เรื่องเด่น การบริภาษพระภิกษุผู้ทรงศีลเป็นกรรมอันหนัก

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 14 ธันวาคม 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,405
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,470
    การบริภาษพระภิกษุผู้ทรงศีลเป็นกรรมอันหนัก

    ***********************************************

    maxresdefault (9).jpg

    ผู้บุกเบิกให้เกิดพัฒนาการใหม่ๆ ในช่วงแรกมักจะมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไม่เห็นด้วย เพราะขัดกับความคุ้นเคยเดิม แม้ในวงการพระ พุทธศาสนาก็เช่นกัน พระมหาเถระผู้มีคุณูปการต่อพระพุทธศาสนาจำนวนมาก ต่างก็ประสบกับการวิพากษ์โจมตีอย่างหนักมาแล้ว เพราะคนเรา พอไม่เข้าใจก็ไม่ชอบ จึงหาเรื่องจับผิด ด่าว่า ใส่ร้ายป้ายสี อาทิ



    - พระเดชพระคุณหลวงปู่สด จนฺทสโร หลวงพ่อวัดปากน้ำ ผู้มุ่งสั่งสอนสมาธิ "วิชชาธรรมกาย" ที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เคยถูกกล่าวหาว่าสอนผิดจากพระไตรปิฎก อวดอุตริ และกุข่าวว่าถูกเจ้าคุณโชดกฯ สอนให้กลับตัวกลับใจ ซึ่งไม่จริงทั้งสิ้น ท่านเคยกล่าวว่า "เราจะฆ่าตัวเองด้วยความปรารถนาลามกทำไม"

    - พระอาจารย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ผู้เดินธุดงค์ตั้งใจปฏิบัติธรรม บุกเบิกสร้างพระป่าสายอีสาน ก็เคยถูกครหาว่าอวดอุตริมนุสสธรรม ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยเขียนวิจารณ์ว่าสอนผิดจากพระไตรปิฎก ที่บอกว่าไปสนทนาธรรมกับพระอรหันต์ที่นิพพานแล้วได้

    - ครูบาศรีวิชัย ผู้นำศิษยานุศิษย์สร้างทางขึ้นพระธาตุดอยสุเทพสำเร็จในเวลาเพียง 3 เดือน และบุกเบิกเผยแผ่ธรรมะอย่างกว้างขวางในแดนล้านนา ก็เคยถูกใส่ร้ายป้ายสี จนถูกจับขังถึง 3 ครั้ง ปลดจากเจ้าอาวาส ถูกคุมตัวเข้ากรุงเทพฯ

    - สมเด็จพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ) ผู้วางรากฐานให้ มจร. เติบใหญ่เป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์หลักในปัจจุบัน ส่งพระไทยไปเรียนกรรมฐานกับพระพม่า กลับมาบุกเบิกสร้างสายธรรมปฏิบัติยุบหนอพองหนอในไทย ก็เคยถูกข้อกล่าวหาจากสังฆนายกในยุคนั้นว่าปาราชิก และสมเด็จพระสังฆราชมีพระบัญชาให้สึก ถึงขนาดถูกจับสึกเปลื้องผ้าเหลืองออก ต้องนุ่งขาวห่มขาวอยู่ที่สันติบาล 4 ปี แต่สุดท้ายศาลก็พิพากษาว่าท่านไม่ผิดจึงกลับมาครองผ้าเหลืองใหม่ ก่อนมรณภาพได้เป็นถึงผู้รักษาการแทนสมเด็จพระสังฆราช


    - หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ผู้บุกเบิกการปฏิบัติแบบมโนมยิทธิ ก็เคยถูกกล่าวหาว่าปาราชิกเพราะอวดอุตริมนุสสธรรม อวดอ้างว่าไปสวรรค์ ไปนิพพานได้


    - หลวงพ่อพุทธทาส ก็เคยถูกกล่าวหาว่าเป็นพระบ้า เพราะเทศน์ปากเปล่าโดยไม่ถือใบลาน ซึ่งคนยุคนั้นไม่คุ้น ถูกกล่าวหาว่าเป็นพระมหายาน พระนอกรีต เพราะชอบสอนเรื่องสุญญตา อิงคำสอนของท่านนาคารชุน ชอบแนวคิดแบบเซ็น แต่ท่านก็สามารถดึงปัญญาชนจำนวนมากให้หันมาสนใจศึกษาพระพุทธศาสนา


    - หลวงตามหาบัว ก็เคยถูกกล่าวหาอวดอุตริมนุสสธรรม อวดอ้างว่าตนเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่พูดจาหยาบคาย จับเงินจับทองผิดพระวินัย ระดมผ้าป่าช่วยชาติซึ่งไม่ใช่กิจของสงฆ์ หวังจะขึ้นเป็นใหญ่ในวงการสงฆ์ทางลัด แต่ท่านก็สามารถสร้างศรัทธาในหมู่ชาวพุทธได้มากมาย



    > > น่าคิดว่า ผู้ที่เคยบริภาษด่าว่าพระมหาเถระเหล่านี้ จะต้องแบกบาปมากเพียงใด ตอนกำลังด่าว่าท่าน ทุกกรณีจะมีลักษณะคล้ายกัน คือ แต่ละคนก็คิดว่าท่านไม่ดีไม่ใช่พระแล้ว ด่าแล้วไม่บาป ได้บุญด้วย ปลุกระดมกันและกันด้วยโทสวาท (hate speech) ให้เกิดความเกลียดชังอย่างมากๆเหมือนท่านไม่ใช่คน


    แต่พระมหาเถระเหล่านี้ แต่ละรูปก็ได้พิสูจน์ด้วยการอุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนาจนตลอดชีวิตของท่าน สิ่งที่แต่ละรูปได้สร้างไว้นั้นต้องทำด้วยชีวิต ผู้ที่ไม่บริสุทธิ์ใจจะทำอย่างนั้นไม่ได้
    น่าคิดว่าผู้ที่ด่าว่าท่านพระอาจารย์มั่น ครูบาศรีวิชัย สมเด็จพระพุฒาจารย์(อาจ) ฯลฯ คนเหล่านี้ต้องรับกรรมหนักเพียงใด
    ส่วนพระที่มีเจตนาไม่สุจริตนั้น มักอยู่ได้ไม่นานก็มีเหตุให้ต้องออกไปเอง สมตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าพระธรรมวินัยนี้เหมือนทะเลที่จะซัดซากศพขึ้นฝั่ง ในที่สุด ดังมีตัวอย่างให้เราเห็นอยู่มากราย โดยเราไม่ต้องไปผสมโรงด่า ให้เสี่ยงต่อบาปกรรมเลย < <

    +++++

    541839-img-10.jpg



    ตัวอย่างวิบากกรรมของผู้บริภาษพระภิกษุผู้ทรงศีล
    @ ในครั้งพุทธกาลที่เมืองสาวัตถีมีชาวประมงจับได้ปลาใหญ่ตัวหนึ่ง มีสีเหมือนทองคำแต่ปากเหม็นมาก จึงเอาไปถวายพระราชา พระราชารับสั่งให้นำไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พอปลาอ้าปากเท่านั้น กลิ่นเหม็นก็คลุ้งตลบทั้งเชตวันมหาวิหาร
    พระราชาถามพระศาสดาว่า ทำไมปลามีสีเหมือนทองคำ แต่ปากเหม็น
    พระศาสดาตรัสตอบว่า ปลานี้ภพในอดีตเป็นภิกษุชื่อกปิละ มีความรู้มาก ทะนงในความรู้ของตน เที่ยวด่าบริภาษพระภิกษุที่ไม่เชื่อคำของตน น้องสาวกับแม่ก็ด่าว่าพระภิกษุตามพระกปิละเพราะคิดว่าท่านรู้มาก พระกปิละตายแล้วจึงไปเกิดในอเวจีมหานรก ไหม้ในมหานรกสิ้นพุทธันดรหนึ่ง แล้วมาเกิดเป็นปลาด้วยเศษแห่งวิบาก
    เนื่องจากเคยท่องบ่นคัมภีร์ สรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า จึงได้อัตตภาพมีสีเหมือนทองคำ แต่เพราะเป็นผู้ด่าบริภาษพระภิกษุทั้งหลาย กลิ่นเหม็นจึงฟุ้งออกจากปากของเธอ
    จากนั้นพระพุทธเจ้าทำให้ปลาพูดได้ด้วยพุทธานุภาพ
    พระศาสดาตรัสถามปลาว่า__ เจ้าชื่อกปิละหรือ?
    ปลาตอบ__ พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ชื่อกปิละ
    พระศาสดาถาม__ เจ้ามาจากไหน?
    ปลาตอบ__ มาจากอเวจีมหานรก พระเจ้าข้า
    พระศาสดา __ แม่ของเจ้าไปไหน?
    ปลาตอบ __เกิดในนรก พระเจ้าข้า
    พระศาสดา __น้องสาวของเจ้า ไปไหน?
    ปลาตอบ __เกิดในมหานรก พระเจ้าข้า
    พระศาสดา__ บัดนี้เจ้าจักไปที่ไหน?
    ปลาชื่อกปิละกราบทูลว่า__ “จักไปสู่อเวจีมหานรกดังเดิม พระเจ้าข้า”
    ดังนี้แล้ว คิดถึงบาปกรรมที่ตนเคยทำ เศร้าเสียใจมากจึงเอาศีรษะฟาดเรือตายในทันทีนั่นเอง กลับไปเกิดในนรกแล้ว มหาชนเห็นเรื่องราวทั้งหมด ได้สลดใจมีขนลุกชูชันแล้ว
    > การบริภาษด่าว่าพระภิกษุผู้ทรงศีลเป็นกรรมหนักมาก พวกเราอย่าไปทำเด็ดขาด บางคนแค่ฟังเขาว่าต่อๆ กันมาก็หลงเชื่อ ผสมโรงด่าว่าท่านด้วยความคึกคะนอง กรรมนี้น่ากลัวนัก ยิ่งในโลกปัจจุบันที่การสื่อสารออนไลน์ เป็นไปอย่างรวดเร็วกว้างขวาง ยิ่งต้องระมัดระวัง มีสติ ไม่ไปตามแห่ทำบาปกับใคร
    การตัดต่อภาพใส่ร้ายป้ายสีพระภิกษุ ยิ่งผิดทั้งศีล ผิดทั้งธรรม จะหาเหตุผลมาอ้างว่าทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพราะคิดว่าท่านไม่ดี เหตุผลนี้เมื่อตายแล้วตกนรก จะเอาไปใช้อ้างกับยมบาลเขาก็ไม่รับฟังเลย
    แนวปฏิบัติที่ถูกต้องคือ เราอย่าไปบริภาษด่าว่าพระภิกษุสงฆ์ เพราะเรายังรู้จักท่านไม่จริง แต่เอาเวลาไปประพฤติปฏิบัติธรรม กับพระภิกษุรูปใดก็ได้ที่เราถูกอัธยาศัย มีความศรัทธาเลื่อมใสในตัวท่านดีกว่า ทำอย่างนี้เราจะไม่มีวิบากกรรม จะมีแต่ความสุขความเจริญตลอดไป ทั้งภพนี้และภพหน้า <

