เรื่องเด่น รวมหลวงพ่อตอบปัญหา/จากคำบอกเล่า

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 21 กรกฎาคม 2012.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    พระราชชีวประวัติของท่านแม่จามเทวี แห่งนครหริภุญชัย(ต่อ)


    (จากธัมมวิโมกข์ กันยายน 2540 หน้า 107 - 117)

    จิตวิญญาณมาจากไหน

    "คือมีคนสังสัยนะคะว่า คนเรานี่มีจิต
    มีดวงวิญญาณใช่ไหมคะ แล้วสัตว์นี่มีจิตมีดวงวิญญาณหรือเปล่าคะ ?"

    ต้องไปถามสัตว์ดู (หัวเราะ)

    "เคยได้ยินมาว่าถ้าหากว่าเราทำความชั่ว
    จะลงนรก ทำไมถึงลงล่ะคะ แล้วจะต้องไป
    เกิดเป็นสัตว์หรืออะไรสักอย่างหนึ่งนะคะ แล้วทีนี้ถ้าเผื่อว่าความจริงอันนี้นะคะ ในสภาพที่
    เราเป็นสัตว์นี่ จิตวิญญาณเราจะอยู่ที่ไหนคะ หนูอยากจะทราบอันนี้ค่ะ ?"

    อันนี้คุณจะต้องทำตัวให้เป็นสัตว์ชะก่อน จะได้หมดสงสัย (หัวเราะ) ไม่งั้นพูดไปไม่จบหรอก ทำได้ไหม วิชานี้เขาสอนกันอยู่แล้วนี่

    เมื่อวานนนี้เขาฝึกกันได้อยู่ 12 คน คุณก็ทำจิตเหมือนเขาสิจะได้เข้าใจขึ้น ถ้าพูดกันแบบนี้เถียงกันหลายปีก็ไม่จบ ต้องทำให้เป็น ใช่ไหม


    จิตของคน ไอ้จิตนี่มันไปเข้าอะไรมัน
    ก็เป็นอย่างนั้น จิตนี่มันมาเข้าร่างของคนมันก็เป็นคน ถ้าไปเข้าร่างของสัตว์มันก็เป็นสัตว์ คือสัตว์กับคนก็จิตอันเดียวกัน คนก็ไปเกิดเป็นสัตว์ใช่ไหม

    สัตว์นี่ก็ถือว่าเป็นประเภทที่อยู่ในอบายภูมิ
    ในอบายภูมินี่มันมีทุกข์ ไอ้สัตว์นี่ถ้าเราจะมีความเมตตาปรานีกับมันอย่างไรก็ตามมันก็ลำบาก เราจะอ้างไอ้สัตว์ตัวนี้มันชอบเนื้อ ต้องซื้อเฉพาะเนื้อดิบ แต่ความจริงสัตว์มันก็ชอบอย่างอื่นบ้างมันก็บอกไม่ได้

    ไอ้เราก็นึกว่ามันชอบ ทั้งๆที่มันก็เบื่อแสนเบื่อ มันไม่มีอะไรจะกินของมัน มันมีความปรารถนาไม่สมหวังใช่ไหม ถ้าเขาบอกอย่างนี้คุณไม่แน่ใจ คุณก็ลองเป็นดูนะ


    "แล้วอีกอย่างหนึ่งนะคะ คืออยากทราบ
    ว่า แต่ก่อนนี้ผู้คนก็ยังน้อยอยู่นะคะ เดี๋ยวนี้ทำไมผู้คนถึงเยอะแยะ อยากทราบว่าจิตวิญญาณมาจากไหน ?"

    เดี๋ยวก่อน ! ฉันอยากจะถามว่า ปลาทู
    มันตายวันละกี่ตัว นับได้หรือเปล่า ถ้ามันมาเกิดทั้งหมด มันอยู่ในท้องกี่ตัว สัตว์ทั้งหมดนี่เป็นคนทั้งนั้นเลย ที่ทำความชั่วเพราะกรรม
    มันมาสนอง ถ้าเขาหมดกรรมเขาก็มาเกิด ถ้าไม่เชื่อก็ไปถามปลา ถามมดดูชิ

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 290 พฤษภาคม 2548 หน้า 23)


    เรื่อง คุณนายอ๋อย ภรรยาท่านเจ้ากรมเสริม

    แต่ก่อนนี้คุณนายอ๋อยเมียท่านเจ้ากรมนี่
    เจ้าของบ้านนี้นะ ป่วยเป็นมะเร็งที่เต้านม ตัดไป
    ข้างหนึ่ง พอหลังจากนั้นมันเป็นอีกมันลามมาอีกข้างหนึ่ง ทีนี้หลวงพ่อก็ทำพิธีกรรมใหญ่เลยที่ตึกเสริมศรี นิมนต์พระมาสวด แล้วก็ทำน้ำมนต์ทำ สมาธิพรม พอสวดเสร็จก็ทำน้ำมนต์ อ๋อยเหรอนางมณโฑ ต่อไปนี้ก็จะหมดทุกข์จากวัฏฎะแล้วนะ ไม่มีทุกข์แล้วนะจากวัฏฎะ

    พอพูดอย่างนี้ก็
    โอ้โห ไม่ว่าใครก็ดีใจ คือหมดทุกข์จากวัฏฎะแล้วนี่จะหาย พออยู่ไปอยู่มาตายไปเลย นี่หลวงพ่อพูดถูกหรือผิดล่ะ ไอ้เราก็ว่าหมดทุกข์จากวัฏฎะแล้ว หมดทุกข์แล้ว คนก็อยากจะหายอยู่แล้วใช่ไหม ก็ตีปีกกันสิที่นี้ (หัวเราะ) หลวงพ่อพูดอะไรไม่มีผิด
    นี่ หมดทุกข์จากวัฏฎะแล้วนะ ทำไปทำมาตายไปเลย เอ..หลวงพ่อว่าจะหายจะหมดทุกข์ทำไมถึงตายวะเนี่ย เราก็มาวิเคราะห์กัน วิเคราะห์วิจารณ์ อ้อ หมดทุกข์จากวัฏฎะ มันก็ไปนิพพานแล้วสิ หมดทุกข์จากวัฏฏะ (หัวเราะ)

    ไอ้มันจะหายก็ยัง
    มีทุกข์จากวัฏฏะอยู่ ยังวนเวียนเกิดอยู่ใช่ไหม หมดทุกข์จากวัฏฏะนี่บอกตรงๆเลยว่าต้องตายแน่ (หัวเราะ) ไอ้เราก็จ้องจะให้หาย ที่ไหนได้ หลวงพ่อท่านพูดแบเบอร์อยู่แล้ว

    ก็เจอคนมานักนะ ยังไม่เหมือนคุณอ๋อย
    แกใช้คนได้หมด ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย ใช้ไม่มีช้ำ
    จะเรียกคนมาด่านี่เรียกมาเฉยๆ ว่าเออไอ้หนู ไอ้น้องมานี่ๆ พี่ว่าทำอย่างนี้นะ ทำอย่างนี้จะดีลูก อย่างนั้นอย่างนี้ คนฟังหง๊อง (หัวเราะ)

    โยมน้อย
    นี่น่ะ แกยังอยู่นี่ คุณน้อยมานี่ๆ (หัวเราะ) เอ้อแล้วใครปราบแกได้ที่ไหนล่ะ โยมน้อยน่ะ เอ้อ นี่ก็เห็นคนมานักต่อนัก แกใช้คนตั้งแต่ผู้ใหญ่ลงมาเลย ผู้ใหญ่กว่าแกๆ ก็...อย่างหม่อมเจ้าหญิงวิภาวดี นี่ก็เข้ากันได้ ทำงานกันดี ทำงานกันได้

    เอ้อ เป็นคนพิเศษ ยังมองไม่เห็นตัวที่แทนตรงนี้
    นะ ใจกว้าง โอบอ้อมอารี เมตตานำอยู่เลย หมดเลย เมตตาเราจะสัมผัสได้ ถึงแม้ว่าจะดุเรานี่ เราจะรู้ว่าจิตคนนี้เป็นยังไง สัมผัสได้นี่ กำลังใจของคนนี่ หายากจริงๆ จัดงานตัดลูกนิมิตนี่เเกเป็นโต้โผใหญ่เลย

    (หลวงพี่พระครูปลัดอนันต์ปรารภถึงครอบ
    ครัวคุณนายอ่อยดังต่อไปนี้)

    หลวงพ่อมรณภาพใหม่ๆ ไอ้เราก็เด็กกัน
    ทั้งนั้นใช่ไหม เป็นพระเด็กๆกันทั้งนั้น ที่นี่เราก็
    เกรงใจเขา เพราะว่าท่านเคารพหลวงพ่อนี่ เราจะถือวิสาสะมันก็ไม่งามใช่ไหม พอหลวงพ่อมรณภาพปุ๊บ ท่านเจ้ากรมส่งลูกชายที่เป็นกัปตันน่ะ คุณหน่อยคุณหน่าไปหาที่โรงพยาบาล หลวงพี่ศพเอาไว้ที่นี่ก่อนไหม ให้เอาศพมาพักที่นี่ก่อน บอกหลวงพี่คุณพ่ออยากให้มาพักที่นี่ บอกถ้าจะเอามาพักที่นี่ จะทำงานหลายต่อ คนที่กรุงเทพฯนี่เยอะก็จริง แต่ว่าการไม่สะดวกต่อพระ เรามันไม่สะดวก ก็ขอเอาศพกลับวัดเลย

    สองบอกมอบเรื่องที่นี่ให้หลวงพี่ตัดสินใจ
    ด้วยนะ ให้มาเหมือนเดิม เพราะผมยกถวายให้
    หลวงพ่อแล้ว ที่จะทำงานอะไรก็ได้เหมือนเดิมได้ทุกอย่าง ก็บอกว่าต้องรอถึง 3 เดือนแล้วน่ะ เพราะศพหลวงพ่ออยู่ที่วัด พระจะมาทำอะไรอย่างนี้มันก็...จิตเราไม่เป็นสุขคล้ายๆเรามุ่งอะไรสักอย่างหนึ่ง มันไม่ดี บอกให้ 3 เดือนก่อนจะพูดกันอีกที เกรงใจเขา เพราะว่าความสุขส่วนตัวมันไม่มีนี่ บางทีเจ้าของบ้านต้องเดินออกหลังบ้านเข้ามานี่ เจ้าของบ้านต้องขอทาง ขออนุญาตหน่อย เดินลงไปหลังบ้าน เข้าทางหลังบ้านเข้ามา

    เจ้าของบ้านเขาเต็มใจทุกคน แม้แต่ลูกทุก
    คน ก็เรารู้จักกันนี่ รุ่นเดียวกันนี่ รู้จักเขาตั้งแต่
    เป็นเด็ก รุ่นๆเดียวกันทั้งนั้น เขาเต็มใจทุกคนเลย ให้มาทำเหมือนเดิม

    (เพราะเหตุนี้เองบ้านสายลมจึงยังคึกคัก
    เพราะคนมาทำบุญเหมือนเดิม)

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 176 พฤศจิกายน 2538 หน้า 95-96)


    พระบอกให้สร้างเจดีย์

    ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพ
    อย่างสูง ลูกได้ทราบจากหลวงพ่อและครูบาอาจารย์ที่แนะนำว่าการเจริญพระกรรมฐานนั้น เป็นการอโหสิกรรมแก่เจ้ากรรมนายเวร ที่ได้ทำ
    ไว้แต่สำหรับตัวลูก เมื่อพบองค์สมเด็จฯแล้วท่านบอกว่า กรรมของลูกนั้นถ้าจะให้ดีต้องสร้างเจดีย์ถวายไว้ในพระพุทธศาสนา

    เรื่องการสร้างเจดีย์ลูกไม่ค่อยเข้าใจ อยากเรียนถามหลวงพ่อว่า วัดท่าซุงจะมีการสร้างเจดีย์ด้วยหรือเปล่า ถ้ามีเงินน้อยจะทำอย่างไหนเหมือนกับอานิสงส์สร้างเจดีย์เจ้าคะ ?


    หลวงพ่อ : มี

    ผู้ถาม : อะไรครับ ?

    หลวงพ่อ : บริโภคเจดีย์ไงล่ะ

    ผู้ถาม : เป็นยังไงครับ ?

    หลวงพ่อ : บริโภคเจดีย์ก็คือพระพุทธรูป

    ผู้ถาม : อ๋อ ทำไมผมจึงโง่มากขนาดนี้...

    หลวงพ่อ : ไม่ใช่โง่มาก เง่าเท่านั้นเอง
    (หัวเราะ)

    ผู้ถาม : หนักเข้าไปอีกนะ

    หลวงพ่อ : เจดีย์มีหลายแบบหลายอย่าง
    ใช่ไหม ถ้าพระพุทธรูปเขาเรียก บริโภคเจดีย์

    ผู้ถาม : คนส่วนมากเขานึกว่า ไอ้
    แหลม ๆ นั่นคือเจดีย์

    หอวงพ่อ : เจดีย์แหลมๆ ก็มีอยู่แล้ว มณฑป
    หลวงพ่อสิวลี และ หลวงพ่อขนมจีน

    ผู้ถาม : อย่างสร้างพระพุทธรูปชำระ
    หนี้สงฆ์ ก็เรียกเจดีย์โดยตรงเลยหรือครับ ?

    หลวงพ่อ : เจดีย์โดยตรง เอาอย่างนี้ก็ได้
    นี่ สร้างพระพุทรชินราชในวิหาร 100 เมตรน่ะ ร่วมสร้าง ไม่ต้องเอาทั้งองค์ ทั้งองค์แย่แน่

    ผู้ถาม : แพงหรือดรับ ?

    หลวงพ่อ : ก็ไม่แพง แค่แสนสองแสน
    เท่านั้นเอง

    ผู้ถาม : เปียแชร์หลายงวดเลย

    หลวงพ่อ : เอาร่วมสร้างก็แล้วกัน ร่วม
    มากร่วมน้อยก็ถือว่าสร้างได้อานิสงส์เท่านั้น


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 97 มีนาคม 2532 หน้า 16-17)


    เห็นหลวงพ่อในโบสถ์


    "วันที่หลวงพี่เห็นพระเดชพระคุณหลวงพ่อในโบสถ์ตอนที่ทำพิธีพุทธาภิเษกน่ะ จิต
    หลวงพี่เป็นยังไงครับ"

    (หัวเราะ) เรื่องนี้มันเรื่องพุทธานุภาพนะหรือสังฆานุภาพ ไม่ใช่ว่าจิตเราดี เรื่องท่านจะให้
    เห็นน่ะ เรื่องของพระท่าน ท่านจะให้เห็น ถ้าจะเห็นเองมันเกินวิสัยของเรา มันอยู่ที่ท่าน อย่างเรามองดูตัวเองแล้วไม่เห็นความดีสักที ถ้าท่านจะให้เห็นก็เห็น

    อย่างไปหัวหิน ไปหล่อพระที่วัดพุทธไชโยนี่นะ ก็เอารถตู้ไป 2 คัน ก็พาพวกที่มาจากบาห์เรนไปด้วย 2-3 คน ไปถึงหัวหินนี่ยังไม่เข้าวัด ก็พาพวกนี้ไปดูชายทะเล ไม่ถึงทะเลหรอก ไปติดแหง็กอยู่ตรงที่เขาช๊อปบึงกันตรงนั้นน่ะ แต่เราก็ไม่ลงจากรถหรอก อายเขา มันที่อโคจร ที่ไม่ควรไป

    ทีนี้ตอนไปก็เห็นเมฆมันตั้งเค้าก็บอก เฮ้ยเดี๋ยวไปถึงหัวหินละก็ ฝนมันตกละก็คุยโม้ทับไปเลยนะ บอกกับพระในรถอย่างนั้น พอไปถึงจอด เจ้าอาวาสเขาก็มาต้อนรับ คุยกัน พอพระลงไม่ทันหมดเลย ฝนตกจ้าแล้ว กูว่าแล้วๆ ท่านยกหางเลยนะ

    เรื่องนี้มันเรื่องของพระพุทธเจ้า เรื่องของเทวดา เราจะไปว่าเรานี่เป็นผู้วิศษมา ทีนี้คนจะ
    เข้าใจว่าเราเป็นผู้วิเศษ นี่มันเรื่องของพระพุทธเจ้า ของพระ ของเทวดาท่าน เป็นเรื่องของท่าน

    แต่ก่อนหลวงพ่อพูดไม่เชื่อท่าน ไม่ใช่ไม่เชื่อทั้งหมดนะ ไม่เชื่อเป็นบางอย่าง คือไม่เชื่อหลวงพ่อเป็นบางอย่าง คือหนึ่ง ท่านบอก คนที่มาวัด ที่สร้างอะไรได้ทุกอย่างนี่ ไม่ใช่ข้าหรอก พระพุทธเจ้าทั้งนั้น นี่พระพุทธเจ้าสั่งให้ทำ พระพุทธเจ้าท่านหาเงินของท่านทำ

    เราก็โอ้โห หลวงพ่อเก่งแล้ว หลวงพ่อหมดกิเลสแล้ว หลวงพ่อก็ต้องสร้างได้อยู่แล้ว หลวงพ่อถ่อมตัวเอง เราก็นึกในใจ หลวงพ่อถ่อมตัวเอง หลวงพ่อเก่งอยู่แล้ว อู้หู พูดไม่มีติดเลย สอนใครก็เข้าใจหมด สอนใครก็เก่งอยู่แล้ว

    แล้วถึงตาเรา มันจริงๆอย่างนั้น มองเห็นแล้วโอ...หลวงพ่อที่บอกว่าพระพุทธเจ้าท่านทำน่ะ จริงๆ บอกว่าเทวดาช่วยน่ะจริงๆ เราไม่มีน้ำยาอะไรเลย มองเห็นแล้วไม่มีน้ำยา

    เอ้อ...หลวงพ่อนี่พูดไม่เคยผิดเลย คำพูดที่ไม่จริงไม่มีเลย พูดจริงทั้งนั้น กิเลสเราหนาเราก็ไม่เชื่อท่าน ตอนท่านอยู่ก็ไม่กล้าพูดกับท่านอย่างนั้นหรอกนะ ตอนนี้ท่านมรณภาพแล้ว (หัวเราะ)

