เรื่องเด่น ประสบการณ์ การเข้าฌาน 4 ครั้งแรก

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย solardust, 7 กุมภาพันธ์ 2014.

  1. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044
    ที่คุณข้างบนพูดเหมือนวิธีการฝึกเพื่อ
    นำผลที่ได้ไปใช้ช่วยคนวิธีการหนึ่งนะครับ
    หลักการมันคือ ฝึกรวมสัมผัสกับพลังงาน
    เพื่อให้มาหนุนกันครับ...
     
  2. แสงอุ่น

    แสงอุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    612
    ค่าพลัง:
    +1,036
    ผมเคยมีประสพการณ์ที่คล้ายกันครับ พอถึงช่วงที่เห็นภาพและเสียงต่างๆ ผมจะสนใจอยู่สักพักหนึ่งแต่หาคำตอบในภาพเหล่านั้นได้ไม่หมด ผมจึงปล่อยวางไป จนวูปไปอีกครั้ง หายไปหมดภาพ เสียง ตัวตน แล้วก็เกิดความปิติขึ้นมา แล้วกอยู่แบบนั้น จนวูปกลับมาลืมตา แต่อารมณ์ปิติและนิ้งสงบยังคงอยู่ไปอีกสักครู่ใหญ่ๆ ยังไม่เคยผ่านช่วงเกิดปิติไปเลย ไม่รู้ว่าผ่านไปจะเป็นยังไง
     
  3. Rei123

    Rei123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +266
    ผมทำงานจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ นี้เรียกได้ว่าเป็นการ "ฝึกสมาธิ" ไหมครับ
    ผมทำงานแบบเดิทมาจะ 10 ปีละครับ เมื่อก่อนทำทีละงาน ตอนนี้ ทำงานอย่างอื่นพร้อมกันทีเดียว 2-3 งาน
    ผมใช้เวลาทำงานส่วนใหญ่จะไม่พูดกับใครเพราะมีพนักงานคนเดียว จึงทำให้มีสมาธิ
    แต่ข้อเสียคือ มีสมาธิกับสิ่งที่ทำมากไป หรือเรียกได้ว่า จิตจดจ่อกับสิ่งที่ทำแบบแยกสติออกไปจากโลกภายนอก ฝึกจนมีความสามารถทำงานได้หลายงานในเวลาเดียวกัน (ทำงานนั่งอยู่หน้าคอมทั้งวันครับ (ยกตัวอย่างงานครับ เช่น เขียนข่าว เขียนเว็บ ซ่อมคอม ลงwin งานเสริมอื่นๆอีก)

    แต่ข้อเสียคือ เวลาขับรถ มีสติในการขับรถมากไป ถ้ามีคนช่วยคุย สติจะหลุด จนบางทีขับเลยทางเข้าบ้าน

    แต่พักหลังมาผมชอบฝัน เหมือนหลับไม่สนิท เพราะก่อนจะฝัน ถ้าผมคิดถึงเรื่องอะไรก็จะเก็บไปฝันเป็นเรื่องเป็นราวมากๆ บางครั้งหาของไม่เจอ ก็เก็บไปฝันว่าของอยู่ตรงไหน บางทีก็มีนิมิตต่างๆ ครูบาอาจารย์มาเข้าฝันครับ

    ผมไหว้พระสวดมนต์ทุกวันครับ
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044
    การตั้งใจทำงาน คือ การทำสมาธิไปในตัวอยู่แล้วครับ
    แต่เป็นการเอาจิตไปจดจ่อกับงานครับถือว่าดีแล้วครับ..
    แต่มันจะได้สมาธิสะสมอย่างเดียว ซึ่งสมาธิแบบนี้อย่างเดียว
    มันขึ้นๆลงๆได้ครับ แต่ว่า มันจะไม่ได้ในส่วนของกำลังสติทางธรรมนะครับ
    สติทางธรรมคือ ตัวที่จะคอยควบคุมความคิด
    ควบคุมพฤติกรรมของจิต...
    ตลอดจนตัวที่ จะทำให้เรารู้อะไรๆทางนามธรรมต่างๆครับ

