เรื่องเด่น รวมหลวงพ่อตอบปัญหา/จากคำบอกเล่า

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 21 กรกฎาคม 2012.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    หลวงพ่อเล่าเรื่องน้ำมันในอ่าวไทยต่อครับ


    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0201.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0201.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0201.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0205.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0205.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0205.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0206.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0206.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0206.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0212.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0212.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0212.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0216.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0216.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0216.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0223.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0223.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0223.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0224.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0224.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0224.jpg"/></a>

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 10 หน้า 82 - 88)

    ตามอาฆาต

    ผู้ถาม : กราบเท้าพระเดชพระคุณหลวง
    พ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกมีเรื่องกลุ้มที่ขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงานจนกระทั่งเขาลาออกจากราชการแล้วยังไม่พอ แกได้ผูกอาฆาตพยาบาทลูกไว้ว่า ฉันจะไม่ยอมออกฟรีๆ ฉันจะต้องเล่นงานแกแน่ๆ ความจริงลูกไม่กลัวหรอก แต่กลุ้มใจว่าถ้าโดนไม้นี้จริงๆ แล้วจะแก้ไขอย่างไร ก็ขอพึ่งหลวงพ่อเพื่อขอให้หลวงพ่อช่วยแก้ไข เพราะมีเหตุการณ์เริ่มเกิดขึ้นแล้วดังต่อไปนี้...

    ในขณะพอลูกนอนเคลิ้มๆ จะเห็นเงาดำๆ
    เพียงแค่ซีกเดียวมาปรากฎ ลูกก็เลยยิ่งกลัวใหญ่ ปากก็ร้องว่าหลวงพ่อช่วยด้วยๆๆ แต่มองดูรูปหลวงพ่อแล้ว รูปภาพหลวงพ่อก็เฉยไม่ช่วยเลย ลูกเลยมาขอกราบบารมีองค์จริงดีกว่า เพื่อจะมีการแนะนำให้หายกลัวจากเรื่องนี้

    หลวงพ่อ : มันไม่จำเป็นต้องช่วย เพราะมา
    ครึ่งเดียว โธ่เอ๊ย ! มาขาเดียวแขนเดียวนี่ ก็ปล่อยมัน ไม่เป็นไรหรอก รับยันต์เกราะเพชรหรือเปล่าล่ะ

    แล้วก็ถ้าเห็นภาพนะภาวนา "สัมปจิตฉามิ" ขับมันเลย

    ถ้าป้องกัน ป้องกันก่อนก็ภาวนา "สัมปติฉามิ" สัก 3 ครั้ง อย่างนี้กันนะ

    ถ้าเห็นภาพก็ "สัมปจิตฉามิ"


    ผู้ถาม : ถ้าหากว่ากัน "สัมปติฉามิ"
    ถ้าหากว่าขับก็ "สัมปจิตฉามิ"

    อย่างนี้ต่อไปก็ไม่ต้องกลัวซิ ได้คาถาสองบทแล้ว


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 124 เดือนมิถุนายน 2534 หน้า 34-35)


    พระสยามเทวาธิราช


    ยกทรง ถามเรื่องพระสยามเทวาธิราชว่า

    "หลวงพ่อครับ อยากเรียนถามว่าพระสยามเทวาธิราช ท่านให้คุณให้โทษทางไหนแก่ผู้บูชาหรือถวายสักการะแบบไหน ท่านจึงจะชอบใจและถูกใจขอรับ ?"

