เรื่องเด่น รวมหลวงพ่อตอบปัญหา/จากคำบอกเล่า

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 21 กรกฎาคม 2012.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    วินิจฉัย 2 กษัตริย์

    DSC_0042.JPG DSC_0054.JPG DSC_0059.JPG DSC_0061.JPG DSC_0065.JPG DSC_0073.JPG DSC_0075.JPG DSC_0082.JPG

    (จากธัมมวิโมกข์ มีนาคม 2540 หน้า 12 - 19)
     
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    ดวงชะตากับชีวิต, พระศุกร์เล็งพระเสาร์

    DSC_0085.JPG DSC_0090.JPG DSC_0098-vert.jpg

    (จากธัมมวิโมกข์ มีนาคม 2536 หน้า 62-64)
     
  3. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    หลวงพ่อไม่ทิ้งพวกเรา

    DSC_0101.JPG DSC_0105.JPG DSC_0111.JPG DSC_0116.JPG DSC_0117.JPG DSC_0127.JPG
    (จากธัมมวิโมกข์ มีนาคม 2536 หน้า 102-107)
     
  4. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    DSC_0013.JPG DSC_0017.JPG DSC_0020.JPG

    (จากหนังสือโอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม 2)

    เป็นเกร็ดที่หลวงพ่อเล่าให้ลูกหลานได้ทราบ ถ้าไม่ใช่เพราะพระบารมีในหลวงของเรา ป่านนี้ประเทศไทยคงเป็นเมืองขึ้นของประเทศอื่นไปแล้ว

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc 2014/DSC_0031-1.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc 2014/DSC_0031-1.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0031-1.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc 2014/DSC_0036-2.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc 2014/DSC_0036-2.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0036-2.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc 2014/DSC_0038-1.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc 2014/DSC_0038-1.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0038-1.jpg"/></a>

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติเล่ม 14 หน้า 357 - 359)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2019
  5. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    DSC_0026.JPG

    (จากหนังสือคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม 4)
     
  6. Belmondo

    Belmondo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +480
    ขออนุโมทนาสาธุค่ะ อยากรู้มานานแล้วค่ะ เรื่องนี้
     
  7. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    DSC_0164.JPG DSC_0165.JPG DSC_0172.JPG

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 5)
     
  8. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    DSC_0124.JPG DSC_0130.JPG DSC_0137.JPG DSC_0141.JPG DSC_0148.JPG DSC_0149.JPG DSC_0158.JPG

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 5)
     
  9. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    เรื่องตายแล้วฟื้น

    DSC_0233.JPG DSC_0244.JPG DSC_0248.JPG DSC_0252.JPG DSC_0265.JPG DSC_0266.JPG
    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 5 หน้า 38 - 43)
     
  10. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    DSC_0040.JPG DSC_0047.JPG DSC_0051.JPG DSC_0055.JPG

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 6)
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,160
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,048
  12. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    สาธุครับพี่ supatorn
     
  13. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735

    DSC_0062.JPG DSC_0067.JPG DSC_0071.JPG DSC_0058.JPG
    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 6)
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,160
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,048
    SadhuNippana.jpg
     
  15. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    DSC_0081.JPG DSC_0083.JPG DSC_0090.JPG DSC_0095.JPG

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 6)
     
  16. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735


    หลวงพ่อพูดถึงเหรียญทำน้ำมนต์ในพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร พิธีเป่ายันต์เกราะเพชรในครั้งนี้เป็นครั้งที่ 14 จัดขึ้นในวันเสาร์ 5 ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ.2532 ที่ศาลา 4 ไร่
    ส่วนพิธีพุทธาภิเษกเหรียญทำน้ำมนต์มีขึ้นก่อนหน้าวันเป่ายันต์ 2 วันคือวันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 เวลาประมาณ 18.00 น. ณ วิหาร 100 เมตร


    คลิปชุดนี้ตัดออกมาจากคลิปวิดีโอฉบับเต็ม ไว้จะทยอยนำลงมาให้ชมกันนะครับ
     
  17. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    DSC_0096.JPG DSC_0104.JPG DSC_0105.JPG DSC_0116.JPG DSC_0124.JPG DSC_0137.JPG

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 6)
     
  18. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735


    คลิปวิดีโอด้านบนนี้เป็นฉบับเต็มพิธีทั้งพิธีพุทธาภิเษกและพิธีในงานวันเป่ายันต์เกราะเพชร

    พิธีพุทธาภิเษกเหรียญทำน้ำมนต์มีขึ้นก่อนหน้าวันเป่ายันต์เกราะเพชร 2 วันคือวันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 เวลาประมาณ 18.00 น. ณ วิหาร 100 เมตร

    ส่วนพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรในครั้งนี้เป็นครั้งที่ 14 จัดขึ้นในวันเสาร์ 5 ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ.2532 ที่ศาลา 4 ไร่ (เป็นครั้งสุดท้ายที่จัดในศาลา 4 ไร่ พิธีเป่ายันต์เกราะเพชรครั้งต่อครั้งที่ 15 จนถึงครั้งสุดท้ายไปจัดที่ศาลา 12 ไร่แทน)

    DSC_0082_1.jpg~original.jpg DSC_0092.jpg DSC00956.jpg DSC00959.jpg~original.jpg DSC00950.jpg~original.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 เมษายน 2017
  19. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    IMG_20170426_160319.jpg
    IMG_20170426_160341.jpg

    (จากหนังสือคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม 39)
     
  20. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    สงครามโลกครั้งที่ 3

    หลวงพ่อ : ตอนบวงสรวงเมื่อเช้าพระท่านพูดเรื่อง "สงครามโลกครั้งที่ 3"

    ถามท่านว่า "ถ้าสงครามโลกครั้งที่ 3 เกิดขึ้น จะเป็นยังไง ประเทศไทย"

    พระท่านบอกว่า "คนที่จนอยู่กระท่อม จะมีเงินนับแสน คนที่มีเงินจำนวนแสนไม่ถึงล้าน ถือว่าจน คนฐานะดีนิดหน่อย ต้องมีเงินเป็นล้าน รวยใหญ่"

    ถามท่านว่า "สงคราม จะมาถึงประเทศไทยไหม"

    พระท่านบอกว่า "สงครามของเขา ไม่ถึงประเทศไทย แต่สงครามในประเทศไทย ยังมี"

    ปักษ์ใต้ กรมหลวงชุมพร ขอยืนยัน

    "ใครรักษาทิศใต้ ท้าววิรุฬหก ใช่ไหม"

    กรมหลวงชุมพร บอก "ผมครับ รับหน้าที่ทางทิศใต้"

    ถามว่า "ยันอยู่ไหม"

    ท่านบอก "ยันไม่อยู่ครับ แต่ตียันมาเลเซีย เลยยึดไม่ปล่อย"

    ถาม "ทิศเหนือ ใครรับผิดชอบ"

    ท้าวเวสุวัณ บอก "ผมครับ"

    ถาม "เป็นยังไง"