    CR.Chaleeya Nuansri


    เพิ่มเติม

    ในทางพระพุทธศาสนานั้น พระพุทธเจ้าสอนให้เชื่อเรื่องกรรม ใครทำดีได้ดี ใครทำชั่วได้ชั่ว สอนให้เคารพในพระพุทธเจ้า เคารพในพระธรรม เคารพในพระสงฆ์ พระพุทธเจ้ากล่าวว่า บุคคลผู้ลบหลู่ดูหมิ่นในสรณะทั้งสาม กรรมย่อมส่งผลให้ผู้นั้นเดือดร้อนทั้งในปัจจุบันและเบื้องหน้า
    บุคคลผู้มีจิตคิดเลวทราม กล่าวตำหนิติเตียนพระสงฆ์ ย่อมพินาศย่อยยับไป ไฟใหม้บ้าน เกิดอุบัติเหตุ ขโมยขึ้นบ้าน บ้านแตกสาแหรกขาด ไร้ที่อยู่ ครอบครัวอยู่ไม่เป็นสุข มีแต่ความทุกข์ความเดือดร้อน เพราะกรรมที่ด่าพระสงฆ์

    ผู้มีจิตคิดเลวทราม ตำหนิพระสงฆ์ ย่อมเป็นคนพูดกลับกลอก พูดเชื่อถือไม่ได้ พูดเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น ครั้นอยู่ในโลกมนุษย์ย่อมได้รับผลกรรมอันหนัก อยู่ไม่เป็นสุข มีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวาย จิตใจร้อนรนเพราะกรรมที่ด่าพระสงฆ์

    บุคคลผู้มีจิตคิดเลวทราม กล่าวตำหนิติเตียนพระสงฆ์ ย่อมหาเรื่องก่อกวนชวนทะเลาะวิวาท ขวนขวายให้พระสงฆ์อยู่ไม่ได้ ขวนขวายในสิ่งที่ไม่ใช่ธรรมวินัยแก่พระสงฆ์ ขวนขวายเที่ยวหาเรื่องแก่พระสงฆ์ผู้ทรงศีลธรรม ย่อมได้รับความทุกข์ร้อนวุ่นวาย การงานไม่เจริญ ค้าขายไม่รุ่งเรือง

    บุคคลผู้มีจิตคิดเลวทราม กล่าวตำหนิติเตียนพระสงฆ์ ย่อมหาเรื่องก่อกวนชวนทะเลาะ ให้พระสงฆ์เสื่อมจากลาภสักการะ ให้พระสงฆ์เสียชื่อเสียง ขวนขวายเพื่อความเสื่อมเสียแก่พระสงฆ์ ย่อมได้รับความทุกข์ บุคคลผู้นั้นจะพินาศฉิบหาย เพราะกรรมที่เขาก่อไว้

    ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑ อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต พระพุทธองค์ทรงตรัสผลกรรมที่ตำหนิพระสงฆ์ ด่าบริภาษ ให้ร้ายแก่พระสงฆ์ ขวนขวายให้พระสงฆ์อยู่ไม่ได้ ไล่พระสงฆ์ ขวนขวายให้พระสงฆ์เสื่อมจากลาภสักการะ ให้พระสงฆ์เสื่อมเสีย บุคคลผู้นั้นย่อมมีความฉิบหาย ด้วยเหตุดังนี้
    ๑.ย่อมถูกโรคอย่างหนัก คือ ย่อมป่วยด้วยโรคอันหนักทำให้ถึงแก่ชีวิต
    ๒.ถึงความเป็นบ้า มีจิตฟุ้งซ่าน
    ๓.เป็นผู้หลงใหลเมื่อทำกาละ คือ ตายแบบไม่รู้ตัว
    ๔.เมื่อตายไปแล้วย่อมเข้าถึงนรก หรือหากเกิดมาเป็นมนุษย์ย่อมเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ที่ไ่ม่มีปาก

    เมื่อตายจากโลกมนุษย์ เขาผู้นั้นจะตกนรกถูกไฟเผาใหม้อยู่ชั่วกาลนาน พญายมราช กรอกน้ำเหล็กทองแดงใส่ปาก เสียบลิ้นด้วยเหล็กทองแดงแหลม ถูกไฟเผาปาก ครั้นพ้นจากนรกก็มาเกิดเป็นเปรต ครั้นพ้นจากเปรตมาเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานที่ไม่มีปาก ครั้นพ้นจากสัตว์เดรัจฉาน มาเกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นมนุษย์พูดไม่ได้ เป็นมนุษย์ปากเหม็น พูดไม่มีใครเชื่อถือ จะตายเพราะปาก นี้เป็นผลกรรมที่ตำหนิพระสงฆ์

    อนึ่งแม้ผลกรรมชั่วที่พระเทวทัตกล่า่วให้ ร้ายแ่ก่พระพุทธเจ้า ย่อมส่งผลแก่พระเทวทัตถึงซึ่งความพินาศตกอยู่ในนรกนานเป็นกัปป์กัลป์ ครั้นพ้นจากนรกพระเทวทัตก็จักได้รับผลกรรมนั้นแสนสาหัส จนถึงชาิติสุดท้ายพระเทวทัต ที่จะได้บวชแล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ชาตินั้นพระเทวทัตก็ปากเหม็น นี่คือผลกรรมที่กล่าวตำหนิติเตียนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

    ในพระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๔ เรื่องสุปปพุทธกุฏฺฐิสูตร พระพุทธองค์ทรงตรัสผลกรรมที่มีจิตเลวทราม คิดร้ายแก่พระสงฆ์ ตำหนิพระสงฆ์ ด่าพระสงฆ์ แม้แค่คิดก็มีผลกรรมมาก
    "สุปปพุทธกฺุฏฐิ เป็นบุตรเศรษฐีอยู่ในกรุงราชคฤห์ วันหนึ่่งเขาออกไปเล่นในสวน ได้เห็นพระปัจจกพุทธเจ้านามว่า "ตครสิขี" กำลังเดินบิณฑบาตไปในพระนคร ครั้นแล้วเขามีจิตคิดว่า "ใครนี่เป็นโรคเรื้อนเที่ยวไปอยู่" จากนั้นเขาถ่มน้ำลายลงพื้นเหมือนกับอาการดูถูกแล้วหลีกไป ต่อมาเขาได้สิ้นชีวิต เพราะกรรมที่เขาคิดตำหนิพระสงฆ์รูปนั้น เขาตกนรกหมกไหม้อยู่เป็นอันมาก ครั้นพ้นจากนรกแล้ว เขาได้เกิดมาเป็นมนุษย์ขัดสน เป็นคนกำพร้า เป็นคนยากไร้ และได้เกิดมาในสมัยพระพุทธเจ้าของเรา ชื่อสุปปพุทธกุฏฐิ มีความเลื่อมใสศรัทธาได้ฟังธรรมของพระพุืทธเจ้า จนวาระสุดท้ายก็ถูกวัวแ่ม่ลูกอ่อนขวิดตายคาที่ นี้เป็นผลกรรมที่กล่าวตำหนิติเตียน กล่าวให้ร้ายแก่พระสงฆ์

    ดังนั้นในฐานะที่เราเป็นฆราวาสญาติโยม เราควรมีความเคารพต่อพระรัตนตรัย คือ มีความเคารพในพระพุทธเจ้า เคารพในพระธรรม เคารพในพระสงฆ์ ให้การสนับสนุนช่วยเหลือกิจการงานของคณะสงฆ์ ให้การอุปถัมภ์บำรุงพระสงฆ์ให้มีความผาสุข เมื่อท่านได้รับความสะดวกแล้ว ท่านจะได้มีกำลังจิตกำลังใจในการเจริญสมณธรรม บำเพ็สญภาวนา แผ่เมตตาให้กับลูกศิษย์ลูกหา

    หากมีจิตคิดระลึกได้แล้วไซร้ ยอมกลับตัวกลับใจ หันมาสนใจ หันมาเคารพนับถือในพระพุทธศาสนา ย่อมไม่มีวันสายเกินแก้ หากไม่คิดกลับใจคิดใหม่แล้วไซร้ ความเสียใจจักเกิดมีภายหลัง ในเมื่อความตายใกล้เข้ามานั้นแล

    เราเป็นโยมมีศีลไม่เสมอกับพระสงฆ์ เรามีศีลห้าบริสุทธิ์ไม่ ที่อาจไปตำหนิพระสงฆ์ท่าน
    เราเป็นโยมกินข้าวกี่มื้อ..พระฉันข้าวกี่มื้อ..ให้คิดใส่ตัวเราเองสิ
    เราเป็นโยมมีศีลไม่บริสุทธิ์ เที่ยวกินเหล้าสุรายาเมา เราไม่มีศีลเสมอพระ
    เราเป็นโยมอยากทำอะไรก็ทำได้ แต่พระท่านอยู่ในกรอบของศีลธรรม
    เราเป็นโยมอยากดูอะไรก็ดูได้ แต่พระท่านดูไม่ได้ท่านอยู่ในกรอบของศีลธรรม
    เราเป็นโยมเข้าบ่อนเล่นการพนัน แต่พระท่านเล่นไม่ได้ สอนให้โยมละ
    เราเป็นโยมมื้อหนึ่งกินข้าวกี่จาน แต่พระท่านฉันข้าวในบาตมื้อเดียว

    ให้คิดตำหนิตัวเองว่าดีพอหรือยัง
    ให้คิดตำหนิตัวเองว่ามีอะไรบกพร่องบ้าง
    ให้คิดตำหนิตัวเองว่ามีศีลห้าบริบูรณ์มั้ย
    ให้คิดตำหนิตัวเองว่ามีคุณธรรมประจำใจหรือเปล่า
    ให้คิดตำหนิตัวเองว่าควรปรับปรุงแก้ไขอะไรบ้าง

    ถ้ายังไม่มีศีลห้า
    ถ้ายังกินข้าววันละหลายมื้อ
    ถ้ายังเข้าบ่อนเล่นการพนัน
    ถ้ายังมีกิเลสนอนอยู่กับผัวกับเมีย
    อย่าคิดไปตำหนิพระท่านเลย เพราะจะเป็นกรรมหนัก
    จงเป็นผู้มีความเคารพนับถือในคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์
    ความผาสุข ความเจริญรุ่งเรือง จักเกิดมีกับท่านทั้งหลายอย่างแน่นอน


