ติดตามสถานะการณ์

Rujirat Gift Arthy


ในวันนี้ (3 มกรา) เวลาประมาณ 18:10 น. เกิดเหตุแผ่นดินไหวไหวขนาดแรง M5.0 ศูนย์กลางบริเวณจ. คุมาโมโต้ คิวชู วัดความสั่นสะเทือนได้ตามมาตราญี่ปุ่น 6- ไม่มีเตือนสึนามิ 熊本で震度6弱 EQ 6- in Kumamoto


ขอให้ทุกท่านที่อยู่ในพื้นที่ระมัดระวังอาฟเตอร์ช็อคที่อาจจะตามมาด้วยค่ะ


#ข่าวญี่ปุ่น #แผ่นดินไหว #地震


ภาพ : NHK, Twitter

 

ล่าสุด ! #พายุปาบึก 3 ม.ค. #เกิดพายุงวงช้าง ที่ อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช สัญญาณเตือนจากธรรมชาติ

.


พายุงวงช้าง หรือ พายุทอร์นาโด สามารถเกิดจาก พายุหมุนเขตร้อน เช่น #ปาบึก #PABUK ได้


ไม่เล่าหลักการเพราะมันจะยาว สรุปคือ


1. เกิดเฉพาะจุด เกิดแปบเดียวแล้วจากไป

2. เตือนได้ยาก เพราะตรวจจับโดยตรงด้วยเรดาร์และดาวเทียมไม่ได้

3. แต่ถ้าลงตรงไหน ตรงนั้นบรรลัยแน่นอน

.


ที่มา @orbitaller

 

ก่อยพายุเข้า ช่วงนี้เป็นช่วงสะสมปริมาณน้ำ

ช่างศุภวิชญ์ จูเปรมปรี


#เพิ่มเติมครั้งที่ 1 วันที่ 3 ม.ค. 62_16.00 น.

ศูนย์ข้อมูลสาธารณภัย ปภ

ได้รับรายงานฝนตกหนัก น้ำท่วมขัง


#สงขลา เกินกว่า 150 มม

#ปัตตานี เกินกว่า 100 มม.

#ยะลา นราธิวาส เกินกว่า 60 มม.

/ ห้อง 61ปภ

 

Bank of Thailand Scholarship Students


(Jan 2) ผุด 2 ดีลใหญ่ 2019 สู้สงครามการค้าโลก : ศึกการค้าป่วนโลกตลอดปี 2018 นี้ ไม่ใช่เพียงการขึ้นสังเวียนระหว่างมวยคู่เฮฟวีเวตอย่าง "สหรัฐ" และ "จีน" เท่านั้น แต่ยังลากเอาอีกหลายประเทศทั่วโลกเข้ามาอยู่ในศึกการค้าด้วย ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบทางอ้อมที่มาจากการค้ากับจีนและสหรัฐอีกทอดหนึ่ง หรือผลกระทบทางตรงจากการเป็นคู่กรณี



เพราะแม้จะเป็นประเทศพันธมิตรที่มีความสัมพันธ์เหนียวแน่นกันมานาน หรือมีความจำเป็นด้านการรักษาดุลอำนาจในภูมิภาคอื่นๆ แต่สหรัฐ ก็สามารถลากเอาประเทศพันธมิตรเหล่านี้มาเป็นขั้วตรงข้ามได้ ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น แคนาดา เม็กซิโก เกาหลีใต้ และสหภาพยุโรป (อียู)



ที่ผ่านมา สหรัฐกดดันมิตรให้กลายเป็นศัตรู(ชั่วคราว) ด้วยการขู่จะขึ้นภาษีรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์นำเข้า ซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมหัวใจหลักของประเทศเหล่านี้โดยตรง เพื่อกดดันให้ประเทศเหล่านี้ต้องเจรจาความตกลงการค้าใหม่ให้สหรัฐได้ประโยชน์มากขึ้นกว่าเดิม และที่จริงสหรัฐเริ่มมีสัญญาณกดดันทางค้ามาตั้งแต่ปีแรกที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ รับตำแหน่งในปี 2017 แล้ว ภายใต้ยุทธศาสตร์ อเมริกา เฟิร์สต์



จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายประเทศจะรับรู้ "ความเสี่ยง" เหล่านี้มาตั้งแต่เนิ่นๆ และมีการเร่งเดินหน้าเตรียมตัวตั้งรับ จนนำไปสู่การออก ข้อตกลงการค้าระดับ "เมกะดีล" 2 ฉบับ ที่จะเริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2019 นี้เป็นต้นไป ทั้งข้อตกลงการค้าแบบทวิภาคี และแบบพหุภาคี ท่ามกลางสงครามการค้าที่ยังไม่รู้จะออกหัว หรือออกก้อย และยังไม่รู้ว่าจะมีเซอร์ไพรส์อะไรออกมาอีกหรือไม่ในอีก 2 ปีที่เหลือของการดำรงตำแหน่งของผู้นำสหรัฐ



ข้อตกลงแรกที่เริ่มมีผลบังคับใช้ส่วนหนึ่งไปก่อนแล้วตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค. ก็คือ ข้อตกลงความครอบคลุมและก้าวหน้าเพื่อหุ้นส่วนการค้าภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก (CPTPP) หรือชื่อเดิมว่า ทีพีพี ซึ่งจะมีผลยกเลิกภาษีสินค้านำเข้าประมาณ 95% ของชาติสมาชิกทั้งหมด 11 ชาติ โดยเป็นข้อตกลงที่ครอบคลุมประชากรมากกว่า 500 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 13% ของจีดีพีโลก และนับเป็นข้อตกลงการค้าเสรีพหุภาคีฉบับแรกที่เริ่มมีผลในปี 2019



ซีพีทีพีพีเริ่มมีผลบังคับใช้ก่อนกับ 6 ชาติภาคีสมาชิก ได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนาดา ญี่ปุ่น เม็กซิโก และสิงคโปร์ก่อน เนื่องจากมีการให้สัตยาบันรับรองกันไปแล้ว ส่วนเวียดนามจะเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 14 ม.ค. 2019 ขณะที่ บรูไน ชิลี มาเลเซีย และเปรู จะเริ่มต้นภายใน 60 วัน หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการให้สัตยาบัน