    ท้าวเวสสุวัณท่านบอก "เชียงตุง ยัน แม่น้ำแยงซีเกียง"

    คุณยกทรง : "สงครามโลกครั้งที่ 3 บ้างก็กลัวจะเกิด บ้างก็อยากให้เกิดไว ๆ ไอ้ที่กลัวจะเกิด คือกลัวจะตาย ไอ้ที่อยากให้เกิดไว ๆ เพราะหลวงพ่อบอกว่าถ้าเกิดเมื่อไหร่ รวยเมื่อนั้น"

    หลวงพ่อ : "ไอ้ที่รวย ไม่ใช่อะไรหรอก สงครามของเรา มันไม่ใหญ่โต ไม่เกิดในส่วนกลาง มันเป็นแต่เพียงชายแดนเล็กๆ น้อยๆ โรงงานอุตสาหกรรม ทำงานสบาย ขายของได้ดี เขารบกัน เราขายของ พวกเกษตรกรรม ก็รวย ข้าราชการก็รวย ชาวนาก็ดี พวกปลูกผักก็ดี มันแพงนี่ ใช่ไหมล่ะ สงครามกลางเมืองเราไม่มี มีแต่พวกเบ่ง ๆ ชายแดนนิหน่อย"

    ที่พระพุทธเจ้า ทรงพยากรณ์ ว่า

    "ยักษ์นอกพระพุทธศาสนา จะรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ยักษ์หินที่ถูกสาป จะลุกขึ้นอาละวาด ( ยักษ์หินที่ถูกสาป คือ พวกทะเลทราย ) ตายไปฝ่ายละครึ่ง จึงเลิกรากัน แต่ว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา จะมีภัยเหมือนกัน แต่ไม่ร้ายแรงนัก"

    ท้าวมหาราช บอกว่า "พระหางหมาก ถ้ามีอยู่กับใคร จะไม่ตายเพราะอาวุธเคมี ถ้าเกิดสงครามนะ"

    ( จากหนังสือธัมมวิโมกข์ ตุลาคม 2558 หน้าที่ 52 - 53)


    1493508688925.gif
    1493508893998.gif




    โรคเงาดำๆ

    ผู้ถาม : ภรรยาของผมเขาเจ็บป่วย ตั้งแต่เป็นสาวจนกระทั่งแต่งงานก็ป่วยต่อ ไอ้ที่ปวยนี้ไม่ใช่ป่วยธรรมดา เพราะป่วยเป็นโรคมีเงาดำๆมาเรียกอยู่เสมอ บางทีก็ทับร่างกาย เหมือนกับอะไรมาคร่อมอย่างนั้นแหละ เคยไปถามที่หลายแห่งแต่แก้ไม่ตก ภรรยาถามเงาดำๆ จะเอาอะไรแกก็ทำเฉย เเต่มีสีหน้าแดง น้ำตาไหล

    จึงอยากเรียนถามหลวงพ่อว่า ลูกจะปฏิบัติธรรมะหรือภาวนาแบบไหน จะแก้ปัญหาในเรื่องนี้ได้ขอรับ ?

    หลวงพ่อ : เอางี้ซิ เอาเทปบวงสรวงไป พอเทปเปิด ก็ตั้งใจนึกถึง

    อันดับแรก ท้าวธตรฐ
    องค์ที่สอง ท้าววิรุฬหก
    องค์ที่สาม ท้าววิรูปักษ์
    องค์ที่สี่ ท้าวเวสสุวัณ

    แล้วตอนขึ้น สัคเค นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นประธาน นึกถึงพรหมเทวดาทั้งหมดขอให้คุ้มครอง ถ้าสิ่งที่ปรากฎเป็นภัยขอให้หายไป ถ้าเป็นมิตรที่ดีมีประโยชน์ขอให้อยู่เท่านั้นนะ


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 173 สิงหาคม 2538 หน้า 88)
    0001 (3).jpg

    พระปัจเจก.jpg

    การสร้างพระปัจเจกพุทธเจ้า

    จริงๆแล้วฉันก็รู้จักท่านมานาน รู้จักไม่ใช่เป็นเพื่อนกันนะ ทำกรรมฐานได้ก็เห็นท่านตลอดเวลา เห็นท่านคู่กับพระพุทธเจ้า กำลังใจก็คิดว่าจะหล่อรูปท่านจะปั้นรูปท่าน ทำยังไง นานแล้ว เวลาไม่มีหาจังหวะไม่ได้ เพราะพระที่มีความสำคัญทำส่งเดชก็ไม่ควร เมื่อวันที่ 29 สิงหาคมในตอนสาย ๆ สัก 2 โมงเช้า ตามปกติถ้าฉันว่างงานนอกฉันก็มีงานใน

    "เอ๊ะ ! เป็นยังไงครับ"

    งานในก็ปวดท้องขี้บ้าง ปวดท้องบ้าง แต่วันนั้นไม่ได้ปวดท้อง ก็เลยได้กำลังใจพอจับอานาปาฯแป๊บเดียว ไม่ถึง 2 นาที ความจริงช่วงว่างอยู่แล้ว ก็เห็นพระ 2 องค์ท่านมา พระ 2 องค์ไม่ต้องบอกว่าใครนะ มาถึงท่านก็ยิ้ม ๆ แล้วองค์ต้นท่านบอกว่า พระพุทธชินราชในวิหาร (100 เมตร) ฉันจะบรรจุกำลังให้เต็มอัตราที่สุดองค์ท่านเองนะ อีกองค์ขอให้เธอหล่อพระปัจเจกพุทธเจ้า ฉันจะบรรจุกำลังให้เต็มที่สุด องค์นี้คือ พระปัจเจกพุทธเจ้า

    แล้วท่านก็พูดต่อไปว่า องค์แรกนี่ปั้นนะใช้ปูน หน้าตักน้อยกว่า 4 ศอกไม่ได้ ต้องมาตรฐานแล้วก็ที่ตรงนั้นก็จะให้มีพระพุทธชินราชขนาดย่อม 30 นิ้ว องค์หนึ่งกับพระปัจเจกพุทธเจ้า 30 นิ้วองค์หนึ่ง เอาไว้ปิดทอง องค์ใหญ่ปิดไม่ได้ แล้วต่อไปพ.ศ. 2533 เธอก็หล่อรูปฉันอีกรูปหนึ่งหน้าตัก 4 ศอก หลังจากการหล่อรูปแล้วก็จะมีญาติโยมถวายทองคำอีก

    ก็ถามท่านว่าจะปั้นรูปอย่างไรถึงจะเหมาะสม ท่านบอก ดูซิ ฉันกับพระพุทธเจ้า แตกต่างกันตรงไหน ภาพนิพพานท่านมาเหมือนกันแต่ว่าจะดูแตกต่างกันนิดเดียว ต้องสังเกตให้มาก คือว่า แสงสว่างจะลดกว่ากันนิดหน่อย แต่ว่าเวลาทำเกศ เกศของพระพุทธเจ้าแหลมๆ ใช่ไหม ท่านบอกให้ทำย้อยๆไปข้างหลังนิดหนึ่ง ให้แตกต่างไปนิดเดียว ให้รู้ว่าองค์นี้คือพระปัจเจกพุทธเจ้า