    คือไม่เชื่อในจิต จิตมันค้านอยู่น่ะ หลวงพ่อเก่งอยู่แล้ว หลวงพ่อถ่อมตัวเอง มาถึงตาเรานี่ โธ่เอ๊ย ส้วมนี่ยังสร้างไม่ได้จริงๆ อย่างท่านว่า มันจริงๆนะ มันเกินวิสัย มันเกินความสามารถของเรา หลวงพ่อนี่ไม่เคยพูดอย่างนี้ แต่ให้คนเขาเข้าใจว่าอย่างนั้น พูดตรงไปตรงมา หลวงพ่อนี่ท่านจะพูดตรงทุกอย่าง ทีนี้มาถึงตาเราถึงรู้ โอ้...หลวงพ่อพูดถูก
    แล้ว หลวงพ่อพูดถูกทุกอย่าง

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 176 พฤศจิกายน 2537 หน้า 89-90)


    ตรุษจีนถวายสังฆทาน

    ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ตรุษจีนปีนี้ลูกเป็นคนอกตัญญูเสียแล้วเจ้าค่ะ คือตรุษจีนทุกปี ลูกจะต้องซื้อหมู เห็ด เป็ด ไก่ ไหว้ศาลเจ้าด้วย

    มาปีนี้ขออกตัญญูสักครั้งหนึ่งเปลี่ยนมาเป็นถวายสังฆทานแทน แล้วเชิญเจ้าที่ เชิญศาลเจ้าต่างๆมาโมทนา

    ไม่ทราบว่าท่านจะยินดีด้วยหรือว่าโมโหเพราะไม่ได้กินเป็ดไก่เจ้าคะ

    หลวงพ่อ : เดี๋ยวฉันขอพูดต่อจากลุงนะ (ลุงพุฒิ) ลุงท่านบอกว่าอย่างนี้ เขาเรียก มหากตัญญู

    กตัญญูอย่างใหญ่คือให้บุญไงล่ะ เทวดาทั้งหมดเขาต้องการบุญ ไอ้หมูเห็ดเป็ดไก่เขาไม่ได้กิน แต่ว่าที่ทำไปแล้วก็ไม่ผิดเพราะเป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณ แต่ว่าที่ทำโดยถวายสังฆทาน ตัวเองก็มีอานิสงส์มาก น่าจะรวย และคนที่ตายไปแล้ว เทวดาหรือเจ้าเขาโมทนาเข้า ทิพยสมบัติก็ดีขึ้นสูงขึ้น ต่างคนต่างดี

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 97 มีนาคม 2532 หน้า 10)


    ไม่มีหัว

    ผู้ถาม : กราบเรียนหลวงพ่อที่เคารพ
    อย่างสูง เพื่อนของผมเห็นผมไม่มีหัว จึงอยากจะพึ่งบารมีของหลวงพ่อว่าในลักษณะเช่นนี้จะมีวิธีแก้ไขอย่างไรหรือไม่ หรือว่าจะมีเหตุร้ายประการใดขอรับ ?

    หลวงพ่อ : ไม่เห็นหัว แล้วเขียนหนังสือได้อย่างไร ตามันอยู่ที่หัว....


    วิธีเก่าๆเขาทำอย่างนี้นะ ถ้าเพื่อนไม่เห็น
    หัว เขาเอาผ้าขาวม้าพันๆ ขว้างไปที่หัว บอกต่อหัวให้แล้ว

    แต่รายนี้ไม่ต้องทำแบบนั้น ปล่อยปลา 3 ตัว ใช้ได้เลย จริงๆนะ ลุงบอกปล่อยปลาแค่ 2-3 ตัวก็พอ แล้วก็อย่าลืมใส่บาตรพระสักองค์ก็แล้วกันนะ


    ฝันร้าย

    ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพ
    อย่างสูง เมื่อคืนวันที่ 4 ธ.ค. ลูกฝันร้ายเหลือเกินเจ้าค่ะ มีชาย 2 คนมาบอกว่าถ้าเอ็งแต่งงานในปีนี้จะตายภายในปีหน้า และคน 2 คนเขาบอกว่า
    เป็นพระยายมนั่นเอง

    เลยถามว่าหนูจะตาย
    ด้วยอุบัติเหตุ หรือจะตายด้วยโรคตาย ลูกจะเรียนถามว่า จะมีทางแนะนำแก้ไขอย่างไรหรือไม่ ที่จะต้องไม่ตายในปีหน้าเจ้าคะ ?

    หลวงพ่อ : ตายปีหน้าจะกลัวทำไมนะ
    เขาตายกันวันนี้ทั้งนั้นแหละ

    ผู้ถาม : เอ๊ะ หลวงพ่อพูดยังไง งง

    หลวงพ่อ : ใช่ เขามีแต่ตายวันนี้ ไม่ใช่ตาย
    วันหน้า ปีหน้าเมื่อไหร่จะตาย ปีหน้านู้นยังไม่ถึงจะตายยังไง

    เอาอย่างนี้ซิ การอ้างถึงพระยายม ท่านยืนอยู่ที่นี่ ไม่ใช่
    พระยายมครับ ท่านบอกการพยากรณ์ของท่านไม่มีกับใคร

    เอาอย่างนี้ก็แล้วกันเพื่อความสบายใจ ท่านบอกถวายสังฆทาน ถวายที่บ้านก็ได้นะ แล้วก็ปล่อยปลาสัก 4-5 ตัวก็พอ เพื่อความสบายใจ


    (หลวงพ่อแนะนำให้ปล่อยปลาเสมอ
    ถ้าเรามีโอกาสก็ควรทำ ป้องกันไว้ก่อน)


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 97 มีนาคม 2532 หน้า 18-19)


    มีคนสงสัยเสมอ คือเรื่องการจัดบายศรีปากชามในพิธีบวงสรวงควรทำอย่างไร หลวงพ่อตอบว่า

    การจัดบายศรีปากชาม

    1. ถ้าบริษัท ห้างร้าน วัด คนร่ำรวยต้องใช้ตามนี้ หมู 3 หัว ไก่ 1 ตัว บายศรีขนมต้มแดง ขนมต้มขาว ข้าวปากหม้อ ไข่ลูกยอด แล้วก็กลัวยน้ำว้า มะพร้าวอ่อน ถั่วราชมาส รู้จักไหม

    ถั่วราชมาสก็คือถั่วเขียวคั่ว ถ้าเป็นบ้านก็ควรจะมี ปลาแป๊ะซะอีกตัวหนึ่ง เพื่อพระภูมิเจ้าที่

    2. บายศรีปากชามต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งชั้น สำหรับไก่ต้องวางไว้ทิศเหนือนะ ถ้าวางหมูไว้ทิศเหนือมีเรื่องแน่

    หมู 3 หัววางทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศใต้ อย่าวางผิดทิศนะ ถ้าวางผิดทิศต้องมีเรื่องแน่

    3. ถ้าชาวบ้านธรรมดา ก็ใช้หมูชิ้นหนึ่งไม่ต้องหัวหมู ถ้าฐานะพอสมควรตั้งแต่ จน ถึง ปานกลาง นะ ใช้หมูชิ้นหนึ่ง แต่ชิ้นหนึ่งต้องไม่น้อยกว่าครึ่งกิโล

    เออนี่ อย่าลืมนะ ต้องมีปลาแป๊ะซะอีกตัวนะ เพื่อพระภูมิเจ้าที่ เพราะพิธีตั้งเป็นเรื่องของท่านท้าวมหาราชท่าน


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 97 มีนาคม 2532 หน้า 19)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2021
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    S__1671319.jpg




    เรื่อง หลวงพ่อสร้างวัดปีแรกๆไม่ค่อยจะมีเงิน

    หลวงพ่อสมัยก่อนท่านอยู่ที่วัดก็มีลูกศิษย์นิดๆหน่อยๆ แต่ก็นั่งกรรมฐานทุกวันถึงท่านจะแก่ คนไปมากไปน้อยก็นั่งกรรมฐานทุกวัน พอนั่งไปตอนหลังนี่ท่านแก่มาก ก็สั่ง
    กับผมบอกว่า นันต์ แกอย่าลืมนะว่าวัดนี่ที่ข้าสร้างมาได้หลายร้อยล้านนี่ ข้าไมได้สร้างด้วยอะไรเลย สร้างด้วยกรรมฐาน แกอย่าทิ้งกรรมฐานนะ ถ้าแกทิ้งกรรมฐานเมื่อไรวัดจะพัง เพราะข้าสร้างมาข้าสร้างด้วยกรรมฐานนะวัดนี้น่ะ

    ท่านบอกว่าถ้าสร้างไปนี่ถ้าเราทำจิตดีนี่เทวดาท่านก็ช่วยเกื้อหนุน พระท่านก็ช่วย มีรุ่นก่อนๆที่ท่านสร้างเขาเรียกว่า ตึกริมน้ำ ท่านไม่มีลูกศิษย์มากนี่ พ.ศ. 2513 นี่ยังไม่มีลูกศิษย์ยังได้วันใช้วัน อะไรอย่างนี้ กฐินทีก็ใช้หนี้เขาทีหนึ่ง

    ท่านเล่าให้ฟังว่าเมื่อสร้างกุฏิหลังนี้ไม่มีเงินเลย พระอินทร์มาบอกว่า คุณ เทวดาน่ะร้อนไปทั้งดาวดึงส์แล้วนะ ท่านช่วยยังไงล่ะ ช่วยหาเงินเพราะเป็นหนี้เขานี่ เป็นหนี้เขากฐินทีก็ใช้เขาที กฐินทีก็จ่ายหนี้ทีหนึ่ง แต่ช่างช่วงนั้นก็เรียกว่าไม่มีเงินก็เชื่อเครดิตพระ คือปล่อย ปล่อยทำไปเรื่อย ช่างแถวนั้นรวยทุกคนที่ปล่อยเครดิตให้นะ รวยทุกคนเพราะหลวงพ่อนี่ท่านไม่ค่อยทิ้งคน ท่านไม่ทิ้งผู้มีบุญคุณกับท่าน อย่างโยมกิมกียังงี้ให้มาขายในร้านในวัดเลย เพราะว่าหลวงพ่อแต่ก่อนไปอยู่วัดใหม่ๆบิณฑบาตไม่ได้ก็ต้องผูกปิ่นโตเขา


    "นี่ก็รุ่นเก่าเหมือนกันหรือโยมกิมกีนี่"

    ใช่ รุ่น 1 เลย ทำอาหารถวายหลวงพ่อท่าน
    เช้าก็ไปเอาอาหารมา

    "ตอนที่จะเริ่มสร้างวัดใหม่นี่
    ท่านพระครูเจ้าอาวาสนี่มาอยู่กับหลวงพ่อหรือยังครับ"

    อยู่แล้ว ฝั่งนั้นนะ ไปอยู่พรรษานั้น พ.ศ. 2516


    "เริ่มยังไงก่อนครับ"

    มาอยู่กำลังสร้างตึกเสริมศรีพอดี ฝั่งเก่านะ ฝั่งใหม่ยังไม่มีอะไรเลยยังเป็นป่าเป็นดงอยู่
    เพราะแถวโบสถ์เป็นที่ลุ่มทั้งนั้น ลุ่มแค่คอเรานี่ ถมพื้นดินขึ้นมาตั้งร่วม 2 เมตรได้มั้ง

    "ริเริ่มรุ่นนั้นใหม่ๆนี่ พระทุกองค์เจริญกรรมฐานแล้วต้องทำงานหรือเปล่าครับ หรือ
    ว่าเจริญกรรมฐานแล้วไม่ต้องทำงาน"

    โอ้โฮ ทำเหมือนกรรมกรนี่แหละ


    "พระรุ่นนั้นน่ะเหรอ"

    ใช่ ทำจนคนไปวัดว่า เฮ้ย ใช่พระหรือเปล่าหว่า เขาคุยกัน คือเราใส่งอบกันกลางวัน
    แสกๆนี่ ใส่งอบกันเพราะหัวล้านนี่หลวงพ่อก็ไปชื้องอบมาให้ใส่กัน ชาวบ้านบอก เฮ้ย ใช่พระหรือเปล่าวะ เราก็ทำไม่รู้ไม่ชี้

    หลวงพ่อท่านสอนไม่ให้พระสำอาง สำอาง คือว่านอนจนตัวขาวแล้วไม่ทำอะไร ดีแต่พูดปากก็ว่าไอ้นั่นไม่ดีไอ้นี่ไม่ดี ท่านไม่ชอบคนพูด ส่วนมากท่านชอบคนทำงาน สังเกตดูท่านชอบคนทำ ถ้าคนดีแต่พูดไม่ค่อยเอา


    "แหม..เรียกว่ารุ่นแรกนี่เหนื่อยมากที่สุดคือทำงานทุกวันนะ

    ทุกวันต้องออกเเต่เช้า
    มายันเพล พอเพลมาก็พักสักครึ่งชั่วโมง

    "พอฉันเพลเสร็จแล้วก็ต่ออีกยังงั้นเหรอครับ"

    ทำงานเอง เดี๋ยวนี้ถึงติดพวกล้างชามเองยังงี้ ไม่ว่าอะไร ฉันแล้วก็ล้างเองอะไรเองลูกศิษย์ลูกหาไม่ต้องไปสน เพราะไม่มีเราก็ทำเองได้เลย

    "หัดให้ช่วยตัวเองมาตั้งแต่ต้น"

    ใช่ หัดให้ช่วยตัวเองตั้งแต่นั้นมา ทีนี้ก็มีอยู่คราวหนึ่งเวลาล้างชามเขาต้องตักแฟ้บใส่ถ้วย
    ไปหน่อยหนึ่ง ทีนี้พอตักแฟ้บไปล้างชามก็มีคนดีมาเกิด

    "โอ แหมบุญแท้ๆเลยนะ"

    มีคนดีมาเกิดคือว่า พล.ต.ท. สงวน จิตตาลาน ถ้าใครเป็นญาติก็บอกด้วยว่าท่านได้
    สร้างระเบียบไว้ที่วัด พล.ต.ท. สงวน จิตตาลานไปบวชก็บอก หลวงพี่ทำอย่างงี้เปลือง เป็นคนขึ้ตระหนี่ถี่ถ้วน บอกเอาแฟ้บละลายน้ำแล้วก็ตักไปคนละหน่อยๆจะได้ไม่เปลือง น้ำปลานี่ไม่ให้ใส่ถ้วยนะ สงวน นี่เศรษฐีพันล้านนะ

    "โอ้โฮ"

    เศรษฐีพันล้านนะ คุณบุญช่วยภรรยา น้ำปลานี่อย่าไปเทใส่ถ้วยซีหลวงพี่ เหลือแล้ว
    จะไปให้ใครกิน เหลือแล้วก็ต้องเททิ้งอีก ใส่ขวดเล็กๆนะ เวลากินเท่าไรก็เทอา นี่เศรษฐีเขากินไม่เปลือง คนจนนี่ผสมอย่างดีเลย เหลือก็เททิ้ง พล.ตท. สงวนไปสร้างระเบียบไว้

    "ตอนที่อยู่กับหลวงพ่อใหม่ๆ อาหารการขบฉันสบายดีเหรอครับ"

    เรื่องอาหารนี้มันก็ตอนนั้นเราก็ไม่รู้
    หลวงพ่อจ่ายยังไง อาหารก็ทำเสริมตอนกลางวันอย่างสองอย่าง อาหารพอฉัน เพราะพระมีน้อย 5 องค์ 10 องค์

    "อ๋อ แค่นั้นเองเหรอครับ"

    ใช่ เพิ่งขยับมาถึงตอนนี้ ประมาณ 57 องค์ ก็ฉันมื้อเดียวเสียบ้างอะไรบ้าง เวลา
    กลางวันก็เหลือโหรงเหรง

    "มื้อเดียวนี่ไปติดใจธุดงค์หรือยังไงครับ"

    ติดใจธุดงค์แต่ไม่ใช่ว่าฉันมื้อเดียวแต่โอวัลติน 5 แก้วนะ ตอนธุดงค์ใหม่ๆจะนั่ง
    กรรมฐาน ตอนเที่ยงก็แก้วหนึ่ง ก่อนจะนั่งแก้วขากลับอีกแก้ว เวลาจะสวดมนต์เย็นนั่งกรรมฐานอีกแก้ว ร้านอาหารเขาก็เลี้ยงดี ฉันเท่าไรก็ไม่ว่าอะไรก็ดีเหมือนกัน

    "เข้าแก้วออกแก้ว"

    แต่ก็ไม่ทุกองค์หรอกนะ เดี๋ยวจะไปเหมาเขาทั้งหมด

    "แต่ความจริงฉันมื้อเดียวนี่ฉันแบบรวมๆนะ จะสังเกตได้ว่าปริมาณจะจุได้มากกว่าฉัน 2
    มื้อ"

    ก็ยังนึกว่าเรามันอาวุโสใช่ไหม ก็ต้องตักก่อนเขา เอ..วันแรกก็ว่าเท่านี้ วันที่สองมันมาก
    กว่าเก่าหรือเปล่าวะนี่ มันชักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เอ..มันไปถึงไหน ก็บอกเขาระวังอย่าให้มันถึงแค่นี้ อย่าให้ถึงคอหอยนี่ไม่ได้ เดี๋ยวกินน้ำเข้าไปเดี๋ยวมันจะลัน เวลาฉันไปนี่ เอมันถึงตรงไหนนี่พี่โอ มันตื้อไปหมด ฉันมื้อเดียวเราก็ไม่เคยฉันใช่ไหม กลัวหิว มันตื้อไปหมด หน้าอกหน้าใจมันถึงไหนกันแน่วะ บอกดีเหมือนกันมันไม่ยุ่งยาก ตอนหลังเพลแล้วไม่ยุ่งยากก็ดีเหมือนกัน

    "บ่ายจัดๆ รู้สึกหิวเหมือนกับฉัน 2 มื้อไหมครับ หรือว่ายังไงครับ"