ก่อนหน้านี้ CPTPP เคยออกอาการง่อนแง่นเมื่อสหรัฐภายใต้การนำของทรัมป์ ประกาศถอนตัวออกจาก ข้อตกลงเมื่อเดือน ม.ค. 2017 หรือเป็นภารกิจแรกๆ ของทรัมป์นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในเดือนเดียวกัน ทั้งที่ 12 ชาติภาคีสมาชิกซึ่งรวมถึงสหรัฐ ลงนามข้อตกลงทีพีพีกันไปแล้วเมื่อเดือน ก.พ. 2016 ที่ประเทศนิวซีแลนด์ ส่งผลให้ข้อตกลงนี้เกิดภาวะไม่แน่นอน เพราะบางชาติสมาชิกรู้สึกลังเลเมื่อไม่มีตลาดใหญ่ที่สุดเบอร์ 1 ของโลกอย่างสหรัฐ รวมอยู่ด้วย



ทว่าภายใต้การเปลี่ยนแปลงของรัฐบาลใหม่สหรัฐ ที่มีแนวโน้มจะเปลี่ยนไปสู่การใช้นโยบายปกป้องทางการค้า (Protectionism) ภายใต้ยุทธศาสตร์อเมริกามาก่อน จึงทำให้ประเทศสมาชิกที่เหลือ 11 ชาติ นำโดยญี่ปุ่น เห็นพ้องที่ต้องขับเคลื่อนทีพีพีต่อไป เพื่อเป็นกลไกรับมือกับความเสี่ยงทางการค้าในอนาคต จึงนำไปสู่การเจรจาอีกหลายครั้งตามมา และได้ข้อสรุปเรื่องการปรับแก้ไขความตกลง ทีพีพีบางส่วนไปเป็นข้อตกลงใหม่ในชื่อ CPTPP เมื่อเดือน พ.ย. 2018 กระทั่งนำไปสู่การลงนามและการให้สัตยาบันของสมาชิกกลุ่มแรกในที่สุด



นอกจากข้อตกลงการค้าพหุภาคีแรกแห่งปี 2019 แล้ว ก็ยังมี "ข้อตกลงเขตการค้าเสรี ญี่ปุ่น-อียู" ซึ่งจะเป็นข้อตกลงการค้าทวิภาคีฉบับแรก ที่จะมีผลบังคับใช้ในปี 2019 นี้เช่นกัน หรือตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.เป็นต้นไป ซึ่งเป็นข้อตกลงครอบคลุมประชากร 600 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของจีดีพีโลก



ญี่ปุ่นและอียูนั้นเริ่มการเจรจา เอฟทีเอดังกล่าวมานานถึง 4 ปีแล้ว แต่ความคืบหน้ามาเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในภายหลังตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมา เพราะปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองจากทรัมป์



วอลสตรีทเจอร์นัล ระบุว่า หลังจากที่มีการเจรจากันอย่างเป็นทางการเพียงรอบเดียวในเดือน เม.ย. 2017 ผู้นำทั้งสองฝ่ายที่นำโดยนายกรัฐมนตรี ชินโสะ อาเบะ และฌอง โคลด ยุงเกอร์ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (อีซี) ก็ได้ประกาศบรรลุข้อตกลงร่วมกัน ในเดือน ก.ค. 2017 โดยต้องการเร่งสรุปผลให้ทันก่อนการประชุมสุดยอดผู้นำ จี20 ที่เยอรมนี ในเดือนถัดมา เพื่อส่งสัญญาณโดยตรงไปถึงสหรัฐว่า ประเทศอื่นๆ จะไม่ยอมทนรับการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐเพียงฝ่ายเดียว แต่มีการผนึกกำลังกันเพื่อรับมือโดยตรงด้วย



ฝั่งญี่ปุ่นนั้นเป็นชาติหนึ่งที่ถูกสหรัฐกดดันหนักไม่แพ้พันธมิตรชาติอื่นๆ โดยเฉพาะการกดดันให้เปิดตลาดสินค้าเกษตร และยังอาจรวมถึงการบังคับให้ลงนามห้ามลดค่าเงินเพื่อสร้างความได้เปรียบด้านการส่งออก ซึ่งทางฝั่งญี่ปุ่นต้องเตรียมความพร้อมรับด้วยว่า หากสถานการณ์ระหว่างสหรัฐกับจีนอ่อนลงในปีนี้ สหรัฐอาจหันไปบีบชาติอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น มากขึ้นแทน



ส่วนฝั่งยุโรปเองก็เผชิญแรงกดดันหนักไม่น้อยกว่ากัน โดยเฉพาะจากกรณี เบร็กซิต ที่สหราชอาณาจักรจะ ถอนตัวออกจากอียู โดยมีกำหนด เส้นตายในเดือน มี.ค. 2019 นี้แล้ว แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีวี่แววว่ารัฐสภาอังกฤษจะผ่านมติรับรองแผนที่อังกฤษตกลงกับอียูแล้วออกมา นอกจากนี้ก็ยังมีความเสี่ยงอื่นๆ ประปราย ทั้งรัฐบาลฝ่ายขวาของอิตาลี หรือเยอรมนีที่กำลังจะไร้เงานายกรัฐมนตรี อังเกลา แมร์เกิล ในอีกไม่กี่ปีนี้ และที่สำคัญก็คือ ความเสี่ยงกับสหรัฐเอง โดยเฉพาะภาษีรถยนต์กับชิ้นส่วนรถยนต์นำเข้า ที่สหรัฐเพียงแค่ผ่อนผันให้อียูกับพันธมิตรบางชาติเท่านั้น แต่ยังไม่ได้ยกเลิกไปอย่างถาวร และพร้อมที่จะ ยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างกดดันใหม่ได้



ภายใต้ความเสี่ยงทั้งทางตรง และทางอ้อมที่ยังไม่จบลงง่ายใน เร็วๆ นี้ การผุดดีลการค้าขึ้นมารับมือ ในยุคความผันผวนปี 2019 จึงเป็น ทั้งความจำเป็นและทางออกที่ต้องจับตาความคืบหน้าอย่างใกล้ชิดกัน ต่อไปในปีนี้


โดย นันทิยา วรเพชรายุทธ


Source: Posttoday


เพิ่มเติม

- CPTPP could be a strong trading partner for China

http://www.globaltimes.cn/content/1134261.shtml

 

Bank of Thailand Scholarship Students


(Jan 2) 2019 ยังไม่ง่าย ปีแห่งความท้าทายของจีน : ปี 2018 ที่ผ่านมา อาจเรียกได้ว่า เป็นปีแห่งความบอบช้ำของ "จีน" ที่เจอศึกใหญ่หลายด้านและสร้างบาดแผลน้อยใหญ่ไปตามๆ กัน