    ที่เคยทำมาดีแล้วครับแต่
    เราควรทำควบคู่กับการเจริญสติในชีวิตประจำวันด้วย
    ไม่ว่าด้วยวิธีอะไรขอให้มีฐานอยู่ที่กาย เช่น เวลาเดินไป
    โน้นนั่นนี้ ให้นับก้าวเดิน หรือถ้าเราอยู่เฉยๆ ก็ให้
    ทำความรู้สึกรับรู้ว่ามีลมหายใจเข้าและออกหยุดที่ปลายจมูก
    และหายใจให้ลึก แต่ไม่ต้องตามลม
    ลองเอานิ้วไว้ที่ปลายจมูก ถ้ารู้สึกว่า มีลมสัมผัสตลอดที่หายใจเข้า
    จนท้องพองและหายใจออกจนท้องยุบอยู่ที่ปลายนิ้ว
    นั่นแสดงว่าเราไม่ได้ตามลม แล้วค่อยเอานิ้วออก
    ให้เปลี่ยนมาอยู่ที่ปลายจมูกแทนครับ
    หรือถ้าเบื่อๆ จะเคาะนิ้ว นับนิ้วก็ว่ากันไป....

    อย่างนี้จะได้ทั้งสติทางธรรมและสมาธิสะสมมาหนุนกัน
    ซึ่งจะส่งผลให้สติเราไม่ขาดช่วง(การขาดช่วง ขาดสติ จริงๆแล้วคือเรื่องปกติ)
    เพียงแต่ว่ามันจะกลับมารู้ตัวเร็วครับ..
    และความเข้าใจทางด้านนามธรรมต่างๆเราจะดีครับ
    เราจะรู้เองว่า ฝันเราเกิดจากอะไร
    และถ้าลืมตาแล้วเราไม่รู้อะไร ให้ลืมไปเลย

    แล้วมาเจริญสติต่อ เด่วมันจะรู้เอง...
    และต่อไป มันจะทำให้เราได้ค้นพบด้วยตัวเราเอง
    ว่าเราอ่านกิเลสตัวไหน
    ที่นี้ ก่อนจะนอนเราค่อยมาดูว่าเราพลาดตัวไหน
    และก่อนตื่นนอนอย่าพึ่งลืมตา แล้วพิจารณาซ้ำอีกครั้ง
    เท่านี้ ก็จะพัฒนาคุณภาพจิตไปได้พร้อมๆ
    กับการดำรงชีวิตประจำวันครับ
     
  5. หนาด้วยกิเลส

    หนาด้วยกิเลส สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2017
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +5
    ผมซึ้งมากครับ ผมก็พยายามนั่งทุกวันเเต่สูงสุดได้ไม่เกิน30นาที ทำไงดี
    นั่งก็ไม่เห็นอะไรด้วย
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044
    เอาระบบพื้นฐานการหายใจให้ได้ก่อนครับ
    ส่วนการเห็นได้หรือไม่เห็น อยู่ที่การตัดความอยากครับ
    ส่วนการเห็นได้นั้น สิ่งสำคัญไม่ใช่สิ่งที่เราเห็นครับ
    มันอยู่ที่ว่า เราเข้าใจวัตถุประสงค์ในการเห็นหรือไม่
    เป็นอย่างไร เด่วยกตัวอย่างให้ดูนะครับ

    ยกตัวอย่างเช่น เห็นผีแว๊บๆแวมๆ รวมทั้งแสง สี เสียง หรือขนลุก
    ขนพอง หรือทุกกิริยานะครับ แต่ยกเปรียบกับการเห็น
    แต่ให้เทียบเคียงกันได้.

    เห็นปีแว๊บๆแวมๆ นี่คือสิ่งที่เราเห็นครับ
    แต่สิ่งที่ขวางความก้าวหน้าด้านการปฏิบัติของเราก็คือ
    ความอยากในการที่จะรู้ว่า สิ่งที่เห็นคืออะไร ทำไมเราเห็น
    และเราเห็นได้อย่างไร ซึ่งทำให้เราปรุงแต่งได้ต่างๆนาๆครับ
    ปกติเราจะยังไม่รู้ เพราะการที่จะรู้เรื่องพวกนี้ได้เลยนั่นคือ
    กำลังสติทางธรรมมันจะเป็นตัวบอก สติทางธรรมมันคล้ายๆ
    ตัวความคิดของเราในส่วนนามธรรมครับ ถ้าความคิดทั่วไป
    เราใช้ตอนลืมตา เช่น หน้าที่การงาน เรื่องเรียนฯลฯ พอนึก
    ภาพออกนะครับ ดังนั้น ถ้าไม่รู้ไม่เห็นอะไร
    หรือเห็นแล้วไม่เข้าใจ ให้เฉยๆไปทุกๆกรณี
    แล้วมาเจริญสติต่อให้ต่อเนื่องครับ


    แต่ถ้าเห็นผีแว๊บๆแวมๆ..แล้วเราทำบุญอุทิศส่วนกุศให้ไป
    นี่คือวัตถุประสงค์ในการที่เค้ามาปรากฏให้เห็นครับ
    และหลังจากที่อุทิศไปแล้ว และเราก็เฉยๆไป ไม่อะไรๆกับมัน
    ทำแล้วก็แล้วไป และมาเจริญสติของเราต่อไป.....