    ไม่หิว เหมือนปกติเลยนะ หรือว่าไม่ได้ทำงานหนักก็ไม่รู้

    "ได้ข่าวว่าท่านอาจารย์ประทีปเป็นเจ้าอาวาสชั่วคราวเหรอครับ"

    ใช่ เพราะไม่มีใครเลย ไม่มีพระ เหลือองค์เดียว ธุดงค์หมด ก็ดีอันที่จริงก็เป็นดำริของ
    หลวงพ่อ ท่านเคยไปตรวจงานเหมือนกัน บอกว่าต่อไปสถานที่นี้เป็นที่ธุดงค์ พวกแกก็เปลี่ยนกันมาซี จะให้อยู่เป็นเดือนเลยด้วยซ้ำ ใครอยากจะอยู่ก็อยู่ไปเลยซักเดือนครึ่งเดือนก็เปลี่ยนกันไป เปลี่ยนกันทำงานเปลี่ยนกันทำ

    อันที่จริงก็คงจะเป็นท่านคอยช่วยด้วยเพราะเราไม่เคยคิดเลยในใจเพราะเราไม่ค่อยรู้ท่าไหร่ พอตรวจงานพระสุรจิตนี่จะรู้ ไปตรวจงานท่านจะดำริ พระสุรจิตท่านควบคุมงานก่อสร้างอยู่ ไปกับหลวงพ่อ ก็เล่าให้ฟังว่าตรงนี้ต่อไปจะเป็นสถานที่ธุดงค์นะ พวกแกก็เปลี่ยนกันมา

    พอท่านมรณภาพแล้วก็ เอ๋ จะคิดอะไรนะที่ทำให้คนที่มาวัดแล้วกลับไปได้บุญมากที่สุด เรื่องอะไรท่านก็ทำหมดแล้วใช่ไหม ก็มาเรื่องปฏิบัติธรรมนี่นะถึงจะตรง ต้องรักษาจิตใจของคน ถ้าจิตคนดีวัดก็ทรงตัวอยู่ได้ กิจกรรมอะไรถึงจะทำให้คนรวมตัวกัน เราก็คิดว่าคนจนไปวัดได้ ก็คิดได้เรื่องธุดงค์นี่แหละ


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 159 พฤษภาคม 2537 หน้า 59-61)



    เรื่อง การทำงาน

    เมื่อก่อนนี้ฉันไม่มีประสบการณ์เท่าไร
    เพราะอยู่กับหลวงพ่อๆท่านก็ทำใช่ไหม เรื่องการจ่ายเงินจ่ายทองการทำงานนี้ต้องกล้าๆ เราต้องทำไปเรื่อยมันไม่ใช่มีเงินทีเดียวพอเลยหรอก ก็ต้องสังเกตดู อย่างแจกของนี่ ไม่มีเงินซักบาทเลย แจกของถิ่นทุรกันดารนี่นะ พอคิดปุ๊บก็แจกเลย เราก็เริ่มทำ ติดต่อข้าวสารคนเขาก็มาช่วย พอถึงเวลาจะแจกมีเงิน

    อย่างสร้างปราสาททองคำ พอเริ่มลงมือปุ๊บก็มีคนให้มาเรื่อย จองตรงโน้นตรงนี้ จองประตู จนยอด 36 ยอดหมดไปแล้ว ยอดละ 50,000 บาทนะ จนไม่มียอดให้เขาแล้ว เหลือแต่ยอดรวมอยู่ยอดหนึ่ง ถ้าเราไม่ลงมือก็ไม่มีใครเขาให้หรอก เพราะเรายังไม่ได้สร้างนี่ พอลงมือประตูก็จองรอบหมดแล้ว รอบวิหารชั้นล่างนี่นะ เหลือแต่ชั้นที่สองชั้นที่สาม ประตูละ 20,000 บาทก็จองไปหมดแล้วก็ต้องลงมือกัน ก็ลองสร้างดู เอาแต่พอกำลังไปเรื่อยๆ


    "แปลกนะไม่ทำอะไรเขาก็ไม่ให้ ไม่อยาก
    ให้อะไร พอเริ่มขุดหลุมนิดเสาหน่อยก็เอาเลย"

    ก็ตรงกับที่หลวงพ่อเคยพูดไว้ว่าที่เขาให้
    เงินก็เพราะว่าเห็นเราก่อสร้าง เขาเห็นเราก่อ
    สร้าง เพราะปราสาททองคำนี้กราบเรียนกับสมเด็จวัดสามพระยาว่า หลวงปู่ครับ น่ากลัวจะ 30 ล้าน เพราะว่าเราไม่รู้ คำนวณไม่ถูก เพราะทองคำปิดทั้งหลังนะ กว้าง 32 เมตร
    เป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสกว้าง 32 เมตร ฐานก็ใหญ่ ไอ้ทองคำก็แผ่นเล็กๆ แผ่นละ 2 บาท 2
    บาท มันก็ไม่รู้เป็นเท่าไร หลวงปู่ก็บอกว่ามันอาจจะถึง 50 ล้าน

    "โอ้โฮ ได้ดอกมาตั้ง 20 ล้านนะ"

    แต่ก็เอาค่อยทำไป คือทำไปเพื่อบูชาพระ
    พุทธเจ้านะ เราก็ไม่รู้จะไปแข่งกับใคร นึกแต่ว่าจะทำอะไรถวายพระพุทธเจ้าตามที่หลวงพ่อดำริเท่านั้น ทำยังไงถึงจะทำเพื่อเป็นการบูชาพระพุทธเจ้านะ เขาบอกว่าพระพุทธเจ้าไปอยู่บนฟ้าแล้วไม่ควรแต่เราควร ทำอย่างไรถึงจะถวายพระพุทธเจ้าได้ เหมือนกับสองตายายมีแผ่นทองคำปิดฐานส้วมบูชาพระพุทธเจ้าสมัยก่อน ก็ได้ช่างของวัดทำ ช่างชิด

    "ที่ว่าสมัยก่อนแค่ทองคำเปลวที่ก้นหลุม
    ยังได้เป็นโน่นเป็นนี่ ได้โน่นได้นี่"

    ใช่ๆ

    "โอ้โฮ นี่ทั้งหลังเลยนะ"


    นี่ทั้งหลังเลย


    "น่าเสียดายอยู่นิดเดียว ยังไม่ได้เสวย
    สมบัติเลยไปกันเสียเรียบแล้ว นิพพานเสียหมดแล้ว"

    ก็ดีแล้ว ไม่ต้องเสียดาย ขอให้ไปได้หมดเหอะ


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 159 พฤษภาคม 2537 หน้า 61-62)



    หลวงพ่อสอนพระ

    ท่านมีวิธีสอนอีกแบบหนึ่ง คือจวกต่อหน้าคนเยอะๆ จิตมันจะจำ จะอาย จำแม่น ท่านไม่กลัวเสียคน พระเวลาปลงอาบัติต้องไม่มีอนุปสัมบัน คือเป็นเณรก็ดี ฆราวาสก็ดี ไม่มีใช่ไหม ปลงอาบัติคือสารภาพว่าวันนี้ไปทำผิดอะไรมาตามพระวินัยไม่ให้ทำ แต่ท่านให้มีคนของท่าน ท่านต้องการให้พระอายจะได้จำไม่ทำอีก เรียกว่าจำจนวันตาย

    อย่างอาตมานี่มีอาบัติอยู่ตัวหนึ่ง จะเล่าถึงความชั่วของตัวเอง ปลงอาบัติไปหลายตัวแล้วมาถึงตัวหนึ่ง อาตมานี่ปลงกับหลวงพ่อตัวต่อตัวเลยนะ เป็นองค์แรกที่กล้าปลงกับท่าน จดมาเลย อาตมาก็บอก "ข้าแต่หลวงพ่อผู้เจริญ ข้าพเจ้าได้ยืนปัสสาวะ..."

    พูดยังไม่ทันจบหลวงพ่อบอก "หยุด ๆ ๆ ๆ แกปลงไม่ตกหรอก แกต้องไปยกขาข้างหนึ่ง" ด่าเราแสบเสียอีก แหม...จำจนตายเลย

    พอปลงอย่างนี้ไม่กี่วัน มันก็มีงานอยู่งานหนึ่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดอยุธยานิมนต์หลวงพ่อไปอยุธยา ให้อาตมาไปด้วย พระก็ไปหลายองค์ ไอ้เราก็ไปเที่ยววัดมงคลบพิตร ฝนมันก็ตก ก็ปวดปัสสาวะ ก็หาที่ไม่ได้ที่ปัสสาวะที่วัดมงคลบพิตร มีที่ยืนทั้งนั้นนี่เราปลงอาบัติมาใหม่ๆก็นึก เอ...กูจะทำยังไงโว้ย คิดดูจะทำยังไง ก็เลยตัดสินใจไปบอกหลวงพ่อ

    ท่านบอก "ไอ้ระยำ ที่ยืนก็ต้องยืนซิ ที่ยืนจะไปนั่งมันงามที่ไหนล่ะ ที่ยืนก็ยืนเขาไม่ปรับหรอก"

    แหม....เราเถรตรงนี่ ลำบากเหมือนกัน กลัวก็กลัวท่าน แต่ก็ต้องเอาเพราะมันไม่สบายใจ จำไปตลอดชีวิต

    "เอ๋...เวลารับแขกหลวงพ่อท่านร่าเริง เวลาปรกติอยู่สองต่อสอง ท่านคุยยังไงบ้างครับ"

    เมื่อก่อนคุยไม่ออกหรอก มาตอนหลังนี่ได้มาอยู่ใกล้หลวงพ่อ เมื่อพ.ศ. 2525 ตอนนั้นท่านป่วยด้วย ตอนที่ท่านปัสสาวะไม่ออก กล้าตั้งแต่ตอนนั้น ตอนหลวงพ่อท่านจะกินยา ท่านจะปล่อยทุกอย่างมีอะไรก็คุยได้ดีทุกอย่าง คุยแบบเป็นตัวของท่านเองเลย ท่านมีเมตตาทุกอย่าง จะทำอะไรให้ก็ "ขอบใจนะลูกนะ" พูดเพราะ เรานี่พูดเลียนแบบไม่ได้ ท่านพูดเพราะมาก เป็นธรรมชาติของท่านจริงๆ

    แม้แต่พระพุทธเจ้าพูดกับหลวงพ่อ พูดลูกทุกคำเลย ดูท่านเขียนหนังสือซิ เขียนกับลูกดูซิ และหนังสือของท่านทุกตัวอักษรเลยนะ มีความหมายหมด เพราะว่าท่านเขียนด้วยสติสมบูรณ์ไม่เขียนลื่นไปลื่นมา

    หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)

    (จากคอลัมภ์ "จากคำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 146 เมษายน 2536 หน้า 105)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มกราคม 2020
  3. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    หลวงพ่อเล่าให้ฟังถึงเรื่องดวงดาวต่างๆ


    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 12 หน้า 430 - 437)

    มุมทุกขตะ

    ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง กระผมได้ฟังเรื่องมุมเศรษฐี มุมทุกขตะ เกี่ยวกับการซื้อบ้านสร้างบ้านใหม่ ตอนนี้กำลังจะตกลงซื้อ กราบเรียนถามหลวงพ่อว่าตำราที่จะดู ดูแบบไหน ช่วยเมตตาบอกหน่อยเถิดครับ

    หลวงพ่อ : เขาดูที่วัดไม่ใช่ดูที่บ้าน ระหว่างโบสถ์กับกุฏิพระ อยู่มุมไหนไม่ใช่ดูบ้านนะ

    ผู้ถาม : อ๋อ ไม่ได้เกี่ยวกับบ้านเหรอ

    หลวงพ่อ : เกี่ยวซิ ถ้าเราทำบุญกับวัด วัดนั้นอยู่ในมุมมหาเศรษฐี การคล่องตัวดีมาก ถ้าวัดนั้นเข้ามุมมหาทุกขตะ ก็ไม่ต้องห่วงละ พอมั่งไม่พอมั่ง

    ก็คงเข้าใจแล้วนะ ไม่เกี่ยวกับบ้าน แต่เกี่ยวกับบุคคลที่อยู่ในบ้าน ถ้าไปทำบุญกับวัดที่สร้างเข้ามุมเศรษฐี ก็พลอยดีไปด้วย

    แล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะ ว่าวัดไหนสร้างเข้ามุมทุกขตะ วัดไหนสร้างเข้ามุมเศรษฐี ตามตำราเขาว่าอย่างนี้

    เอาโบสถ์เป็นหลัก หน้าโบสถ์หันไปทางทิศตะวันออก มุมเศรษฐี อยู่ตรงมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มุมทุกขตะอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ถ้าสร้างกุฏิเจ้าอาวาสอยู่ตรงมุมทุกขตะ ก็ลำบากหน่อย ถ้าสร้างกุฏิเจ้าอาวาสอยู่ตรงมุมเศรษฐีก็จะรวย

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 97 เดือนมีนาคม 2532 หน้า 15)


    การทำหนังสือรวมคำสอน

    นึกถึงหลวงพ่อทำหนังสือแจก ท่านคืนบุญให้คนทำบุญคุ้ม สังเกตดูหลวงพ่อทำงานนะ
    สังเกตคนเอาเงินมาช่วยท่าน อย่างท่าน มหาถวัลย์ วัดโพธิ์เมืองปัก ท่านเอาคนมาทำบุญ
    เอาปลาร้ามาให้หลายคราว เวลาท่านไปช่วย ท่านหาเงินให้เป็นแสนเป็นล้าน หลวงพ่อท่านเป็นอย่างนี้ เป็นจริตของท่านอย่างนี้

    "ท่านอยากเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ แต่หนังสือนี่มีอะไรอยู่อย่างหนึ่ง สมัยก่อนเมื่อหลวงพ่อยังอยู่ เวลาเราอยากจะชาร์จแบตเตอรี่เรา เราก็มาหาท่าน กำลังใจมันจะดีขึ้น เดี๋ยวนี้ที่ชาร์จแบตเตอรี่เราไม่มี แต่พอทำหนังสือ อู้ฮู...เหมือนกับอยู่กับท่านเลย"

    เรื่องนี้พูดกันหลายหนแล้วว่า เรื่องพระธรรมคำสอนที่หลวงพ่อนำมา เป็นคำสอนของ
    พระพุทธเจ้าที่พระพุทธเจ้าสอนหลวงพ่อมา ตอนทำหนังสือท่านก็มาคุย

    หลวงพ่อบอกว่า "ตั้งแต่หนังสือเรื่องคู่มือปฏิบัติกรรมฐานเป็นต้นมา ไม่ได้ใช้สมองเลย..นันต์ ข้าไม่ได้เตรียมตัว ข้าไม่ได้จดบันทึก ข้าจะพูดไปเรื่อยๆ"

    นี่เป็นเรื่องของพระพุทธเจ้าท่าน พระพุทธเจ้าท่านคุมทำ ทีนี้เมื่อด็อกเตอร์ปริญญามาทำ
    หนังสือรวมคำสอนนี้ งานนี้เป็นงานพุทธภูมิ งานของพระพุทธเจ้าด้วย คือใช้คนก็ต้องใช้คนมีเชื้อ ไม่ใช่ดูถูกนะ พวกอื่นอาจจะกำลังใจไม่พอ ต้องหาต้นฉบับ ต้องพิมพ์ ต้องตรวจคำผิด ฯลฯ แทบจะคนเดียวเลยนี่ มันก็เหนื่อย ทำหนังสือนี่ไม่ใช่สบายเลยนะ เหนื่อยตัวเป็นเกลียวเลยนะ ลองทำดูเถอะ มันต้องจดจ่อกับตัวหนังสือทุกตัวเลย ขุดดินง่ายกว่า

    "แต่จริงๆแล้วอยากจะกราบเรียนตรงนี้ว่า หลวงพ่อท่านคุมของท่าน เวลาติดอะไรขึ้นมาประเดี่ยวต้องหาเจอ จะติดบาลีหรืออะไรก็แล้วแต่ ประเดี๋ยวต้องหาเจอ อย่างนี้จึงบอกว่า
    เป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก"

    การทำตำราของท่าน มีเวลาว่างชั่วโมงทำได้ 1 ม้วนก็ทำ ไม่ใช่ยกย่องครูบาอาจารย์นะ ท่านเป็นพระที่ขยันจริงๆ ท่านป่วยเสียงไอค่อกๆ แค่กๆ พอพูดได้หน่อยก็ไปทำแล้ว
    ทำชั่วโมงก็หยุดหอบ พอร่างกายดีก็เอาใหม่ เทปที่ท่านทำเป็นร้อยเป็นพันคาสเซท คิดดู...

