เรื่องเด่น ต้นกำเนิดพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม จากนิมิตหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เมื่อหลวงปู่ปานมาย้ำเตือนว่า ไม่ใช่อุปทานแต่เป็นพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรด!

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย ษิตา, 4 กุมภาพันธ์ 2017.

  1. ษิตา

    ษิตา ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    10,209
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,230
    ค่าพลัง:
    +34,711
    ต้นกำเนิดพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม จากนิมิตหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เมื่อหลวงปู่ปานมาย้ำเตือนว่า ไม่ใช่อุปทานแต่เป็นพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรด!

    484106019_8719.jpg


    1399133334-1322702685-o.jpg


    ในสายของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ จะรู้จักพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งนามว่าสมเด็จองค์ปฐม หลายท่านอาจไม่ทราบว่าสมเด็จองค์ปฐมคือใคร ทั้งนี้ผู้อ่านต้องทราบก่อนว่า พระพุทธเจ้านั้นในอดีตกาลที่ผ่านมามีจำนวนมากมาย โบราณอุปมาเปรียบเทียบไว้ว่า มากกว่าเม็ดทรายในท้องพระมหาสมุทรทั้ง ๔

    สำหรับสมเด็จองค์ปฐม ก็คือพระพุทธเจ้าองค์แรกหรือองค์ที่หนึ่งทรงพระนามว่า “สมเด็จพระพุทธสิกขี” แต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ผ่านไปแล้วอาจจะมีชื่อซ้ำกันได้ โดยเฉพาะชื่อนี้มีด้วยกันถึง ๕ พระองค์ จึงเรียกขานกันว่าเป็น พระพุทธสิกขีทศพลที่๑ พระองค์จึงทรงเป็นต้นพระพุทธวงศ์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ จึงสมควรยกย่องพระพุทธองค์ว่าทรงเป็น “สมเด็จองค์ปฐมบรมครู”อย่างแท้จริง


    1399052881-580842topi-o.jpg


    สมัยที่สมเด็จพระพุทธองค์ ได้ทรงอุบัติในโลกมนุษย์ ในเวลานั้น คนมีอายุขัยประมาณ ๘ หมื่นปี พระพุทธองค์ทรงผนวชออกมหาภิเนษกรมณ์ เมื่อพระชนมายุได้ ๔ หมื่นปี หลังจากทรงผนวชแล้วเป็นเวลาอีก ๒หมื่นปี จึงได้ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณตรัสรู้ เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์ อีกประมาณ ๒หมื่นปี จึงเสด็จดับขันธปรินิพาน หลังจากทรงใช้เวลาอันยาวนานถึง ๔๐อสงไขยกัปในการบำเพ็ญพระบารมี เพื่อแสวงหาพระโพธิญาณด้วยพระองค์เอง ทรงใช้เวลาอันยาวนานในการบำเพ็ญพระบารมี เนื่องจากพระพุทธองค์เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรก จึงไม่มีแบบอย่างที่จะให้พระพุทธองค์ได้ศึกษาเป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อบรรลุพระโพธิญาณ

    การพบสมเด็จองค์ปฐม ครั้งแรกของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เมื่อประมาณ พ.ศ.๒๕๑๑ คือท่านกำลังสอนพระกรรมฐาน และเมื่อเสร็จจากการแนะนำ ก็ได้ทำสมาธิ สิ่งที่คาดไม่ถึงก็ปรากฏขึ้น นั่นคือเห็นเป็นพระพุทธเจ้าในปางนิพพานยืน สองแถวยาวเหยียดไปข้างหน้าแล้วก็พนมมือ จึงมีความรู้สึกในใจว่า บางทีอาจจะเป็น อุปาทานเพราะว่า พระพุทธเจ้าไม่เคยก้มศรีษะให้ใคร แม้แต่บ้านเรือนเล็กๆที่หลังคา ตํ่าๆ หากพระพุทธเจ้าเข้าไปหลังคาก็จะสูงขึ้น แต่เวลานี้เห็นพระพุทธเจ้ายืนพนมมือ อุปาทานคือกิเลสคงกินใจมาก เมื่อนึกเพียงนี้ก็เห็นภาพหลวงปู่ปานปรากฏขึ้นข้างๆ หลวงปู่ปานท่านบอกว่า "คุณ...ไม่ใช่อุปาทาน ประเดี๋ยวพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะเสด็จมา "

    อีกประมาณสัก ๕ นาที ปรากฏว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง รูปร่างใหญ่โตมาก สูงมาก มาในรูปของปางนิพพาน เดินมาระหว่างช่องกลางพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ แล้วทรงก้มศรีษะแสดงความเคารพเพราะพนมมืออยู่แล้ว พอท่านเดินไปถึง พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ท่านก็ตรัสว่า "ข้าจะนั่งที่ไหนหว่า...ในเมื่อไม่มีที่นั่ง ข้าก็เอาหัวแกเป็นแท่นก็แล้วกัน "ก็เลยนั่งบนหัว แล้วท่านก็บอกว่า

    “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก่อนที่แกจะสอนกรรมฐานก็ดี จะพูดธรรมะก็ดี จะเทศน์ก็ดี บอกฉันก่อน ฉันให้พูดตอนไหน จะให้เทศน์ตอนไหน ให้ว่าตามนั้น”