"สงครามการค้า" คือศึกใหญ่ที่สุดที่จีนเผชิญมาเมื่อปีที่แล้วและ ต่อเนื่องลากยาวข้ามปีมาถึงปี 2019 นี้ จีนเจอแรงกดดันและคำขู่ของสหรัฐ มาตั้งแต่ช่วงต้นปี จนระเบิดด้วยการขึ้นภาษีสินค้ากันไปคนละฝ่ายแบบ "ตาต่อตา ฟันต่อฟัน" ลากกันไปจนสู่ระดับมากกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และขยายวงไปเป็นศึกพิพาทด้านเทคโนโลยีตามมา เมื่อมีการดึงเอาบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยีส์ เข้ามา ร่วมวงด้วย และมีความพยายามกดดันไปยังประเทศพันธมิตรให้สกัดหัวเว่ย ออกจากธุรกิจ 5จี ที่หลายประเทศกำลังจะมีการประมูลคลื่นความถี่ในปีนี้



"การริเริ่มแถบและเส้นทาง" (BRI) หรือที่หลายคนอาจรู้จักกัน ในชื่อเดิมว่า One Belt One Road ที่จีนจะเชื่อมโยงเส้นทางทั้งทางบก และทางน้ำอย่างครอบคลุมไปสู่ จุดหมายในยุโรปนั้น ก็เริ่มเผชิญเสียงวิจารณ์เชิงลบอย่างหนักหน่วงในปีนี้ หลังเกิดกรณีการ "ฮุบท่าเรือศรีลังกา" กับสัญญาเช่านาน 99 ปี เมื่อศรีลังกาไม่สามารถจ่ายหนี้ก้อนใหญ่คืนจีนได้ ทำให้หลายฝ่ายเริ่มโจมตีโครงการเงินกู้สร้างสาธารณูปโภคของจีนว่าเป็น "กับดักหนี้" ที่ทำให้จีนได้เข้าไปยึด ในท้ายที่สุด



"ตลาดหุ้น" คือพิษบาดแผลล่าสุดที่จีนสู้รบมาอย่างหนักหน่วงจากศึก การค้า และศึกดอกเบี้ยขาขึ้นที่จีนเอง ก็มีแผลเรื่องหนี้มหาศาลอยู่ก่อนแล้ว ทำให้ตลาดหุ้นจีนดิ่งลงหนักที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ ในเอเชียแปซิฟิก ดัชนีหลักในตลาดเซี่ยงไฮ้และเสิ่นเจิ้น ดิ่งลงไประหว่าง 24-25% ขณะที่ บลูมเบิร์กรายงานว่า มูลค่าตลาดหุ้นจีนหายไปแล้วถึง 2.4 ล้านล้านดอลลาร์



เหล่านี้ล้วนเป็นศึกและความบอบช้ำที่ทำให้เศรษฐกิจจีนเริ่มออกอาการมาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3 และเห็นชัดขึ้นในช่วงปลายปี 2018 กับตัวเลขที่ออกมาแย่ลงในหลายด้าน เช่น ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เดือน ธ.ค. ลดจากระดับ 50 ในเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ 49.4 นับเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบมากกว่า 2 ปี สะท้อนให้เห็นถึงดีมานด์ที่ซบเซา และแรงกดดันต่อเศรษฐกิจจีนที่จะเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ดัชนียอดคำสั่งซื้อใหม่ในเดือน ธ.ค. อยู่ที่ 46.6 ลดลงมาจาก 47.0 ซึ่งเป็นการลดลงเดือนที่ 7 ติดต่อกัน



ในปี 2019 นี้ จึงนับเป็นปี หัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของจีนที่นักเศรษฐศาสตร์มองว่า สงครามการค้าจะเริ่มเห็นผลกระทบชัดเจนขึ้นมากกว่าปีที่แล้ว และทำให้ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) คาดการณ์ว่าจีดีพีของจีนจะขยายตัวได้เพียง 6.2% เท่านั้น ซึ่งเป็นระดับการเติบโตที่ต่ำที่สุดในรอบเกือบ 30 ปี ในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือน ม.ค.นี้ คาดว่าจะมีการประชุมเกิดขึ้นระหว่างผู้แทนการค้าของสหรัฐและจีน ที่กรุงปักกิ่ง โดยเป็นการประชุมนัดแรกหลังจากที่ทั้งสองฝ่ายตกลงสงบศึกชั่วคราวเป็นเวลา 90 วัน



หากการเจรจาจบลงโดยไม่มีอะไรคืบหน้า หรือไม่มีแนวโน้มที่ดีมากนัก สงครามการค้าก็อาจกลายเป็นประเด็นที่ยิ่งกดดันเศรษฐกิจโลกและตลาดหุ้นไปตลอดตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรกปีนี้ แต่นักวิเคราะห์หลายฝ่ายเชื่อว่าน่าจะมีสัญญาณที่ดีขึ้นมากกว่า โดยสังเกตจากท่าทีที่เปลี่ยนไปของจีนมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2018 ซึ่งมีข่าวทยอยออกมาอย่างต่อเนื่องว่า จีนยอมซื้อสินค้าเกษตรและพลังงานจากสหรัฐเพิ่ม จะยอมลดภาษีนำเข้ารถยนต์ของสหรัฐกลับมาอยู่ที่ 15% หรือระดับเดิมก่อนที่จะขึ้นเพิ่มเพื่อเอาคืนเรื่องภาษีการค้าจะยอมเปิดตลาดมากขึ้น และกำลังร่างกฎหมายเพื่อป้องกันการบังคับถ่ายโอนเทคโนโลยีด้วย



ส่วนหนึ่งของการยอมเปิดตลาด ยังหมายถึงแนวโน้มที่จีนจะลดการอุดหนุนมากขึ้นในปีนี้ เพื่อผ่อนแรงกดดันเรื่องการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดอาจเป็นอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งสมาคมผู้ผลิตรถยนต์จีน เปิดเผยว่า ปีนี้รัฐอาจลดการอุดหนุนลงถึง 30% ซึ่งในแง่หนึ่งอาจทำให้ยอดการซื้อรถยนต์ชะลอตัวลงต่อเนื่องจากในปีที่ผ่านมา แต่ก็น่าจับตาว่าตลาดรถยนต์จีนโดยเฉพาะในกลุ่มอีวี จะเกิดการแข่งขัน ดุเดือดขึ้นในปีนี้ เพราะค่ายรถต่างชาติหลายแห่งประกาศแผนลงทุนอีวีกันอย่างคึกคักออกมาแล้ว