    ความสัจจ์แล เป็นวาจาที่ไม่ตาย คนพูดไม่จริง ย่อมเ้ข้าถึงซึ่งนรก
    มนุษย์ หากไม่ลืมตัวแล้วไซร้ ย่อมเจริญ
    มนุษย์ หากมีความคิดดีแล้วไซร้ ย่อมเจริญ
    มนุษย์ หากกระทำดีแล้วไซร้ ย่อมเจริญ
    มนุษย์ หากมีศีลธรรมประจำใจแล้ว ย่อมเจริญ
    สมบัติภายนอก อาศัยได้เท่าที่กายยังอยู่ ตายแล้วเอาไปไม่ได้
    สมบัติภายนอก ไม่ตายหาเอาใหม่ได้
    คนต้องการแต่คนดี แต่ไม่ยอมทำความดี
    คนมีดีแต่พูด แต่ไม่ชอบทำความดี

    เราเข้าวัด เข้าเพื่อวัดดูจิตดูใจของเรา
    เราเข้าวัด เข้าเพื่อไปทำบุญบำเพ็ญกุศล
    เราเข้าวัด อย่าเข้าไปตำหนิพระสงฆ์
    พระองค์นั้นไม่ดี พระองค์นี้ไมดี
    วัดนั้นไม่ดี วัดนี้ไม่ดี
    ไปตัดคะแนนองค์นั้น ให้คะแนนองค์นี้

    สรุปกรรมหนักที่สุดในทางพระพุทธศาสนา
    ๑.ฆ่าบิดามารดา
    ๒.ฆ่าพระอรหันต์
    ๓.ทำร้ายพระพุทธเจ้าให้ถึงเลือดห้อ
    ๔.ยุยงให้สงฆ์แตกกัน ยุยงให้คนแตกความสามัคคี รวมไปถึงตำหนิพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

    ผลกรรม
    - ตกรกอเวจี
    - เป็นเปรต
    - เป็นสัตว์ดิรัจฉาน
    - เกิดเป็นคนขัดสน ยากไร้
    - ปากเหม็น
    - เป็นโรคร้าย
    - พินาศเพราะไฟ พินาศเพราะลม พินาศเพราะน้ำ ถูกแผ่นดินสูบ
    - ทำอะไรไม่เจริญรุ่งเรือง ตกทุกข์ได้ยาก ฯลฯ

    ให้ดูตัวเองว่าดีพอหรือยัง มีศีลห้าบริสุทธิ์หรือยัง
    ให้ดูตัวเองว่ามีศีลบริสุทธิ์หรือยัง
    ให้ดูตัวเอง ตำหนิตัวเอง โทษตัวเอง
    อย่าร้อนใจเหมือนไฟลามทุ่ง
    ให้เอาธรรมะชะโลมใจ แล้วจะร่มเย็นเป็นสุข





    ควรติคนอื่นหรือไม่ ปัญหา คนบางคนถืออุเบกขา ไม่ยุ่งกับคนอื่น ไม่สรรเสริญผู้ควรสรรเสริญโดยกาลอันควร ไม่ติเตียนผู้ควรติเตียนโดยกาลอันควร เฉยๆ เสียสบายดีเหมือนกัน พระพุทธองค์ทรงเห็นอย่างไรในคนประเภทนี้?

    พุทธดำรัสตอบ “.ดูก่อน โปตลิยะ บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก คือ
    ผู้กล่าวติเตียน ผู้ควรติเตียน โดยกาลอันควร ตามความเป็นจริง (แต่) ไม่กล่าวสรรเสริญผู้ควรสรรเสริญตามความเป็นจริงโดยกาลอันควร ๑

    ผู้กล่าวสรรเสริญ ผู้ควรสรรเสริญตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร (แต่) ไม่ติเตียนตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร ๑

    ผู้ไม่กล่าวติเตียน ผู้ควรติเตียนตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร ทั้งไม่กล่าว สรรเสริญ ผู้ควรสรรเสริญตามความเป็นจริงโดยกาลอันควร ๑

    ผู้กล่าวติเตียนผู้ควรติเตียนตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร ทั้งกล่าวสรรเสริญผู้ควรสรรเสริญตามความเป็นจริงโดยกาลอันควร ๑

    “ดูก่อนโปตลิยะ บรรดาบุคคล ๔ จำพวกนี้ บุคคลผู้กล่าว ติเตียนผู้ควรติเตียนตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร และกล่าวสรรเสริญผู้ควรสรรเสริญตามความเป็นจริงโดยกาลอันควร นี้ เป็นผู้งามกว่า และประณีตกว่า บุคคล ๔ ประเภทนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะมีความงาม คือความเป็นผู้รู้จักกาลในอันควรสรรเสริญและติเตียนนั้น ๆ....”

    โปตลิยสูตร จ. อํ. (๑๐๐)ตบ. ๒๑ : ๑๓๑-๑๓๔ ตท. ๒๑ : ๑๗๗-๑๗๙ตอ. G.S. II : ๑๐๘-๑๐๙


    ถาม : คนที่ดูหมิ่นในความสามารถของบุคคลอื่น ในทางโลกที่ผู้ถูกดูถูกเป็นคนธรรมดา เป็นคนมีศีล เป็นคนที่เจริญฌาน เป็นผู้ที่มีจิตใจเมตตา บำเพ็ญทานรักษาศีล หรือผู้บำเพ็ญตนในวิปัสสนาญาณปรารถนาพระนิพพาน หรือคนที่ได้โมทนาบุญจากบุคคลทุกท่าน และพระทั้งหมดทั้งนิพพาน
    ตอบ: คนดูถูกนี้ซวยแน่ๆ สรุปแค่นั้นพอ ความดีของท่านมีผลมหาศาล ตัวอย่างที่ง่ายที่สุดก็คือ นางขุชชุตตรา ท่านไม่ทราบว่าเพื่อนท่านเป็นภิกษุณีอรหันต์แล้ว ได้ขอให้เพื่อนช่วยหยิบเครื่องแต่งตัวให้หน่อยเท่านั้นเอง ต้องไปเกิดเป็นคนใช้เขา ๕๐๐ ชาติ
    ท่านที่ทรงความดีอยู่ก็เหมือนอย่างกับไฟ ถ้าเราปฏิบัติถูกต้องก็เป็นคุณอนันต์ ถ้าปฏิบัติผิดก็โทษมหันต์ ความดีท่านยิ่งสูงเท่่าไหร่ ถ้าเราทำไม่ดีกับท่านก็ยิ่งโดนตอบแทนคืนมาแรงเท่านั้น ท่านไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไรหรอก แต่ว่ากฎของกรรมกับสิ่งที่เราทำมันจะเล่นเราเอง
    เพราะฉะนั้นสรุปได้ว่าไม่ต้องให้ถึงขนาดที่ว่ามาหรอก ขอให้คนที่มีความดีอยู่บ้างถ้าเราไปล่วงเกินเข้า มีโอกาสก็ขอขมาเสีย ไม่อย่างนั้นเกิดโทษกับตัวแน่ๆ
    ถาม : ถึงแม้จะเป็นเรื่องทั่วๆ ไปหรือครับ
    ตอบ: เรื่องทั่วๆ ไปไม่ว่าจะอะไรก็ตาม พระอรหันต์มีคุณอนันต์ก็มีโทษมหันต์ ดังนั้นฆราวาสที่เป็นอรหันต์ท่านเลยต้องจำเป็นให้ตัดให้ตาย อยู่นานไม่ได้หรอก คนไม่รู้ไปล่วงเกินเข้าเป็นโทษแน่ๆ อย่างเช่นว่า อาจจะเคยเป็นเพื่อนฝูง เป็นลูกไล่กันมาก่อน เตะตูดเขกกบาลเล่นได้ แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์ไปแล้วเราไปทำอย่างนั้นเราก็ซวยไม่จบ หากท่านอยู่ต่อไปจะเป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่น
    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ เดือนมกราคม ๒๕๔๖(ต่อ) ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    ขออนุญาตเชิญคำกล่าวของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ มาเป็นมงคลนำเปิดกระทู้ เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติกันนะคะ
    เกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันในวงของผู้ปฏิบัติธรรม หลวงปู่ท่านได้ให้โอวาทเตือนผู้ปฏิบัติไว้ว่า
    “การมาอยู่ด้วยกัน ปฏิบัติด้วยกันมากเข้า ย่อมมีเรื่องกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาอยู่ ทิฏฐิความเห็นย่อมต่างกัน ขอให้เอาแต่ส่วนดีมาสนับสนุนกัน อย่าเอาเลวมาอวดกัน
    การปรามาสพระก็ดี การพูดจาจาบจ้วงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือท่านที่มีศีลมีธรรมก็ดี จะเป็นกรรมติดตัวเรา และขัดขวางการปฏิบัติธรรมในภายหน้า
    ดังนั้น หากเห็นใครทำความดี ก็ควรอนุโมทนายินดีด้วย แม้ต่างวัดต่างสำนักหรือแบบปฏิบัติต่างกันก็ตาม”
    ไม่มีใครผิดหรอก เพราะจุดมุ่งหมายต่างก็เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์เช่นกัน เพียงแต่เราจะทำให้ดี ดียิ่ง ดีที่สุด
    ขอให้ถามตัวเราเองเสียก่อนว่า … แล้วเราล่ะถึงที่สุดแล้วหรือยัง ?
    (จากหนังสือ “ตามรอยธรรม ย้ำรอยครู” )


    ควรทำหรือไม่
    ครั้งหนึ่ง มีลูกศิษย์หลวงปู่ผู้สนใจธรรมปฏิบัติกำลังนั่งภาวนาเงียบอยู่ ไม่ห่างจากท่านเท่าใดนัก
    บังเอิญมีแขกมาหาศิษย์ผู้นั้นแต่ไม่เห็น
    ก็มีศิษย์อีกท่านหนึ่งเดินเรียกชื่อท่านผู้กำลังภาวนาอยู่ด้วยเสียงอันดัง
    และเมื่อเดินมาเห็นศิษย์ผู้นั้นกำลังภาวนาอยู่ ก็จับแขนดึงขึ้นมาทั้งที่กำลังนั่งภาวนา
    เมื่อผู้นั้นห่างไปแล้ว หลวงปู่ท่านจึงเปรยขึ้นมาว่า
    “ในพุทธกาลครั้งก่อน มีพระอรหันต์องค์หนึ่งกำลังเข้านิโรธสมาบัติ
    ได้มีนกแสกตัวหนึ่งบินโฉบผ่านหน้าท่านพร้อมกับร้อง “แซก”
    ท่านว่า นกแสกตัวนั้นเมื่อตายแล้วได้ไปอยู่ในนรก
    แม้กัปนี้พระพุทธเจ้าผ่านไปได้พระองค์ที่สี่แล้ว
    นกแสกตัวนั้นยังไม่ได้ขึ้นมาจากนรกเลย”

