรอนอย่างอนาบิณฑิกเศรษฐีมันก็มีเหมือนกัน และต้องเชื่อตามนี้ก่อนนะ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็หมายความกรรมที่เป็นอกุศลเข้ามาตัดรอน และไม่ช้าก็จะสลายตัวไป กุศลมาใหม่ก็รวยใหม่

    (จากธัมมวิโมกข์ ธันวาคม 2533)
     
  20. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    115
    ค่าพลัง:
    +225,719
    การใช้ชีวิตในทางโลก : หลวงพ่อพระราชพรหมยาน


    1. ท่านสอนให้เป็นคนตื่นแต่เช้า โดยบอกว่า “คนที่ตื่นเช้าจะไม่ยากจน” ตื่นมาทำอะไรให้เสร็จเรียบร้อย และจะไปนอนใหม่ก็ไม่เป็นไร

    2. ท่านสอนให้ทำอะไรเร็วๆ ไวๆ ไม่ชักช้ายืดยาด ถ้าท่านบอกให้ใครไปทำอะไร ต้องรีบลุกทันที จะใช้คำว่า “เดี๋ยวก่อน” ไม่ได้เลย การเดินทางติดตามท่านแต่ละครั้ง ต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเวลานัดหมายประมาณ 1 ชั่วโมง

    มีอยู่คราวหนึ่งท่าน นัดรถออกตี 5 พอตี 4 เศษๆ หลวงพ่อท่านออกมาแล้ว ข้าพเจ้าต้องรีบขึ้นรถทั้งชุดนอนแล้วไปเปลี่ยนที่ปั๊มน้ำมันเวลารถจอดเติมน้ำมัน ตั้งแต่นั้นมาการเดินทางทุกครั้ง พวกเราจะตื่นมาแต่งตัวและจัดกระเป๋าให้เรียบร้อยพร้อมขึ้นรถได้ทันที แล้วนอนคอยเวลา พอท่านมาก็ลุกไปขึ้นรถได้เลย เป็นการฝึกให้ลูกศิษย์มีนิสัยทำอะไรรวดเร็ว ไม่อืดอาดชักช้า และเป็นคนไม่ผิดนัด

    3. การเขียนหนังสือและตัวเลข ท่านสอนให้เขียนตัวโตๆ ให้อ่านง่าย อย่าไปเขียนตัวเล็กๆ หรือเขียนตัวหนังสือแบบเล่นหางเด็ดขาด เพราะทำให้อ่านยาก ท่านบอกว่า “คนที่เขียนหนังสืออ่านยาก แสดงว่าคนนั้นยังมีกิเลสมาก”

    4. พื้นห้องที่ปูด้วยกระเบื้องหรือหินอ่อนจะมีความเย็น ท่านสอนว่าอย่าไปนั่งนานๆ ให้หาอะไรมารองนั่ง เพราะจะทำให้เป็นโรคเหน็บชา

    5. เวลาท่านไปสอนพระกรรมฐาน ถ้าไปพักบ้านที่ติดชายทะเล หรือบ้านที่มีสระน้ำ ถ้าใครว่ายน้ำไม่เป็น ท่านให้ไปหัดว่าย ท่านบอกว่า การว่ายน้ำเป็นการออกกำลังกายทุกส่วนของร่างกาย ทำให้มีสุขภาพแข็งแรง และถ้าเผอิญไปตกน้ำก็จะไม่จมน้ำตาย

    6. ท่านสอนให้ข้าพเจ้ารู้จักขุดดิน ฟันหญ้า ปลูกผักสวนครัวที่วัดอยู่พักหนึ่ง ข้าพเจ้าคิดเองว่า ท่านสอนให้รู้จักสมบุกสมบันบ้าง และเป็นการออกกำลังกายด้วย เพราะทำงานนั่งอยู่กับโต๊ะมานานหลายปี

    7. เรื่องอาหารและผลไม้นี้ ท่านบอกว่า บางอย่างจะไม่ถูกกับบางคนเท่านั้น ไม่ใช่เสมอไปทุกคน เช่น แตงโมกับส้มโอ เห็นเป็นน้ำก็จริง แต่เส้นใยนั้นย่อยยาก คนที่เป็นโรคกระเพาะรับประทานเข้าไป จะทำให้ปวดท้อง

    ส่วนปลาร้ามีประโยชน์ต่อร่างกาย พริกมีส่วนช่วยเรียกน้ำย่อยทำให้รับประทานอาหารได้ดี

    ถึงแม้ว่าหลวงพ่อจะมรณภาพไปหลายปีแล้วก็ตาม ท่านยังมีเมตตามาสงเคราะห์ข้าพเจ้า เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2544 ข้าพเจ้าฝันเห็นหลวงพ่อมาบอก ห้ามรับประทานอาหารและขนมที่มีส่วนผสมของไก่ หรือไข่ไก่ทั้งหมด

    8. แม้แต่เรื่องสายตา ท่านบอกว่า อายุ 40 ปีขึ้นไป ควรไปตรวจสายตาว่าสมควรใส่แว่นหรือยัง เป็นการถนอมลูกตาไม่ให้ใช้งานมากเกินไป


    9. ข้าพเจ้าเคยตรวจต้นฉบับหนังสือธัมมวิโมกข์ก่อนส่งโรงพิมพ์ สมัยที่ยังไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ ท่านก็สอนว่า ถ้าช่วยพระทำงานก็ไปติดต่อพูดคุยกับพระสงฆ์ได้ แต่อย่าไปอยู่นานๆ ถึงแม้ว่าเราไม่มีอะไรก็ตาม แต่คนจะตำหนิเราได้ ให้เอางานลงมาทำที่ห้องพัก

    10. สมัยที่ข้าพเจ้ายังทำงานอยู่ ท่านสอนให้ตั้งใจทำงาน โดยไม่ต้องไปคำนึงว่าปีนี้จะได้เงินเดือนขึ้นกี่ขั้น ให้ถือว่างานนั้นเป็นงานของเราเอง เพราะเราได้เงินจากการทำงานนั้นมาใช้จ่ายในการดำรงชีวิตให้ทรงอยู่ ให้ผู้มีพระคุณเป็นการตอบแทนพระคุณท่านบ้าง และนำมาทำบุญทำทานสร้างบุญกุศลให้ตัวเราเองด้วย

    ถ้าไม่ได้ทำงานเราจะเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่าย บางครั้งที่ข้าพเจ้าลางานติดตามหลวงพ่อไปสอนพระกรรมฐาน หรือไปแจกของในถิ่นทุรกันดารบ้าง ท่านก็สอนว่า เวลากลับมาให้ตั้งใจทำงานให้เต็มที่ มีความรับผิดชอบในหน้าที่ของเรา ไม่ให้บกพร่อง อย่าเกียจคร้าน อย่างนี้หัวหน้างานและเพื่อนร่วมงานก็ว่าเราไม่ได้

    สิ่งที่หลวงพ่อสอนไว้ยังมีอีกมาก ข้าพเจ้าเล่าเท่าที่ได้รับฟังมา และพอจะจำได้เท่านั้น เป็นความประทับใจที่หลวงพ่อมีเมตตา ปลูกฝังนิสัยที่ดีแก่ข้าพเจ้าและลูกศิษย์ทุกคนได้ปฏิบัติจนชินมาจนถึงทุกวันนี้


    (จากเรื่อง "ความประทับใจในองค์หลวงพ่อของข้าพเจ้า" โดย คุณครูคณิตพร บุณยเกียรติ ในหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม 5 หน้า 101- 103)
     

แชร์หน้านี้

Loading...