ทิศทางที่น่าจะดีขึ้นกับสหรัฐบวกกับราคาหุ้นที่ถูกลงมามาก ทำให้ แนวโน้มตลาดหุ้นจีนอาจกลับมาดีขึ้นได้ในปีนี้ โดยผู้จัดการพอร์ตของเจพีมอร์แกน แอสเซท แมเนจเมนท์ มองจากราคาที่ดิ่งฮวบลงมากในปีที่แล้ว ทำให้ P/E ตลาดเซี่ยงไฮ้อยู่ที่ 11 เท่า ซึ่งถูกลงมากเมื่อเทียบกับตลาดเกิดใหม่อื่นๆ เช่น มุมไบ ที่ 23 เท่า แต่ในภาพรวมแล้วจีนจะยังมีปัจจัยเสี่ยงอีกมาก และทำให้ตลาดหุ้นจีนน่าจะยังผันผวนหนักอยู่ในปีนี้



อย่างไรก็ดี ตามที่ทราบกันแล้วว่าสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐคือ หนังม้วนยาว ดังนั้น ต่อให้จีนและสหรัฐสามารถเจรจาเฉพาะหน้ากันได้ โดยจีนยอมซื้อและเปิดตลาดในบ้านให้มากขึ้น แต่นอกบ้านนั้นจีนก็ยังต้องเจอกับความลำบากต่อไปในแง่ของการออกไปซื้อกิจการโดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยี รวมถึงการลงทุน 5จี ซึ่ง



หลังจากนี้ไป เรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีจะมีบริบทเรื่องการเมืองมาเกี่ยวข้องด้วยสูง ดังนั้น จึงต้องจับตาไปที่การตั้งรับของจีนว่า จะสามารถประคองตัวไปท่ามกลางความเสี่ยง ไม่ให้เศรษฐกิจขยายตัวต่ำไปกว่าของปี 2018 ได้หรือไม่



ธนาคารกลางจีน (พีบีโอซี) ส่งสัญญาณมาก่อนหน้านี้แล้วว่า ไม่ต้องคาดหวังถึงการอัดฉีดมาตรการกระตุ้น ล็อตใหญ่ เพราะจีนจะใช้มาตรการการเงินเชิงผ่อนคลายอย่างระมัดระวัง ซึ่งสังเกตได้ว่าการอัดฉีดครั้งที่ผ่านมาผ่านกลไกเงินกู้ระยะกลางนั้น เป็นไปแบบเจาะจงเป้าหมาย (TMLF) เพื่อให้เงินกู้ไปถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มธุรกิจขนาดกลางลงมาโดยเฉพาะ และแม้จะผ่อนคลายมากขึ้น แต่ก็ยังระวังและจับตาตลาดอสังหาริมทรัพย์กับการปล่อยกู้ออนไลน์อยู่ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าเสถียรภาพทางการเงินในจีนมีความอ่อนไหวสูง เพราะยังเกี่ยวพันถึงเรื่อง "หนี้" ที่เป็นปัญหาเดิมอยู่ก่อนแล้ว และยังอาจกระทบต่อ "เงินหยวน" ที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในปีนี้ตามแนวโน้มดอลลาร์อ่อนค่า



แต่หากมองว่าตัวเลขหลายด้านกำลังแย่ลง ก็มีความเป็นไปได้สูงเช่นกันที่จีนอาจต้องงัดมาตรการกระตุ้นที่แรงขึ้นทั้งในเชิงการเงินและการคลังออกมาใช้หากสถานการณ์ย่ำแย่ลงไปอีก และทำให้ปี 2019 นี้ เป็นอีกปีแห่งความท้าทายของจีน


โดย นันทิยา วรเพชรายุทธ


Source: Posttoday


เพิ่มเติม

- Asian stocks see losses on the first trading day of 2019

https://www.cnbc.com/2019/01/02/asia-markets-us-china-trade-currencies-xi-speech-in-focus.html


ความคืบหน้า

- สื่อตีข่าวผู้แทนการค้าสหรัฐแนะทรัมป์เก็บภาษีเพิ่มเติมต่อสินค้านำเข้าจากจีน

: https://www.ryt9.com/s/iq29/2935633

 

Bank of Thailand Scholarship Students


(Jan 2) คนไทยก็ต้องจ่าย ญี่ปุ่นเตรียมเก็บภาษีขาออกนอกประเทศ ประมาณ 300 บาท เริ่มจันทร์ที่ 7 มกราคมนี้เป็นต้นไป : ญี่ปุ่นเตรียมเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเมื่อเดินทางออกนอกประเทศ โดยรัฐบาลระบุว่าจะนำเงินภาษีไปพัฒนาขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมือง และส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ


ต้องจ่ายทุกคน แม้จะเป็นพลเมืองญี่ปุ่นก็ตาม

ญี่ปุ่นเตรียมเก็บภาษีขาออกนอกประเทศ (Departure Tax) โดยจะเก็บค่าธรรมเนียมทุกคนที่เดินทางออกนอกประเทศทุกสัญชาติ ไม่เว้นแม้แต่พลเมืองญี่ปุ่น หากเดินทางโดยเรือหรือเครื่องบิน จะต้องจ่ายเงินมูลค่า 1,000 เยน (ประมาณ 292 บาท)


- มาตรการเก็บค่าธรรมเนียมใหม่นี้จะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2019 เป็นต้นไป (หมายความว่า ใครที่ซื้อตั๋วไปญี่ปุ่นก่อนวันที่ 7 มกราคม 2019 จะได้รับการยกเว้นภาษี)


รัฐบาลญี่ปุ่น คาดว่า เงินภาษีที่เก็บในปีงบประมาณปี 2018 จะสูงถึง 6 พันล้านเยน (1,754 ล้านบาท) ส่วนในปีงบประมาณปี 2019 จะสูงถึง 5 หมื่นล้านเยน (1.46 หมื่นล้านบาท) โดยเงินภาษีทั้งหมดนี้รัฐบาลระบุว่า จะนำเอาเงินไปปรับปรุงมาตรฐานขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมือง เช่น นำมาพัฒนาเทคโนโลยีจดจำใบหน้า (facial recognition) เพื่อนำมาใช้งานจริงในสนามบิน


นอกจากนั้น จะนำเงินภาษีไปส่งเสริมเรื่องการท่องเที่ยวด้วย เนื่องจากในปี 2018 ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไปในญี่ปุ่นสูงถึง 30 ล้านคน ส่วนในปี 2020 ที่ญี่ปุ่นจะเป็นเจ้าภาพจัดงานกีฬาโอลิมปิกและพาราลิมปิก รัฐบาลคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาสูงถึง 40 ล้านคนทั่วโลก ดังนั้นจึงเป็นที่แน่นอนว่า ภาษีขาออกนอกประเทศจะนำมาใช้เพื่อรองรับงานใหญ่ในครั้งนี้ด้วย


อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นที่ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม 2 กรณีดังนี้

1. เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี

2. ผู้ที่เดินทางมาเพื่อแวะพักหรือเปลี่ยนเครื่องบิน และอยู่ในญี่ปุ่นไม่ถึง 24 ชั่วโมง


สำหรับการเก็บค่าธรรมเนียมภาษีขาออกนอกประเทศ รัฐบาลญี่ปุ่นบอกว่า จะมีการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการจ่ายเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งไม่ใช้เงินสด (cashless payment) เพื่อความสะดวกและรวดเร็วของทุกคน


By Thongchai Cholsiripong


Source: Brandinside.asia

https://brandinside.asia/japan-departure-tax-1000-yen/

 

Bank of Thailand Scholarship Students


(Jan 3) ธนาคารกลางยุโรปแต่งตั้งผู้บริหารและคณะกรรมการควบคุมดูแลชั่วคราวเพื่อเข้ากำกับดูแลธนาคาร Banca Carige ของอิตาลี : ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศแต่งตั้งผู้บริหารและคณะกรรมการควบคุมดูแลชั่วคราว (Surveillance Committee) เพื่อเข้ากำกับดูแลธนาคาร Banca Carige ซึ่งเป็นธนาคารที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 10 ของอิตาลี หลังจากแผนการเพิ่มทุนจำนวนกว่า 400 ล้านยูโร ของธนาคารไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นและส่งผลให้คณะกรรมการธนาคารประกาศลาออกจากตำแหน่ง


แผนการเพิ่มทุนจำนวน 400 ล้านยูโร ดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของแผนการช่วยเหลือหรือ Rescue plan ที่ถูกกำหนดขึ้นเพื่อช่วยพยุงสถานะของธนาคารให้ยังคงดำเนินงานต่อไปได้ หลังจากเกิดเหตุการณ์อื้อฉาวเกี่ยวกับการทุจริตจนส่งผลประทบต่องบดุลของธนาคารและถูกกำกับดูแลโดยตรงจาก ECB


ECB ให้เหตุผลต่อการดำเนินการดังกล่าวว่า การแต่งตั้งผู้บริหารและคณะกรรมการควบคุมดูแลชั่วคราวเป็นไปเพื่อทดแทนการลาออกของคณะกรรมการธนาคาร ซึ่งผู้บริหารและคณะกรรมการควบคุมดูแลชั่วคราวที่ได้รับการแต่งตั้งจะมีหน้าที่กำกับดูแลธนาคารให้มีการดำเนินงานอย่างมีธรรมาภิบาล ยั่งยืน และโปร่งใส โดยกลุ่มผู้บริหารและคณะกรรมการควบคุมดูแลชั่วคราวดังกล่าวจะทำการรายงานความคืบหน้าในการปรับปรุงโครงสร้างและการเพิ่มเงินกองทุนของธนาคารกลับไปยัง ECB อย่างต่อเนื่อง


หุ้นของธนาคาร Banca Carige ถูกระงับการซื้อขายชั่วคราวสำหรับวันนี้ ขณะที่ราคาหุ้นของธนาคารขนาดใหญ่อื่นๆ ของอิตาลี ปรับลดลงอย่างรุนแรงในช่วงเริ่มต้นการซื้อขายของวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาหุ้นของธนาคาร UBI BANCA SPA และ BPER BANCA ซึ่งได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด โดยราคาหุ้นของธนาคารทั้ง 2 แห่ง ปรับลดลงสูงสุดกว่าร้อยละ 4


Source: BOTSS


- ECB appoints temporary administrators for troubled Italian bank Carige: https://www.cnbc.com/2019/01/02/italys-watchdog-reportedly-suspends-trading-in-carige-shares.html

 

Bank of Thailand Scholarship Students



(Jan 3) ทรัมป์พร้อมที่จะพบผู้นำเกาหลีเหนือ และว่ามองตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลดลงอย่างมากในเดือนที่ผ่านมาว่าเป็นเพียงการปรับลดลงชั่วคราว: สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า ประธานาธิบดี Trump กล่าวว่าตนพร้อมที่จะพบกับนาย Kim Jong Un, ผู้นำเกาหลีเหนือ อีกครั้ง ภายหลังจากที่มีรายงานว่า นาย Kim ได้กล่าวสุนทรพจน์ในวันปีใหม่ โดยระบุว่ารัฐบาลเกาหลีเหนือจะดำเนินการเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ไปในทิศทางใหม่ หากรัฐบาลสหรัฐฯ ยังไม่ยอมที่จะผ่อนปรนเรื่องการคว่ำบาตรต่อเกาหลีเหนือ


ทั้งนี้ ประธานาธิบดี Trump ได้กล่าวในการประชุมคณะรัฐมนตรีสหรัฐฯ ณ ทำเนียบขาวว่า ในการประชุมกับนาย Kim ครั้งที่ผ่านมานั้น ตนได้สร้างความสัมพันธ์ดีต่อกัน ซึ่งหากไม่มีการประชุมครั้งดังกล่าว อาจทำให้เกิดสงครามครั้งใหญ่ในเอเชียได้


อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดี Trump ระบุว่า ตนไม่ได้รีบเร่งสำหรับการประชุมกับนาย Kim เป็นครั้งที่สอง ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดี Trump ได้พูดถึงเรื่องตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลดลงอย่างมากในเดือนที่ผ่านมาว่าเป็นเพียงการปรับลดลงชั่วคราว โดยจะสามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ภายหลังจากที่การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และประเทศอื่นๆ บรรลุเสร็จสิ้นไปได้ด้วยดี


นอกจากนี้ ประธานาธิบดี Trump ยังคงเน้นย้ำว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ปรับตัวสูงขึ้นกว่าร้อยละ 30 นับตั้งแต่ตนเข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ


Source: BOTSS


เพิ่มเติม

- Trump says there was a stock market ‘glitch’ in December, but it will rise when trade deals fixed : https://www.cnbc.com/2019/01/02/tru...alls-last-months-market-decline-a-glitch.html


- Trump says they are still working to set up 2nd Kim Jong Un meeting: https://edition.cnn.com/2019/01/02/politics/trump-kim-jong-un-meeting/index.html


- Stocks rise, barely, on first day of trading after swinging around all day: https://www.cnbc.com/2019/01/02/sto...s-fall-after-weak-economic-data-in-china.html


- ทรัมป์ชี้ตลาดหุ้นขัดข้องทางเทคนิคเดือนที่แล้ว แต่จะฟื้นตัวหากสหรัฐบรรลุข้อตกลงกับจีน : https://www.ryt9.com/s/iq20/2935644

