เรื่องเด่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว( ร. ๙ ) ได้ทรงบำเพ็ญ อักโกธะบารมี (ความไม่โกรธ) ให้เป็นที่ประจักษ์ฯ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 15 กรกฎาคม 2017.

  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,405
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,470
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (ร.๙) ได้ทรงบำเพ็ญ
    อักโกธะบารมี (ความไม่โกรธ)
    ให้เป็นที่ประจักษ์ใจทั้งในหมู่ประชาชนชาวไทย และต่างชาติ
    ที่ปุถุชนน้อยคนนักจะทำได้


    s_158841_2588.jpg



    การที่ประเทศไทยมีพระมหากษัตริยาธิราชผู้ทรงบำเพ็ญอักโกธะบารมี หรือความไม่โกรธได้อย่างมั่นคงเช่นนี้ จึงทำให้ประเทศไทยสามารถรักษาสัมพันธไมตรีอันดีกับนานาประเทศไว้ได้ตลอดมา พระเกียรติคุณของพระองค์ในข้อนี้จึงเป็นที่ชื่นชมของชาวไทยและชาวต่างประเทศยิ่งนัก

    ดังบทหนึ่งในพระราชนิพนธ์หนังสือ เรื่อง”ความทรงจำในการตามเสด็จต่างประเทศทางราชการ” ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

    ที่ทรงเล่าเหตุการณ์ที่ทรงตามเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว(ร.๙) เสด็จฯไปที่มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย เพื่อรับการทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ในวันที่ 3 ก.ย. 2505

    ในวันนั้นเองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (ร.๙) ทรงถูกท้าทายจากกลุ่มนักศึกษากลุ่มหนึ่งที่มีความคิดรุนแรง ส่งเสียงโห่ฮาลบหลู่ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงบรรยายถึงเหตุการณ์ ในพระราชนิพนธ์ ความตอนหนึ่งว่า

    “...มหาวิทยาลัยเมลเบิร์นถวายปริญญานิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์แก่พระเจ้าอยู่หัว(ร.๙) พอเราไปถึงมหาวิทยาลัย ก็ต้องเดินผ่านกลุ่มชายหญิง ซึ่งเข้าใจว่าเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งนั้น มีพวกหนึ่งยืนอยู่นอกหอประชุม ด้านที่เป็นประตูกระจกเปิดอยู่เป็นระยะๆ

    ทำให้มองเข้าไปเห็นและได้ยินเสียงจากเวทีข้างในได้ กลุ่มนี้บางคนแต่งกายไม่เรียบร้อยเลย แต่กลุ่มอื่นๆบางพวกก็ดูดี

    เมื่อข้าพเจ้าตามเสด็จฯ ผ่านจะเข้าไปในหอประชุม บางพวกก็ปรบมือให้ บางพวกก็มองดูเฉยๆ ไม่ยิ้มไม่บึ้ง แต่บางพวกมองดูด้วยสายตาประหลาด แล้วมีการหันไปพูดซุบซิบและหัวเราะกันก็มี ตัวข้าพเจ้าเองก็อดที่จะมองดูเขาอย่างประหลาดใจไม่ได้เหมือนกัน

    เพราะเห็นว่าท่วงทีที่คนบางคนยืนช่างไม่น่าดูเลย การแต่งเนื้อแต่งตัวก็ดูจะจะเป็นเครื่องแต่งกายของพวกที่อยากจะเรียกร้องความสนใจมากกว่าที่จะให้นึกว่าเป็นนักศึกษาอันควรจะเป็นปัญญาชน

    เมื่อพิธีเริ่มต้น อธิการบดีก็ลุกขึ้นไปอ่านคำสดุดีพระเกียรติพระเจ้าอยู่หัว(ร.๙)ก่อนที่จะถวายปริญญา ทันใดนั้นเองข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงเอะอะเหมือนโห่ปนฮาอยู่ข้างนอก คือจากกลุ่ม “ปัญญาชน” ซึ่งยืนท่าต่างๆ ที่ไม่น่าดู

    เช่น เอาเท้าพาดต้นไม้บ้าง ถ่างขามือเท้าสะเอวบ้าง เสียงโห่ปนฮาของเขาดังพอที่จะรบกวนเสียงที่อธิการบดีกำลังกล่าวอยู่ทีเดียว