    ก็เป็นความจริง เมื่อใดก็ตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อสอนกรรมฐานก็ดี เทศน์ก็ดี บางทีคิดว่าวันนี้จะพูดเรื่องอย่างนี้ แต่พอพูดเข้าจริง ๆ เรื่องนั้นไม่ได้พูดไปพูดอีกจุดหนึ่ง อันนี้เป็นลีลาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ การเทศน์ของพระพุทธเจ้ามุ่งเฉพาะบุคคลสำคัญคนใดคนหนึ่งไม่ได้หวังคนทั่วไป คนจะนั่งสักหนึ่งพัน สองพัน ห้าพันก็ตาม ท่านจะดูจิตใจว่าบุคคลใดจะรับคำเทศนาของท่านได้ จะสามารถบรรลุมรรคผลได้ ท่านจะจี้จุดเฉพาะคนนั้นเอาจุดเด่น แต่ว่าคนที่มีความดีใกล้เคียงกันก็พลอยบรรลุมรรคผลไปตามๆกัน

    maxresdefault(89).jpg




    อันนี้ก็เช่นเดียวกัน อาตมาเวลาเทศน์หรือสอนกรรมฐานก็ไม่เคยได้พูดตามที่คิดไว้สักที อาจเป็นเพราะท่านดลใจ ถ้าจะถามว่าเป็นที่ชอบใจของคนทุกคนไหม ก็ขอตอบว่าไม่แน่นัก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าท่านอาจจะจี้จุดเฉพาะคนใดคนหนึ่ง แต่คนบางคนอาจจะไม่ถูกใจก็ได้ นี่เป็นเรื่องธรรมดา ก็จึงมาคิดว่าในเมื่อท่านมีพระคุณอย่างนี้ และก็เห็นเป็นปกติจึงคิดจะหล่อรูปของท่าน

    ต่อมาเมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้เจริญพระกรรมฐานแล้ว จึงได้อาราธนาขอพบท่านในสมัยที่รูปร่างเป็นมนุษย์ ท่านก็ปรากฏพระองค์ให้เห็น ทรวดทรงสวยมาก หน้าของท่านอิ่มเหมือนรูปไข่ แก้มอิ่ม ยิ้มน้อยๆ ริมฝีปากไม่บุ๋ม ไม่เหมือนพระพุทธเจ้าที่เขาปั้นกันแก้มตอบปากบุ๋มลงไป

    แล้วสมเด็จองค์ปฐม ก็แสดงรูปร่างสมัยเป็นมนุษย์ และก็เปลี่ยนมาเป็น ปางนิพพาน พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ก็ถามว่า ถ้าจะปั้นรูปของพระองค์จะให้ปั้นแบบไหน แบบปางพระนิพพานหรือแบบมนุษย์



    พระพุทธองค์บอกว่า ให้ปั้นแบบนี้ก็แล้วกัน ทรงแสดงภาพให้ดูเป็นเหมือนกับ พระพุทธรูปและมีเรือนแก้วแบบพระพุทธชินราช รูปที่ทรงให้ปั้นไม่เหมือนกับรูปจริงของพระองค์ตอนเป็นมนุษย์และก็ไม่เหมือนรูปที่นิพพาน แต่ว่าเป็นรูปที่ท่านต้องการ ท่านมาแสดงแบบนั้นอยู่ถึง ๓ วันติดๆ กัน วันละประมาณ ๑ชั่วโมง ก็ดูจนละเอียด แต่ก็คิดในใจว่าช่างเขาปั้น แต่เขาไม่เห็นภาพเขาจะปั้นได้ไม่เหมือน จึงขอบารมีของท่านบอกว่า เวลาช่างปั้นขอให้โปรดดลใจให้เป็นไปตามพระพุทธประสงค์ ท่านก็ยอมรับ ในที่สุดเมื่อเขาปั้นเสร็จ เขาก็เอามาให้ดูเหมือนกับรูปที่ท่านแสดงจริง ๆ นี่เป็นเรื่องอัศจรรย์

    เมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อตัดสินใจปั้นรูปของสมเด็จองค์ปฐม ก็นึกถึงพระบรมสารีริกธาตุ เพราะพระพุทธรูปทุกองค์ในสถานที่สำคัญ ก็ได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แต่เป็นพระบรมสารีริกธาตุขององค์ปัจจุบัน จึงคิดว่าจะหาได้จากไหน จึงตัดสินใจว่า ถ้าทำไม่ได้ก็จะเอาขององค์ปัจจุบันบรรจุ เพราะถือว่าเป็นคนละขั้นตอน

    ต่อมา ขณะที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อกำลังจะนอน จิตเริ่มเคลิ้ม ก็ได้ยินเสียงว่า

    “พระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จองค์ปฐมเอามาให้แล้วนะ วางไว้ที่ตลับบนเตียงข้าง ๆ หัวนอน”

    ได้ยินเสียงชัดเจนแจ่มใสมาก เหมือนเสียงขององค์ปัจจุบัน จึงลุกขึ้นไปเปิดไฟ ปรากฎว่าที่ตรงนั้นไม่เคยวางตลับ มีแต่วางหนังสือสำหรับดูก่อนหลับ ก็มีตลับพลาสติคแบบปัจจุบันอยู่ลูกหนึ่ง ไปเปิดดูเห็นพระบรมสารีริกธาตุองค์โตสององค์ ก็ดีใจว่าขององค์ปฐมแน่ จึงเก็บไว้ในที่สักการะบูชา เอาไว้บรรจุพระองค์ท่าน

    ข่าว: ไญยิกา เมืองจำนงค์ (ทีมข่าวปัญญาญาณ - ทีนิวส์)



    -------------------
    ที่มา

    http://www.tnews.co.th/contents/219776


     
  2. mrmos

    mrmos Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2016
    โพสต์:
    1,190
    ค่าพลัง:
    +1,101

แชร์หน้านี้

Loading...