 

Bank of Thailand Scholarship Students

(Jan 3) การชะลอตัวของภาคการผลิตทั่วโลกเป็นความท้าทายต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก และการดำเนินโยบายของธนาคารกลาง : สำนักข่าว Bloomberg เผยแพร่บทความเกี่ยวกับการชะลอตัวของภาคการผลิตทั่วโลกที่นับเป็นความท้าทายต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก และการดำเนินโยบายของธนาคารกลาง


บทความระบุว่าดัชนี Global Manufacturing Index ที่จัดทำโดยทั้ง JPMorgan Chase & Co. และ IHS Markit ปรับลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ย. 2016 ทั้งในส่วนของปัจจัยด้านอุปสงค์และภาคการจ้างงาน


นอกจากนี้ รายงาน factory condition ของประเทศในภูมิภาคเอเชียที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลักอ่อนแอลงในหลายประเทศ เช่นเดียวกับ factory growth ใน Euro area ที่ปรับลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือย 3 ปีสำหรับในส่วนของสหรัฐฯ มีข้อมูลชี้ให้เห็นว่าสงครามทางการค้าเริ่มส่งผลเชิงลบต่อภาคการผลิต โดยดัชนีภาคการผลิตซึ่งจัดทำโดย Regional Fed ทั้ง 5 สาขา ต่างปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญในเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา


ขณะที่การคาดการณ์ตัวเลข ISM Manufacturing ที่จะประกาศในวันพรุ่งนี้ อยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือน ทั้งนี้ ความอ่อนแอของตัวชี้วัดต่างๆ นับเป็นการเพิ่มแรงกดดันให้กับธนาคารกลางสหรัฐฯ ในการชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย


อย่างไรก็ดี แม้ธนาคารกลางสหัรฐฯ จะส่งสัญญาณในการประชุมครั้งที่ผ่านมาเกี่ยวกับ path การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ชะลอตัวลงเหลือเพียง 2 ครั้งในปีนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่ในขณะนี้ ยังมิได้มีการ price-in การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว (implied จากตัวเลข Fed Funds Futures)


Source: BOTSS


- Faltering Global Factories Add to 2019 Challenges for Central Banks

https://www.bloomberg.com/news/arti...factories-add-to-2019-central-bank-challenges

 

Bank of Thailand Scholarship Students


(Jan 3) แอปเปิ้ลลดคาดการณ์รายได้เพราะกระแสในจีนไม่ดี: บริษัทแอปเปิ้ลปรับลดคาดการณ์รายได้ของบริษัทในช่วง 3 เดือนล่าสุด จากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่ยังตึงเครียด และกรณีการจับกุมทายาทของหัวเว่ย ซึ่งส่งผลต่อยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ : สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 2 ม.ค. ว่าบริษัทแอปเปิ้ลออกรายงานเมื่อวันพุธ คาดการณ์รายได้ของบริษัทในช่วงไตรมาสระหว่างเดือนต.ค. ถึงธ.ค. ซึ่งเป็นไตรมาสแรกตามปีงบประมาณของแอปเปิ้ล และเป็นช่วงที่มีเทศกาลช้อปปิ้งใหญ่หลายรายการที่รวมถึงคริสต์มาส ปีใหม่ และ "วันคนโสด 11.11" ในจีน ไว้ที่ 84,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 2.77 ล้านล้านบาท ) น้อยกว่าที่มีการวิเคราะห์ไว้ก่อนหน้านี้พอสมควร ว่าน่าจะสูงถึง 91,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 3 ล้านล้านบาท ) ขณะที่การวิเคราะห์ของสำนักงานวิจัยบางแห่งคาดการณ์ไว้สูงถึง 93,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 3.06 ล้านล้านบาท ) ส่วนรายงานอย่างเป็นทางการจะมีการเปิดเผยในวันที่ 29 ม.ค. นี้


ขณะเดียวกัน เนื้อหาในแถลงการณ์ยังระบุคำกล่าวอย่างตรงไปตรงมาของนายทิม คุก ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร ( ซีอีโอ ) ของแอปเปิ้ล ว่าบริษัทเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการของสหรัฐที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างอเมริกัากับจีน "ที่ยังไร้ทางออก" และ "สภาพแวดล้อมทางการตลาด" ในจีน ณ เวลานี้ ส่งผลให้สินค้าของแอปเปิ้ลเข้าถึงผู้บริโภคในจีนยากขึ้น


ทั้งนี้ ราคาหุ้นของแอปเปิ้ลตกลง 7.7% ในช่วงนอกเวลาการซื้อขายหลังปิดตลาดเมื่อวันพุธ อยู่ที่ 146.40 ดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 4,831.2 บาท ) และยังส่งผลให้มูลค่าทางการตลาดของบริษัทลดลงต่ำกว่า 700,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 23.1 ล้านล้านบาท ) อนึ่ง ราคาหุ้นของแอปเปิ้ลตกลงแล้วมากกว่า 32% ตั้งแต่เดือนต.ค. ปีที่แล้ว หลังกระแสตอบรับสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดยังไม่เป็นไปตามความคาดหวังของหลายฝ่าย


อนึ่ง ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า แอปเปิ้ลยิ่งเป็นปัจจัยเร้าความรู้สึกชาตินิยมในจีนโดยอัตโนมัติ จากการที่แคนาดาควบคุมตัวน.ส.เมิ่ง หว่านโจว ผู้บริหารระดับสูงและบุตรสาวของผู้ก่อตั้งหัวเว่ยตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. ปีที่แล้ว เพื่อรอการขึ้นศาลในวันที่ 6 ก.พ. นี้ ว่าคำร้องของสหรัฐ "มีน้ำหนักเพียงพอ" ในการขอรับตัวเธอไปดำเนินคดีในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนในข้อหาละเมิดมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านหรือไม่ กรณีดังกล่าวจุดกระแสการบอยคอตต์สินค้าของแอปเปิ้ลให้ไปใช้หัวเว่ย หรือแม้แต่เสี่ยวหมี่แทน และการที่แอปเปิ้ลยังคงจำหน่ายไอโฟน 7 รุ่นในจีน ซึ่งเป็นรุ่นที่ศาลประชาชนชั้นกลางในเมืองฝูโจว เมืองของมณฑลฝูเจี้ยน สั่งห้ามเมื่อเดือนที่แล้ว จากกรณีพิพาทกับบริษัทควอลคอมม์ ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของโลกจากสหรัฐเช่นกัน สุ่มเสี่ยงยิ่งเพิ่มทรรศนะเชิงลบของแอปเปิ้ลในสายตาชาวจีน ที่มองว่าแอปเปิ้ลไม่เคารพกฎหมาย