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 92 ตุลาคม 2531 หน้า 18-19)

    ทำอารมณ์ใจให้เยือกเย็น

    ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าขา ดิฉันอยากจะให้หลวงพ่อแนะนำวิธีทำอารมณ์ใจให้เยือกเย็นหน่อยเถอะเจ้าคะ เพราะขณะนี้เป็นคนเจ้าโทสะเหลือเกินค่ะ


    หลวงพ่อ : ไม่ยาก ๆ ที่บ้านมีตู้เย็นไหม

    ผู้ถาม : ตู้เย็นเหรอครับ มีพัง ๆ

    หลวงพ่อ : ไม่ใช่ เจ้าของปัญหามีหรือเปล่า ถ้ามีนะใช้ลูกโต ๆ เข้าไปนั่งในนั้นมันจะเย็นทั้งกายเย็นทั้งใจ ต่อไปก็เย็นเรื่อย ไม่บ่นไม่ว่าไม่ด่าใคร ตายแหงแก๋..

    การทำใจเย็นที่พระพุทธเจ้าท่าน
    ตรัสว่า การระงับโทสะ ถ้าเป็นโทสจริต ให้ใช้กรรมฐาน 8 อย่าง คือ 1 พรหมวิหาร 4 มี 4 อย่าง


    เมตตา ความรัก
    กรุณา ความสงสาร
    มุทิตา พลอยยินดีเมื่อบุคคลอื่นได้ดี
    อุเบกขา วางเฉย ไม่ซ้ำเติม

    ถ้าพรหมวิหาร 4 คุมใจไม่อยู่ ให้ใช้กสิณ 4 อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือกสิณสีแดง สีเหลือง สีเขียว สีขาวอย่างใดอย่างหนึ่งจับภาพดูหลับตา ลืมตาจำ หลับตานึกถึงภาพ ก็ภาวนา สีแดง ๆ ๆ

    สีเหลือง ก็ สีเหลืองๆๆ ง่ายดี ถ้าเป็นภาษาบาลีแปลแล้วก็เป็นแบบนั้น โลหิตกสิณัง ๆ ๆ


    ผลที่สุดไม่รู้เรื่องอะไรจำเอาไว้ว่าสีแดงไม่ต้องว่าอะไร นึกสีแดงแล้วจับภาพพระให้ทรงตัว ถ้าภาพพระเลือนไปก็ลืมตามาดูใหม่ อย่างนี้ทำสักครั้งละ 5 นาที 10 นาที แล้วจิตจะตกไปเอง ค่อยๆทำค่อยๆ ลดนะ

    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 45 หน้า 86-87)

    เรื่อง..ซื้อรถเหล็กตายแล้วจะมีรถแก้ว

    ชื้อรถเหล็กเวลาตายแล้วจะมีรถแก้วอย่างกับลูกศิษย์รุ่นแรก มี 3 คนนะ ตอนอยู่วัดท่าซุงนี่นะ มีโยมน้อย มีโยมพวง มีโยมเล็ก 3 คน และก็ 3 คนนี่เป็นคนสมัยโน้น สมัยขุนแผน เวลายกทัพไปต้องไปพักที่วัดนั้นก่อน และ 3 คนนี่เป็นหัวหน้าเกณฑ์ชาวบ้าน ชักชวนชาวบ้านเอาปลาบ้าง ผักบ้าง เนื้อบ้าง มาให้กองทัพ

    เพราะอะไรรู้ไหม เพราะที่วัดนั้นชื่อวัดจันทราม มีชื่อเสียงมาก คือว่า หลวงพ่อจัน เป็นพระยาสมัยโน้น เป็นนักรบเก่าและก็ฝึกวิชาทหารให้แก่ชาวบ้านนะ และก็มีผ้ายันต์สีแดงหนังเหนียวมาก ถ้าทหารไปพักที่นั่นท่านจะแจกผ้ายันต์สีแดง พอแจกเสร็จให้แทงกันเดี๋ยวนั้น เอากันทั้งกองทัพ ไม่ว่าใครเป็นใครล่อกันเลย ต้องถอดเสื้อก่อน ไม่อย่างนั้นเสื้อขาด เสีย

    "อ้อ..เสื้อขาดหนังไม่ขาดหรือครับ ?"

    หนังไม่ขาด เสื้อขาดก็เสียเนื้อน่ะซิ เสียดายเสื้อ แล้วต่อมาสมัยนี้แกเกิดทัน แกเกิด
    ก่อนฉันนะ และก็เวลาที่ฉันไปอยู่วัดท่าซุง แกก็ไปเจริญกรรมฐาน ว่างๆเอาผักบ้าง ปลาบ้างเอามาถวาย เอาอาหารมาถวาย ในตอนต้นต้องหุงข้าวกินเองนี่ วัดท่าซุงไม่ใช่เล่น

    "รวยตั้งแต่ตอนไปอยู่ใหม่ๆ นะครับ"

    ใช่ๆ แล้วต่อมาทั้งสามคนเจริญกรรมฐานนี่แหละ โยมน้อยแกเป็นมะเร็งที่ท้องก่อนที่ฉันมากรุงเทพฯ ฉันไปแวะเยี่ยมแกนอนเฉย ถามว่าโยมเจ็บไหม บอกเจ็บมากค่ะ แต่ไม่เคยครางเลย จิตจับฌานเป็นปกตินะ จิตจับพระนิพพาน

    พอฉันมาถึงเป็นคืนที่สองฉันก็รู้แล้วว่าอีกสองวันเธอตาย

    ถามว่า โยมอย่าลืมนิพพานนะ

    ไม่ลืมค่ะๆ เห็นเสมอเห็นปกติ

    ไอ้ที่นิ่งไม่ครางนี่เพราะจิตจับที่นิพพาน อารมณ์เป็นสุข

    พอดีเวลา 2 ทุ่ม ฉันสอนกรรมฐานที่นี่ ทีแรกเริ่ม 2 ทุ่มนะ พอ 2 ทุ่มกว่าๆนิดหนึ่ง เห็นขบวนๆหนึ่ง มีรถแก้วแพรวพราวเป็นระยับ มีขบวนนางฟ้าเทวดาพรหมล้อมรอบ ลอยผ่านหน้า ได้ยินเสียงเรียก หลวงพ่อเจ้าค่ะๆ ขอลาไปนิพพาน

    ไอ้นี่เรื่องของฉันนะ ฉันเลยไม่พูดใช่ไหม ฉันกลับไปถึงวัดโยมพวงเขามาเล่าให้ฟังเป็นเวลาที่โยมพวงเจริญกรรมฐานพอดี ขบวนรถที่ผ่านไปข้างหน้าเห็นชัดหมด แต่ว่าจำได้แต่เสียง ตัวจำไม่ได้ เพราะสวยมาก โยมพวงบอก แหม..ขี่เกวียนสวยเหลือเกิน (หัวเราะ) แต่เกวียนไม่มีม้าเทียม ไม่มีโคเทียม มันเป็นงอนมีเทวดาลาก บอก พวงเอ๊ยๆ น้องเอ๊ย นิพพานนะจ๊ะๆ อย่าลืมนะ