    เจริญในธรรมนะครับ
    ศิยราย


    http://arsramsiyaraya.blogspot.com/2015/02/blog-post.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 ธันวาคม 2017
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,405
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,470
    998443_10201588703590247_159870891_n.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. ทอนเงิน

    ทอนเงิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    549
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +707
    รู้สึกจะมีอยู่เยอะนะฮะในยุคปัจจุบันและละแวกใกล้เคียงกรรมนี้หนักจริงๆครับ
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,405
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,470
    พุทธดำรัส


    “.ดูก่อน โปตลิยะ บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก คือ
    ผู้กล่าวติเตียน ผู้ควรติเตียน โดยกาลอันควร ตามความเป็นจริง (แต่) ไม่กล่าวสรรเสริญผู้ควรสรรเสริญตามความเป็นจริงโดยกาลอันควร ๑

    ผู้กล่าวสรรเสริญ ผู้ควรสรรเสริญตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร (แต่) ไม่ติเตียนตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร ๑

    ผู้ไม่กล่าวติเตียน ผู้ควรติเตียนตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร ทั้งไม่กล่าว สรรเสริญ ผู้ควรสรรเสริญตามความเป็นจริงโดยกาลอันควร ๑

    ผู้กล่าวติเตียนผู้ควรติเตียนตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร ทั้งกล่าวสรรเสริญผู้ควรสรรเสริญตามความเป็นจริงโดยกาลอันควร ๑

    “ดูก่อนโปตลิยะ บรรดาบุคคล ๔ จำพวกนี้ บุคคลผู้กล่าว ติเตียนผู้ควรติเตียนตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร และกล่าวสรรเสริญผู้ควรสรรเสริญตามความเป็นจริงโดยกาลอันควร นี้ เป็นผู้งามกว่า และประณีตกว่า บุคคล ๔ ประเภทนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะมีความงาม คือความเป็นผู้รู้จักกาลในอันควรสรรเสริญและติเตียนนั้น ๆ....”

    โปตลิยสูตร จ. อํ. (๑๐๐)ตบ. ๒๑ : ๑๓๑-๑๓๔ ตท. ๒๑ : ๑๗๗-๑๗๙ตอ. G.S. II : ๑๐๘-๑๐๙
     
  5. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,398
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,634
    ด่าพระสงฆ์ซึ่งท่านเป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ก็เหมือนกับขับรถชนภูเขา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอะไรจะแหลก สำหรับผม ถือคติว่า ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ ไม่ไปยุ่งด้วยนั่นแหละดีที่สุด เพราะถ้าท่านผิดจริง ก็ให้เป็นหน้าที่ของคนที่เกี่ยวข้อง เราไม่ได้มีหน้าที่ไปด่าท่าน แค่ฟังแล้วรับรู้ไว้ก็พอ แต่ถ้าท่านไม่ได้ผิด แต่โดนใส่ร้ายมา แล้วเราไปผสมโรงด่าด้วยเพราะอยากจะโชว์กล้ามดาก งานนี้ก็บรรลัยครับ ความซวยจะตกแก่คนที่ไปด่าท่านทันที

    สำหรับตัวผมเองนั้น เคยหลงด่าพระสงฆ์ที่ท่านบริสุทธิ์ไปโดยความไม่รู้ ด่าไปเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้เหมือนกัน อยากบอกว่าแค่เศษกรรมที่ได้รับนั้นสาหัสสุด ๆ ใครที่ยังไม่โดนก็ยังกล้าด่า แต่ใครที่โดนแล้วรับรองว่าไม่กล้าด่าพระอีกตลอดชีวิตแน่นอนครับ กรรมหนักจริง ๆ
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,405
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,470
    ?temp_hash=130a907430ac6224819c68dbe6b1e3d6.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images (4).jpg
      images (4).jpg
      ขนาดไฟล์:
      27.3 KB
      เปิดดู:
      271
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,405
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,470
    เพราะตถาคตมีความเอ็นดูในหมู่สัตว์ทั้งหลาย จึงตรัสพระวาจาที่จริง ที่แท้ ที่ประกอบด้วยประโยชน์ และวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของคนอื่น
    **************************
    สรุปหลักเกณฑ์การตรัสวาจาของพระพุทธเจ้า ๖ ข้อ คือ
    ๑. วาจาที่ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ และวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจของคนอื่น ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น
    ๒. วาจาที่จริง ที่แท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ และวาจานั้นไม่เป็น ที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจของคนอื่น ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น
    ๓. วาจาที่จริง ที่แท้ และประกอบด้วยประโยชน์ แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจของคนอื่น ในข้อนั้น ตถาคตรู้กาลที่จะกล่าววาจานั้น
    ๔. วาจาที่ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของคนอื่น ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น
    ๕. วาจาที่จริง ที่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของคนอื่น ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น
    ๖. วาจาที่จริง ที่แท้ ที่ประกอบด้วยประโยชน์ และวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของคนอื่น ในข้อนั้น ตถาคตรู้กาลที่จะกล่าววาจานั้น
    *********************
    เกณฑ์ในการตรัสวาจาของพระพุทธเจ้า
    [๘๖] ขณะนั้นเอง กุมารน้อยยังนอนหงายอยู่บนพระเพลาของอภัยราชกุมาร ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับอภัยราชกุมารว่า “ราชกุมาร พระองค์เข้าพระทัย
    ความข้อนั้นว่าอย่างไร ถ้ากุมารน้อยนี้อาศัยความประมาทของพระองค์หรือของหญิง พี่เลี้ยง พึงนำไม้หรือก้อนกรวดมาใส่ปาก พระองค์จะพึงปฏิบัติกับกุมารน้อยนั้นอย่างไร”
    อภัยราชกุมารกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันจะนำออกเสีย ถ้าหม่อมฉันไม่อาจจะนำออกแต่ทีแรกได้ หม่อมฉันก็จะเอามือซ้ายประคองศีรษะ แล้วงอนิ้วมือขวา ล้วงเอาไม้หรือก้อนกรวดพร้อมด้วยเลือดออกเสีย ข้อนั้นเพราะ
    เหตุไร เพราะหม่อมฉันมีความเอ็นดูในกุมารน้อย”

    “ราชกุมาร ตถาคตก็อย่างนั้นเหมือนกัน รู้วาจาที่ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ และวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจของคนอื่น ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น
    อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาที่จริง ที่แท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ และวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจของคนอื่น ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น
    ตถาคตรู้วาจาที่จริง ที่แท้ และประกอบด้วยประโยชน์ แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจของคนอื่น ในข้อนั้น ตถาคตรู้กาลที่จะกล่าววาจานั้น
    ตถาคตรู้วาจาที่ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ แต่วาจานั้นเป็นที่รักเป็นที่ชอบใจของคนอื่น ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น
    ตถาคตรู้วาจาที่จริง ที่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ แต่วาจานั้นเป็นที่รักเป็นที่ชอบใจของคนอื่น ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น
    อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาที่จริง ที่แท้ ที่ประกอบด้วยประโยชน์ และวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของคนอื่น ในข้อนั้น ตถาคตรู้กาลที่จะกล่าววาจานั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะตถาคตมีความเอ็นดูในหมู่สัตว์ทั้งหลาย”



    ม.ม.(ไทย) ๑๓/๘๖/๘๗-๘๘ มจร.
    ดูรายละเอียดในอภยราชกุมารสูตร
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓ ภาษาไทยhttp://www.84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=13&siri=8
    ภาษาบาลี http://www.84000.org/tipitaka/read/pali_read.php?B=13&A=1783
    อรรถกถา http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=13&i=91
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,405
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,470
    จากโพสข้อความที่อ้างถึงเจ้าคุณโชดก ที่เล่าเรื่องหลวงปู่สดไปกรรมฐานที่วัดนั้น
    และเรื่องราวที่จัดฉากสร้างเรื่องว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำ(สด จันทสโร)พบทางตัน เลิกวิชชาธรรมกาย

    ********************************************************************







    ก็ดีไปอย่าง .......ที่เราจะได้ทบทวนเหตุผล และหลักการใช้เหตุผลง่ายๆ ดังนี้




    ------------------------------


    1. ควรจะฟังจากหลวงปู่สดท่านเอง ในพระธรรมเทศนากว่า 90 กัณฑ์ ทางวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ได้ทำการบันทึกการสอนสมถวิปัสสนากัมมัฏฐาน ซึ่งสอนโดยหลวงพ่อวัดปากน้ำ ก่อนปี พ.ศ. 2500 ซึ่งในสมัยนั้นเครื่องบันทึกเสียงเข้ามาในเมืองไทยเป็นครั้งแรกจำนวน 8 เครื่อง เครื่องในจำนวนนั้นมาอยู่ที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญยี่ห้อ Reverse ผู้บันทึกการสอนฯ ของหลวงพ่อในครั้งนั้นคือ พระปลัดธนิต สมณศักดิ์ครั้งสุดท้ายเป็นพระพิพัฒธรรมคณี

    พระธรรมเทศนาเรื่องสติปัฏฐานสูตร เมื่อตุลาคม 2497
    ( ก่อน 9 กพ. 2498 ตามที่กล่าวอ้างว่าหลวงปู่สดให้มาเชิญไปสอน)


    "นี่เห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา
    เห็นจิตในจิต เห็นธรรมในธรรม
    เห็นจริงๆ อย่างนี้ อุเทศทวารก็เห็นอย่างนี้เรื่อยๆ
    เห็นเข้าไปตั้ง 18 กายนั่นแน่ะ

    เห็นเข้าไปอย่างนี้แหละ 18 กาย
    ชัดๆ ใช้ได้ทีเดียว ไม่ใช่พอดีพอร้ายล่ะ
    ถ้าสนใจจริงๆ ก็เห็นจริงๆ อย่างนี้"

    ฟังจากหลวงพ่อวัดปากน้ำโดยตรง ท่านบอกไว้ชัดทีเดียวครับ
    ท่านมีภูมิเรื่องสติปัฏฐานสี่อยู่แล้วนะครับ

    จากหลักฐานพระธรรมเทศนาของหลวงพ่อวัดปากน้ำในทุกปี ก่อนปีพ.ศ. 2498 ในปี พ.ศ. 2498 และหลังปี พ.ศ. 2498 ไม่ปรากฎว่าท่านสอนแบบอื่นๆ หลวงพ่อสอนวิชชาธรรมกายโดยเน้นย้ำว่าต้องเดินทางนี้ทางเดียว และแบบนี้แบบเดียวตลอดชีวิตของท่านครับ
    เรื่องนี้ควรฟังคนใกล้ชิด ไม่ใช่ฟังจากคนอื่น มีชีวิตอยู่หลายคนที่วัดปากน้ำ หลวงพ่อสดจะทิ้งท่านคงจะบอกสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ อาจารย์ตรีธา เนียมขำ ซึ่งเปรียบดังบุตร บุตรีของท่าน ยังมีพระราชพรหมเถรอีก ปัจจุบันเป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ท่านยังมาควบคุมการปฏิบัติธรรมวิชชาธรรมกายอยู่ มีการสอนทุกวันที่วัดปากน้ำ