    "ในเล่ม 2 มีอยู่ชุดหนึ่ง รู้สึกว่าจะทำทั้งคืนเลย เพราะนอนไม่หลับ พอนอนไม่หลับ อัดเทปแล้วก็เข้าส้วม เข้าส้วมเสร็จกลับมาอัดต่อ 3 ม้วน 4 ม้วน 5 ม้วน ไม่ตายให้มันรู้ไป มีแรงก็จะทำ ไม่ได้ห่วงความตายเลย"

    หลวงพ่อบอกว่ามารมันเอาท่านตลอด เพราะว่าจะสอนคนไปนิพพาน แต่ท่านไม่ยอม
    มารมันทำกายทำไป ถ้ามีแรงกูจะทำไม่ยอมแพ้ อย่างเรานี่มารยังไม่ทันมาเราก็แพ้แล้ว ตรงกันข้าม

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 158 เมษายน 2537 หน้า 98)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มกราคม 2020
  4. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    เรื่อง หลวงพ่อ

    คือมันอะไรล่ะ เราไปหลงเสียหน่อย หลงว่าหลวงพ่อจะอยู่นาน ท่านไปอยู่ตึกกลางน้ำ เอ้อ ต้องอยู่อย่างนี้นะ แก่เฒ่าขึ้นมาเขาจะได้หามมารับแขกข้างนอกนี่ เราก็โอ้โฮ น่ากลัวจะอยู่นานแน่ (หัวเราะ) ท่านบอกอย่างนั้นเราก็ไม่เชื่อ

    มีอยู่คราวหนึ่งประชุมพระ บอกข้าต้องเปลี่ยนชื่ออีก 3 ครั้งถึงจะตายได้ ไม่อย่างนั้นตายไม่ได้ เปลี่ยน 3 ครั้งนี่อีก 3 ปีจะตาย

    เราก็ เออ...พระมหาวีระ พระสุธรรมฯ พระราชพรหมยาน เราก็จับแค่นี้ พระสุธรรมฯ พระราชพรหมยาน แล้วชั้นเทพนี่ กะได้ชั้นเทพแล้วอีก 3 ปีก็มรณภาพ แต่ว่าหลงตรงนี้สิ

    หลวงพ่อชื่อเมื่อก่อนชื่อสังเวียน เปลี่ยนมา มหาวีระ หนึ่ง พระสุธรรมฯ สอง พระราชพรหมยาน สาม 3 ปีตายจริงๆ ท่านพูดถูกทั้งนั้น แต่เราไปนับเอาแค่เปลี่ยนบรรดาศักดิ์ใช่ไหม พระสุธรรม พระราช ชั้นเทพอีก 3 ปีก็มรณภาพ

    "แสดงว่าคาดคะเนเก่งกว่า"

    คาดคะเนเก่งกว่า (หัวเราะ) ท่านบอกไว้แล้ว 3 ปี หลังจากเปลี่ยนชื่อ 3 ปีจะตาย

    "แล้วที่มีความเชื่อมันเรื่อง 120 ปีน่ะ ไปเอามาจากไหน รู้สึกยังไงถึงได้ว่าต้องอยู่ถึง 120 ปี" (ด็อกเตอร์ปริญญาถาม)

    พูดกันมา...ตรงเปลี่ยนชื่อ 3 ครั้งจะมรณภาพ เราก็หลงไปจุดหนึ่งแล้ว ทีนี้หลงไปเพราะท่านบอก เอ๊ะยังไง มันคุยกันมานานไอ้เรื่อง 120 ปีนี่ก็จำไมได้ แต่ก็โอ้โฮ เราก็พอใจแล้วใช่ไหม เราก็มาไล่ เรานี่ก็ 80 โอ๊ย จะไปเหลืออะไรเรา 80 นี่

    บางคนบอก หลวงพ่อเจ้าขา ลูกก็แก่กว่าหลวงพ่อเยอะเลย 120 ปี ลูกไปไม่ไหวหรอก แกก็กินยาเข้าไปสิ แน่...แสดงว่าตามน้ำเราเหมือนกัน เราจะได้ไม่แก่ จะได้อยู่กับท่านได้ 120 ปี จะได้อยู่ได้ใช่ไหม ถ้าหลวงพ่อ 120 ปี ลูกก็ตั้ง 80 ก็อู้หู ทำไม่ไหวแล้ว แกก็กินยาไอ้นี่ไว้ หนอนตายอยาก กับ ยาเก้าร้อย จะได้อยู่ช่วยกันได้ โอ้โหกระหยิ่มยิ้มย่อง (หัวเราะ)

    อีตอนมรณภาพนี่ก็ตั้งสติไม่ออกละสิ เวรละกูเอ้ย ชาตินี้จะมีความสุขหรือเปล่า มันไม่มีแล้วนี่ ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งแล้ว หมดแรงไปหมดแล้ว

    มันมีอยู่คราวหนึ่ง ไอ้ความกลัวหลวงพ่อนี่ ก็เกิดมานวดกัน คุณวิวัธน์กับคุณวิชัยเขาก็นวด เราก็ขึ้นไปช่วยเขา เขาก็นวดข้างๆ บีบโอ้โหเหงื่อแตกเลย ไอ้เราก็นวด ความกลัวนี่มันก็ไม่มีแรงบีบ มันก็จับอย่างนี้ จับค่อยๆ หลวงพ่อก็บอกนี่ แกนี่ทำเป็นปูไต่อยู่ได้ไอ้ระยำ ทำไมไม่ดูเขาล่ะ เขาทำยังไงก็ทำอย่างนั้นสิ เสียเวลาพักผ่อนจริงๆเลย (หัวเราะ) มันยิ่งไม่มีแรงใหญ่เลย จากนั้นเข็ดเลย มันกลัวจนไม่มีแรงบีบอย่างนี้หรอก มือมันอ่อน เขาเรียกมืออ่อนตีนอ่อนนี่มันจริง (หัวเราะ)

    "แล้วไอ้ที่ชมมีไหมครับ ติเคยฟังบ่อยแล้ว ที่หลวงพ่อชมเปาะๆ มีไหม ตั้งแต่อยู่กับหลวงพ่อมาจนกระทั่งมรณภาพมีไหมครับ"

    ชมไม่ได้ชมตรงๆ มีชมฝาก คือมาใหม่ๆเลย มาสองสามวันแรก ตอนนั้นมีพระไม่กี่องค์ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง แต่เราก็รู้ข่าวแว่วๆเท่านั้นเอง มาอยู่วัดท่าซุงสักสองสามวันแรก พระเขาก็สึกกันหมด เหลือพระอยู่ 4-5 องค์เท่านั้น พระก็เหลือน้อย หลวงพ่อนี่ศัตรูรอบวัด รอบวัดเลย ไม่ใช่มีมิตรรอบวัดนะ

    เจ้าอาวาสก็เป็นศัตรู ลูกน้องเจ้าอาวาสก็เป็นศัตรู ตอนนั้นคุณหญิงเยาวมาลย์นี่ดำริจะสร้าง หาเงินสร้างพระอุโบสถกันน่ะ ทีนี้ไปขอเจ้าอาวาสเขาสร้าง รื้อของเก่าน่ะ แต่เจ้าอาวาสเขาจะขอคุมเงินเอง จะขอคุมกุญแจเอง หลวงพ่อก็ไม่ตกลงสิ เพราะมันโกงมาเยอะแล้วนี่ ก็ซื้อที่ฝั่งตรงข้าม ที่เป็นโบสถ์ปัจจุบันน่ะ ซื้อที่เขามา 11 ไร่ ไร่ละหมื่น
    กว่าบาท

    ทีนี้ก็ศัตรูมาก ฉันมาอยู่ใหม่ๆด้วย ตำรวจทหารก็มีดาบตระกูลมาอยู่ตอนกลางคืน กลางวันก็ไม่มี หลวงพ่อนี่ถ้าคนจะฆ่าก็ฆ่าได้ทุกเวลาเหมือนกัน

    มีอยู่คราวหนึ่งมันก็เมามา มันก็ควักปืนมาหน้ากุฏิท่านน่ะ ท่านมีรั้วอยู่ตรงนั้น ตรงต้นมะม่วงนั่นน่ะ เราก็เข้าไปหาหลวงพ่อบอก หลวงพ่อครับ ไอ้นี่มันเมามาครับ มันจะเข้ามาข้างใน เราก็ไปหยิบกระบองแป้บน้ำมา(หัวเราะ)

    หลวงพ่อครับ เดี๋ยวผมช่วยหลวงพ่อครับ จะช่วยหลวงพ่อ ทีนี้ตอนหลังเราก็บอก หลวงพ่อครับ ถ้ามีอะไรผมจะช่วยหลวงพ่อ ท่านก็เอาเราไปไว้ตึกเสริมศรี บอกไอ้นี่มันแปลกว่ะ มันกตัญญู มันจะช่วย

    คือยังไงล่ะ วัดเรานี่เพิ่งมาเย็นตอนคอมมิวนิสต์มันหมดนี่หรอก ตอนที่คอมมิวนิสต์มันเยอะๆนี่มัน...เขาก็หาว่าเราเป็นคอมมิวนิสต์ด้วยสารพัดน่ะ สร้างวัดได้ไว มันเอาเงินที่ไหนมาวัดอย่างนี้ มันก็ต้องเอาเงินคอมมิวนิสต์มานั่นน่ะ เอาสร้างมาอีกแล้ว เดี๋ยวหลวงพ่อเป็นคอมมิวนิสต์อีกแล้ว (หัวเราะ) โอ๊ย สารพัด ถ้าคนกำลังใจธรรมดาอยู่ไม่ได้หรอกตรงนั้นน่ะ



    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 176 พฤศจิกายน 2538 หน้า 96-98)


    กรวดน้ำตอนไหนดี

    ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ในกรณีที่ลูกตักบาตรตอนเช้า...

    หลวงพ่อ : เรื่องใหญ่แล้ว ไปตักบาตรเข้าซิ พระยายมจะจดเอานะนี่

    ผู้ถาม: เอ๊ะ ! ยังไงครับหลวงพ่อ

    หลวงพ่อ : ขโมยข้าวพระน่ะซิ ตักบาตรน่ะ

    ผู้ถาม : อ๋อ ! ต้องว่า ใส่บาตร ลูกควรจะกรวดน้ำทันทีทันใด เมื่อพระหันหลังกลับหรือว่าจะกรวดน้ำคะเนว่าท่านฉันเสร็จแล้ว อันไหนจะถูก ได้ผลแรงกว่ากันเจ้าคะ ?

    หลวงพ่อ : คือว่าการอุทิศส่วนกุศล เอาเวลาไหนก็ได้ เวลานั้นก็ดี เพราะเวลาที่เราทำบุญจะใส่บาตรก็ตาม จะสร้างพระก็ตาม ให้ทานใดๆก็ตาม พวกปรทัตตูปชีวีเปรต มาคอยอยู่แล้ว

    เขาพร้อมที่จะโมทนาเวลานั้นได้ก็ดี ไม่ต้องว่ายาว ว่าอย่างพระเจ้าพิมพิสารก็ได้ "อิทัง โน ญาตีนัง โหตุ"

    นั่นเขาแปลว่า ขอผลบุญนี้จงสำเร็จแก่ญาติของข้าพเจ้า ส่วนเราก็บอกว่า "ทั้งเป็นญาติ หรือไม่ใช่ญาติก็ตาม ขอจงมาโมทนา" แค่นี้แหละสบายกว่า

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 174 กันยายน 2538 หน้า 69)


    ศพพระมหากัสสป


    (ยกทรงบอกว่า)

    "ตอนไปอินเดีย คนที่เป็นมัคคุเทศก์ก็ดี ที่เป็นพระก็ดี เขาจะบอกกันเป็นแนวเดียวกันเลยว่า ศพของพระมหากัสสปอยู่ที่ภูเขาปัญจคีรีที่เมืองราชคฤห์ เมืองพระเจ้าพิมพิสาร ทีนี้พอฟังหลวงพ่อพูดทำไมตรงกันข้ามเลย หลวงพ่อบอกว่าอยู่ที่เชียงตุงนี่เอง"

    อันที่จริงท่านคุยกับเราหลายเที่ยว แต่เราไม่เฉลียวใจ หลวงพ่อคุยนี่เราจะไม่ค่อยถาม เป็นนิสัยไม่ดีอย่างหนึ่ง ไอ้ที่ไม่ถามนี่กลัวท่าน

    (ด็อกเตอร์ปริญญาพูดเสริมว่า)

    "แล้วถ้าหากว่าตอนนี้ถามได้ จะถามว่ายังไงไม่ทราบครับ"

    คือจริงๆท่านเล่าของท่านนี่ ฝรั่งมันไปนะ มันเข้าไปในถ้ำมันไปถ่ายรูปมาเลยนะ เขามันแยกเข้ามาหน่อย ฝรั่งมันมุดเข้าไป ไปเห็นเทียนยังจุดอยู่ ดอกไม้ก็ยังไม่แห้ง เล่า
    กับเราว่าฝรั่ง

    คนอื่นเขาเล่าบอก ตัวท่านเองน่ะเข้าไปเองเลย หลวงพ่อเข้าไปในนั้นเลย ถึงเรื่องพระศพท่านถึงตกลงกันน่ะ บอกพระมหากัสสปนี่จะมาช่วยเรื่องดูแลพระศพนี่ ไปกราบ
    ท่านนี่จะมีความเป็นศิริมงคล มีโชคมีลาภ อย่างที่เราปรารถนาอะไรอย่างนี้ ที่ไม่เกินวิสัย


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 174 กันยายน 2538 หน้า 84-85)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มกราคม 2020
  5. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    หลวงพ่อพูดถึงเรื่องต่างๆรวมถึงดาวที่มีมนุษย์อาศัยอยู่

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/a.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/a.jpg" border="0" alt=" photo a.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/b_1.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/b_1.jpg" border="0" alt=" photo b_1.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/c.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/c.jpg" border="0" alt=" photo c.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/d.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/d.jpg" border="0" alt=" photo d.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/e.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/e.jpg" border="0" alt=" photo e.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/f_1.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/f_1.jpg" border="0" alt=" photo f_1.jpg"/></a>

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 12)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2020
  6. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    1464324221845.jpg

    1_1.jpg

    2_1.png

    3.jpg

    4.jpg

    (จากธัมมวิโมกข์ 2526 ปีที่ 4 ฉบับที่ 32 หน้า 7 - 11)


    ภาพและบทความด้านบนนำมาจาก E-Book ของเวบวัดท่าซุง หากต้องการอ่านเรื่องอื่นๆในธัมมวิโมกข์ฉบับเก่าสามารถหาอ่านาได้ตามลิงค์ url ด้านล่างนี้ครับ

    http://thasungmedia.com/wat/puy/ebook/index.php
     
  7. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    ท่านย่า ท่านแม่

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/1_16.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/1_16.jpg" border="0" alt=" photo 1_16.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/2_17.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/2_17.jpg" border="0" alt=" photo 2_17.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/3_14.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/3_14.jpg" border="0" alt=" photo 3_14.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/4_11.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/4_11.jpg" border="0" alt=" photo 4_11.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/5_9.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/5_9.jpg" border="0" alt=" photo 5_9.jpg"/></a>



    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 66 ฉบับที่ 55 หน้า 14 - 18)



    บทความด้านบนนำมาจาก E-Book ของเวบวัดท่าซุง ถ้าท่านต้องการอ่านเรื่องอื่นๆสามารถเข้าไปอ่านได้ที่ url ด้านล่างครับ

    การทำจิตเบื้องต้นในการเจริญพระกรรมฐาน

    ในอุทุมพลิกสูตร คนที่จะเจริญพระกรรมฐาน ทำจิตเพื่อละกิเลส พระพุทธเจ้าท่านให้ทำจิตเบื้องต้นอย่างไร จิตเบื้องต้นท่านวางกฎไว้ประมาณ 60 ข้อ ถ้าเราจะพิจารณากันจริง ๆ ก็มีอยู่ 2 จุด

    1. จงอย่าสนใจในจริยาของคนอื่น เขาจะดีเขาจะเลวเป็นเรื่องของเขา ดูว่าเราทำถูกไหม...

    2. อย่าทำเพื่ออวดเขา

    เท่านี้เอง สรุปแล้วได้ 2 อย่าง แต่ท่านเรียงไว้ประมาณ 60 กว่า ถ้าเราทำอารมณ์ได้เพียง 2 อย่างเท่านี้ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า มันเป็นสะเก็ดความดีของที่ท่านสอน เท่านั้นเอง

    ทีนี้ถ้ายังนึกว่าเขาสู้เราไม่ได้ เราสู้เขาไม่ได้ ก็เลยไม่ถึงสะเก็ด อันนี้เป็นเรื่องจริงๆ ท่านวางไว้ตามเกณฑ์ เราอย่าคิดว่า ไอ้วัดนั้นสู้วัดเราไม่ได้ วัดเราสู้วัดเขาไม่ได้ เอาอะไรไปเป็นเครื่องวัด ถ้าอารมณ์ยังมีอย่างนี้อยู่ แสดงว่าจิตเลวมาก ถ้าจิตมันเลวจะดีอย่างไร

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 18 หน้า 75-76)


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2020
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,131
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,048
    หลวงพ่อฤาษี ตอบปัญหาธรรม9
    <iframe src="https://www.youtube.com/embed/mnoj-WcULQE" allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" width="560"></iframe>

    ธรรมะสวัสดีทุกๆท่านค่ะ

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735

    ถือศีล 8 ดูทีวีได้ไหม/ทำไมคนมีปัญญามากบรรลุมรรคผลช้ากว่าคนมีปัญญาน้อย/คาถากันลืม/คำภาวนา/การทำจิตเบื้องต้น


    a_1.jpg

    b_2.jpg

    c_1.jpg

    d_1.jpg

    e_1.jpg

    f_2.jpg

    g.jpg

    h.jpg

    i.jpg

    j.jpg

    k.jpg

    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 2 ฉบับที่ 18 ปี 2524 หน้า 68 - 78)

    ตัดมาจากธัมมวิโมกข์ใน E Book เวบวัดท่าซุง หากท่านต้องการอ่านเพิ่มเติมสามารถเข้าไปอ่านได้ใน url ด้านล่างนี้ครับ

    http://www.thasungmedia.com/wat/puy/ebook/index.php

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มิถุนายน 2016
  10. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    ข่าวไม่ควรเชื่อ

    ปัจจุบันข่าวไม่ควรเชื่อทำนองนี้ก็ยังคงมีอยู่ ลองอ่านเรื่องนี้กันดูเป็นแง่คิดกันครับ

    1_zpsvckcsvir.jpg

    2_zps1u4xxlne.jpg

    3_zpsqordxrhu.jpg

    4_zpsmljicg0j.jpg

    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 3 ฉบับที่ 21 พ.ศ. 2525 หน้า 5 - 11)

    คัดมาจากส่วน E-Book ของเวบวัดท่าซุง ท่านสามารถหาอ่านเพิ่มเติมได้จากลิงค์ url ด้านล่างครับ

    http://thasungmedia.com/wat/puy/ebook/index.php

     
  11. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Views/f8fa455a_zpsejjgxpnv.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Views/f8fa455a_zpsejjgxpnv.jpg" border="0" alt=" photo f8fa455a_zpsejjgxpnv.jpg"/></a>

    หลวงปู่เทพโลกอุดร

    ฉันฟังมาตั้งนาน โลกอุดร โลกอุดรใครหนอ มีวันหนึ่งก็เลยนั่งอยู่ ใครกันหนอ...? อ้อ...พอเจอหน้าก็ร้องอ้อเลย แต่ว่าท่านพวกนี้ทั้งหมด เดิมทีต้องมาจากพุทธภูมิก่อน พอใกล้จะเต็มก็ลา ลาจากพุทธภูมิเป็นสาวก ก็เลยต้องทำงานพุทธภูมิ

    ถ้าสาวกจริง เขาไม่เอาด้วยหรอก เขาทำงานเฉพาะเรื่องของเขา ที่เห็นว่ามีเยอะๆ ทำได้ก็เงียบฉี่ คืองานของเขาไม่มี พวกนี้ถ้าถึงจุดเขาเว้นงาน คือต้องทำงานตามหน้าที่

    มันมีเรื่องหนึ่งที่เราพูดกันแล้วเหมือนคนบ้า...