    และก็พอดีมีเด็กสาวๆคนหนึ่งอยู่ตลาดอุทัย ซึ่งไม่เกี่ยวไม่ข้องกันเลย ไม่เคยรู้จักกันเลย คืนนั้นแกนอนฝัน ฝันเห็นขบวนนี่เห็นชัดมาก เล่าเหมือนกันหมด ซึ่งไม่เคยมาที่วัดเลย บอกว่าโยมน้อยนั่งกวียนไป เกวียนสวยมาก แพรวพราวเป็นระยับ มีเทวดามีนางฟ้ามีพระพรหมห้อมล้อมรอบ

    "ลงทุนไม่ท่าไร แหม..ไปราชรถแก้วเลย"

    นี่ชุดนี้ก็เหมือนกัน ชุดนี้ทั้งหมดทำบุญเรื่องรถแล้ว ตายจะมีรถแก้วขี่ทุกคน ฉันขอยืนยัน ถ้าไม่เชื่อฉันตายไปแล้วตามไปต่อว่า

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 181 เมษายน 2539 หน้า 14-15)

    การตั้งอารมณ์ก่อนตาย

    ผู้ถาม : หลวงพ่อคะ ถ้าจิตเราจับพระนิพพานเป็นอารมณ์นี่นะคะ แล้วเวลาจะตายเราจะมีสติไหมคะ...?

    หลวงพ่อ : อ้าว ! ถ้าเราจับเป็นอารมณ์ เวลานั้นมีสตินี่ เพราะเวลานั้นอารมณ์มันสูงจัด การจับพระนิพพานนี่ท่านเรียก "อุปสมานุสสติกรรมฐาน" ถ้าจับเป็นอารมณ์

    ถ้าเวลาเริ่มป่วยเอาจิตจับไว้เลยนะ ที่นี้ในช่วงกลางระหว่างป่วยมันจะดิ้นตูมตามอย่างไรก็ตาม จิตมันจะไม่ปล่อย มีพระอยู่องค์หนึ่งท่านอายุมากแล้ว ท่านใช้อารมณ์แบบนี้นะ แล้วต่อมาท่านเป็นโรคกระเพาะ ท่านดิ้นถึงกับทะลึ่งพรวดๆ ก็เข้าไปหาท่าน พอจับตัวท่านปั๊บท่านก็หยุด พอเผลอหน่อยเดียวเอาอีกแล้ว แล้วก็สักครู่หนึ่งท่านก็หยุดดิ้น ไม่ใช่ดิ้นนะ ถึงกับโดดเลยนะ

    แน่น....ตอนนั้นพอโดดแล้วก็เงียบ เงียบรู้สึกสบาย พอสบายสัก 20 นาที ไม่มีอะไรเลยอาการปกติท่านก็ลืมตาถามว่า "เพลหรือยัง ?"

    แล้วฉันก็มองดูนาฬิกาบอกว่า "ยังเหลืออีก 2 นาที" ก็หลับตาไปอีกทีก็ 5 โมงพอดี นี่ก็หมายความว่า จิตมันมีสภาพจำ เพราะฉะนั้นพระพุทรเจ้าจึงสอนให้จิตจับอยู่จุดใดจุดหนึ่ง จับจุดนั้นแต่อย่างเดียวมันจะไปเฉพาะที่นั่น

    ที่นี้เวลาที่ท่านตายไปแล้วก็ตามท่านก็ตามดูว่าไปจุดไหน อันนี้เป็นพยานได้ พระ 2 องค์ ฆราวาสอีกคนหนึ่ง

    ฆราวาสก็มีสภาพแบบเดียวกัน ตอนต้นมาฝึกกรรมฐานบอกว่า "อย่าสนใจในรูป ให้สนใจนิพพานอย่างเดียว สวรรค์ก็ดี พรหมก็ดี ไม่มีความหมาย..."

    ถ้าเราตั้งใจรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ถ้าบังเอิญตายแล้วไม่ถึงนิพพานมันจะต่อทันทีเพราะอารมณ์เดิมจิตมันไปใช่ไหม จิตมันรัก

    ทีนี้แกก็มีสภาพแบบนั้นอีกประมาณสัก 20 นาที แกจึงสงบ พอสงบประเดี๋ยวยิ้ม ยิ้มสักครู่หนึ่งก็ตาย พอตายก็ตามไปดูที่นั่นละใช่ไหม

    ผู้ถาม : ป่วยแบบไม่รู้สึกตัวนะคะ จิตเขาอยู่ที่ไหนคะ...?

    หลวงพ่อ : ก็อยู่ที่จิต

    ผู้ถาม : ยังอยู่กับร่างกายใช่ไหมคะ ?

    หลวงพ่อ : ถ้าหากว่ามันยังไม่ตายมันยังอยู่

    ผู้ถาม : มันได้รับความรู้สึกไหมคะ ?

    หลวงพ่อ : ไอ้นั่นมันเป็นเรื่องของประสาทความรู้สึกประสาทมันใช้งานไม่ได้ แต่จิตมันใช้งานได้อยู่ ประสาทมันอยู่เหนืออำนาจจิต บังคับประสาทไม่ได้ ก็อย่างที่ดิ้นตูมๆ มันเรื่องของประสาทดิ้น จิตมันไม่ยอมดิ้นด้วย ทีนี้ประเภทที่ป่วยไม่รู้สึกตัว อย่างภาษาหมอเขาเรียก "โคม่า" หรือคนโบราณเขาเรียก "ตรีฑูต" อันนี้จิตมันยังทำงานอยู่

    ผู้ถาม : เวลาพูดกับเขา เขาไม่ได้ยิน

    หลวงพ่อ : ไม่ได้ยินเพราะประสาทไม่ทำงานมันไม่รับเสียง คือประสาทมันใช้งานไม่ได้ แต่จิตมันยังทรงตัว

    ผู้ถาม : แต่จิตก็ยังยึดอารมณ์อยู่

    หลวงพ่อ : ยังอยู่ จิตนี่ไม่ปล่อย พอเริ่มต้นป่วยใหม่ๆ ถ้าจิตยึดอะไรอย่างมั่นคงมันจะยึดตลอด ฉันเคยเห็นมาหลายรายการแล้วนะ

    ผู้ถาม : ที่หลวงพ่อบอก เอกัคคตารมณ์ หมายความว่าอย่างไรคะ ?