    ข้าพเจ้ารู้สึกว่าอารมณ์โกรธพุ่งขึ้นมาทันที เกือบจะระงับสติอารมณ์ไม่ไหว มองขึ้นไปบนเวทีเห็นบรรดาศาสตราจารย์และกรรมการมหาวิทยาลัยที่นั่งอยู่บนนั้นต่างก็หน้าจ๋อย ซีดแทบไม่มีสีเลือด ท่าทางกระสับกระส่ายด้วยความละอายไปด้วยกันทั้งนั้น

    ต่อจากนั้นก็ถึงเวลาที่พระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จไปพระราชทานพระราชดำรัสที่เครื่องขยายเสียงกลางเวที ยังไม่ทันจะอะไร ก็มีเสียงโห่ปนฮาดังขึ้นมาจากกลุ่ม “ปัญญาชน” ข้างนอกอีกแล้ว

    ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามือเย็นเฉียบ หัวใจหวิวๆ อย่างไรพิกล รู้สึกสงสารพระเจ้าอยู่หัว (ร.๙) จนทำอะไรไม่ถูก

    ไม่กล้าแม้แต่จะมองขึ้นดูพระพักตร์ท่าน ด้วยความสงสาร และเห็นพระทัย ในที่สุดฝืนใจมองขึ้นไปเพื่อถวายกำลังพระทัย แต่แล้วข้าพเจ้านั่นเองแหละที่เป็นผู้ได้กำลังใจกลับคืนมา เพราะมองดูท่านขณะที่ประทับยืนกลางเวที เห็นพระพักตร์ทรงเฉย

    ทันใดนั้นเอง คนที่อยู่ในหอประชุมทั้งหมดปรบมือเสียงสนั่นหวั่นไหวคล้ายจะถวายกำลังพระทัยท่าน พอเสียงปรบมือเงียบลงคราวนี้ข้าพเจ้ามองขึ้นไปบนเวทีอีก เห็นพระเจ้าอยู่หัวทรงเปิดพระมาลาที่ทรงคู่กับฉลองพระองค์ครุย แล้วหันพระองค์ไปโค้งคำนับกลุ่มที่ส่งเสียงเอะอะอยู่ข้างนอกอย่างงดงาม และน่าดูที่สุด

    พระพักตร์ยิ้มนิดๆ พระเนตรมีแววเยาะหน่อยๆ แต่พระสุรเสียงราบเรียบยิ่งนัก “ขอขอบใจท่านทั้งหลายเป็นอันมากในการต้อนรับอันอบอุ่นอันแสนสุภาพเรียบร้อยที่ท่านแสดงต่อแขกเมืองของท่าน”

    ทรงรับสั่งเพียงเท่านั้นเอง แล้วหันพระองค์มารับสั่งต่อกับผู้ที่นั่งฟังอยู่ในหอประชุม ตอนนี้ข้าพเจ้าอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ ด้วยความสะใจ เพราะเสียงฮานั้นเงียบลงทันทีราวกับปิดสวิทช์ แล้วตั้งแต่นั้นก็ไม่มีอีกเลย ทุกคนทั้งข้างนอกข้างในต่างนั่งฟังพระราชดำรัสเฉย ท่าทางดูขบคิด

    ข้าพเจ้าเห็นว่าพระราชดำรัสวันนั้นดีมาก รับสั่งสดๆ โดยไม่ทรงใช้กระดาษเลย ทรงเล่าถึงวัฒนธรรมอันเก่าแก่ของไทยเราว่า เรามีเอกราช มีภาษาของเราเอง มีตัวหนังสือ ซึ่งคิดค้นใช้ขึ้นเอง เราตั้งกฎหมายการปกครองของเราเอง ให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนมา 700 ปี กว่ามาแล้ว

    ตอนนี้ข้าพเจ้าขำแทบแย่ เพราะหลังจากรับสั่งว่า 700 ปีกว่ามาแล้ว ทรงทำท่าเหมือนเพิ่งนึกออก ทรงสะดุ้งนิดๆ และทรงโค้งพระองค์อย่างสุภาพเมื่อตรัสว่า

    “ขอโทษ ลืมไป ตอนนั้นยังไม่มีประเทศออสเตรเลียเลย”

    แล้วทรงเล่าต่อไปว่า แต่ไหนแต่ไรมาคนไทยเรามีน้ำใจกว้างขวาง พร้อมที่จะให้โอกาสคนอื่นและฟังความเห็นของเขา เพราะเรามักใช้ปัญญาขบคิดไตร่ตรองหาเหตุผลก่อนจึงจะตัดสินว่าสิ่งไรเป็นอย่างไร ไม่สุ่มสี่สุ่มห้าตัดสินอะไรตามใจชอบ โดยไม่ใช้เหตุผล...”