    ไอ้ก่อนที่จะลงมานี่มันมีสัญญาใจ ว่าจะมาทำงานอะไร เวลาลงมาเกิดใหม่ๆ ไม่รู้เรื่องหรอก จิตไม่ถึงที่สุด ถ้าจิตถึงที่สุดกระเทาะเปลือกสัญญา อีตอนนี้แหละงานอื่นที่เคยทำมาแล้วก็โยนทิ้งหมด เอาเฉพาะงานของตน

    ไปๆ มาๆ ก็ไปเจอะท่าน ไปเจอะกับท่าน ฉันอยากนึกจะเจอก็ชนปั้งเลย เมื่อชนปั๊บ ถามว่า

    "เป็นพุทธภูมิมาก่อนใช่ไหม"

    คือว่าพวกนี้ถ้าไม่สงสัยแกก็ไม่รู้เรื่องฉัน ถ้าสงสัยก็ชนกันเมื่อนั้นแหละ ต่างคนต่างขี้เกียจด้วยกัน มันไม่เก่งแล้ว มันต้องเก่งมาตอนต้นๆ ตอนต้นก็อยากเก่ง

    ไอ้นักมวยตอนที่หัดใหม่ๆ ไปไหนกำหมัดยิกๆๆ ฉันเป็นนักมวย เอาเข้าเป็นแชมป์แล้ว เขาก็เลิก พระก็เหมือนกัน แก่แล้วก็เลิก แก่ก็มีเรื่องเด็ก ขี้เกียจ จะรู้อะไรไปทางไหนก็ตายแหงๆๆ อย่างพวกนี้ ตายแล้วจะไปไหน หาทางให้มันให้ไปแล้วไม่มาใช่ไหม

    อะไรบ้างที่เราจะเปลื้องความทุกข์ไอ้การเวียนว่ายตายเกิด ก็ภาวะจิตมุ่งตรงสู่นิพพาน คือไอ้การอยากรู้ อยากเห็นก็เลิกกัน แต่ว่าเหตุใหญ่มันชนกันเข้าก็ต้องรู้ สงสัยเขาก็พูดกันเรื่อยเลย โลกอุดรๆๆ คือใคร

    ก็มีคนหนึ่งบังเอิญเข้าไปพบ และก็ขอถ่ายภาพ ภาพแรกเป็นพระ กล้องเดียวกันถ่ายทีเดียว ขอถ่ายอีกทีกันเสีย มีภาพนุ่งโสร่ง ผ้าขาวม้าคาดพุงมีดเหน็บข้างหลัง

    ถามมึงถ่ายอะไร

    ฟิลม์เดียวกันครับ

    ขอถ่ายครั้งที่ 2 แกร็ก...กันเสีย ก็ไม่เสีย ได้อีกภาพหนึ่ง ถ้าได้ซ้ำก็เสียฟิลม์เปล่าใช่ไหม

    พวกตกใจใหญ่ เป็นไปได้รึ เขาเป็นจะถามทำเกลืออะไร ก็เพราะมันเอง มันเห็นเอง ถามเป็นไปได้หรือ เป็นไปได้แล้ว ไม่น่าจะมาถามเลย

    โลกอุดร ชื่อจริงๆ ก็ อุตตระ พระที่นำพระไตรปิฎกเข้ามาสุวรรณภูมิ อุตตระกับโสณะ หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว...ถ้าถามว่าอยู่ได้ยังไง อย่าลืมคำหนึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสว่า

    "ผู้ใดถ้าคล่องอิทธิบาท 4 สามารถจะอธิษฐานร่างกายอยู่ถึงกัปหนึ่ง"

    อย่าลืมนะผู้ที่คล่องอิทธิบาท 4 คือ พระอรหันต์ พระอนาคามีนี่ถือว่ายังไม่คล่อง เพราะอะไร ยังตัดสังโยชน์อีก 5 ไม่ได้ ถ้าพระอรหันต็ก็ถือว่าคล่อง ไอ้คล่องไม่ใช่ว่าเฉยๆ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา อั๊วะก็ว่าได้นี่ นี่ไม่ได้นะ"

    (จากหนังสือ ธัมมวิโมกข์ ปีที่ 6 ฉบับที่ 56 หน้า 47-48)


    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Views/2_zpsas1efpz4.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Views/2_zpsas1efpz4.jpg" border="0" alt=" photo 2_zpsas1efpz4.jpg"/></a>
    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Views/1468403097102_zpscudoeznd.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Views/1468403097102_zpscudoeznd.jpg" border="0" alt=" photo 1468403097102_zpscudoeznd.jpg"/></a>

    (ภาพด้านบนนำมาจากหนังสือ ธัมมวิโมกข์ ปีที่ 6 ฉบับที่ 56 หน้า 48 จาก E-Book เวบวัดท่าซุง ท่านสามารถเข้าไปหาอ่านเพิ่มเติมได้ในลิงค์ url ด้านล่างนี้ครับ)

    http://thasungmedia.com/wat/puy/ebook/index.php
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2016
  12. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    พระมหาเถระในสมัยพุทธกาลหลายองค์เข้ามเผยแพร่พระพุทธศาสนาในประเทศไทย มีองค์ไหนบ้างลองอ่านกันดูครับ

    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Doc/DSC_0024_zpsvab8gttj.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Doc/DSC_0024_zpsvab8gttj.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0024_zpsvab8gttj.jpg"/></a>

    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Doc/DSC_0029_zpsq8g5cgpx.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Doc/DSC_0029_zpsq8g5cgpx.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0029_zpsq8g5cgpx.jpg"/></a>

    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Doc/DSC_0033_zpsp1pdbur6.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Doc/DSC_0033_zpsp1pdbur6.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0033_zpsp1pdbur6.jpg"/></a>

    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Doc/DSC_0036_zpsfwjjbn55.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Doc/DSC_0036_zpsfwjjbn55.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0036_zpsfwjjbn55.jpg"/></a>

    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Doc/DSC_0039_zpsrktbews3.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Doc/DSC_0039_zpsrktbews3.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0039_zpsrktbews3.jpg"/></a>

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 8 หน้า 388 - 392)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2020
  13. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    78615e67.jpg



    • นะโมข้าจะไหว้ วระไตรระตะนา
    ใส่ไว้ในเกษา วระบาทะมุนี
    • คุณะวระไตร ข้าใส่ไว้ในเกษี
    เดชะพระมุนี ขออย่ามีที่โทษา
    • ข้าขอยอชุลี ใส่เกษีไหว้บาทา
    พระเจ้าผู้กรุณา อยู่เกษาอย่ามีไภย
    • ข้าไหว้พระสะธรรม ที่ลึกล้ำคำภีร์ใน
    ได้ดูรู้เข้าใจ ขออย่าได้มีโรคา
    • ข้าไหว้พระภิกษุ ที่ได้ลุแก่โสดา
    ไหว้พระสกิทาคา อะระหาธิบดี


    (บทไหว้ครู ปฐม ก กา - กาพย์ยานี 1)

    530973.jpg

    นโมข้าจะไหว้ วรไตรรัตนา
    อ่าองค์พระสัมมาสุดประเสริฐเลิศการุณ
    ทั้งกายวจีใจขอน้อมไหว้พุทธคุณ
    เช้าเย็นได้เกื้อหนุนให้สงบพบพระธรรม
    ดวงจิตลูกขอน้อมจงเพียบพร้อมกุศลนำ
    อดทนอย่าร้องร่ำในความทุกข์ทั้งกายใจ
    ขอบุญจงบันดาลให้การงานลุล่วงไป
    กุศลเจตนาไซร้นั้นเพื่อศิษย์ทุกทิศทาง
    อีกงานสาธารณะเพิ่มตบะบุญหนุนวาง
    กัลยาณมิตรอ้างขอจงช่วยอำนวยผล
    ให้คำสัตย์ลูกกล่าวจักอะคร้าวเหมือนดั่งมนต์
    มโนขอแผ้วพ้นจากกิเลสและเพทภัย
    ให้รู้จักสงบจิตขณะนิดน้อยหนึ่งใน
    ชั่วช้างกระดิกไซร้ใบหูนั้นท่านว่าพอ
    ขอปวงกุศลเลิศพิสูจน์เถิดว่าจริงหนอ
    เอหิปัสสิโกก่อเกื้อแก่ตนแก่ตาเทอญ

    https://www.gotoknow.org/posts/582548

    54433539_10157176520584329_3241866376154972160_n.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มกราคม 2020
  14. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735


    คำว่า "อุเบกขา"

    ผู้ถาม : อุเบกขาของพระโสดาบันกับอุเบกขาของพระอนาคามีเหมือน
    กันหรือต่างกันอย่างไรครับ ?

    หลวงพ่อ : นายสบสันต์เวลานี้กับสบสันต์ตอนเป็นเด็กกำลังเท่ากันหรือเปล่า

    ผู้ถาม : ไม่เท่าครับ

    หลวงพ่อ: แล้วถามทำไม เดี๋ยวขว้างหัวเลย

    ผู้ถาม : คือผมไม่เข้าใจว่าทำไมจึงใช้คำว่าอุเบกขาเหมือนกัน ควรจะมีคำอื่นที่แตกต่าง

    หลวงพ่อ : แสดงว่าหูไม่ได้ฟัง หรือใจไม่ได้ฟังที่ฉันพูด บอกว่าตั้งแต่พระโสดาบันไปเขาใช้ส้งขารุเปกขาญาณ

    อุเบกขานั่นม้นฌานโลกีย์ เข้าใจไหม ระวังกระโถนลอยนะ

    คือว่าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป อารมณ์ธรรมดาเริ่มเกิด ความรู้สึกว่าเป็นธรรมดาเริ่มมี ใครเขาว่าเขาด่ามา ความรู้สึกมันเบา อันดับแรกก็ถือว่า
    เป็นธรรมดาของการเกิด แต่ความมั่นคงจะน้อยหน่อย แต่ถึงแม้ว่าจะมีความมั่นคงน้อย ถึงเขาจะโกรธขนาดไหนก็ตาม เขาไม่ละเมิดศีล ใช่ไหม ทุกอย่างอยู่ในขอบเขตของศีลหมด จึงชื่อว่าเป็นสังขารุเปกขาญาณของพระโสดาบัน

    ถ้าเป็นสังขารุเปกขาญาณของพระสกิทาคามีก็อยู่ในขอบเขตของกรรมบถ 10 ละเอียดกว่า จะถือไม่โกรธน่ะไม่ได้ พระโสดากับสกิทาคายังโกรธ แต่มันโกรธเบากว่าชาวบ้าน แล้วก็โกรธขนาดไหนก็ตามไม่ละเมิดศีล 5 ชาวบ้านละเมิดได้ ใช่ไหม แค่ด่าศีล 5 ยังไม่ขาด ถ้าด่ากรรมบถ 10 ขาด

    เมื่อถึงพระอนาคามีก็เลิกโกรธ ทีนี้เราจะอยู่ด้วยอารมณ์หยาบมันไม่ได้ มันจะต้องเข้าถึง ถ้าฉันจะพูดวิชาหมอ ฉันก็พูดได้ แต่มันไม่ไปตรงกับหมอสบสันต์พูดเพราะเป็นการเดา

    คือคนที่มีความรู้จริงพูดกับคนที่มีความชำนาญพูด มันพูดให้คนอื่นฟังได้ แต่ความรู้เช่นหมอไม่มี เข้าใจ๋ ?

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 157 เดือนมีนาคม 2537 หน้า 92-93)



    ชื่อเป็นกาลกิณี

    ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกมีความไม่สบายใจเกี่ยวกับเรื่อง "กาลกิณี" คือว่าอักษรชื่อไม่ดี

    หลวงพ่อ : อ๋อ ไม่จำเป็นนะ คนที่มีตัวกาลกิณีอยู่ข้างหน้าเป็นมหาเศรษฐีก็เยอะ คนที่มีเดชมีศรีติดตะรางก็เยอะ ไม่มีความจำเป็น ไม่สำคัญๆ ฉันเคยศึกษาเรื่องนี้มา

    ผู้ถาม : หลวงพ่อเคยเป็นหมอเหมือนกันเหรอครับ ?

    หลวงพ่อ : ฉันป็นหมอจ๋า สุภาพอ่อนหวาน

    ผู้ถาม : นี่ก็ตกลงว่าไอ้เรื่องชื่อเสียงเรียงนาม พ่อแม่ตั้งให้ก็รับ

    หลวงพ่อ : ก็แค่นั้นแหละ ไอ้คนซื่อดีมันเลวตั้งเยอะ ไอ้คนชื่อเลวมันดีตั้งเยอะ
    ฉันเคยไปเจอคน 2 คนที่หันคา

    นายคนหนึ่งพี่ชายชื่อ นายเน่า น้องชายชื่อนายเหม็น และคนสองคนนี้มีคนรักมาก แกเป็นคนดีมากและรวยมากด้วย ชื่อไม่ดีแต่ตัวจริงดี ก็ถามเขาทำไมชื่อแบบนี้ คุณแม่แกมาด้วยก็บอกว่า ฉันมีลูกมาก่อนหน้านี้ 2 คน มันตายหมดชื่อดีๆ คำโบราณเขาบอกว่า ชื่อดีผีเอาไปหมด เลยชื่อไม่ดีเสีย ไอ้เน่า ไอ้เหม็น ดีไม่เอา

    ผู้ถาม : ก็เป็นอันว่า เรื่องชื่อไม่ต้องเปลี่ยนอะไร

    หลวงพ่อ : ไม่มีความจำเป็น เปลี่ยนก็ได้ไม่เปลี่ยนก็ได้ตามชอบใจ เรื่องของผลอยู่ที่กฎของกรรม คนละเรื่อง ไม่ใช่ชื่อ

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 98 เดือนเมษายน 2532 หน้า 17-18)

    crop.jpg
    อย่าคิดว่าเราดีกว่าหมา

    ว่ายังไงโยม เห็นไหม คนเลวกว่าหมาไม่โกรธ ว่าเลวกว่าหมาไม่โกรธแล้ว แต่ก่อนแหมทำเบ่งนึกว่าดีกว่าหมา ใช่ไหม สู้หมาไม่ได้ หมาเดินแก้ผ้ากลางถนน เราเดินไม่ได้ หมาขี้กลางถนนได้ เราขี้กลางถนนไม่ได้ เราสู้หมาไม่ได้ (หัวเราะ) หมาทำอะไรไม่ต้องเสียภาษี นี่เราต้องเสียภาษีอากรใช่ไหม สู้ไม่ได้หลายอย่าง (หัวเราะ) กลับไปบ้านคุยฟุ้งเลยโยม บอก แหม ข้าเพิ่งรู้ว่าข้าก็สู้หมาไม่ได้ แหม นึกว่าเก่ง

    แต่ความจริงพวกสัตว์ประเภทนี้นะเวลาตายจริงๆ มันก็ได้เปรียบเราเหมือนกันโยม ถ้าเป็นสุนัขที่คนเลี้ยงแล้วคนสงเคราะห์นี่ บาปเก่ามันเริ่มหมด พวกนี้ตายปุ๊บลงไปก็มี 2 ทาง ถ้าไม่ไปเป็นเทวดาหรือพรหมก็เป็นมนุษย์ มันไม่ลงล่าง ได้เปรียบมากกว่าเรา เรามาถึงขั้นเป็นมนุษย์แล้ว ถ้าไม่ดีมันตีตั๋วลงนรกใหม่ ใช่ไหม พวกนี้มันชำระหนี้มาเพื่อหมด นี่เราเสียท่ามันอีกนะ ถ้าไม่ปฏิบัติดียิ่งเสียท่าหนัก หมาดันไปสวรรค์เป็นเทวดา เราปาไปเป็นสัตว์นรกอีก แหม (หัวเราะ)

    เอ้า นี่พูดตามความเป็นจริงนะ คือว่าคนเหยียดหยามสุนัข บางทีก็รู้สึกสลดใจนะโยม คนนี่มันไม่แน่ ตายแล้วอาจจะลงนรกได้ พวกหมานี่ไม่ลงแน่ ถ้าเขาใช้หนี้กรรมของเขายัง
    ไม่หมด เกิดเป็นหมาชาตินี้ ชาติหน้าเป็นหมาใหม่ก็ได้ ใช่ไหม แต่ว่าหมาตัวไหนถ้าชาวบ้านเลี้ยง เลี้ยงก็แบบเราเลี้ยงธรรมดานี่ละ มีการให้กินข้าว ใช่ไหมล่ะ ถ้าคนสงเคราะห์ แสดงว่ากรรมเก่าเริ่มหมด ถ้าไอ้ตัวไหนยังต้องเดินอดเดินอยากอยู่ อันนี้ก็ยังต้องเกิดต่อไปอีก เขาจะอยู่กับคนจนหรืออยู่กับคนรวยไม่สำคัญ คือว่าเจ้าของมีโอกาสให้ข้าวกิน นั่นแสดงว่าทานบารมีเดิมกับเมตตาบารมีเดิมของเขาเริ่มให้ผล ใช่ไหม