    ถ้าทำได้ และมีกำลังสติเพิ่มมากขึ้น ตัวจิตของเรามันจะมี
    เครื่องรู้ตัวหนึ่งเกิดขึ้นได้เอง สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน
    โดยที่เราไม่ต้องไปถามใครครับ ก็คือ
    ยกตัวอย่าง เห็นผีแว๊บๆแวมๆ มันจะรู้เลยว่า ดวงจิตนี้ตาย
    อย่างไร เป็นมาอย่างไร มาเพื่ออะไร ทำอะไรมาถึงตาย ฯลฯ
    และเราก็จะต้องทำบุญอย่างไร ดวงจิตนี้ถึงจะรับได้อย่าง
    เต็มที่ และควรกล่าวอย่างไรด้วยครับ....

    ปล. เข้าใจที่เล่าให้ฟังนะครับ. นักปฏิบัติ ที่ไปได้ช้า
    ก็เพราะไปเผลออยากรู้ว่ามันคืออะไรๆ โดยที่ไม่สร้าง
    สติทางธรรมให้มันสมดุลย์กับการรับรู้ทางนามธรรม
    นั่นหละครับ ช้าคือ ช้าทั้งการยกระดับสมาธิ
    ช้าทั้งด้านการฝึกกรรมฐานต่างๆไม่สำเร็จซักอย่าง
    ช้าในเรื่องความเข้าใจทางด้านนามธรรมต่างๆ
    ตลอดจนความสามารถในการใช้งานทางจิตได้
    ประมาณนี้ครับ
     
  7. Rei123

    Rei123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +266
    ขอบคุณครับ
    ทำงาน ผมเปิดฟังธรรม ใน youtube และหาข้อมูลในเน็ต เหมือนที่ทำอยู่ในขณะนี้ไปด้วยครับ
    ทำให้เข้าใจชีวิต รู้สึกเบื่อชีวิต เห็นความทุกข์ของตัวเองและคนอื่น
    ธรรม ก็คือ ธรรมชาติ ครับ
     
  8. Rei123

    Rei123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +266
    ผมเห็นความอยาก ได้อภิญญา นั้นก็ความทุกข์เช่นกันครับ
    ส่วนความอยากที่เป็นทุกข์ของผมตอนนี้ อยากหาที่สงบ มีที่สัก 2-3 ไร่ จะทำที่ปฎิบัติธรรม
    ทำบ้านให้เป็นธรรมชาติครับ
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044
    ความสามารถต่างๆมีไปก็แค่นั้น
    ถ้าเราไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรกับมัน
    เพื่อผู้อื่นหรือเพื่อประโยชน์ทางธรรมโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ มีไปก็เสื่อม
    ต้องมีแนวทางอย่างที่บอกในจิต
    มันถึงจะมีโอกาสเกิดและไม่เสื่อมได้ครับ

    เอาตัวเราเองเป็นครูบาร์อาจารย์ครับ
    เหตุเกิดจากในแก้ที่ภายใน
    เหตุเกิดจากภายนอกใช้สติพากายไปแก้ปัญหาครับ ทำกายให้เป็นวัด
    ทำใจให้เป็นพระ แม้ที่ไหนเราก็อยู่ได้ครับ

    ปฎิบัติธรรมคนเดียวก็สนุก
    หลายคนก็สนุกครับ ถ้าเรามาถูกทาง

    ธรรมขาติคือเข้าใจธรรมชาติ ยกตัวอย่าง
    เช่น ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ
    คือ สิ่งที่มีอยู่แล้วโดยธรรมชาติ
    เพียงแต่ โลภะ โมหะ โทสะ ที่มีในจิตเรา
    ที่อย่าไปดึงมันเอามาจนกลาย
    เป็นกิเลสก็พอครับ
    เรื่องอื่นๆก็คล้ายกันครับ

    และอยู่ร่วมกับธรรมชาติ
    หมายรวมการอยู่ร่วมในสังคมด้วย
    ให้ได้อย่างแยบยลครับ