    หลวงพ่อ : ที่ท่านเรียกว่า เอกัคคตารมณ์ คือ อารมณ์อันเดียว คือทำอารมณ์ที่เป็นกุศลให้มันเป็นอย่างเดียวโดยเฉพาะที่เราเรียกว่า "เอกัคคตารมณ์"

    และจิตมันมีสภาพจำ เราจะสังเกตได้จุดหนึ่ง ถ้าว่าเราเคยเจริญสมาธิจิต แต่ว่าไม่เคยฝึกกรรมฐานโดยตรง ถ้าจิตมั้นมีอารมณ์โปร่งสบาย บางทีภาพเดิมมันขึ้นมา นี่ละจิตมันมีสภาพจำ

    ฉะนั้น ถ้าหากว่าเราให้มันจำในของกุศลมันก็จำตลอด บางขณะเราอาจจะพูดไม่ดีกับเพื่อนบ้าง ไม่พอใจเพื่อนบ้าง ท่านบอกว่าก็ช่างมัน คือถืออารมณ์เดิม เช้าน่ะตั้งอารมณ์ให้ดี เพราะช่วงนั้นจิตมันสะอาด ตื่นมาตอนเช้า

    1. ได้พักผ่อนดีแล้ว

    2. อารมณ์สบาย ก็ให้ตั้งอารมณ์ไว้ฉพาะกิจ มันจะจำตลอดวัน ถ้าตูมตามขึ้นมามันก็ไปจุดนั้นเลย

    ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้เราใช้อนุสสติ ซึ่งมี 10 แต่ 10 นี้ ความหมายก็ดีทั้งหมด แต่ที่ดีจริงๆ ก็คือ อุปสมานุสสติ คือนึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ แต่เราอย่าลืมนะว่า คนที่จะนึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์จริงๆ คนประเภทนี้จะต้องมีนิสัยเป็นพุทธจริต

    พุทธจริตนี่เขาเป็นคนฉลาด ถ้าคนไม่ฉลาดก็ไม่เอาสอนเท่าไรก็ไม่เอา แม้แต่อยู่กับพระพุทธเจ้าก็ยังไม่เอาเลย "นิพพานัง" หรือ"นิพพานะ สุขัง" ก็ว่ามันไป

    ตอนเช้ามืดไม่ต้องภาวนาก็ได้ตั้งจิตไปเลย นึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระธรรม นึกถึงพระอริยสงฆ์ พรหมและเทวดาทั้งหมด ตลอดจนท่านผู้มีคุณ ขอจงเป็นพยานแก่ข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำมาแล้วทั้งหมด หรือจะทำในกาลข้างหน้าก็ตาม ไม่ต้องการอย่างอื่น ต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน จิตจับพระนิพพานเป็นอารมณ์เพียงเท่านี้แหละ..

    ตอนที่ภาวนา เราจะภาวนาว่าอะไรก็ได้ที่เราคล่องตัวใช่ไหม ง่ายไหมล่ะ ไอ้ที่ว่าง่ายน่ะ ฉันไม่ได้สร้างขึ้นมาเองนะ ในพระสูตรจากพระไตรปิฎกมีเยอะ

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 198 กันยายน 2540 หน้า 98-99)

    พระศุกร์เล็งพระเสาร์


    ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าคะ ปีนี้โหรเขาทำนายว่าพระศุกร์เล็งพระเสาร์ ว่าจะไม่ดีต่างๆนานา หนูจะใช้คาถาเงินล้านที่แจกใหม่ฉบับล่าสุดไปภาวนาจะแก้ได้หรือเปล่าเจ้าคะ

    หลวงพ่อ : ที่จะแก้นี่นะมันจะผิดกฎหมาย ถ้าแก้ให้เขาแก้กันในห้อง

    อย่างนี้ไม่ถือว่าแก้ เราทำตามกำลังเราให้สูงขึ้นไม่ถือว่าแก้นะ แต่กำลังเราสูงขึ้น เขาจะลงโทษได้มาก อันนี้เมื่อกี้นี้คุยกับพระอยู่

    ผู้ถาม : เป็นอย่างไรบ้างหลวงพ่อ ?

    หลวงพ่อ : เรื่องภัยการแทรกของฐานะของมันทั่วโลกใช่ไหม ถ้าเป็นพิธีนะท่านองค์แรกก็คือพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันต้องพบท่าน ก่อนนี้กับพระปัจเจกพุทธเจ้า คุยกับท่านอยู่พักแล้วขยับตัวออกไป ถ้าพบท่านประเดี๋ยวองค์ปฐมก็มาและพระพุทธกัสสปก็มา สมเด็จพระพุทธทีปังกรก็มา

    คุยไปคุยมาถามถึงความเป็นมาของคาถาต่างๆ องค์ปฐมท่านบอกว่าเรื่องลาภนะสมเด็จพระพุทธกัสสปหนักที่สุด และรองลงมาคลัายคลึงกันก็คือสมเด็จพระพุทธทีปังกร

    ก็เลยถามท่านว่าพระพุทธเจ้าทรงมีบารมีเต็มเหมือนกันทำไมแตกต่างกันเรื่องลาภ ท่านบอกว่าสุดแล้วแต่การเริ่มตันคู่อันไหนแรงกว่ากัน คู่การให้ทานมากกว่ากัน อย่าลืมว่าสมเด็จองค์ปฐมก็ดี องค์พระพุทธทีปังกรก็ดี พระพุทธกัสสปก็ดี องค์ปัจจุบันก็ดี ปูให้พวกนี้ทั้งนั้นแหละ

    นี่คาถาบทนี้ละท่านคุมนะ ท่านชี้เลยพระพุทธกัสสปคุม ที่ให้ทั้งหมดนี่แหละ ท่านบอกเลยที่ให้พระพุทธกัสสปคุมเพราะว่าลาภท่านมาก เวลาว่าเรามีความมั่นคงจริงและทำเป็นสมาธิ ภาวนาไว้สม่ำเสมอให้จิตเป็นจริงนะ จะไม่เดือดร้อนตามที่เราคิด เราสบายใจได้

    ผู้ถาม : ไม่ต้องไปเห็นพระเสาร์พระศุกร์อะไรนะครับ

    หลวงพ่อ : อันนี้ เดี๋ยวๆ พระศุกร์เล็งพระเสาร์หรือพระเสาร์เล็งพระศุกร์ ถ้าพระศุกร์เล็งพระเสาร์ก็เบาหน่อย ถ้าพระเสาร์เล็งพระศุกร์ก็หนักหน่อย เดี๋ยวเสาลัมทับเข้า

    อันนี้ไม่เป็นไรนะ อันนี้ท่านให้เพื่อหาทางหลีกอยู่แล้ว กฎของกรรมประเภทนี้เราหลีกไม่ได้กัน ทำกำลังใจให้สูงขึ้น

    เมื่อกี้นี้พูดกัน ท่านบอกว่าเรื่องนี้ต้องมอบเป็นภาระของสมเด็จพระพุทธกัสสป ท่านหนักในลาภ แล้วองค์ปฐมท่านก็บอกว่าสมเด็จพระพุทธทีปังกรนี่องค์หนึ่ง ท่านเรียกมามานั่งคุยกัน แต่ว่าลีลาต่างกันนิดหนึ่ง