    ฉันสังเกตดูหลายตัว ถ้าหมาในวัดตายทีไร ไม่เป็นเทวดาก็พรหม เพราะมันชอบใจ
    ในพระ พระสงเคราะห์ พระให้อาหารหมา อาหารแค่ไหนไม่สำคัญ ให้มันผูกจิตใจกับ
    พระ อย่างโฆสกเทพบุตร ท่านไม่ได้ทำอะไรมาก ท่านรักพระปัจเจกพุทธเจ้า ตายแล้วก็
    เป็นเทวดา เป็นโฆสกเทพบุตร ตอนนั้นเป็นหมาใช่ไหม นี่หมาอยู่กับวัดได้เปรียบ

    แต่ว่าตัวไหนถ้าอยู่ที่บ้าน ชาวบ้านเขาสงเคราะห์ ก็สงเคราะห์อย่างเราให้กินน้ำข้าวบ้าง กินข้าวบ้าง อาหารเหลือบ้าง อันนี้นะเมตตาบารมีกับทานบารมีเดิมของเขาเริ่มสนองแล้ว ทีนี้
    ถ้าตายแล้วไปสวรรค์หมด ถ้าไม่ไปสวรรค์ก็ไปเป็นคน ถามว่าไปสวรรค์ชั้นไหน อันนี้ก็
    ต้องบอกแล้วแต่บุญเดิม บุญเดิมที่ทำไว้ของเขาทำอะไรไว้ ใช่ไหม

    นั่นก็หมายความว่าก่อนที่เขาตายจากความเป็นคน บาปทำให้เขาเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน ถ้าถึงที่สุดแล้วชำระหนี้บาปหมดก็เหลือแต่บุญ ซึ่งตรงกันข้ามกับคน คนสร้างบาปอกุศลไว้ในตอนต้น แล้วมาตอนหลังสร้างบุญบารมีดี ตายจากความเป็นคนเป็นเทวดาหรือพรหม ถ้าหมดบุญวาสนาบารมี พุ่งหลาวเลย ลงนรกไปเลย มันก็ต้องสนองกันแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเราเกิดเป็นคนแล้วต้องเกิดเป็นคนต่อไป มันหวังยากเหลือเกิน

    โยมตายแล้วเป็นอะไร ? เอ ต่างจากฉัน ฉันตายจากคนแล้วเป็นผี (หัวเราะ)


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 173 เดือนสิงหาคม 2538 หน้า 11-12)

    กองพันสัตว์.jpg หลวงพ่อเลี้ยงสุนัข.jpg


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กุมภาพันธ์ 2020
  15. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    บนให้คุณพ่อตาย/เลิกกับสามีแล้วแขนขาขาด

    1_zpslzt75dmt.jpg

    2_zpssymkjjoi.jpg

    3_zpst8lzhdf1.jpg

    4_zpsihedto7x.jpg

    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 7 ฉบับที่ 68 หน้า 26 - 28)

    ตัดภาพด้านบนมาจาก E-Book เวบวัดท่าซุง ท่านสามารถเข้าไปหาอ่านหนังสือเล่มเก่าๆของวัดได้จากลิงค์ url ด้านล่างครับ

    http://thasungmedia.com/wat/puy/ebook/index.php
     
  16. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    คุณสุนิสา วงศ์ราม เล่าเรื่องที่เธอได้พบพระองค์ที่ 10 เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2528 และได้บันทึกคำสอนของท่านมาเล่าสู่กันฟังครับ


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    (จากธัมมวิโมกข์ปีที่ 6 ฉบับที่ 54 หน้า 71 - 78)

    นำภาพจาก E-Book ของเวบไซต์วัดท่าซุง ท่านสามารถเข้าไปหาอ่านเพิ่มเติมได้จากลิงค์ url ด้านล่างครับ

    http://thasungmedia.com/wat/puy/ebook/index.php
     
  17. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    การตั้งอารมณ์จิตก่อนตาย


    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Views/DSC_0029_zpsgtepvocz.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Views/DSC_0029_zpsgtepvocz.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0029_zpsgtepvocz.jpg"/></a>

    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Views/DSC_0038_zps3xcen2cm.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Views/DSC_0038_zps3xcen2cm.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0038_zps3xcen2cm.jpg"/></a>

    (จากธัมมวิโมกข์เดือนกันยายน 2540 หน้า 98-99)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2020
  18. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    [​IMG]

    <dd>
    ประวัติการสร้างพระวิหารน้ำน้อย

    เรียบเรียงโดย..พระชัยวัฒน์ อชิโต (ลิขสิทธิ์เป็นของวัดท่าซุง)


    </dd><dd>เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๔๓ ท่านพระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ พร้อมด้วยคณะศิษย์ “หลวงพ่อพระราชพรหมยาน” ได้เดินทางไปทำพิธีบวงสรวง ณ วิหารพระพุทธมหามงคลบพิตร ต.น้ำน้อย อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ตามที่เคยเดินทางไปเป็นประจำ ทุกปี เพื่ออนุเคราะห์บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททางภาคใต้

    </dd><dd>หลังจากเสร็จงานแล้วก็เดินทางกลับ ทุกคนมารออยู่ในห้องรับรองภายในสนามบินหาดใหญ่ ระหว่างนั้นคณะชาวหาดใหญ่และสงขลา ที่มาส่งได้ปรารภว่า ในปีหน้า (๒๕๔๔) อยากจะพิมพ์หนังสือประวัติ “พระวิหารน้ำน้อย” เพื่อเผยแพร่ให้แก่ผู้ที่มาร่วมงาน จึงได้เริ่มทำบุญกันเดื๋ยวนั้นทันที ๑๐,๐๐๐ บาท

    </dd><dd>ต่อมาท่านเจ้าอาวาสก็ปรารภซ้ำอีกว่า อยากจะให้พิมพ์หนังสือเล่มนี้ ซึ่งความจริงผู้เขียนก็ไม่ค่อยจะถนัดนัก แต่เพื่อเป็นการรักษาประวัติความเป็นมาไม่ให้สูญหายไป จึงได้เริ่มรวบรวมเรื่องราวที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ เล่าไว้ และที่ ม.ล.วรวัฒน นวรัตน บันทึกไว้บ้าง เป็นต้น ตามที่ได้ค้นคว้า จากหนังสือต่างๆ ปรากฏว่า หลวงพ่อเดินทางไปปักษ์ใต้หลายครั้ง หลายวาระด้วยกัน นับตั้งแต่ชุมพร สุราษฏร์ธานี กระบี่ พังงา ภูเก็ต ตรัง นครศรีธรรมราช และพัทลุง เป็นต้น

    </dd>
    <dd>แต่เหตุการณ์สำคัญที่จะนำมาเล่าครั้งนี้ คงจะต้องย้อน กลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน ที่จะต้องจารึกไว้เป็นประวัติว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ พร้อมด้วยคณะศิษย์ ได้เดินทาง โดยเครื่องบินมาลงที่ภูเก็ต โดยมี ม.ล.วรวัฒน นวรัตน ผู้อำนวยการการไฟฟ้าฝ่ายผลิต จังหวัดกระบี่ ในสมัยนั้น เป็นผู้รับรอง พร้อมทั้งจัดรถออกเดินทางไปในที่หลายแห่ง จนกระทั่งมาถึงหาดใหญ่เมื่อ วันอังคารที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๑๗ แล้วได้ค้างคืนที่บ้านพักรับรองที่เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตจัดไว้



    พบกับท่านพระพรหม

    </dd><dd>คืนนั้น ในขณะที่กำลังพักผ่อนอยู่ในห้องนอนของท่าน พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ได้เล่าว่า...

    </dd><dd>“...ขณะที่ใจ สบาย ทำท่าว่าจะหลับ ก็ปรากฏว่าพบชาย คนหนึ่งมานั่งอยู่ที่ปลายเตียง เลยเท้าลงไป เป็นผู้ชาย ยกมือขึ้น แตะปาก ท่าทางดี เหมือนกับคนธรรมดา จึงได้ถามว่าเป็นใคร แกชี้มือขึ้นไปข้างบน แล้วก็บอกว่ามาจากพรหมขอรับ

    </dd><dd>ถาม ว่า ถ้ามาจากพรหมแล้วแต่งตัวแบบนี้เพื่อประโยชน์อะไร ทำไมไม่แสดงกายเป็นพรหม แล้วก็เมื่อตอนกลางวันก่อนที่จะเข้ามานะ ไปรับที่นอกเมือง เห็นพระพุทธรูปอยู่บนศีรษะนั่นเป็นท่านหรือ..?

    </dd><dd>ความจริงเข้าใจว่าเป็นเทวดา เพราะแต่งตัวแบบเทวดา มีเครื่องประดับแพรวพราว และมีสีสันวรรณะไม่ใช่ลักษณะ ของพรหม ท่านก็เลยบอกว่า คนที่ไปรับน่ะ เป็นเทวดาขอรับ แต่ผมนี่เป็นพรหม เป็นคนละคนกับบุคคลนั้น จึงได้ถามท่านว่า มาทำไม แล้วพระที่แสดงลอยอยู่เหนือศีรษะเทวดานั้นหมาย ความว่ายังไง... ไม่ทราบความหมาย..?

    </dd><dd>ท่านก็บอกว่า ที่ แสดงให้ปรากฏก็เพราะว่า ในเขตของ จังหวัดสงขลามีพระพุทธรูปองค์หนึ่ง ทำด้วยทองคำทั้งองค์ ไม่มีส่วนผสมอย่างอื่น คือไม่ใช่แกนทองแดงแล้วเอาทองคำหุ้ม หน้าตักกว้างประมาณ ๒ เมตร หรือ ๓ เมตร จำไม่ถนัด เพราะ เวลาพูดนี่ไม่ได้บันทึกไว้ ก็เลยถามท่านว่าไปแสดงให้ปรากฏ ทำไม...แสดงว่าบ้านเมืองนี้เจริญหรือประการใด..?

    </dd><dd>ท่านบอกไม่ใช่ขอรับ ผมเห็นว่าคณะของท่านที่มานี่ เป็นคณะที่มีศรัทธามาก เวลานี้พระพุทธปฏิมากรแทนองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า มีทองมีน้ำหนักบอกไม่ถูก (ท่านบอก เหมือนกัน ทั้งองค์ ทั้งฐานน้ำหนักเท่าไร แต่ก็ไม่บอก) บอกว่า เวลานั้น ที่กรุงศรีอยุธยาแตกครั้งหลัง ปรากฏว่าเขาเอาพระองค์ นี้มาฝัง เกรงว่าพม่าพวกมีใจอธรรมจะนำทองคำเป็นประโยชน์ ส่วนตน อย่างที่อยุธยามันยังหลอมเอาทองคำไปกินเสีย มีน้ำ หนักตั้งหลายพันชั่ง

    </dd><dd>แต่ว่าพระองค์ นี้มีน้ำหนักยิ่งกว่าพระองค์นั้น สำหรับทองคำ เพราะว่าพระองค์นั้นภายในเป็นทองสัมฤทธิ์ ข้างนอกเป็นทองคำ แต่ว่าองค์นี้เป็นทองคำล้วน เวลานี้ยังอยู่ตรงนั้น ฝังอยู่ตรงไหน บอกไม่ได้ บอกอันตรายจะเกิดแก่ทรัพย์สินของพระพุทธศาสนา แล้วก็เลยถามว่า ไปแสดงให้ปรากฏเพื่อประโยชน์อะไร

    </dd><dd>ท่านก็บอกว่า ตั้งใจจะให้คณะที่มาด้วยกันช่วยกันสร้างเจดีย์ทับพระพุทธรูปองค์นั้น เพราะฝังไว้ในดินลึกประมาณ ๕ วา เวลานั้น ใช้คนประมาณ ๓๐๐ คนเศษ นำพระมาแล้วก็บรรจุพระไว้ สร้างเครื่องล้อมป้องกันไว้อย่างดี แล้วทรัพย์สินที่มีค่าสำหรับกษัตริย์ ก็มีอยู่มาก

    </dd><dd>ท่านถามว่าจะทำได้ไหม ก็เลยถามว่าเจดีย์ใหญ่ไหม ท่านบอกว่าไม่ต้องใหญ่ สูงประมาณ ๓ วาก็ได้ แต่ให้ฐานครอบ พระเข้าไว้ คนจะได้ไม่ข้ามไปข้ามมา ก็เลยบอกว่าเวลานี้สร้างวัด ยังเป็นหนี้เขามาก ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไร เมื่อสร้างวัดเสร็จแล้ว ให้ช่วยกันมาสร้างที่ตรงนั้นก็แล้วกัน ไม่รีบไม่ร้อน ที่จะให้มา เที่ยวคราวนี้ ที่ยอมรับเขาก็เพราะว่า องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค เจ้าเข้าดลใจ ทั้ง ๆ ที่ร่างกายของท่านไม่ดีท่านก็ยอมรับ

    </dd><dd>ความจริงแล้วไม่ได้ตั้งใจจะไป เห็นว่าประโยชน์มันน้อย ในการท่องเที่ยว นอนดีกว่า แต่เมื่อเขาถามเข้าจริงๆ ก็ไม่ทราบว่า เป็นเพราะอะไร ตัดสินใจยอมรับเอาเฉยๆ มาดูหมายกำหนด การแล้วก็หายใจไม่ออก วันทั้งวันไม่มีเวลาหยุด คิดว่าคงจะไป พับจุดใดจุดหนึ่ง บังเอิญมันก็ไม่พับ เป็นมหัศจรรย์ เรื่องนี้แปลก มาก เดินทางทั้งวัน กลางคืนก็นอนน้อยที่สุด อย่างดีก็หลับไม่เกิน ๒ ชั่วโมง เช้าก็เดินทางต่อไป แต่ก็ไปได้ทุกจุด

    </dd><dd>นี่เห็นจะเป็นอำนาจพุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ พรหมานุภาพ เทวดานุภาพ และครูบาอาจารย์ ตลอดจนพ่อแม่ เก่าๆ ที่สร้างผืนแผ่นดินไทย ช่วยผยุงกายของอาตมาไปได้กระมัง คิดอย่างนี้..ก็เป็นอันรับปากกับท่านพรหมว่า สิ่งเหล่านี้คงไม่หนัก

    </dd><dd>แต่ทว่าจะขอปรึกษาหารือกับบรรดาท่านพุทธ บริษัท มีท่าน พลอาศตรี ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ ก่อน ถ้าพร้อมใจกันเมื่อไร แล้วก็วัดท่าซุงเสร็จเมื่อไรก็จะมาทำให้ เพราะของไม่โตนัก แต่ว่าหนักใจเรื่องที่ดินเจ้าของอาจจะเอาแพง เพราะเขาอยู่ในย่านของความเจริญมาก ท่านยกมือไหว้ด้วยความดีใจแล้วก็กลับไป...”


    เริ่มก่อสร้างพระวิหาร

    </dd><dd>เป็นอันว่า ขอนำเรื่องที่พระเดชพระคุณท่านเล่าไว้เพียง แค่นี้ ในเวลาต่อมาท่านก็ได้เดินทางไปพิสูจน์ตามที่พระพรหม บอกไว้ ในขณะที่เดินทางมาถึงสามแยกควนเนียง พร้อมทั้งได้ เปลี่ยนจากการสร้างเจดีย์เป็นวิหารแทน ในตอนนี้ ม.ล.วรวัฒน นวรัตน ได้เล่ารายละเอียดไว้ว่า...
    </dd><dd>“...เมื่อ หลวงพ่อรับปากพรหมองค์นี้แล้ว พรหมก็บอก จุดที่อยู่ให้ หลวงพ่อพาพวกเราไปดู ก็พบว่าจุดที่ตั้งตรงกับที่ บอกไว้ทุกประการ แม้แต่เลขที่หลักกิโลเมตร คณะหลวงพ่อ จึงมั่นใจมาก เกิดความศรัทธา ตกลงกันว่าจะสร้างวิหารเล็กๆ คลุมพื้นดินตรงจุดนั้น

    </dd><dd>พวกเราจึงลงจากรถเข้าไปติดต่อเจ้าของที่ดินชื่อ นางกิ้มไล่ ชูโตชนะ เพื่อ จะขอซื้อที่ดินบริเวณนี้ ปรากฏว่าเจ้าของที่ดินไม่ยอมขาย แต่ยินดีที่จะให้หลวงพ่อก่อสร้างพระวิหารได้ตามต้องการ และจะขอนำที่ดินดังกล่าวทูลเกล้าฯ ถวายในหลวง เมื่อตกลงเรื่องที่ดินเรียบร้อยแล้ว หลวงพ่อจึงแบ่งงานดังนี้

    </dd><dd>(๑) พลอากาศโท ม.ร.ว. เสริม และ คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ เป็นหัวหน้ากลุ่มคณะศิษย์จากส่วนกลาง รับบริจาค จากผู้มีศรัทธาได้เงินจำนวนประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ บาท

    </dd><dd>(๒) นายมนตรี ตระหง่าน ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ในสมัยนั้นพร้อมด้วย นายเจริญจิตร ณ สงขลา ปลัดจังหวัด สงขลา เป็นหัวหน้ากลุ่มชาวสงขลา รวบรวมเงินได้ประมาณ ๑๔๐,๐๐๐ บาท

    </dd><dd>(๓) ร้อยตรี ม.ล.วรวัฒน นวรัตน ผู้อำนวยการการ ไฟฟ้าฝ่ายผลิต จังหวัดกระบี่ เป็นผู้ประสานงานทั่วไป โดยมี นายช่างจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิต จังหวัดกระบี่ คือ นายณรงค์ ณ ตะกั่วทุ่ง เป็นผู้ออกแบบ และ นายปลั่ง ขาวบาง เป็นผู้ ควบคุมคนงานก่อสร้าง

    </dd><dd>การก่อสร้างครั้งนี้ ใช้เงินเฉพาะการซื้อวัสดุ อุปกรณ์ ส่วน แรงงานและการขนส่ง ได้อาศัย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ เขต ๓ การก่อสร้างวิหารจึงใช้เงินน้อยกว่าปกติ รวมแล้วเพียง ๒๔๐,๐๐๐ บาท คือเงินจากส่วนกลาง ๒๐๐,๐๐๐ บาท และเงินจากจังหวัด สงขลาเพียง ๔๐,๐๐๐ บาทเท่านั้น ส่วนที่เหลือทางคณะศิษย์ หลวงพ่อมิได้ติดตามผล และมิได้เกี่ยวข้องด้วยประการใด