    ผลจากการในการไม่โกรธ สงบพระอารมณ์ได้แสดงออกถึงพระอัจฉริยภาพอย่างสูงในสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้น ปรากฏว่าเมื่อเสร็จพิธีแล้ว ผู้ร่วมในพิธีต่างเข้ามากราบบังคมทูลสรรเสริญถึงพระราชดำรัสนั้น และสำหรับกลุ่มนักศึกษาที่มีปฏิกิริยาเหล่านั้น ต่างก็มีอากัปกิริยาเปลี่ยนไปหมด

    บ้างก็มีสีหน้าเฉยๆ เจื่อนๆ ดูหลบพระเนตร ไม่มีการมองดูพระองค์อย่างประหลาดอีก แต่บางพวกก็มีน้ำใจเป็นนักกีฬาพอที่จะยิ้มแย้มแจ่มใส โบกมือและปรบมือให้แก่ทั้งสองพระองค์ตลอดทางจนถึงที่รถพระที่นั่งจอดอยู่



    **********************************************************************************************


    ***ท่านใดที่ต้องการสร้างบุญใหญ่ด้วยการเป็นเจ้าภาพ สุดยอดหนังสือธรรมทานเพียงเล่มละ 19 บาท ความหนา 128 หน้า พร้อมเคล็ดศักดิ์สิทธิ์ในเล่ม
    ธรรมะพระเจ้าอยู่หัว และ คู่พระบารมี
    ติดรายชื่อฟรี สั่งได้แล้ววันนี้หรือสอบถามรายละเอียด
    โทร.-095-6900444 Line id 0956900444 หรือสั่งผ่านข้อความในเฟซบุ๊คนี้
    ขอให้กัลยาณมิตร กัลยาณธรรม ทุกท่าน พบแต่ความสุข ความเจริญ รุ่งเรืองตลอดไป
    สาธุ สาธุ สาธุ
    ทีมงาน ธ.ธรรมรักษ์



    ***ติดตามบทความปาฏิหาริย์แห่งบุญที่จะช่วยให้ทุกชีวิตได้ดี สุข รวย ได้ที่https://www.facebook.com/ธ-ธรรมรักษ์
    #พระพุทธเจ้า #พระปัจเจกพุทธเจ้า #พระอรหันต์#พระโพธิสัตว์#ในหลวง#รัชกาลที่ 9 #ภูมิพล #สิริกิติ์ #พระราชา #พระราชินี #คู่พระบารมี #ธรรม#ธรรมทาน #หนังสือธรรมทาน #ธรรมรักษ์#บุญ #อานิสงส์#อธิษฐาน #ทาน#ศีล #ภาวนา#สติ#ความดี #ปฏิบัติธรรม #ธรรมทาน#บุญ


    **********************************************************************************************

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 ตุลาคม 2017
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,405
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,470
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จะกลับมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า**

    ในกาลข้างหน้าจะเป็นเวลานานแสนนาน ไม่นับเป็นพันเป็นหมื่น เป็นแสนๆไม่รู้กี่แสนกี่ล้านปีนะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะกลับมาอีกนะ ในแผ่นดินนี้

    แต่ในชาติสุดท้ายที่ท่านกลับมา จะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    แล้วท่านจะเล่าให้สาวกของท่านฟังว่า

    "ในแผ่นดินนี้เคยเจริญรุ่งเรือง และมีพระมหากษัตริย์ซึ่งทรงทศพิธราชธรรม ได้ปกครองแผ่นดินนี้ ได้พัฒนาประเทศให้ได้รับความสุขความเจริญ กษัตริย์พระองค์นั้น ทรงมีพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช "

    ท่านจะได้กล่าวให้สาวกของท่านฟังในชาติสุดท้ายของท่าน พวกเราทั้งหลายซึ่งเป็นลูกหลานของพระองค์ท่าน ไม่ต้องเสียใจอะไรหรอกนะ

    จริงๆแล้วท่านอยากอยู่กับพวกเรา อยากอยู่กับพวกเรานานๆ เนี่ยชีวิตของท่านอยากอยู่กับพวกเรานานๆ แต่ว่าสังขาร พระวรกายของท่านไม่เป็นไป
    .
    --- จากพระธรรมเทศนาตอนหนึ่งของพระอาจารย์อัครเดช(ตั๋น)ถิรจิตโต ในงานทอดกฐินพระราชทาน ๖ พ.ย. ๒๕๖๐



    https://www.facebook.com/payupons




    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...