    สมเด็จพระพุทธทีปังกรมีกำลังแข็งมากสู้แรงมาก พระพุทธกัสสปท่านนิ่มนวลในลาภมหาศาล แต่ลาภมหาศาลทั้งคู่ ท่านก็เลยบอกว่าให้เป็นหน้าที่ของทั้ง 2 องค์

    ผู้ถาม : หลวงพ่อพิมพ์แจกช้าไปซะหน่อย ถ้าแจกซะแต่เนิ่นๆ ป่านนี้ลูกหลานก็คงรวย

    หลวงพ่อ : เวลานี้ยังดีอยู่นะ ไอ้คนที่อิ่มอยู่ หุงข้าวหรือขนมไม่มีความหมาย อันนี้พิมพ์แจกช้าไป ถ้าหากว่าท่านไม่อนุมัติไม่มีทางจะรู้กันได้เลยนะ ก็ต้องไปขอบคุณท่านย่ากับท่านแม่ศรีขออนุญาตท่าน ถ้าท่านย่ากับท่านแม่ศรีไม่ขออนุญาตไม่มีทางเลย


    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 6 ฉบับที่ 58 หน้า 58-59)


    เทวดาวัดท่าซุง

    เคยถามหลวงพ่อว่า หลวงพ่อครับหลวงพ่อน่าจะเขียนเรื่องเทวดาที่วัดท่าซุงบ้างผีตรงนั้นตรงนี้บ้าง หลวงพ่อบอกเขียนไม่ได้เดี๋ยวคนมาวัดมันกลัวกัน

    จะเล่าให้ฟัง มีอยู่คราวหนึ่งเขาเขียนจดหมายไปบอกว่า พระสังฆาธิการที่ประชุมในกรุงเทพฯจะไปพักวัดท่าซุง 180 องค์ 1 คืน หลวงพี่อยู่เวรครัวพอดีเลยพระตั้ง180 องค์ ก็ต้องเลี้ยงมาก โอ้โฮ...ก็เลยสั่งขนมถั่วดำต้มน้ำตาลเป็นถังเลย ซื้อไก่มาหมักไว้ แม่ครัวทำอย่างหนัก ที่แท้ไปสัก 50 องค์ได้ เราก็สงสัยเป็นยังไง

    หัวหน้าพิธีกรบอก หลวงพี่ฆราวาสยังมาวัดง่าย พระดึงมายากจริงๆ เราก็จัดให้พักห้องแถวหลังพระพินิจพระอยู่กันเป็นตับ ห้องมันเดินถึงกันตลอด หัวกะทิมาทั้งนั้นนี่ พอตกกลางคืนก็ตั้งวงคุยกัน

    ตื่นแต่เช้าเราก็จัดเลี้ยงอาหาร พระองค์หนึ่งมาถามว่าท่านๆครับ ผีดุหรือเปล่าครับ หลวงพี่บอกว่าถ้าทำไม่ดีก็ดุเหมือนกัน ทีนี้เราก็ไม่รู้เรื่องอะไร ท่านก็บอกว่าเมื่อคืนครับ แหม..คุยกันประมาณสัก 5 ทุ่มได้ มาเขย่าประตู ปึง ปึง ปึง พระอีกองค์ก็บอกว่า เอ๊ะ.. เจ้าของที่เขาจะให้นอนมั้ง แต่เอ๊ะ.... เรามาพักคงไม่เป็นไรนอนคุยกันไปเถอะ ก็คุยต่อ เที่ยงคืนก็ยังไม่หลับ น้ำลายคงจะแตกคอแล้วล่ะ ได้ยินเสียงถีบประตูเปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง ถีบเลยนะ เท่านี้เองพระก็พระเถอะ เจ้าอาวาสก็เจ้าอาวาสเถอะรวมกันเหมือนกัน

    ก็เลยไปเล่าให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อบอก ตัวร้ายมันมีอยู่ ท่านก็เลยจัดการ

    เทวดาที่วัดดุเหมือนกัน ท่านบอก ตั้ง 1 พันองค์นี่มีท่านท้าวเวหนป็นหัวหน้า มีบางครั้งหมาจะหอนเป็นช่วง ๆ หลวงพ่อบอกว่าไม่ต้องกลัว เทวดาเปลี่ยนเวร ที่ประชุมของท่านอยู่ตรงตันโพธิ์ตรงข้างหอพักนักเรียนหญิง

    มีอยู่คราวหนึ่งหลวงพ่อมากรุงเทพฯ ตรงตึกเสริมศรีติดชายน้ำ ได้ยินเสียงหมาร้องในตึกเสริมศรี เหมือนกับหมาติดอยู่ในห้องเสียงโหยหวลไปหมด พระกำลังฉันข้าว ฉันตรงหน้าตึกเสริมศรี เข้าไปดูก็ไม่มีหรอก ประตูก็เข้าทางเดียว ออกทางเดียว

    พอหลวงพ่อกลับก็เล่าให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อบอก หมาเหมออะไร เปรตมันมาร้อง บอกว่า พระนี่จะติดในสุขกันเกินไป จึงมาเตือนพระ มาเตือนสติพระ มันจะติดในรสอาหารเกินไป เสียวสันหลังเหมือนกัน

    อันที่จริงวัดเรานี่พูดไม่ให้กลัวนะ เทวดาแรงเหมือนกัน ถ้าร้ายจริงๆท่านก็จัดการขับเอง

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 147 พฤษภาคม 2536 หน้า 88-89)


    อนาคตวัดท่าซุง

    หลวงพ่อบอกว่า วัดเราจะโทรมอีกครั้งอีก 180 ปี แล้วจะมีคนมาบูรณะใหญ่อีกครั้งหนึ่ง จะมีพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ อายุ 27 ปี พร้อมด้วยพระเจ้าธรรมิกราชมาช่วยกันบูรณะ

    ที่หลวงพ่อพูดนี่ตอนงานฝังลูกนิมิตวัดท่าซุง ปี 2520 ตอนนั้นหลวงพ่ออยู่ในโบสถ์ กำลังจะกลบลูกนิมิตลูกสุดท้าย วันนั้นหลวงพ่อเข้าโบสถ์ หลวงพี่เป็นพระเด็กก็กลัว ไม่กล้าเข้าไป ก็มีพวกผู้ใหญ่และดร.ปริญญาเข้าไป ท่านได้บรรจุแผ่นทองคำและมีข้อความจารึกในแผ่นทองคำ เดี๋ยวจะให้ด็อกเตอร์อ่านให้ฟัง

    จารึกไว้ว่าอย่างนี้นะครับ

    "เรา พระมหาวีระ มีพระราชานามว่า ภูมิพล เป็นผู้อุปถัมภ์ร่วมด้วยพุทธศาสนิกชนเป็นส่วนใหญ่ สร้างวัดนี้เป็นพุทธบูชา

    เมื่อศักราชล่วงไปแล้ว 2,700 ปีปลาย จะมีพระเจ้าธรรมมิกราชนามว่าสิริธรรมราชา สืบเชื้อสายมาจากเชียงแสนและสุโขทัย ร่วมกับพระอรหันต์มาสืบพระศาสนาวัดนี้ต่อไป

    คณะของเราขอโมทนาแต่อยู่ช่วยไม่ได้ เพราะไปนิพพานหมดแล้ว"

    วันนั้นหลวงพ่อพูดจบ คนร้องไห้กันเยอะเลย เพราะว่าสร้างกันมาด้วยความทุกข์ด้วยความเหนื่อยยากจริงๆ ขนาดจะตัดลูกนิมิตอยู่แล้ว มารยังมาผจญเลย

    ใครจะอยู่ช่วยบูรณะก็อยู่นะ

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 148 มิถุนายน 2536 หน้า 98)

    ยอดพระไตรปิฎก

    "การสวดมนต์ยอดพระไตรปิฎก ถ้าสวดทุกวันจะเป็นยังไงคะ...?"