    สำหรับข้อความที่ว่า

    "ให้สำนักวิปัสสนาวัดมหาธาตุไว้เป็นที่ระลึก ในโอกาสที่ฉันได้เข้าปฏิบัติวิปัสสนา ตามแบบที่วัดมหาธาตุสอนอยู่ในปัจจุบันนี้แล้ว ยืนยันได้ว่าการปฏิบัติแบบนี้ถูกต้องร่องรอยในมหาสติปัฎฐานสูตรทุกประการ"
    ลงชื่อโดยพระภาวนาโกศลเถร วัดปากน้ำ ธนบุรี



    อ่านให้ละเอียดๆ ดีๆ





    ในประโยคดังกล่าว สามารถมองได้ว่า หลวงพ่อสดได้รับการนิมนต์ให้ไปศึกษาและตรวจสอบว่าการทำสมาธิที่วัดมหาธาตุเทศน์สอนอยู่นั้น ถูกต้องร่องรอยตามมหาสติปัฏฐานสูตรหรือไม่ ผลก็คือ"ถูกต้อง" ท่านก็เลยเขียนข้อความดังกล่าวยืนยันไว้ให้ ผมยังไม่เห็นคำไหนบ่งบอกเลยว่า วิชชาธรรมกายของท่านผิด ท่านเลิกวิชชาธรรมกาย ผมกลับมองว่า ท่านเหมือนอาจารย์ตรวจข้อสอบมากกว่านะครับ ถ้ามองจากประโยคของหลวงพ่อสดด้งกล่าวข้างต้นที่คุณคมสันต์ยกมา

    ***********************************************



    หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านไม่ได้ทิ้งหรอกครับ วิชชาธรรมกาย
    แต่ที่ีไปเรียนกับท่านโชดก เข้าใจว่า เป็นความปรารถนาดีของพระพิมลธรรม (อาจ)
    ตอนนั้นท่านก็เป็นสังฆมนตรีด้วย ตำแหน่งใหญ่ไม่ใช่เล่น
    หลวงพ่อวัดปากน้ำเป็นพระผู้น้อย ท่านก็ต้องยอมตาม
    จริง ๆ ท่านไม่ได้สนใจ ท่านมั่นใจในวิชชาของท่าน
    แต่เพราะเป็นเรื่องของ "เกมการเมือง" ในคณะสงฆ์ มากกว่าอย่างอื่น

    แล้วที่สำนักยุบพองได้รับการยอมรับ
    ส่วนหนึ่งก็เพราะรูปถ่ายรูปนั้นและข้อความใต้รูป
    สำนักยุบพองจึงมีชื่อเสียงมาจนถึงทุกวันนี้

    เพราะก่อนสายยุบพองจะมา ก็มีอยู่แล้ว 2 สำนักใหญ่ ๆ ที่มีชื่อเสียง
    หนึ่งคือสำนักพุทโธ ของท่านพ่อลี และสองคือสำนักสัมมาอรหัง ที่วัดปากน้ำ
    ต้องถือว่าเป็นความอนุเคราะห์ของหลวงพ่อสดท่านมากกว่า
    จึงมีสำนักยุบพองขึ้นมาผงาดเป็นสำนักที่สามได้
    ข้อเท็จจริง ก็คือหลวงพ่อวัดปากน้ำให้การยอมรับสำนักยุบพอง มีแค่นั้น
    แต่ที่เหลือไม่ทราบว่าใครเสริมเติมแต่งขึ้นมา เพราะคนที่เสริมเติมแต่งขึ้นมา
    คงตั้งใจจะกดสำนักอื่น และชูสำนักตัวเองขึ้นมา
    ซึ่งไม่ใช่วิถีของนักปฏิบัติ แต่(ขอบอกตามตรง)เป็นวิถีของคนอยากดัง
    ผมไม่เคยเห็นนักปฏิบัติตัวจริงที่ไหน ที่บอกว่าของคนอื่นสอนไม่ดี
    ต้องของฉันเท่านั้น ดีที่สุด ประเสริฐที่สุด

    แต่ทางวัดปากน้ำเอง ทราบว่าไม่มีนโยบายตอบโต้ในประเด็นนี้ครับ
    ถึงว่าทางนั้นจะโหมกระพือข่าว fake นี้มาก็ตาม
    ทางวัดปากน้ำ คงรู้ความจริงนี้ดี แต่ถ้าจะเปิดเผยก็เปลืองตัวเปล่าละครับ



    ****************************************************************




    โยนิโสมนสิการนะครับ



    ภายหลังเรื่องการปล่อยข่าวว่าหลวงปู่สดเลิกวิชชาธรรมกายเกิดขึ้น หลวงพ่อวัดปากน้ำดำรงสมณศักดิ์ พระมงคลราชมุนี พระมงคลเทพมุนี ตามลำดับ ก็ปรากฏว่าท่านก็เผยแผ่วิชชาธรรมกายจนกระทั่งมรณภาพ แถมยังปรากฏเป็นหลักฐานตัวบุคคลหลายท่านในตอนที่ท่านใกล้มรณภาพ ว่าท่านได้ฝากให้ช่วยกันเผยแผ่วิชชาธรรมกายไปให้ทั่วโลก
    ศิษย์หลวงพ่อที่สามารถเป็นพยานและสอบถามได้ ๑. สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปุญโญ) ๒. พระราชพรหมเถร สมถวิปัสสนาธาทร มหาคณิสสร (วีระ คณุตฺตโม) ๓.อาจารย์ตรีธา เนียมขำ ๔.คุณครูฉลวย สมบัติสุข ๕.อาจารย์แม่ชีรัมภา โพธิ์คำฉาย ๖. คุณครูแม่ชีธัญญาณี สุดเกษ ๗. อาจารย์แม่ชีทวีพร เลี๊ยบประเสริฐ ๘. อาจารย์แม่ชีหวานใจ ชูกร ฯ

    นอกจากศิษย์หลวงพ่อเหล่านี้แล้ว ยังมีศิษย์หลวงพ่อที่อยู่ในสมัยนั้นอีกเป็นสิบสิบท่าน

    ที่สำคัญมากอีกประการหนึ่งคือบันทึกคำเทศน์ของหลวงพ่อวัดปากน้ำที่ท่านเทศน์ ภายหลังจากที่ท่านถูกเกณฑ์ให้เรียนกรรมฐานแบบหนอเมื่อ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๘แล้ว มีหลายเรื่อง มีทั้งคำเทศน์ ในปี ๒๔๙๘ และในปี ๒๔๙๙ แต่เรื่องที่รู้จักกันดีคือเรื่อง “เรื่องโอวาทเจ้าคุณพ่อ” ที่ท่านเทศน์ในวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๔๙๘ ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดหลวงพ่อ คุณแฉล้ม อุศุภรัตน์ เป็นผู้จดบันทึก

    หลวงพ่อท่านเทศน์ว่า “ผู้เทศน์มารู้ตัวเมื่อบวชแล้ว ว่าต้นธาตุใช้ให้จุติมาเกิดเพื่อปราบมาร (นางแฉล้ม อุศุภรัตน์, ๒๔๙๙,โอวาทเจ้าคุณพ่อ, ใน เรื่องธรรมกาย ของพระมงคลราชมุนี, วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ, กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์ไทยพณิชยการ) ซึ่งเป็นการบอกชัดว่าหลวงพ่อยังเชื่อมั่นในวิชชาธรรมกาย

    สรุปว่า ในทางวิชาการถ้าจะสืบว่าหลวงพ่อสดเลิกธรรมกายหรือไม่นั้น ต้องฟังจากปากหลวงพ่อสดเองในพระธรรมเทศนาหลังจากเหตุการณ์นั้นนั่นแหละ ย้ำวิชชาธรรมกาย ไม่เคยพูดถึงสายหนอเลย หรือสอบถามจากบุคคลใกล้ชิดวัดเดียวกัน ซึ่งทุกท่านทุกวันนี้ไม่มีใครบอกว่าหลวงพ่อวัดปากน้ำเลิกวิชชาธรรมกายเลย ซึ่งไม่สอดคล้องกับข้อมูลท่านผู้อื่น สายปฏิบัติอื่น

    บุคคลยุคหลวงพ่อสดเผยแผ่วิชชาธรรมกายออกไปในประเทศไทย และอีกหลายประเทศจนกระทั่งปัจจุบันนี้




    *********************************************************************





    เรื่องท่านเจ้าคุณโชดก แนวทางฝึกแบบ ยุบหนอ พองหนอ นั้น ในสมัยนั้นท่านเป็นพระผู้ใหญ่ มีสายการปกครองวัดปากน้ำ โดยตามยศ ตามตำแหน่ง ท่านเจ้าคุณโชดกใหญ่กว่า มีการถกเถียงเรื่องวิปัสสนาในโบสน์ ด้วยความเป็นพระที่อยู่ในสายใต้การปกครอง ท่านก็ต้องพูดไปแบบนั้น

    สิ่งหนึ่งที่สำคัญและยืนยันได้ว่าท่านไม่ได้ล่ะทิ้งวิชาธรรมกาย ก็ตอนท่านใกล้ล่ะสังขาร ท่านก็ยังสั่งลูกศิษย์เผยแพร่วิชาธรรมกายต่อไป และหลังจากท่านได้พบท่านเจ้าคุณโชดก หลวงพ่อท่านก็ไม่ได้กลับลำให้พระและลูกศิษย์ในวัดปากน้ำมาใช้ ยุบหนอ พองหนอ ในการฝึกเลย สิ่งนี้เป็นสิ่งยืนยันได้ดีมากๆ

    1. ข้อโต้แย้งกันคือ ท่านเจ้าคุณเดินทางมาสอนที่วัดปากน้ำในโบสน์ และหลายๆตำราบอกว่า หลวงพ่อเดินทางไปขอเรียนที่วัดมหาธาตุ