    </dd><dd>และหลวงพ่อได้สั่งไว้ว่า ก่อนจะเริ่มงานก่อสร้าง หลวงพ่อจะไปบวงสรวงพรหมผู้คุ้มครององค์พระพุทธรูปทองคำใต้ดิน วันที่มีพิธีบวงสรวง หลวงพ่อฯ พร้อมกับ หลวงปู่สิม วัดถ้ำผาปล่อง หลวงปู่ธรรมชัย วัดทุ่งหลวง หลวงปู่ชัยวงศ์ วัดพระบาทห้วยต้ม ได้เดินทางไปร่วมพิธีด้วย

    </dd><dd>หลวงพ่อฯ ได้ให้หลวงปู่ทั้งสามตรวจดูพระพุทธรูป ข้าพเจ้าแปลกใจที่เห็น หลวงปู่ธรรมชัย องค์เดียวลงนั่งยอง ๆ ดู แต่หลวงพ่อและหลวงปู่องค์อื่นๆ ยืนดูสักครู่ เมื่อการตรวจดู เสร็จสิ้นลง หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า เมื่อสักครู่ หลวงปู่ธรรมชัย ถูกนังเลงดีเล่นตลก คือ "พรหม" ท่านเอามือมาแกล้งปิด หลวงปู่ธรรมชัยยืนดูไม่เห็น ท่านจึงต้องนั่งลงดูจึงเห็น

    </dd><dd>หลวงพ่อเล่าประวัติให้พวกเราฟังว่า พระ พุทธรูปทองคำ องค์นี้ "ปางมารวิชัย" ทำด้วยทองคำเนื้อเก้า คือบริสุทธิ์เกือบ ๑๐๐ % มีขนาดเล็กกว่าพระพุทธรูปทองคำที่ วัดไตรมิตร กรุงเทพฯ ประมาณ ๑ ศอก สมัยก่อนได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ที่ พระอุระ คือที่หน้าอกขององค์พระ และสามารถถอดออกมา แล้วประกอบกันได้ถึง ๙ ชิ้น สร้างในสมัยกรุงสุโขทัย มีรวม ๓ องค์ เป็นชุดเดียวกัน องค์ที่ ๓ ปัจจุบันจมอยู่ในแม่น้ำโขง (เรียกกันว่า “พระเจ้าล้านตื้อ”)

    </dd><dd>ในตอนนี้ ผู้เขียนจะขอเพิ่มเติมเรื่องราวตามที่ คุณสุนิสา วงศ์ราม ได้ค้นคว้ามาจากนักประวัติศาสตร์ เพื่อเป็นการยืนยันคำกล่าวของท่านพอจะสรุปได้ว่า พระพุทธรูปทองคำ “วัดไตรมิตร” องค์นี้ สร้างในสมัยสุโขทัยยุคกลาง ประมาณรัชสมัย พ่อขุนรามคำแหงมหาราช (พ.ศ. ๑๘๒๐ - ๑๘๖๐) ขนาดหน้าตักกว้าง ๓ เมตรเศษ องค์พระถอดออกได้เป็น ๙ ชิ้น

    </dd><dd>เพิ่งจะรู้ว่าเป็นพระทองคำแท้เมื่อ วันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๔๙๘ (ในขณะที่อัญเชิญองค์พระขึ้นบนวิหาร แรงกระแทกทำ ให้ปูนที่พอกเอาไว้กระเทาะออก) สำหรับปูนที่พอกองค์พระไว้ แน่นหนาถาวร เป็นลักษณะอยุธยาตอนปลาย สันนิษฐานว่า เพื่อป้องกันพม่าทำลายยึดเอาทองคำไปเป็นสมบัติ และถูกปูน ห่อหุ้มซ่อนไว้ไม่มีใครทราบนานถึง ๑๘๘ ปี

    </dd><dd>ขอวกกลับมาถึงเรื่องของเราต่อไปว่า เมื่อการก่อสร้างดำเนินไปได้ระยะหนึ่ง พลเอกบุญชัย บำรุงพงศ์ ได้ถวายพระ พุทธรูปทองสัมฤทธิ์ (แบบพระพุทธชินราช) ให้เป็นพระประธานในพระวิหารนี้ หลวงพ่อถวายชื่อพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “พระพุทธมหามงคลบพิตร” ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับพระทองคำ ที่ฝังอยู่ใต้ดิน

    </dd><dd>ในครั้งนี้คณะหลวงพ่อได้เดินทางไปพร้อมกับ หลวงปู่สิม และ หลวงปู่ธรรมชัย เพื่อทำพิธีอัญเชิญพระพุทธ รูปขึ้นประดิษฐานบนพระวิหาร เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๑๙

    </dd><dd>ในวันที่อัญเชิญพระประธานขึ้นไปบนแท่นในวิหารนั้น หลัง จากหลวงพ่อทำพิธีบวงสรวงเสร็จแล้ว ท่านได้เล่าว่า เมื่อสักครู่นี้ พรหมท่านขยับเลื่อนองค์พระใต้ดิน ให้เข้ามาอยู่ ใต้พระประธาน ซึ่งอยู่ในวิหารเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ เพราะจุดที่ฝังพระไว้ใต้ดิน ไม่สามารถตอกเสาเข็มลงไปได้ อาจทำให้เกิด อันตรายต่อพระพุทธรูปใต้ดิน หรือห้องใต้ดินที่คนสมัยก่อน สร้างเอาไว้ได้

    </dd><dd>พระพุทธรูปองค์นี้ สร้างสมัย พ่อขุนรามคำแหงมหาราช มีการทำพิธีตรึงแผ่นดินไทยไว้ ทิศเหนือที่เชียงแสน ทิศใต้ที่ สงขลา เลยเขตนี้ออกไปไม่แน่นอน ยามใดไทยถอยอำนาจลง ก็แยกตัวออกไปเป็นประเทศอื่น แต่ว่าสมัยต่อไปภายหน้าพวก ดังกล่าวนี้ คือ ไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู เป็นต้น

    </dd><dd>และดินแดนเหนือเชียงรายขึ้นไป จะกลับมารวมกับไทยอีก ทั้งนี้ เพราะเขาเห็นว่าไทยรวย จะมาช่วยกันใช้เงินของไทย ฉะนั้น ต่อไปถึงสมัยที่คนไทยส่วนใหญ่เป็นคนดีมีศีลธรรมแล้ว พระพุทธรูปทองคำองค์นี้ จะขึ้นมาอยู่บนพื้นดินให้คนสักการบูชา

    </dd><dd>เมื่องานก่อสร้างพระวิหารเสร็จลง พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพร้อมด้วย สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ เพื่อทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุใน พระเกศมาลาของพระพุทธรูป เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๖ ส.ค. ๒๕๑๙

    </dd><dd>พระสงฆ์ที่ร่วมพิธีในวันนั้น นอกจากหลวงพ่อแล้ว ยังมีพระสุปฏิปันโน อีก ๗ รูป คือ หลวงปู่คำแสน คุณาลังกาโร, หลวงปู่บุดดา ถาวโร, หลวงปู่ชุ่ม โพธิโก, หลวงปู่ชัยวงศ์, หลวงปู่กล่อม วัดบุปผาราม, หลวงปู่มหาอำพัน และ หลวงปู่ธรรมชัย ธัมมชโย อีกด้วย



    พระบรมสารีริกธาตุเสด็จมาพร้อมตลับ



    </dd><dd>ส่วนเรื่อง “พระบรมสารีริกธาตุ” ที่บรรจุนั้น คุณโยม จันทร์นวล นาคนิยม ได้เล่าไว้ว่า...

    </dd><dd>“หลวงพ่อท่าน ก็คิดๆ ว่า จะเอาพระบรมสารีริกธาตุ จากไหน วันหนึ่งก็เดินไปเดินมาอยู่ในกุฏิ ก็มองไปเห็นห่อผ้า ผูกริบบิ้นสีเหลือง อยู่บนชั้นที่วางเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุ หลวงพ่อท่านก็ไปหยิบเอามาดู แล้วออกมาถามว่าเป็นของใคร เมื่อทุกคนไม่ทราบ ท่านก็เอาเข้าไปในกุฏิ แก้ห่อผ้าออกดูก็ พบตลับเงินเป็นรูปเหลี่ยมๆ ราวห้าหรือหกเหลี่ยม เป็นตลับ เงินฉลุลวดลายสวยงาม

    </dd><dd>เมื่อเปิดฝาตลับดูในนั้น จะมีของรูปกลมๆ คล้ายนาฬิกา ใส่กระเป๋าแบบคนโบราณใช้ มีหูหรือห่วง ใส่กับสร้อยก็ได้ สองข้างของรูปวงกลมนั้น จะเป็นหินใสๆ มองเห็นข้างในนั้น จะมีพระบรมสารีริกธาตุ ๑๐ กว่าองค์ สวยงามมาก เมื่อหลวงพ่อ เปิดดูก็พบพระบรมสารีริกธาตุหลายสี มีสีทับทิม ๔-๕ องค์ สี งาช้าง สีอิฐ และสีขาว สวยจริงๆ องค์ที่ใหญ่ที่สุดเกือบเท่าเม็ดถั่วเขียว ทั้งหมดหลวงพ่อถวาย “ในหลวง” บรรจุไว้ในพระเศียร”



    [​IMG]

    พระพุทธานุภาพ



    </dd><dd>สำหรับ พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ก็ได้เล่าเรื่องนี้ไว้ว่า...

    </dd><dd>“...วันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๑๙ ก่อนหน้านั้นอาตมาไป จังหวัดสงขลา แล้วก็ไปพบเหตุสำคัญ ว่าสถานที่ตรงนั้นควรจะ สร้างพระพุทธรูปสักองค์หนึ่ง ก็จัดแจงสถานที่ คิดว่าจะซื้อก็ไม่ไหว ก็พอดี ร.ต.ต.ชัยณรงค์ ชูโตชนะ (เป็นบุตรชายบุญธรรมของ นางกิ้มไล่) เป็นเจ้าของที่ จะไปขอซื้อท่าน ไม่ทันจะซื้อ ท่านทราบข่าว ท่านก็เลยมาถวาย บอกว่าหลวงพ่อขอรับ หลวงพ่อจะสร้าง ที่..วัดเอาตามชอบใจเลยขอรับ

    </dd><dd>แน่ะ.! ท่านให้..แหม..ศรัทธาของท่านดี ที่ติดทางรถไฟ และติดถนนรถยนต์ ถ้าจะเอากันจริงๆ ราคามันก็แพงลิ่ว ก็คิด ว่าที่ประมาณสัก ๑ งาน แสนบาท นี่เขาจะเอาหรือเปล่าก็ไม่ทราบ พอตกลง ท่านถวายก็ไปทำการขอพื้นที่ตามธรรมเนียมของพระ เพราะเกรงว่าจะมีอนุษย์เป็นผู้เฝ้าที่

    </dd><dd>เมื่อขอพื้นที่เสร็จ คนสำคัญคนหนึ่ง คือ พ.อ.เฉลียว เป็นรองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายทหาร มานั่งบูชาเจ้าของที่ จุดธูปเทียนว่า ที่นี้ถ้ามีพระพุทธรูปทองคำจริง ก็ขอให้ข้าพเจ้าได้ถูกหวยลอตเตอรี่ แล้วท่านก็ไปถูกลอตเตอรี่

    </dd><dd>ต่อมาท่านก็เกิดสงสัย เอ้า..บูชาใหม่ ว่าขอให้ถูกล็อดเตอรี่ ท่านก็ถูกใหม่ เรื่องถูกล็อตเตอรี่นี่ จะเป็นอำนาจของพระพุทธานุภาพ คือพระทองคำหรือไม่นี่อาตมาไม่ทราบ แต่ท่านพันเอก เฉลียวท่านว่าอย่างนั้น และท่านก็ถูกจริงๆ ก็เป็นเรื่องของท่าน อาตมาไม่โฆษณาถึงขนาดนั้น

    </dd><dd>ต่อมาทำการก่อสร้าง ระหว่างการก่อสร้างก็ปรากฏว่า นายช่างกับลูกจ้างกับลูกมือช่าง เห็นเหตุอัศจรรย์ คือเห็นภาพ พระ..เป็นพระสงฆ์ มายืนใหญ่ตระหง่านให้เห็นอยู่เสมอ เรื่องนี้ จะมีอะไร จริงหรือไม่จริง ท่านพิสูจน์เอาเอง อาตมาก็ฟังข่าวมา เดี๋ยวจะหาว่าเป็น “เจ้ากรมข่าวลือ” ไปเสียอีก เขาลือกันมาอย่างนั้น ก็ฝากฝังบรรดาท่านพุทธบริษัทให้พิสูจน์ในความจริง

    </dd><dd>เมื่อวันเวลาใกล้จะมาถึงงานเสร็จ สำหรับการก่อสร้าง ก็ได้อาศัยบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ในกรุงเทพฯ บ้าง นอกกรุงเทพฯ บ้าง สงขลาบ้าง ที่อื่นบ้าง ช่วยกันสร้างวิหาร ร.ต.ต. ชัยณรงค์ เป็นเจ้าของที่มอบถวายเป็นกรณีพิเศษ สำหรับพระประธาน ท่านพลเอกบุญชัย บำรุงพงศ์ กับคุณหญิงเป็น คนถวาย ส่วน “เรือนแก้ว” คณะศิษยานุศิษย์ทำครอบให้

    </dd><dd>เป็นอันว่างานสร้างเสร็จ จึงได้ให้ท่าน พลเรือเอกจิตต์ สังขดุลย์ ปลัดกระทรวงกลาโหม กับ พลอากาศโท ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์ เจ้ากรมสื่อสารทหาร คุณหญิงสุวรรณาภา สังขดุลย์ และ คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ กราบถวายบังคมทูลเชิญ พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ให้เสด็จ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๑๙

    </dd><dd>ต่อมา ท่านอาจารย์ภาวาส รองราชเลขาฯ ได้นำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาแจ้งอาตมาทราบว่า เรื่องนี้พระองค์ทรงทราบแล้ว แต่วันที่ ๒๖ พระองค์จะเสด็จไป พระราชทานปริญญาบัตรที่มหาวิทยาลัยสงขลาฯ ถ้าจะเสด็จวันที่ ๑๒ ก็จะกลายเป็นเสด็จ ๒ ครั้ง แล้วท่านอาจารย์ภาวาสได้ บอกว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระราชดำรัสว่า

    </dd><dd>ท่านเองท่านก็มีความเคารพนับถือหลวงพ่อมาก ถ้าหลวงพ่อจะให้เสด็จไปวันนั้น ท่านก็จะไป แต่ว่ามันเป็นการไป ๒ ครั้ง การทูลเชิญเสด็จคราวนี้ เป็นการทูลเชิญเสด็จบรรจุพระ บรมสารีริกธาตุ อาตมาฟังแล้วก็ตกใจ เมื่อทราบน้ำพระทัยของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ว่าพระองค์ทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตา

    </dd><dd>การทูลเชิญเสด็จครั้งนี้ มิได้หมายความว่า ต้องจำกัดเวลา แต่เห็นว่าวันที่ ๑๒ สิงหาคม เป็นวันพระราชสมภพของสมเด็จ พระบรมราชินีนาถ จึงตั้งใจจะถวายพระราชกุศล แต่ในเมื่อทราบว่า

    </dd><dd>พระองค์มีพระราชภารกิจจะต้องเสด็จไปพระราช ทานปริญญาบัตร วันที่ ๒๖ สิงหาคม ก็ตกใจว่า เอ๊ะ..ถ้าเราทำอย่างนั้นก็เป็นการไม่ สมควร จึงได้บอกท่านอาจารย์ภาวาส รองราชเลขาฯ ให้กราบทูล พระองค์ว่า

    </dd><dd>อาตมาขอขอบพระทัยพระองค์มาก ที่ทรงมีพระมหา กรุณาธิคุณ ถ้าทราบว่าจะเสด็จวันนั้น ก็คงไม่ทูลเชิญเสด็จวันที่ ๑๒ ในเมื่อจะมีกำหนดพระราชทานปริญญาบัตรก็เป็นการดี ขอพระราชทานวันนั้นแหละ เป็นรายการต่อท้ายเลย ก็เป็นอัน ว่าเป็นที่ตกลง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงรับ

    </dd><dd>เมื่อวันเวลาใกล้จะมาถึง ก่อนหน้าวันที่จะเสด็จ อาตมาก็ เดินทางโดยรถไฟจากหัวลำโพงพร้อมคณะ ไปตอนเย็น..เช้าสว่าง ถึงสถานีทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช รถจอด ๑๕ นาที คณะที่ไป ด้วยก็ลงไปซื้ออาหาร ก็นำหนังสือพิมพ์ติดขึ้นมา ปรากฏว่าหนังสือ พิมพ์ไทยรัฐพาดข่าวตัวโตในทำนองว่า ฤาษีลิงดำใช้อิทธิพลบีบ บังคับเจ้าคณะจังหวัด ให้ถอดถอนเจ้าอาวาส...ฯลฯ

    </dd><dd>(เรื่องนี้ผู้เขียนของดไว้ เพราะผู้อ่านทราบความจริงกันดี อยู่แล้ว แต่จะขอเล่าแทรกไว้สักนิดว่า วันที่ท่านออกเดินทางจาก กรุงเทพฯ ตรงกับวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๑๙ แล้วไปพักค้างคืน ที่บ้านพักรับรองของท่านอธิการบดีสมัยนั้น ภายในมหาวิทยาลัย สงขลานครินทร์ กลางคืนวันที่ ๒๕ ก็มีการถวายสังฆทานกัน

    </dd><dd>พอถึงรุ่งเช้าวันที่ ๒๖ หลวงพ่อพร้อมด้วยหลวงปู่ทั้งหลาย ก็ได้ออกมายืนรอกันอยู่ที่หน้าบ้านพัก พอดี คุณเหม่ มีกล้องถ่าย รูป จึงขอให้หลวงพ่อและหลวงปู่ รวม ๘ องค์ (ความจริงงานนี้มี หลวงปู่กล่อม เจ้าอาวาสวัดบุปผาราม ฝั่งธนบุรี ไปร่วมงานด้วย แต่ท่านแยกไปพักต่างหาก) ยืนถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึก

    </dd><dd>เพราะเจ้าของบ้านบอกว่า ต้นไม้ที่ขึ้นเป็นเถาอยู่หน้า บ้านนี้ ปกติไม่เคยออกดอกเลย แต่ครั้งนี้ได้ออกดอกเป็นสีส้ม บานสะพรั่งงามดีเหลือเกิน รูปภาพนี้ได้นำเผยแพร่ไว้บูชากันมา นานแล้ว ปัจจุบันนี้ท่านก็ได้มรณภาพไปหมดแล้ว โดยมี หลวงปู่ชัยวงศ์ เป็นองค์สุดท้าย)

    </dd><dd>กลับไปพูดถึงเรื่องสงขลา ตามหมายกำหนดการ พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จถึงประมาณ ๑๗ นาฬิกา ทรงเจิมเทียนชัยของสถานีตำรวจตระเวนชายแดนเขต ๓ ที่กองกำกับการเขต ๙ คือหลังจากทรงศีลแล้วก็ทรงเจิม หลัง จากนั้น อาตมาก็นำเสด็จสู่พระวิหาร ทรงบรรจุพระบรมสารีริก ธาตุ พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา กลับลงมาพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวถวายเครื่องไทยทาน พระสงฆ์ถวายพระพร ถวาย อดิเรก แล้วก็เสร็จพิธี

    </dd><dd>ต่อไปตามกำหนดการ เป็นการเยี่ยมเยียนประชาชน แต่ที่ไหนได้ เมื่อทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุแล้ว พระองค์ก็ ทรงพระเมตตามาตรัสถามเรื่องธรรมะ ความจริงที่ท่านถาม ไม่ได้ ถามเรื่องบ้านเมืองกิจการงาน เป็นเรื่องธรรมะ การปฏิบัติ วิปัสสนาภาวนา พระราชดำรัสที่ตรัสถาม อาตมาเกือบจะจน แต้มหลายหน

    </dd><dd>นี่พูดกันอย่างจริงๆ ของจริงเป็นของจริง เพราะว่าพระ ปรีชาสามารถที่ตรัสออกมา ทำให้อาตมาคิดว่า นี่พระองค์ทรง ปฏิบัติได้ดีจริงๆ ไม่ใช่ลอกตำรากัน ในช่วงเวลานั้น สมเด็จ พระบรมราชินีนาถกับสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงทั้งสองพระองค์ ก็เสด็จ เข้าเยี่ยมราษฎร แบ่งงานกันทำ

    </dd><dd>เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสร็จ ภารกิจจาก การสั่งสนทนากับอาตมาแล้ว ก็เสด็จไปร่วมเยี่ยมเยียนราษฎร คลุกคลีกับราษฎรอย่างกันเอง ประทับนั่งคุย ราษฎรหลาย คนน้ำตาไหลพราก โดยส่วนใหญ่ปลื้มปีติมาก ในเวลานั้น เลยแจ้งกับเจ้าหน้าที่ไปว่า ราษฏรที่เขามีเงินน้อย น่าจะให้เขา เอาสตางค์ใส่พาน ถ้าเขาอยากถวายพระองค์ เท่าไรก็ได้ ดีกว่าซื้อพวงมาลัย แต่เขาไม่ทำกัน

    </dd><dd>ความจริงในที่ทุกสถาน ถ้าเจ้าหน้าที่ประกาศว่า ราษฏร คนใดจะถวายพวงมาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัง สมเด็จ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สมเด็จพระเจ้า ลูกเธอละก้อ คิดเป็นเงินไปเถอะ แต่ไม่บังคับ มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ ไม่ต้องใช้พานก็ได้ ใช้มือส่งถวายท่านก็รับ อย่างนี้..จะมีประโยชน์ มาก ทีนี้กลับมาถึงเรื่องที่พระองค์ตรัสถามอยู่ตอนหนึ่งว่า

    </dd><dd>“ที่หลวงพ่อก็ดี อาจารย์องค์อื่นก็ดี มักจะขู่อยู่เสมอว่า คนที่เจริญสมาธิจะต้องมีศีลบริสุทธิ์ แต่กระผมเห็นว่า ถึงแม้ว่าศีลไม่บริสุทธิ์ก็เจริญสมาธิได้..?”

    </dd><dd>นี่สิ..บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เห็นน้ำพระทัยของ พระองค์ไหม เอาเวลาที่ไหนมาเจริญสมาธิ เหน็ดเหนื่อยทั้งวัน ทั้งคืน ตอนนี้อาตมาจึงได้ถวายพระพรว่า

    </dd><dd>“คนที่มีศีล บริสุทธิ์ หรือไม่มีศีลบริสุทธิ์ ก็มีสมาธิได้ ฝึกสมาธิได้ แต่ว่าผลย่อมต่างกัน ตอนที่คนที่มีศีลบริสุทธิ์ เขามีผลอย่างคนมีศีลบริสุทธิ์ คนที่มีศีลไม่บริสุทธิ์ ก็มีผล อย่างคนที่มีศีลไม่บริสุทธิ์”

    </dd><dd>แล้วก็ตอนหนึ่งที่พระองค์ตรัสว่า พระองค์หญิงวิภาวดี มีความปรารถนานิพพาน อัน นี้ถ้าจำพลาดไปก็ต้องขอพระราช ทานอภัย แต่คงไม่ผิดตามใจความ พระองค์หญิงวิภาวดีมีความ หวังตั้งใจเพื่อนิพพาน เห็นว่าจะเป็นการไกลเกินไป (หรือยังไง ไม่ทราบ หรือว่ายากเกินไป จะมีผลน้อย หรือจะไม่มีผลเลยก็ได้ เป็นความหมาย แต่ว่าพระองค์ไม่ได้ตรัสยาว)

    </dd><dd>อาตมาก็ได้ถวายพระพรว่า “สำหรับคนที่ตั้งใจจริง ย่อมมีผล เป็นของไม่หนักใน เรื่องพระนิพพาน”

    </dd><dd>นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท พระองค์ตรัสมากกว่านี้ พระองค์ตรัสไปก็ทรงดูอากาศไป ตรัสไป ม.ล.วรวัฒน บอกว่า ใช้เวลาทั้งหมด ๓๕ นาที..มืด เมื่ออากาศสลัวตาก็เปิดไฟฟ้า พระองค์ก็เสด็จลงไปเยี่ยมประชาชน มีคนบางคนเขาบอกว่า อาตมาไปหน่วงเหนี่ยมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เขามา แนะนำว่าอาตมานั่งที่เก้าอี้ พระองค์นั่งคุกเข่าก็ต้องลุกขึ้นยืน

    </dd><dd>ความจริงไม่พากย์กันไว้เสียก่อนนี่คนพากย์ เอ๊ย..คน บอกบท ไม่ได้บอกไว้เสียก่อน อยู่ๆ ก็คิดว่าเก้าอี้มีตั้งหลายตัว คิดว่าพระองค์จะประทับบนเก้าอี้ มาถึงปั๊บ..! พระองค์ทรง นั่งคุกเข่าลงข้างหน้า พระวรกายตรง..ตั้งตรง อาตมาก็ตกใจ

    </dd><dd>เออ..นี่คนชั้นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน มาถึงมานั่งคุกเข่าลงข้างหน้า ไอ้เก้าอี้เขาตั้งให้ก็เฉพาะกันพอดี ยกเท้าขึ้นมาพับเพียบก็ไม่ได้ เลยต้องนั่งห้อยขาคุยกับเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ แหม..นึกในใจว่า ไอ้เรานี่มันซวยจริงๆ ถ้ายกขาขึ้นมาทำท่าพับเพียบก็ต้องหล่นแน่ ดีไม่ดีก็ไปทับพระองค์เข้าอีก

    </dd><dd>เป็นอันว่า วันนั้นตามหมายกำหนดการก็ควรจะเสร็จเวลา ๖ โมงเย็น เมื่อเวลาค่ำแล้ว พระอาทิตย์ตกแล้ว เขาเปิดกระแส ไฟฟ้า พระองค์ก็เสด็จเข้าพลับพลาที่ประทับ ผู้ว่าราชการจังหวัด ก็เชิญบุคคลที่จะโดยเสด็จพระราชกุศลมาถวายเงิน กี่สิบราย อาตมาจำไม่ได้ รายละ ๕,๐๐๐ บาท

    </dd><dd>อันนี้น่าจะขอบใจท่านผู้ว่าราชการจังหวัดคน นั้น และ ขอบคุณในความดีของบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน ที่เขาถวาย เงินโดยเสด็จพระราชกุศล แล้วก็มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัด จัดการเรื่องทะนุบำรุงบริเวณเขตนั้นที่เขาถวายไว้ ทั้งพระ ทั้ง วิหาร ทั้งที่ดิน

    </dd><dd>ถ้ามีอะไรบกพร่องสลายตัวลงไป ต้องซ่อมแซม โดยจะ ใช้เงินจำนวนนั้นเข้ามาบูรณะปฏิสังขรณ์ หน้าที่ของอาตมาใน การที่จะต้องเข้าไปยุ่งกับพระพุทธรูปองค์นี้ ก็หมดไปตั้งแต่ บัดนั้นเป็นต้นไป เพราะมอบหมายการบำรุงรักษาไว้กับเจ้าคณะ จังหวัด และผู้ว่าราชการจังหวัดแล้ว

    </dd><dd>องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเวลานั้น ก็ทรงแสดง ความเมตตา ถามว่าใครเป็นเจ้าของที่ ท่านก็เรียกผู้ว่าราชการ จังหวัด เรียก ร.ต.ต.ชัยณรงค์ เจ้าของที่เข้าไปเฝ้าพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ไม่ได้ทรงยืนหรือนั่งอยู่เฉยๆ ให้คนเข้าไปหา ทรงเดินออกมาหาเขาด้วย

    </dd><dd>แหม..แสดงพระองค์วันนั้นเห็นชัด เห็นชัดว่าไม่ได้ ทรงถือตัวว่าเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นกันเองกับบรรดา ประชากรทั้งหมด ยังความปลาบปลื้มปีติยินดีให้กับประชาชน คนที่น้อมเกล้าฯ ถวายของทุกอย่างแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ วันนั้นว่ากันหมดกระเป๋า มีอะไรก็ถอดถวายกัน ปลื้มใจ..ดีใจ บางคนกราบถวายบังคมทูลด้วย ร้องไห้ไปด้วย น้ำตาไหลไปตาม ๆ กัน ไม่ใช่บางคน..หลายคน!

    </dd><dd>วันนั้นอาตมาจะต้องเข้าพิธีพุทธาภิเษกที่ กองกำกับการ ตำรวจตระเวนชายแดน เขต ๙ จังหวัดสงขลา ซึ่งมี พ.ต.อ. เจิดจำรัส เป็นผู้นิมนต์ไว้ คิดว่าจะเข้าไปในพิธีประมาณ ๑ หรือ ๒ ทุ่ม กว่าจะออกจากที่นั่นได้ หลังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จกลับ เห็นจะเป็นเวลาประมาณ ๒ ทุ่ม พอพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับ ก็มีคนเข้ามาหา ขอน้ำมนต์บ้าง ขอให้จับศีรษะบ้าง..ว่ากันไป!

    </dd><dd>ความจริงมันเหนื่อยมาตั้งแต่เช้า ร่างกายก็ไม่ค่อยดี ป่วยด้วย ลูบกันไปคลำกันไป กว่าจะเสร็จพิธีก็เกือบ ๔ ทุ่ม เข้าไปถึงกองกำกับการเขตฯ รถกำลังแน่น เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ ต้องขอทางให้ ไปถึงก็ไปนั่งอ่อนใจหาที่อาบน้ำ กว่าจะเข้าพิธี กับเขาได้ก็นาน

    </dd><dd>พิธีการวันนั้น ไปนั่งปลุกเสกอยู่พักหนึ่งแล้วก็นอน มันไม่ไหว นอนตื่นขึ้นมาประมาณตีสอง ก็ว่ากันใหม่อีกที เรียกว่าวันนั้นก็เหมา คือปลุกทั้งคืน แต่ความจริงไม่ได้เต็มคืน หรอก เข้าก็ดึก ดึกมากก็พัก พัก..เช้ามืดตื่นขึ้นมาก็ว่ากันไป สะดวกดีเหมือนกัน


    อนุโมทนา

    </dd><dd>เป็นอันว่า ชาวสงขลาที่รัก และชาวกระบี่ ชาวภูเก็ต ชาว ตรัง ชาวพังงา ชาวสตูล ชาวปัตตานี ยะลา นราธิวาส โอ๊.. เยอะแยะที่ใกล้ๆ พากันไปที่นั่น อาตมาขอขอบคุณท่าน การขอบคุณก็น่าจะขอบคุณบรรดาประชาชนทั่วประเทศไทย ที่เมตตาสงเคราะห์อาตมา จะไปทางไหนก็สงเคราะห์ที่นั่น ด้วยจตุปัจจัยบ้าง

    </dd><dd>โดยเฉพาะในการก่อสร้างวิหารคราวนี้ อาตมามอบภาระ ในการก่อสร้างให้ หม่อมหลวงวรวัฒน นวรัตน ลูกศิษย์คนสนิท แท้ ๆ นะ ท่านผู้นี้ก็มีคุณอย่างเลิศ เจ้าหน้าที่การช่างก็แสนจะดี ทำงานทุกอย่างโดยไม่เรียกค่าจ้างรางวัล สำหรับ ม.ล.วรวัฒน นี่ อาตมาให้ฉายาพิเศษว่า “ขุนกระบี่” เพราะว่าทำงานดี อ่อนน้อม แล้วก็การทำงานคล่องตัวมาก

    </dd><dd>เป็นอันว่า กิจการงานทุกอย่างสำเร็จขึ้นมาได้ เพราะ อาศัยความสามัคคีของท่านพุทธบริษัท หลายท่านถวายเงินโดย เสด็จพระราชกุศล ในการสร้างวิหารทานคราวนี้ ฝ่ายผู้ว่า ราชการจังหวัดบอกว่ามากเกินไป จนกระทั่งแบ่งเอาไว้ถวาย ในวันหลัง ที่เห็นกำลังใจศรัทธาของบรรดาพี่น้องชาวสงขลา และหาดใหญ่ มีน้ำใจประกอบไปด้วยความดี คือมีกุศลศรัทธา เป็นกรณีพิเศษ ยากที่เราจะพึงหาได้ เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ พระองค์ท่านได้ทรงรับไว้ ไม่เคยเอาติดกระเป๋ากลับไป มอบไว้ เป็นการบำรุงวิหาร...”


    บรรยากาศในวันนั้น

    </dd><dd>เรื่องนี้ยังมีเรื่องที่จะเล่าจาก ม.ล.วรวัฒน ต่อไปอีกว่า “ข้าพเจ้านึกเป็นห่วงว่า วันที่ “ในหลวง” เสด็จ ถ้าฝนตกประชาชน ที่มาเฝ้ารับเสด็จจะเดือดร้อน เนื่องจากไม่มีเต้นท์สำหรับราษฏร จึงให้ นายปลั่ง ขาวบาง บน กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ขออย่าให้ฝนตกในบริเวณงานวันนั้น ขณะที่กำลังมีงาน
    <table width="97%" align="center" border="0" cellpadding="2" cellspacing="1"><tbody><tr><td><dd>แต่หลวงพ่อบอกว่า เสด็จในกรมฯ ไม่ทรงรับการบนครั้งนี้ ท่านอธิบายว่า ในหลวงเป็นคนมีบุญมาก ไปที่ใดฝนต้องตก อย่างน้อยที่สุดต้องโปรยลงมาเป็นละออง จะห้ามไม่ให้ตกเลยนั้น ห้ามไม่ได้ ปรากฏว่าวันงานตั้งแต่เช้าขึ้นมาแสงแดดแจ่มใส แต่พอตกตอนสายเมฆรวมตัวกัน เหมือนเป็นร่มคันใหญ่มหึมา แผ่บางๆ กั้นกันแดดไว้พอเย็นสบาย พอตกบ่ายก่อนถึงเวลา เสด็จประมาณ ๑ ชั่วโมง ฝนตกลงมาซู่หนึ่งแล้วหยุดตก เป็น อันว่าจริงตามธรรมเนียม...” </dd></td></tr></tbody></table>





    </dd>

    [​IMG]

    [​IMG]


    บทความเรื่องประวัติการสร้างพระวิหารน้ำน้อยนี้นำมาจากเวบตามรอยพระพุทธบาท ท่านสามารถเข้าไปหาอ่านเรื่องอื่นๆได้จากลิงค์ url ด้านล่างนี้ครับ

    http://tamroiphrabuddhabat.com/xmb/viewthread.php?tid=35#8

     
  19. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    ลูกไม่อยู่ในโอวาท/ลูกเตี่ยเถียงกัน


    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Doc/DSC_0224_zpsrpng98nh.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Doc/DSC_0224_zpsrpng98nh.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0224_zpsrpng98nh.jpg"/></a>

    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Doc/DSC_0232_zpsfwnunapg.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Doc/DSC_0232_zpsfwnunapg.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0232_zpsfwnunapg.jpg"/></a>

    (จากคอลัมภ์หลวงพ่อตอบปัญหาในธัมมวิโมกข์ เดือนพฤษภาคม 2531 หน้า 19-20)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2020
  20. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    จิตชอบปรามาสพระ/กินข้าวก่อนพระ


    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Doc/DSC_0238_zpsqcz2oolb.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Doc/DSC_0238_zpsqcz2oolb.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0238_zpsqcz2oolb.jpg"/></a>

    (จากคอลัมภ์หลวงพ่อตอบปัญหาในธัมมวิโมกข์ เดือนพฤษภาคม 2531 หน้า 27)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2020

แชร์หน้านี้

Loading...