    ตาย

    "อานิสงส์เป็นยังไงคะ"

    อานิสงส์ก็ดี ดี สวดได้ก็ดี ไอ้ยอดพระไตรปิฎกนี่มันอยู่ไหนหนอ... ยอดพระไตรปิฎกจริงๆ มันสวดไม่มากหรอก

    อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ เท่านี้

    "ต้องหมดสิคะ"

    เฮ้ย...ไอ้นั่นโคนพระไตรปิฎก ยอดพระไตรปิฎกเราต้องดูอย่างนี้ซิ ตอนวันที่พระพุทธเจ้าจะนิพพาน ใช่ไหม วันนั้นพระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า

    "อานันทะ ดูก่อน อานนท์ พระธรรมวินัยที่ตถาคตสอนมาสิ้นเวลา 45 ปี ย่อมรวมอยู่ในความไม่ประมาท"

    จึงตรัสว่า "อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ แปลว่า ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม"

    นี่ยอดพระไตรปิฎกแล้ว ยอดมันก็ต้องเล็กนิดเดียว โตเบ้อเริ่มเป็นยอดได้ไง ไอ้ที่เขาบอกว่ายอด ฉันไปดูแล้วมันโคนพระไตรปิฎก

    เอ้า...จริง ๆ ท่านบอกว่า คำสอนทั้งหมดรวมอยู่ในคำว่าไม่ประมาทคำเดียว ใช่ไหม พออ่านๆดูแล้วไม่รู้ว่าเป็นยอดแบบไหน ที่เขาพิมพ์ขายน่ะ ไม่รู้แกไปคัดเอาอะไรมาบ้าง

    "ที่วัดหนูก็มียอดพระไตรปิฎก"

    มีโคนพระไตรปิฎก ก็บอกแล้วยอดมันมีแค่ อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ นี่ยอด คือรวมหมด ท่านตรัสวันนิพพาน คือว่าคำสอนทั้งหมดรวมอยู่ในคำนี้คำเดียว นี่ยอด ใช่ไหม

    นี่ฉันมันมีความเห็นไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านเขา เพราะอะไร เพราะฉันถือเอากฎความเป็นจริงมาใช้เท่านั้น แต่ที่เขาบอกยอดพระไตรปิฎก ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงเรียกยอดพระไตรปิฎก ยอดมันต้องเล็กใช่ไหม ยอดต้องจิดจิ๋ว ยอดใหญ่มันต้องโคน เดี๋ยวหล่นหักมา

    เราไม่ประมาท คือ 1. ไม่ประมาทในชีวิต เราคิดว่าชีวิตนี้มันไม่สามารถจะทรงตัวต่อไปได้ มันต้องตาย

    ไม่ประมาทที่จิตเราจะไปคิดจับในขันธ์ 5 ว่ามันเป็นเราเป็นของเรา ใช่ไหม นี่เราไม่ประมาทเราคิดว่าร่างกายเป็นเราเป็นของเรา ไม่ช้าก็เจ๊ง เดี๋ยวมันก็พัง ถ้ามันเป็นเราเป็นของเราจริง มันก็ต้องไม่ตาย ถ้าเราต้องการขันธ์ 5 แบบนี้ มันก็มีแต่ความทุกข์ มันหาความสุขไม่ได้ ก็แค่นั้น จบ

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 149 กรกฏาคม 2536 หน้า 16)


    แนะนำให้ภาวนาก่อนตาย

    ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าขา คนที่ใกล้จะตายมีหลายคน ควรจะแนะนำให้วางอารมณ์แบบจับนิมิตแบบใด จึงจะเหมาะสมและเข้านิพพานได้ดีเจ้าคะ ?

    หลวงพ่อ : ถ้าคนป่วย ถ้าป่วยมากมีทุกขเวทนามากไม่ควรแนะนำอย่างอื่น ควรแนะนำสั้นๆ ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าหรืออย่างใดอย่างหนึ่งดีกว่านะ

    ถ้าไปแนะนำยาวๆ จะเกิดอาการกลุ้ม กลุ้มแทนที่จะไปนิพพาานก็จะดันไปนรกไป ถ้าเราต้องการให้เขาไปนิพพานมันก็ยากอยู่นะ ให้นึกภาวนาว่า "นิพพานสุขขัง"

    บอกสั้นๆ อย่าบอกยาวนะ ถ้าคิดว่าป้องกันไม่ให้ลงนรกให้ภาวนา "พุทโธ" ถ้าเขาภาวนาไม่ไหว ให้นึกถึงพระพุทรรูปองค์หนึ่งองค์ใดก็ได้ นึกถึงพระไว้ นึกถึงพระสงฆ์ก็ได้ อย่างนี้ใช้ได้ อย่าไปแนะนำยาวๆ

    คือว่าเวลานั้นทุกขเวทนามากจะกลุ้ม แนะนำให้ดีนะ ถ้าแนะไม่ดีจะลงนรกไป ดีไม่ดีจิตใจเขาดีอยู่แล้วเราพูดมากไป เขากลุ้มจะลงนรกไป

    ผู้ถาม : ก็ต้องดูตาม้าตาเรือ

    หลวงพ่อ : ดูตาคน ถ้าตาลอยๆ ตาปรือๆ อย่าไปพูดมาก

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 160 มิถุนายน 2537 หน้า 63)


    สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน


    "ลูกสวดมนต์ไม่ค่อยได้ ได้แต่นั่งภาวนา"

    ภาษิตพระอรหันต์องค์หนึ่งท่านพูดไว้ เวลาที่ฉันไปหาท่าน ท่านบอกว่าไอ้สวดมนต์น่ะเป็นยาทานะลูกนะ ภาวนาเป็นยากิน

    สวดมนต์ท่านบอกว่าเป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน การสวดมนต์ไม่ต้องสวดมากหรอก ว่า นะโม พุทธัง ธัมมัง สังฆัง เสร็จ อิติปิโส จบใช้ได้เลย ต่อไปเริ่มภาวนาเลย แค่นั้นพอแล้ว