    2. หลวงพ่อวัดปากน้ำได้เล่าให้ศิษย์บรรพชิตท่านฟังว่า ท่านปฏิบัติบรรลุญาณ ๑๖ มาเป็นสิบๆปีแล้ว ก่อนที่กรรมฐานแบบวัดมหาธาตุจะเข้ามาสู่ประเทศไทย เพราะวิชชาธรรมกายก็มีการพิจารณาไตรลักษณ์ และพิจารณาสติปัฏฐาน ๔ คือพิจารณากายในกาย เวทนาใน้เวทนา จิตในจิต และพิจารณาธรรมในธรรม และท่านยังได้บอกศิษย์ว่า สามเณรที่ทางวัดมหาธาตุรับรองว่าบรรลุญาณ๑๖แล้ว(เข้าใจว่าเป็นรูปแรก) ที่บอกใครๆว่าสามารถเข้าสมาบัตินั่งตัวแข็งได้ทุกที่นั้น ซึ่งโด่งดังมากในสมัยนั้น จะไม่สามารถเข้าสมาบัตินั่งตัวแข็งได้ที่วัดปากน้ำ และเป็นจริงตามที่หลวงพ่อพูด ต่อมาสามเณรรูปนั้นสึกแล้วเป็นหัวขโมย [หลวงพ่อฤาษีลิงดำ(พระราชพรหมยาน มหาวีระ ถาวโร) , ......, เรื่องจริงอิงนิทานเล่ม๑, น.๑๖๙- ๑๗๒. ]

    3. “ให้สำนักวิปัสสนา ในการที่ฉันได้เข้าปฏิบัติวิปัสสนาตามแบบวัดมหาธาตุสอนอยู่ในปัจจุบันนี้แล้ว ยืนยันได้ว่าการปฏิบัติแบบนี้ ถูกต้องร่องรอยในมหาสติปัฏฐานสูตรทุกประการ” พระภาวนาโกศล วัดปากน้ำ ธนบุรี ๒๐ เมษายน ๒๔๙๘

    นี่คือประโยคที่ หลวงพ่อท่านเขียนให้แก่สำนักวัดมหาธาตุ ขอถามว่ามีประโยคไหนว่า วิชาธรรมกายไม่ถูกต้อง ตามข้อความข้างบน

    4. จึงเป็นเหตุให้ผู้ที่ไม่ประสงค์ดีต่อวิชชาธรรมกายนำไปบิดเบือน คือพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว แต่อีกครึ่งไม่ยอมบอกใครๆว่า ที่หลวงพ่อยอมเขียนรับรองให้นั้นเป็นการเขียนรับรองตามคำขอ เพราะเจ้าประคุณพระพิมลธรรม(อาสภเถร)สังฆมนตรีว่าการองค์การปกครองนั้นใหญ่มาก มีอำนาจมาก เป็นเรื่องที่ได้ยินได้ฟังจากครูอาจารย์ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และที่เสียชีวิตไปแล้วเล่าให้ฟัง

    5. อันนี้เด็ดกว่าลบคำกล่าวอ้าง .. หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านบอกว่า “ต้นธาตุสั่งให้ท่านมาเกิดเพื่อปราบมาร” เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๔๙๘ (นางแฉล้ม อุศุภรัตน์, ๒๔๙๙, โอวาทเจ้าคุณพ่อ, ใน เรื่องธรรมกาย ของพระมงคลราชมุนี, วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ, กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์ไทยพณิชยการ,หน้าธ–ป.) ซึ่งหลวงพ่อสดเทศน์ภายหลังจากที่ท่านเขียนรับรองการปฏิบัติกรรมฐานแบบวัดมหาธาตุฯในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษาแล้วประมาณ ๕ เดือนครึ่ง นี้เป็นหลักฐานชัดเจนว่าหลวงพ่อเชื่อมั่นในวิชชาธรรมกาย
    แม้แต่การเดินจงกรม ในเรื่องสติ ถ้าให้พูดถึงและดังมากๆ คนฝึกนิยมกัน ก็ต้องของคุณแม่สิริ ส่วนของหลวงพ่อจรัญ เดินจงกรม 6 ระยะ (คงไม่มีใคร ไปนั่งแบ่งแยก สายนี้ผิด สายนี้ถูก น่ะครับ) ที่พูดเพื่อต้องการบอกว่า ทุกอย่างก็มีการปรับเปลี่ยนไป ตามแล้วแต่จริตคน ชอบแนวทางสายไหนก็ฝึกสายนั้นครับ
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,405
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,470

    อีกประการหนึ่ง ที่มีการเผยแผ่บทความ ข้อคิด ข้อเขียนว่า วิชชาธรรมกาย ก็แค่
    การติดรูป เป็นเพียงกิเลสละเอียด เป็นการติด" รูปราคะ "


    .....ถ้าผู้คิด ผู้เขียน แจ้งชัดว่า สิ่งใดคือ "รูป" สิ่งใดคือ "นาม"
    สิ่งใด ที่ไม่ใช่ "รูป-นาม" ก็จะไม่เหมาเอาว่า...

    สิ่งที่ไม่ใช่รูป ไม่ใช่สังขาร ล้วนเป็นรูปและสังขาร
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,405
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,470
    ผู้ที่ไม่ทราบความเป็นมาเป็นไปในการปฏิบัติตามแนวนี้ แม้อาจจะเจริญฌาณ ญาณ ฯลฯ ตามแนวทางอื่น และอาจยังไม่ถึงที่สุด อาจคิดว่า เป็นเพียงสังโยชน์เครื่องร้อยรัดเช่นรูปราคะ ตามที่เค้ากล่าวอ้างว่า ทำให้เสียดายไม่อยากสละออกซึ่งฌาณสมาบัติ ฯลฯ

    ซึ่งถ้าได้ปฏิบัติตามแนววิชชาธรรมกายสายตรงที่หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านสอนและถ่ายทอดมาตามผู้รับการสอนสั่งโดยตรง จะทราบว่า...

    จะต้องปล่อยวางความยินดีในฌาณสมาบัติทั้งหมดที่ตนได้
    ถอนความยินดีในทั้งกายโลกียะ ทั้งหมดก่อน
    ถอดถอนกิเลส อาสวะ ที่เข้ามาเอิบ อาบ ซึม ซาบ ปน เป็น ฯลฯ
    ที่ได้ทั้ง"รู้" และ "เห็น" ออกก่อน

    จิตถึงจะตกศูนย์เข้าสู่ สภาพหรือสภาวะ ที่ไม่ใช่สังขาร


    *****************************************************


    สิ่งที่นักปริยัติหรือผู้ปฏิบัติที่ยังไม่สามารถแยกระหว่างรูป-นามกับสิ่งที่ไม่ใช่รูป-นาม คิดคะเน และ พาดพิงไม่ตรงความจริงจนถึงเขตปรามาสด้วยถ้อยคำอันเจือปนด้วยกิเลส ย่อมส่งผลเสียต่อตนและผู้ร่วมกระทำอกุศลกรรมต่อธรรมแท้ ย่อมไม่อาจคะเนเห็นที่สุดของอกุศลกรรมนั้นได้
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,405
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,470
    อีกประการหนึ่ง ที่จะนำเรื่องเล่าอ้างอิงเหตุผลได้ จากหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง ( หลวงพ่อฤาษีฯ )...

    ที่ท่านเล่าไว้ว่า หลวงปู่ปานส่งท่านไปเรียนกับหลวงพ่อวัดปากน้ำ(สด จันทสโร) สมัยนั้น ถ้าทราบจะประวัติหลวงพ่อวัดท่าซุง เราก็จะทราบดีท่านเป็นผู้ทรงฌาณสมาบัติ เรื่ืองฌาณทั้งรูปฌาณและอรูปฌาณ ท่านเชี่ยวชาญ และท่านเล่าว่า ขณะที่ท่านไปศึกษากับหลวงพ่อวัดปากน้ำนั้น ท่านก็ทรงสภาวะสว่างใสอยู่ แต่เป็นความสว่างใสแบบฌาณ

    อีกทั้ง หลวงปู่ปาน ท่านก็ยืนยันว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำ(สด จันทสโร) ท่านสอนนิพพานของจริง


    ผู้มีปัญญาพิจารณาใคร่ครวญรอบคอบ ถ้าตนเองยังไม่เคยมีประสพการณ์ตรงกับสภาวะฌาณทั้งหมดและ สังโยชน์เบื้องสูง ยังปรามาสกล่าวหาหลวงพ่อวัดปากน้ำว่า สภาวะธรรมกายนั้นติด"รูปราคะ" ก็ควรระวังให้ดี เพื่อไม่ให้ตนและชีวิตอื่นที่ควรได้ประโยชน์เสียประโยชน์ไปอีกเป็นเวลานานข้ามภพชาติไม่อาจประมาณได้
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,405
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,470
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,405
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,470
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,405
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,470
    tnews_1470565164_5053.jpg






    พระพุทธองค์และพระอรหันต์สาวก เสด็จมาพบหลวงปู่มั่น จากคำบอกเล่าในบันทึกของหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโณ

    ------------------------------------------------------------------------------------------------

    มีเรื่องเล่ากันนานปีมาแล้ว ว่าท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมาหาเถระ

    ท่านเคยเล่า ว่าคืนหนึ่งขณะท่านปฏิบัติอยู่ในป่า ใจร่ำร้องกราบพระพุทธบาทสมเด็จพระบรมศาสดา ขอประทานพระมหาเมตตาให้ท่านพระอาจารย์ท่านรู้วิธีปฏิบัติที่จะนำไปสู่ความสมปรารถนาได้พ้นทุกข์ และสมเด็จพระบรมศาสดาก็ทรงพระเมตตาเสด็จลงให้ท่านพระอาจารย์ได้เฝ้าพระพุทธบาทรับประทานวิธีปฏิบัติธรรมไปสู่ความไกลกิเลสได้สิ้นเชิง




    ท่านพระอาจารย์ท่านเล่าว่าสมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จลงให้ท่านได้เฝ้าพระพุทธบาท ได้เห็นพระพุทธองค์ดั่งได้เฝ้าพระองค์จริงขณะทรงดำรงพระชนมายุสังขารอยู่ฉะนั้น

    ไม่ทราบว่าท่านพระอาจารย์ท่านบอกหรือเปล่า ว่าท่านทีความปีติโสมนัสเพียงไรในบุญวาสนาของท่านที่ไม่น่าเป็นไปได้ในชีวิตผู้ใดแต่ได้เกิดแก่ชีวิตท่านพระอาจารย์ท่านแล้วจริงโปรดประทานพระมหากรุณาให้ท่านพระอาจารย์ท่านรู้วิธีเดินจงกรม วิธีปฏิบัติจิตใจ

    จนในที่สุดท่านพระอาจารย์ท่านก็ได้เป็นดั่งองค์แทนศิษยานุศิษย์ผู้สามารถปฏิบัติธรรมดำเนินถึงความพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง ได้เป็นพระอาจารย์สายปฏิบัติธรรมองค์สำคัญที่สุดอยู่ในยุคนี้ เป็นที่รู้กันอยู่ในบรรดาผู้ใส่ใจในการปฏิบัติธรรมทุกถ้วนหน้า

    เรื่องนี้ ที่ท่านพระอาจารย์ท่านได้เล่าไว้ ไม่เพียงทำให้ท่านได้เป็นอาจารย์ผู้สอนธัมมะสำคัญแก่ศิษยานุศิษย์มากหลาย แต่ทำให้ได้ความเข้าใจที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย

    ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ว่าเมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จอยู่ในเมืองพระนิพพานแน่ ยังทรงได้รู้ได้เห็นได้ยินได้ฟัง ที่ควรแก่การได้รับพระพุทธเมตตา เช่นท่านอาจารย์มั่นท่านนั่นเอง ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่นท่านควรที่สุดแน่นอนแล้วที่จะได้รับพระมหากรุณา ผู้ปฏิบัติธรรมหรือผู้ศึกษาธรรมทั้งหลายย่อมเห็นด้วยกับความจริงนี้แน่นอน.