    จิตที่คลายตัวเองได้อย่างธรรมชาติ
    คือจิตที่อยู่ร่วมกับธรรมชาติที่มีอย่างปกติ
    แต่ไม่ยึดติดในธรรมชาตินั้นๆครับ

    การที่ชอบหรือไม่ชอบคือยึด
    การที่ชอบหรือไม่ชอบและปรุงแต่ง
    ตามที่ชอบหรือไม่ชอบคือยึดติด
    หรือยึดมั่นถือมั่น

    ดังนั้นไม่ว่าชอบหรือไม่ชอบ
    มันยึดอะไรไม่ได้ครับ
    จิตมันถึงจะคลายตัวเอง
    ได้โดยธรรมขาติของมัน
    โดยไม่ใช้วิธีการใดๆ
    ไม่ว่า สมาธิ คบะ ฌาน ญาน
    กำลังจิตฯลฯ
    ปล เล่าให้ฟังเฉยๆนะครับ คุณ Rei123
     
  10. Rei123

    Rei123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +266
    สาธุครับ
    ทุกข์วันนี้มีทุกข์ทางโลก แต่ไม่กลัว เพราะเรามีความอดทน
    ขอบคุณครับ
     
  11. pitra

    pitra สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2017
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +31
    ชัดเจนมาก อนุโมทนาเ้วยค่ะ สาธุ
     
  12. Nagamanee

    Nagamanee Manassa

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,581
    ขอบคุณสำหรับความรู้ค่ะ
    หัดนั่งสมาธิค่ะ ยังไม่ถึงไหน

    กราบพระอาราธนาพระพุทธเจ้า ขอเทวดาชั้นพรหม หนึ่งชุด มาดูแล เราขณะฝึกกรรมฐาน
    ไตรสรณคมน์ และ สัพเพ แผ่เมตตา ...

    แต่ นั่งได้ไม่นานค่ะ มันจะกระตุก แบบ แรงโดนไฟฟ้าช้อต ใจมันหาย จนล้าแบบตกใจ สมาธิกระจุย

    เเต่ตอนนั่งไม่ตกใจ ไม่ฟุ้งซ่าน ก้อค่อยๆดีขึ้น
    หัดอยู่ค่ะ เพราะไม่ค่อยว่างค่ะ ต้องทำงาน
    (หัดนั่งเองค่ะ ไม่เคยไปฝึกสำนักไหน )

    คงต้องเก็บเลเวลไปเรื่อยๆ
     
  13. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,612
    ค่าพลัง:
    +3,015

    จิตเป็นกลาง ต่อทุกสรรพสิ่ง
    เป็น สภาวะจิต หรือ สภาวะธรรม ของ พระอรหันต์

    จิตเป็นกลาง จึงเป็น
    ผลจากการฝึกปล่อยวาง
    ด้วยการ เฝ้าฝึกพิจารณาอยู่เนืองๆว่า
    ทุกสิ่งรอบตัวล้วนไม่เที่ยง หรือ
    ทุกสิ่งรอบตัวก่อทุกข์ หรือ
    ทุกสิ่งรอบตัวไม่มีอยู่จริง
    เฝ้าเพียรฝึกพิจารณาสามสิ่งนี้
    เมื่อมีสิ่งใดมากระทบจิต
    ก็ให้ยกสามอย่างนี้ โดยให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง
    ขึ้นมาสู้กับมัน แล้วสอนจิตอยู่เนืองๆ
    จนจิตอ่อนลง จนจิตไม่อยากจะได้สิ่งนั้นแล้ว
    จึงจะเรียกว่า
    เกิดมรรค หรือ มรรคจิต
    จิตก็จะค่อยๆ ปล่อยวาง สิ่งต่างๆรอบกายได้เรื่อยๆ
    จนไม่เหลืออะไร ให้ปล่อยวางอีก จึงเรียกว่า
    จบกิจ

    ความอยาก และ ความไม่อยาก
    ล้วนเป็น สังโยชน์ ทั้งสองอย่าง
    ให้ฝึกปล่อยวาง สองตัวนี้
    แล้วคุณจะพบ
    ทางสายกลาง หรือ มรรคผล ได้เอง
     
  14. d_thep

    d_thep เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +170
    ตามด้วยครับ....สาธุ...
     
  15. กระร่อน

    กระร่อน จิตฺเตน นียติ โลโก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2020
    โพสต์:
    8,901
    ค่าพลัง:
    +994
    หนังสือกะมีบอกทำฌานเป็นวสี 1-2-3-4;4-3-2-1
     

แชร์หน้านี้

Loading...