    "สวดจนเหนื่อยบางทีไม่มีเสียงจะสวด"

    ก็ล่อกันเต็มที่

    "ภาวนาพุทโธ นั่งทำวัตรกับเขาด้วย"

    ใช่ๆ เราสวดไม่ได้เราก็ภาวนาไปเลย แล้วก็ถือเสียงสวดนั้นแหละเป็นสรณะไปเลย ถือว่าเสียงสวดมนต์ เราสวดไม่ได้ใช่ไหม ถ้าภาวนาเราจับเสียงสวดนั่นแหละ จับเอาจิตคล้อยตามไปเลย ถือเป็นสมาธิในนั้นเหมือนกัน

    เมื่อฉันเด็กๆ คนแก่สวดมนต์ไม่อยากให้จบ ชอบใจอยู่บท แต่ว่าไม่เหมือนแก แต่เมื่อเด็กๆว่าได้ อะไรนะ อิมัสสมิง มงคลจักรวาฬทั้งแปดทิศ (หัวเราะ) แล้วก็ว่าพร้อมฟังเพราะจริงๆ ไม่มีเครื่องบันทึกเสียงสมัยนั้น โยมเสงี่ยมแกยังว่าได้เลย

    "ที่หลวงพ่อบอกว่าสวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน ยังงั้นก็ไม่ต้องสวดมนต์เลยได้ไหมครับ...?"

    สวดมนต์ก็เป็นสรณะอันหนึ่ง การสวดมนต์นี่จิตเข้าถึงอุปจารสมาธิ เป็นเทวดาชั้นยามา ท่านกล่าวสวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน หมายความว่าสวดไม่ต้องมากนัก อิติปิ โส บทเดียวนั่นคุ้มแล้ว

    ห้องต้นสรรเสริฐคุณพระพุทธเจ้า ใช่ไหม ห้องกลางสรรเสริญคุณพระธรรม ห้องท้ายสรรเสริญคุณพระสงฆ์ หมดแค่นี้ ไอ้ว่าบทอื่นว่าไปก็ไปสรรเสริญ 3 อย่างนี่ ฉันเลยไม่เอาเปลือกเอาเนื้ออย่างเดียว ใช่ไหม แต่เดี๋ยวนี้สวดไม่ได้ พอเริ่มจะสวดเปิดเลย พอเริ่มจะสวดปุ๊บไปแล้ว พอเริ่มจะสวดหยุกกึ๊กแล้ว มันชิน

    ถ้าจะสวดให้ได้ทำไง ต้องเริ่มปล่อยให้ใจไปตั้งอยู่สักพักหนึ่งก่อน แล้วถอยหลังมาให้กำลังมันทรงตัวแล้วถอยหลังมานิด ก็ว่า แต่พอว่าไปก็อีกนั่นแหล่ะ ถ้าว่าถึงบทพุทธคุณ พอถึงอิติปิโส ท่านก็มาแล้ว แจ๋ว

    พอถึงสวากขาโต พระธรรม ธัมมานุสสตินี่ นิมิตเป็นดอกมะลิแก้ว เป็นดอกมะลิแก้วใส ไหลจากพระโอษฐ์ หลวงพ่อปานท่านเคยสอนยังงั้น แล้วเป็นยังงั้นจริงๆ พอขึ้นสวากขาโต เป็นดอกมะลิแก้วไหลลงหัว พอขึ้นสุปฏิปันโน พระอริยะมาเต็มพรึ่บ

    ต้องพยายาม ต้องไม่ปล่อยจิตให้มันลึกเกินไป ต้องพยายามดึงไว้แค่อุปจารสมาธิ พอจบเข้าไปเลย ออก พอสวดจบก็พึ้บออกไปแล้ว ไปหาท่าน นั่งคุยตามสบายๆ

    แต่ว่าวิธีการแบบประเภทฉับพลันรีบร้อนนี่ นึกพั้บให้อารมณ์จับทันทีนี่ ต้องฝึกให้คล่อง อย่าไปห่วงว่าภาวนานานดี จิตเข้าถึงฌานเร็วน่ะดี

    การฝึกเข้าฌานนี่เขาต้องฝึกให้ไม่เสียเวลาแม้แต่ 1 วินาที เริ่มจับพั้บนี่ต้องเริ่มไม่สนใจกับลมหายใจเข้าออกเลย ต้องฝึกตัวนี้ เริ่มพั้บจับอารมณ์จับภาพพระเลย ไม่สนใจกับลมหายใจเลย อันนี้ทำบ่อย ๆ จับพั้บเป็นฌาน 4 ทันที

    ไอ้ที่เราต้องเลี้ยงลมหายใจเพราะว่าจิตกำลังมันยังอ่อนอยู่ ใช่ไหม ต้องเลี้ยงลมหายใจให้จิตมันทรงตัว อันนี้ก็จำเป็นเหมือนกัน ก็ต้องฝึกอยู่ 2 อย่าง คือจับลมหายใจไว้ให้จิตมันทรงตัว กับ ไม่สนใจกับลมหายใจเลย

    ถ้าพอไม่สนใจกับลมหายใจเลย มันคล่องตัวแล้วไม่ต้องสนใจจับมันเลย มันจับพั้บให้ได้เลย จับพั้บให้ได้เลย พอจับพั้บอารมณ์เป็นฌาน 4 ทันที ก็เป็น 2 แบบ

    คือว่าถ้าอารมณ์ใจยังอ่อนก็ต้องคุมอารมณ์หายใจ แต่ว่าลมหายใจนี่ถ้าเราคุมไปๆ พอถึงฌาน 4 นี่มันจะไม่รู้สึกว่าเราหายใจ นี่การฝึกไม่สนใจกับลมหายใจมันฝึกตั้งฌาน 4 ทันทีนะ จับตัวปลาย เราลองซ้อมดู

    มันไปไม่ไหวก็มาจับลมหายใจ จับไปจับมาพั้บฉันไม่สนใจลมหายใจ จับภาพพระพุทธเจ้า ก็เราเห็นแล้วใช่ไหม จับตรงนี้เราไม่สนใจกับลมหายใจ และประเดี๋ยวมันจะตก ตกลงมาจับลมหายใจก็ช่างมัน จิตก็จับภาพพระพุทธรูปไว้ ภาพพระพุทธเจ้าอย่าให้เคลื่อน พอสบายดีฉันไม่สนใจแกอีก เล่นขึ้นๆล่องๆแบบนี้ ไม่ช้าอารมณ์จิตมันจะชิน

    พอจับพั้บไม่สนใจกับลมหายใจเลย ไอ้นั่นน่ะพอจับพั้บทีไรเป็นฌาน 4 ทุกที ตัวนี้แหละเราต้องการ ถ้าจิตเป็นแบบนั้น กำลังจิตมันก็เข้มข้นมันตัดกิเลสง่าย ฌาน 4 มันตัดกิเลสได้อย่างง่าย

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 149 กรกฏาคม 2536 หน้า 14-16)


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มีนาคม 2021

แชร์หน้านี้

Loading...