Source: เดลินิวส์ออนลไน์ https://www.dailynews.co.th/foreign/685741


- Apple slashes revenue guidance, says iPhone sales are weak in China — shares tank

https://www.cnbc.com/2019/01/02/apple-warns-on-q1-results.html

 

Bank of Thailand Scholarship Students


(Jan 3) ธปท.ชี้แจงกรณีธนาคารพาณิชย์จะยกเลิกสมุดบัญชีเงินฝาก เผยควรหารือ ธปท.ก่อน : นางสาวปรียานุช จึงประเสริฐ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายการกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้แจงกรณีธนาคารพาณิชย์จะยกเลิกสมุดบัญชีเงินฝาก ว่า ปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งยังให้บริการเงินฝากที่มีสมุดเงินฝากหรือเอกสารการฝากเงินแก่ประชาชนโดยทั่วไป แต่ธนาคารพาณิชย์บางแห่งอาจมีการเสนอผลิตภัณฑ์เงินฝากที่ไม่มีสมุดบัญชีให้แก่ลูกค้าเป็นทางเลือกเพิ่มเติมสำหรับลูกค้าบางกลุ่มที่สะดวกใช้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์


อย่างไรก็ดี หากในอนาคตธนาคารพาณิชย์จะขอยกเลิกสมุดบัญชีเงินฝากแก่ลูกค้าทุกประเภท ก็ควรมีการหารือกับ ธปท. ก่อน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าธนาคารพาณิชย์มีการให้บริการที่เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้า และมีการดูแลภายหลังการขายให้ลูกค้าสามารถดำเนินการต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกและได้รับความเป็นธรรม ตามหลักการของประกาศ ธปท. ว่าด้วยการบริหารจัดการด้านการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นธรรม (Market conduct) https://www.bot.or.th/Thai/FIPCS/Documents/FPG/2561/ThaiPDF/25610034.pdf


ทั้งนี้ ธปท.มีการรวบรวมข้อมูลและประมวลผลเพื่อแสดงข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เงินฝาก ซึ่งรวมถึงบัญชีเงินฝากประเภทที่ไม่มีสมุดบัญชีเงินฝาก ตามลิงค์ https://www.1213.or.th/App/MCPD/DepositApp หากท่านมีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์โปรดติดต่อผู้ให้บริการของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ


Source: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

https://www.prachachat.net/finance/news-273193

 

Bank of Thailand Scholarship Students


(Jan 3) บทความเรื่อง "พฤติกรรมการลงทุนของกองทุนรวมและผลตอบแทนของหุ้นที่กองทุนรวมถือครอง" ได้นำข้อมูลการถือครองหลักทรัพย์รายไตรมาสของกองทุนรวมในประเทศไทยมาศึกษาพฤติกรรมการลงทุนของกองทุนรวมและพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น


ผลการศึกษาพบว่ากองทุนรวมมีระยะเวลาการถือครองหุ้นเฉลี่ยตั้งแต่ 20 เดือนไปจนถึงประมาณ 120 เดือน เมื่อจำแนกกองทุนตามระยะเวลาการถือครองหุ้นพบว่าผลตอบแทนของกองทุนไม่แตกต่างจากผลตอบแทนของดัชนีตลาดเมื่อคำนึงถึงความเสี่ยงของการลงทุน แต่เนื่องจากกองทุนมักลงทุนในลักษณะ Momentum trading จึงอาจเป็นเหตุให้หุ้นที่กองทุนถือมีผลตอบแทนที่สูงกว่าหุ้นที่กองทุนไม่ได้ถืออย่างมีนัยสำคัญ


สามารถอ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ https://www.pier.or.th/?post_type=abridged&p=6312


โดย ดร.รุ่งเกียรติ รัตนบานชื่น และ ดร.คณิสร์ แสงโชติ

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


Source: PIER FB

 

Nakhon Si Thammarat นครศรีธรรมราช


อุตุฯ ญี่ปุ่น ชี้ “ปาบึก” ขึ้นฝั่ง อ.ท่าศาลา นครศรีฯ 4 ม.ค. หลังเปลี่ยนทิศมาแล้ว 3 ครั้ง


กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นเปิดเผย พายุโซนร้อนปาบึกเปลี่ยนทิศขึ้นฝั่ง อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ในวันที่ 4 ม.ค. โดยก่อนหน้านี้มีรายงานว่าจะขึ้นฝั่งที่ อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช และ เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี


เมื่อเวลา 13.00น. วันนี้ ( 3ม.ค.62 ) กรมอุตุนิยมวิทยา ประเทศญี่ปุ่น (JMA) รายงานล่าสุดว่าพายุโซนร้อนปาบึก ได้เปลี่ยนทิศทางมาขึ้นฝั่งบริเวณ อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ในวันพรุ่งนี้ (4 ม.ค.) ใกล้แหลมตะลุมพุกในระยะประชิด ด้วยความเร็วลมขณะขึ้นฝั่ง 45 น็อต หรือมากกว่า 83 กม./ชม.


อย่างไรก็ตาม ทิศทางของพายุลูกนี้ เปลี่ยนมาแล้วถึง 3 ครั้ง โดยเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา อุตุฯ ญี่ปุ่น รายงานว่าพายุปาบึกอ่อนกำลังลงอยู่ที่ 35 น็อต ตำแหน่งขึ้นฝั่งที่ อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งวานนี้ได้รายงานครั้งแรกระบุว่า เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี จะเผชิญกับปาบึก วันนี้ (3 ม.ค.)


ทั้งนี้ ทิศทางของพายุโซนร้อนลูกนี้ คาดว่าจะยังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ ก่อนขึ้นฝั่งประเทศไทย จึงขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารจากทางกรมอุตุนิยมวิทยา และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสื่อที่เชื่อถือได้

 

Watchers


#ข่าวภัยพิบัติ

03/01/19

มีรายงานหิมะตกหนัก หลายจุด

ในบ่ายวันพุธที่ 2 มกราคม 2019 ที่

#Janos, #Chihuahua. #PuertoSanLuis. ไปจนถึง #Sonora

Janos เป็นเทศบาลในรัฐชิวาวาเม็กซิโก ตั้งอยู่ในทิศตะวันตกเฉียงเหนือสุดของชิวาวาติดกับรัฐโซโนราและรัฐแอริโซนาของสหรัฐอเมริกาและมลรัฐนิวเม็กซิโก


ภาพ : cortesía protección civil de la localidad (ตำรวจทางหลวง)

#Watchers

 

Watchers


#ข่าว #พายุโซนร้อนปาบึก

03/01/19

เวลา 10:00 น.