    : แสงส่องใจ วิสาขบูชา ๒๕๕๐
    : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
    ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13034
     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,405
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,470
    หน้า 104 ตามสารบัญหนังสือ เป็นเรื่องพระพุทธเจ้าและพระสาวกเสด็จมาอนุโมทนา
    ( ตามลิ๊งค์ข้างล่างครับ )
    ****************************************************************

    https://www.scribd.com/fullscreen/47918216?access_key=key-1vdbhi4dwbluh71fghd2
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,405
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,470
    เป็นไปได้ไหมที่ผู้ปฏิบัติธรรมตามแนววิชชาธรรมกายจะติดฌาน โดยผู้ปฏิบัติไม่รู้ตัว ?


    เป็นไปได้ไหมที่ผู้ปฏิบัติธรรมติดฌาน โดยผู้ปฏิบัติไม่รู้ตัว คือไม่เคยเห็นดวงเห็นกายเลย นั่งทีไรพบแต่ความว่าง เผลอสติได้ง่าย ทั้งๆ ที่พยายามกำหนดจุดเล็กใสแล้ว จะแก้ไขอย่างไร ?

    ตอบ:

    เรื่องติด ก็คือหลงติดสุขในฌาน แต่ถ้าเราปฏิบัติ หยุดในหยุด กลางของหยุด กลางของกลางๆ กำหนดศูนย์กลางไปเรื่อย เห็นดวง หยุดนิ่งกลางดวงให้ใสสว่าง ละเอียดไปสุดละเอียด เห็นกายในกาย ดับหยาบไปหาละเอียดเรื่อยไป หยุดในหยุด กลางของหยุด กลางของดวงธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ ให้ใสละเอียด ทีละกายๆ ไปจนสุดละเอียด อย่างนี้แล้วก็ถูกวิธี อย่างนี้ไม่ติดสุข

    เพราะฉะนั้น เรื่องติดสุขในฌาน ไม่ต้องไปคิดละครับ ให้มีฌานจริงๆ ก่อนแล้วค่อยคิด แล้วถ้าปฏิบัติในวิชชาธรรมกายแลัวง่ายครับ ไม่ต้องคิดละครับ เพราะอะไร ผมจะเรียนเพิ่มเติมนิดหน่อยในเรื่องฌานนี้ ตัวเองไม่ได้เก่งกาจละครับ ครูบาอาจารย์สั่งสอนมานะครับ มีประสบการณ์นิดนึง ไม่มาก ทีนี้จะเรียนให้ทราบ

    ในวิชชาธรรมกายนั้น เราเจริญฌานสมาบัติให้ละเอียดสุดละเอียด มุ่งหมายที่การกำจัดกิเลสนิวรณ์ บางท่านที่จะปฏิบัติให้ละเอียดไปถึงอรูปฌาน แต่ต้องอธิษฐานจิตก่อนว่า ให้ถอยกลับมาเป็นปฏิโลม ถึงเวลาแล้ว ภายในเขาจะบอกเอง เราจะรู้สึกเองว่า ถอยกลับได้แล้ว เมื่อถอยกลับเป็นอนุโลมปฏิโลมแล้ว ไม่ติดอยู่ทีไหน แล้วเที่ยวสุดท้ายโดยอนุโลมแค่จตุตถฌาน ถ้าใครทำได้นะครับ รวมใจหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางธรรมกายอรหัต ธาตุธรรมเห็น จำ คิด รู้ ของทุกกาย สุดกายหยาบกายละเอียด จะอยู่ตรงกลางธรรมกาย ก็เห็น พอเห็นแล้วจิตหยาบลงมาเลย จากจตุตถฌานโดยอัตโนมัติ เมื่อหยาบลงมาแล้ว เราเอาใจธรรมกายเป็นหลักอีกครั้งหนึ่ง ดับหยาบไปหาละเอียด เป็นแต่ธรรมกายอรหัตในอรหัต ซึ่งจะผ่านศูนย์กลางกำเนิดธาตุธรรมเดิมของทุกกาย สุดกายหยาบกายละเอียด กายหยาบกายละเอียดทั้งหมด 18 กาย จนถึงธรรมกายอรหัตในอรหัต เรียกว่าสุดละเอียดของกายเถา 18 กาย รวมเรียกว่ากายเถา

    เพราะฉะนั้น เรามุ่งอย่างเดียวจะเป็นธรรมกายอรหัตในอรหัต คือให้ผ่องใสสุดละเอียดของธรรมกายอรหัตจากกายเถา กายที่หยาบรองลงมาชื่อว่ากายชุด เพราะแต่ละกายก็มีชุด 18 กายของเขา พิสดารไปสุดละเอียด เป็นธรรมกายอรหัตในอรหัต ชุดเหล่านั้นล้วนแต่มีกิเลสอนุสัยกิเลสของเรา มันเกาะอยู่นับภพนับชาติไม่ถ้วน ไม่รู้เกิดมาตั้งแต่เมื่อไร เป็นสัตว์โลกมานี่แหละ

    นั้นแหละ มีกายเถา กายชุด กายชุดสุดละเอียดไปแล้วเป็นธรรมกายอรหัตในอรหัต ที่หยาบรองลงมาอีกก็เป็นกายชั้น กายตอน กายภาค ภายพืด ซึ่งจะมีกายในกายที่ยังไม่บริสุทธิ์อีกมาก แต่ก็ละเอียดไป ละเอียดไปจนสุดละเอียดหมด เป็นแต่ธรรมกายล้วนๆ นั่นแหละที่ว่าปล่อยความยินดีในฌานสมาบัติ เพราะไม่พิจารณาลบฌาน แต่ระดับสมาธิที่ละเอียดๆ สมาธิยิ่งหยุดยิ่งนิ่ง สมาธิก็สูงขึ้นไปเองโดยธรรมชาติ แต่ไม่ต้องคำนึงว่าสูงแค่ไหน ถึงอย่างไรเมื่อสุดละเอียดจนถึงละเอียดหนัก ปล่อยอุปาทานในเบญจขันธ์ได้แม้ชั่วคราว ปล่อยความยินดีในฌานสมาบัติ นั่นเขาทะลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌานแล้ว ภพชาติติดอยู่ในศูนย์กลางธรรมในธรรมของเรา ธรรมในธรรมนั้นแหละ อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ นั่นแหละ ธาตุละเอียดมันอยู่ตรงนั้น ธาตุละเอียดนั้นแหละครับ มันมีทั้งกามภพ รูปภพ อรูปภพ เปลี่ยนแปลงไปตามสายปฏิจจสมุปบาทธรรมตลอดเวลา

    เมื่อพิสดารกาย หรืออีกนัยหนึ่งก็คือทำนิโรธ สุดละเอียดเข้าไปอย่างนั้นแล้ว ศีล สมาธิ ปัญญา ในส่วนละเอียดคือธรรมในธรรมที่เป็นกุสลาธัมมา มันจะเต็มเปี่ยม เป็นมรรคมีองค์ 8 ถ้ายังไม่ถึงอริยมรรค ก็เป็นมรรคในโคตรภูญาณ นั่นมรรคเขารวมกันเป็นเอกสมังคี แต่ในระดับโคตรภูญาณแล้ว เตรียมพร้อม ถ้าบุญบารมีเต็ม ก็พร้อมที่จะ... ประเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่า จิตของธรรมกายที่สุดละเอียดนั้นจะพ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ ซึ่งเป็นภพสุดท้ายที่สุดละเอียด ธรรมกายหยาบจึงตกศูนย์ ธรรมกายที่สุดละเอียดจึงพ้นโลก ไปปรากฏในอายตนะนิพพาน เพราะฉะนั้น ผู้ที่ถึงอายตนะนิพพานใหม่ๆ ที่ไม่เคยชิน รู้สึกมันหวิวนิดๆ นั้นแหละ ธรรมกายที่หยาบตกศูนย์ หยาบในขณะนั้นคือสุดละเอียดแล้วนะ แล้วที่สุดละเอียดก็ยังจะปรากฏในอายตนะนิพพาน เพราะความบริสุทธิ์ของธรรมกาย บริสุทธิ์พอที่จะสัมผัสรู้เห็นอายตนะนิพพานและความเป็นไปในอายตนะนิพพาน กล่าวคือ พระนิพพานธรรมกายตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ทั้งพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ทั้งพระปัจเจกพุทธเจ้า และของพระอรหันต์ขีณาสพที่ดับขันธ์เข้าปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ สัมผัสได้ เห็นได้ รู้ได้ ด้วยอาการอย่างนี้นะครับ พ้นเนวสัญญานาสัญญายตนฌานไปโดยอัตโนมัติครับ เมื่อจิตละเอียด สุดละเอียด เหมือนกับยิงจรวดนะครับ ยิงไปด้วยกำลังที่สูง แล้วพ้นแรงดึงดูดของโลก ตัวจรวดที่พ้นคือตัวดาวเทียมที่เขาส่งไป แต่ว่าตัวที่เป็นโลกๆ ก็ยังอยู่ทางโลกนี้แหละ หล่นอยู่ทางโลก แต่ตัวที่เขาต้องการให้พ้น มันก็พ้นออกไป พ้นแนวดึงดูดของโลก พ้นโลกแต่ยังอยู่ในโลกๆ เลยเล่าให้ฟัง

    เพราะฉะนั้น การติดฌาน ในแนววิชชาธรรมกายไม่ต้องพูดถึง ถ้าปฏิบัติถูกจะเป็นอย่างนี้ หรือจะเจริญแม้ถึงอรูปฌานเป็นสมาบัติ 8 ทบไปทวนมา เมื่อจะทวนขึ้นถึงจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานไปได้โดยอัตโนมัติก็หลุดไปได้เหมือนกัน เพราะธรรมกายที่หยาบ เมื่อละเอียดไปสุดละเอียด ตกศูนย์ พ้นจากเนวสัญญานาสัญญายตนะ ธรรมกายที่สุดละเอียดก็ไปปรากฏได้เหมือนกัน นั้นเขามักเรียกว่า เจโตวิมุตติ แต่ว่าจริงๆ ปัญญาวิมุตติด้วย กระผมก็เลยกราบเรียนเพื่อทราบว่าอย่างนี้

    การอบรมพระกัมมัฏฐานรุ่นที่ 29 6 พ.ค. 2538 โดย หลวงพ่อพระมหาเสริมชัย ชยมงฺคโล
     
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,405
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,470
     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,405
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,470
    จากพรหมชาลสูตร
    ที่นำมาตีความโดยแกะจากตัวอักษรของนักปริยัติ
    และปุถุชนผู้ยังหนาแน่นด้วยเครื่องกีดขวางการพ้นทุกข์

    -------------------------------------------------------------------
    พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 66

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตดำรงอยู่
    ต่อเมื่อกายแตกสิ้นชีวิตแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจะไม่เห็นตถาคต

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวงมะม่วงเมื่อขาดจากขั้วแล้ว ผลใดผลหนึ่งที่ติดขั้วอยู่ ย่อมติดขั้วไป
    ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพชาติแล้ว
    ก็เหมือนฉันนั้น ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่
    ต่อเมื่อกายแตกสิ้นชีวิตแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจะไม่เห็นตถาคต.

    เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ได้
    กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า น่าอัศจรรย์ พระเจ้าข้า ไม่เคยมี
    พระเจ้าข้า ธรรมบรรยายนี้ชื่ออะไร พระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้า
    ตรัสว่า อานนท์ เพราะฉะนั้นแหละ เธอจงทรงจำธรรมบรรยายนี้ว่า
    อรรถชาละก็ได้ ว่าธรรมชาละก็ได้ ว่าพรหมชาละก็ได้ ว่าทิฏฐิชาละ
    ก็ได้ ว่าพิชัยสงครามอย่างยอดเยี่ยมก็ได้.

    พรหมชาลสูตร
    พระไตรปิฏกฉบับ 91 เล่มมหามกุฏราชวิทยาลัย
    http://www.tripitaka91.com/91book/book11/051_100.htm#66
    หมายเหตุ ถ้าลิ้งค์ไม่ตรงให้เลื่อนลงไปจนเจอเนื้อหน้าที่66





    *****************************************************

    มนุษย์ก็คือ ปุถุชน ยังมีกิเลส
    เทวดาก็มีกิเลส

    หลวงปู่มั่น ดับกิเลส
    เมื่อใดเห็นธรรม เมื่อนั้นเห็นตถาคต
    พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ เสด็จมาสอนธรรม
    สมเด็จพระสังฆราช รับรองเรื่องจริง

    คือคนที่เข้าถึงกายธรรม ก็ใช้ตากายธรรม
    มองไปทุกภพ กามภพ รูปภพ อรูปภพ จนถึง นิพพาน

    การอ่านตำราอย่างเดียว บรรลุธรรมไม่ได้
    ต้องอาศัย อินทรีย์ และพละให้ครบ
    ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา

    การเป็นนักอ่านแล้วตีความตัวอักษร
    เป็นเพียง สุตตมยปัญญา และ จินตามยปัญญา


    จากพรหมชาลสูตรข้างต้น
    ที่ว่าจะไม่มีใครเห็นตถาคตอีก
    สามารถหมายถึง ...ตถาคตที่ครองกายเนื้ออันปราศจากตัณหาและบรรลุ
    พระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว
    เมื่อกายอันตัณหาฯแตกทำลายแล้ว จะไม่เห็นอีก
    นั้นอาจหมายถึง จะไม่เห็นกายเนื้อของท่านนี้กลับมาเกิดอีกใน
    ภพทั้งหลาย แห่งมนุษย์และเทวโลก ( เทวโลก ในพระไตรปิฎกมีที่บรรยายว่ารวมถึงพรหม )
     
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,405
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,470
    เล่าเรื่อง ... “อรูปพรหม”



    อรูปภพ คือ ที่สถิตอยู่ของ “อรูปพรหม” ๔ ชั้น
    ผู้ที่ในอดีตชาติได้เจริญ “อรูปฌาน” แล้ว
    ขณะกำลังจะจุติ (ตาย) จิตยังไม่เสื่อมจาก อรูปฌาน ชั้นใด
    ก็จะได้มาเกิดเป็น อรูปพรหม ในชั้นนั้น
    สถิตอยู่ในวิมานที่ละเอียด ประณีตสวยงาม ... ลอยอยู่ในอากาศ
    แต่ละชั้นภูมิอยู่สูงต่ำกว่ากัน ตามความละเอียดประณีตของแต่ละชั้นภูมิ (อรูปฌาน ๔)
    บนพื้นอรูปโลกเดียวกันนั่นเอง

    ชั้นที่ ๑ อากาสานัญจายตนภูมิ เป็นที่เกิดของ อรูปพรหม
    ที่ก่อนตายจิตยังไม่เสื่อมจาก อากาสานัญจายตนฌาน
    มีอายุ ๒๐,๐๐๐ มหากัป

    ชั้นที่ ๒ วิญญานัญจายตนภูมิ เป็นที่เกิดของ อรูปพรหม
    ที่ก่อนตายจิตยังไม่เสื่อมจาก วิญญานัญจายตนฌาน
    มีอายุ ๔๐,๐๐๐ มหากัป

    ชั้นที่ ๓ อากิญจัญญายตนภูมิ เป็นที่เกิดของ อรูปพรหม
    ที่ก่อนตายจิตยังไม่เสื่อมจาก อากิญจัญญายตนฌาน
    มีอายุ ๖๐,๐๐๐ มหากัป
    (อาฬารดาบส ได้บรรลุ “อรูปฌาน ๓” เมื่อตายจากโลกมนุษย์ ก็ได้มาเกิดในภพนี้)

    ชั้นที่ ๔ เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ เป็นที่เกิดของ อรูปพรหม
    ที่เมื่อชาติก่อนได้เจริญ “อรูปฌาน ๔” (รวมรูปฌาน ๔ เป็น สมาบัติ ๘)
    ที่ก่อนตายจิตยังไม่เสื่อมจาก เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน
    จึงได้มาเกิดในภพนี้ มีอายุ ๘๔,๐๐๐ มหากัป
    (อุทกดาบส ได้บรรลุ “อรูปฌาน ๔” เมื่อตายจากโลกมนุษย์ ก็ได้มาเกิดในภพนี้)



    อรูปพรหม มีรูปร่างสวยงามมาก วรกายใหญ่
    มีเครื่องประดับที่สวยงาม ละเอียดประณีตยิ่งนัก
    ละเอียดมากจนแม้แต่อรูปพรหมด้วยกัน ... ก็ไม่เห็นรูปกายของกันและกัน
    คงติดต่อกัน รู้กัน ... ด้วยจิต


    อรูปพรหม มีทั้งที่เป็นปุถุชน และที่เป็นอริยบุคคล

    อรูปพรหมปุถุชน เมื่อสิ้นอายุแล้ว มีโอกาสไปเกิดในภพภูมิที่ต่ำกว่า
    ตามกรรมเก่า ... ที่กำลังรอให้ผลอยู่ได้เสมอ

    ส่วน อรูปพรหมอริยบุคคล ตั้งแต่ชั้น พระอนาคามีบุคคล ลงมา
    ที่สถิตอยู่ใน อรูปภพชั้นที่ ๑ - ๒ – ๓
    เมื่อสิ้นอายุก็มีโอกาสไปเกิดในภูมิที่สูงกว่าได้ จะไม่ไปเกิดในภูมิที่ต่ำกว่าเดิมอีก
    จนกว่าจะบรรลุ พระอรหัตตผล แล้ว ... ก็จะ ปรินิพพาน ในชั้นนั้น

    เฉพาะ อรูปพรหมอนาคามีบุคคล ลงมา
    ที่สถิตอยู่ใน อรูปภูมิชั้นที่ ๔ (ชั้นสูงสุด) คือ เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ
    เมื่อสิ้นอายุลงก็จะเกิดในภพภูมิเดิมนี้ จนถึงบรรลุความเป็น พระอรหันต์
    ก็จะ ปรินิพพาน ในชั้นนี้



    แม้จะชื่อว่า “อรูปพรหม” ... ตามเหตุปัจจัย คือ “อรูปฌาน”
    (ความเพ่งที่ไม่อาศัยรูป เพราะเห็นว่า ... รูปฌานยังหยาบอยู่
    จึงเจริญฌานที่ละเอียดยิ่งกว่า ... โดยไม่อาศัยรูป
    )
    เป็นชนกกรรม นำให้มาเกิดใน อรูปภพ

    แต่ “รูปขันธ์” ย่อมต้องเกิดมีพร้อมกับ “นามขันธ์ ๔”
    ตามสาย “ปฏิจจสมุปบาทธรรม” คือ
    อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิด สังขาร
    สังขาร
    เป็นปัจจัยให้เกิด วิญญาณ
    วิญญาณ
    เป็นปัจจัยให้เกิด นามรูป (สฬายตนะ ผัสสะ ฯลฯ)

    เพียงแต่รูปกายของอรูปพรหมนั้น ... ละเอียดนัก (เพราะ อรูปาวจรวิบาก)
    จนไม่อาจเห็นได้ แม้แต่จักษุของอรูปพรหมด้วยกัน
    หรือ ด้วยจักษุของสัตว์โลก ... ในภูมิที่ต่ำกว่า
    มีแต่ “ญาณพระธรรมกาย” เท่านั้น ... ที่ละเอียดกว่า
    สามารถเห็น “รูปกายของอรูปพรหม” ได้ตามที่เป็นจริง



    ถ้าสัตว์โลกที่เกิดด้วยอำนาจของ ... อวิชชา ตัณหา อุปาทาน
    เกิดขึ้นแต่เฉพาะ “นามขันธ์” โดยปราศจาก “รูปขันธ์” ได้
    พระพุทธดำรัส ที่ว่าด้วย “ปฏิจจสมุปบาทธรรม” ... ก็ไร้ความหมาย
    ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ... ที่สัตว์โลกจะมีแต่ “จิตใจ”
    โดยไม่มี “รูปกาย” เป็นที่ตั้งที่อาศัย
    และเป็นไปไม่ได้ที่ พระพุทธพจน์ ... จะเป็นอื่น (คือไม่จริง)

    “พระพุทธพจน์” ... ย่อมเป็นธรรมที่แท้จริงเสมอ





    * ที่มา
    หนังสือ ทางมรรคผลนิพพาน
    (ธรรมปฏิบัติถึงธรรมกายและพระนิพพาน)

    สถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย
    อ.ดำเนินสะดวก
    จ.ราชบุรี

    หนังสือ สมถวิปัสสนาภาวนาตามแนวสติปัฏฐาน ๔
    (ถึงธรรมกายและพระนิพพานของพระพุทธเจ้า)

    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก
    จ.ราชบุรี
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...