อัพเดทข้อมูลจาก JMA พายุโซนร้อน "ปาบึก" #PABUK

พิกัดล่าสุดเวลานี้อยู่ที่ N8°05' E101°40' ความเร็วลม กศก ขณะขึ้นฝั่งเมืองคอน วันพรุ่งนี้ ปรับเพิ่มเป็น 45 น็อต ความกดอากาศ 994 hPa องค์ประกอบที่เหลือคงเดิมตามอัพเดทก่อนหน้านี้


12.57 น.

ท่าเรือราชา อ.ดอนสัก จ.สุราษฏร์ธานี นทท.ต่างชาติ ขอเดินทางกลับเข้าฝั่ง เนื่องจากอิทธิพลพายุปาบึก ผู้จัดการฝ่ายบริการลูกค้า ท่าเรือราชา ระบุ ตลอดทั้งวันย้าย นทท.ออกจากเกาะสมุยแล้วร้อยละ 70


อัพเดทล่าสุดจากกรมอุตุฯญี่ปุ่น (JMA) 13:00 ที่ผานมา


จุดขึ้นฝั่งในวันที่ 4 ม.ค.ของพายุโซนร้อน "ปาบึก" ย้ายมาที่ อ.ท่าศาลา จ.นครศรธรรมราช เส้นทางนี้จะเฉียดผ่านแหลมตะลุมพุกในระยะประชิด ด้วยความเร็วลมขณะขึ้นฝั่ง 45 น็อต หรือ มากกว่า 83 กม./ชม. (เบากว่าแฮเรียด ในปี 2505 คราวนั้นมีผู้เสียชีวิต900 กว่าราย)


ขณะนี้ ตลาดคูขวาง ในเมือง #นครศรีธรรมราช (ภาพสุดท้าย : cr: DJah6VUu4UzAwPW)

ยังไม่ท่วมนะครับ

Craipibut, workpoint

#Watchers

 

Watchers


#ข่าวภัยพิบัติ #สภาพอากาศ #PolarVortex

// #หนาวแล้ว! ดูการพยากรณ์ในวันนี้เนื่องจากอุณหภูมิลดลงในUK //

03/01/18

อังกฤษ - สหราชอาณาจักรกำลังเตรียมพร้อมสำหรับหิมะตกหนักและสัปดาห์ที่หนาวจัดด้วยกระแสลมวน (POLAR Vortex)ที่แตกเป็นสามลูก ที่เกิดได้หายาก (อย่างที่แอดมินอธิบายในโพสต์ก่อนๆ )ซึ่งคาดว่าจะทำให้เกิดความโกลาหลทั่วประเทศ


สภาพอากาศอาร์กติกจะเกิดระเบิด ส่งผลต่อUK อุณหภูมิลดลงฮวบถึงเกือบ -10C ในสถานที่ที่เย็นที่สุด

คาดว่าจะมีหิมะตกหนักเกิดขึ้นอีกในเดือนมกราคม

'Beast from the East' ที่เกิดอีกครั้ง จะทำให้เกิดพายุที่หนาวจัดในปลายเดือนนี้ในขณะที่หิมะจะตกหนักคาดว่าภายในสองสัปดาห์

อุณหภูมิจะถึง จุดเยือกแข็งตลอดเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์

ภาพ : NETWEATHER

ที่มา : https://www.mirror.co.uk

#Watchers

 

Watchers



#สภาพอากาศ #Pabuk

เรดาร์สทิงพระ

January 03, 2019 at 4โมงเย็น

 

Watchers


// Asia Satellite Map //

ภาพดาวเทียมแสดงกลุ่มฝน จาก TWC เพื่อตรวจสอบกลุ่มฝนและพายุในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

January 03, 2019 at 04:45PM

cr: weather. com

#Watchers

 

Watchers


Tale of Two Winters:

03/01/19

หนึ่งปีที่แล้วในสัปดาห์นี้ (ภาพบนสุด) กับภาพการตกปลาในน้ำแข็งใน Sodus Point, NY ใกล้กับ Lake Ontario ที่อ่าว Sodus

จนถึงถึงวันนี้ ปัจจุบัน (ภาพล่าง) ...

โลกเปลี่ยนไปไม่มาก...


Sodus Bay,North Rose, NY

สหรัฐอเมริกา

#Watchers

 

Watchers


#ข่าวภัยพิบัติ

// ฝนตกหนักที่ปัตตานี ผลกระทบจากอิทธิพลของพายุปาบึก อุตุฯ เตือน เตรียมรับมือหนักขึ้นคืนนี้ //


วันที่ 3 ม.ค. 62

ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์ กรณีพายุโซนร้อนปาบึกได้แผ่อิทธิพลมายังพื้นที่ จ.ปัตตานี หลังจากกรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งว่า วันนี้พื้นที่ภาคใต้ตอนล่างเตรียมรับสถานการณ์พายุปาบึก อาจส่งผลให้เกิดฝนตกหนัก คลื่นสูง ลมในทะเลแรง

ล่าสุดสภาพอากาศในพื้นที่จังหวัดปัตตานีทั้ง 12 อำเภอ ยังคงมีฝนตกลงมาต่อเนื่อง และยิ่งหนักเพิ่มขึ้นจากเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ทำให้ในหลายอำเภอซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มมีน้ำท่วมขัง ระดับน้ำในแม่น้ำปัตตานีพบว่าสูงขึ้นเล็กน้อย ท้องฟ้าปกคลุมด้วยเมฆดำทั่วท้องฟ้า ซึ่งบรรยากาศเช่นนี้คล้ายกับเคยเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ Storm Surge ในอ่าวปัตตานี ที่เกิดจากดีเปรสชั่น เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2553

นายพิชัย วงศ์แปลง ผอ.สถานีอุตุนิยมวิทยาปัตตานี กล่าวว่า ตลอดทั้งวันวันนี้จะมีฝนตกลงมา สืบเนื่องจากอิทธิพลของพายุปาบึก แต่ให้ระวังเตรียมรับสถานการณ์อีกครั้งในช่วงค่ำคืนนี้ เนื่องจากพายุปาบึกอาจจะเข้ามาในพื้นที่จังหวัดปัตตานีและค่อนข้างรุนแรง คล้ายกับเหตุการณ์ Storm Surge เมื่อปี 2553 ซึ่งในหลายพื้นที่โดยเฉพาะตามแนวชายฝั่งพบว่า หลายอำเภอได้ทำการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยแล้ว

เครดิต : Workpoint

#Watchers