    พระสยามเทวาธิราชนี่นะเริ่มมีเมื่อสมัยก่อนรัชกาลที่ 4 มีนะ แต่ก่อนพระเจ้าแผ่นดินสมัยนั้นก็บูชาเทวาชื่อนั้นชื่อนี้ที่เป็นญาติผู้ใหญ่เป็นคนสำคัญ ขออย่างนั้นอย่างนี้

    ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 4 ท่านเป็นนักปราชญ์ เป็นนักบาลี ก็มาตั้งชื่อใหม่ว่า "พระสยามเทวาธิราช" หมายถึงว่า เทวดาทั้งหมดที่รักษาประเทศสยาม

    ทีนี้ที่ถามว่าให้คุณให้โทษทางไหน ให้โทษนี้ก็ไม่ทราบ ให้คุณนี่ก็ไม่รู้ แต่ท่านเป็นเทวดาเอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ

    เมื่อปี 2518 ปีนั้นพระเจ้าอยู่หัวนิมนต์เข้าไป ที่ไปพระที่นั่งไพศาลทักษิณ พอเข้าไปทำบุญวันจักรี พอเข้าไปนั่งปั๊บไม่ต้องคุยกับใครละ บรรดาพระสยามเทวาธิราชมากันเยอะแยะเลย
    โอ้โฮ้ไม่ใช่องค์เดียว 2 องค์นะ ไม่ทราบว่าจะมากเท่าใดในบริเวณเต็มไปหมด ไม่ใช่เฉพาะในวังนะ เราก็ชักสงสัยว่าองค์ไหนชื่อ พระสยามเทวาธิราช

    พอถามว่าองค์ไหนชื่อ พระสยามเทวาธิราช ให้บอก ชี้องค์นั้นก็ไม่ใช่ ชี้องค์นี้ก็ไม่ใช่ ต่างคนต่างบอกชื่อของตัวหมด ก็เลยนึกขึ้นมาว่า เออ ยังไงเทวดานี่ เลยบอกว่าถ้าไม่ใช่พระสยามเทวาธราช แล้วมาทำไมล่ะ พระเจ้าอยู่หัวก็ดี พระราชินีก็ดี ท่านทำบุญเพื่อพระสยามเทวาธิราช
    ท่านก็บอกว่า เขาอยากเรียกผมอย่างนั้นทำไมล่ะ ผมไม่ได้ชื่อนั้นนี่

    ก็รวมความว่าพระสยามเทวาธิราชจริงก็เป็นเทวดาที่รักษาประเทศไทยทั้งหมด สมัยก่อนเรียกประเทศสยาม ใช่ไหม

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 204 เดือนมีนาคม 2541 หน้า 23)

    งานสาธารณประโยชน์ เป็นบารมีเร่งรัด


    "ถึงแม้หลวงพ่อมรณภาพแล้ว แต่ก็ยังอยู่ใกล้ลูกตลอดเวลาตามที่หนังสือเขียนไว้ว่า

    ขอลูกทั้งหลายจงอย่าถือขันธ์ 5 ของพ่อนี่เป็นสำคัญ ปฏิปทาใดที่เป็นที่ชอบใจ ไม่เกินวิสัยของลูก ขอลูกจงทำ และจงรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ ขณะใดที่ใจของลูกยังรักษาอภิญญสมาบัติไว้ รักษาปฏิปทาสาธารณประโยชน์ ขณะนั้นลูกจงภูมิใจไว้ว่าพ่ออยู่กับลูกตลอดเวลา

    อันนี้แหละมั่นใจได้เลยครับ อยากจะถามญาติโยมว่า อยากจะให้หลวงพ่อมาอยู่กับเราตลอดกาลตลอดสมัยไหม ?"

    อันที่จริงพวกเราทำอะไร ก็อยากจะให้หลวงพ่อรู้ อยากให้หลวงพ่อทราบ อยากให้หลวงพ่อโมทนา มีปัญหาอะไรก็อยากให้หลวงพ่อช่วย หลวงพ่อแก้ปัญหา สิ่งที่มันทุกข์ยากให้ผ่านพ้นไป เจตนาของหลวงพ่ออยากจะให้รักษาอภิญญาสมาบัติไว้ จะเป็นมโนมยิทธิก็ดี รักษาศีล ภาวนาก็ดี และอีกอย่างงานสาธารณประโยชน์

    คือหลวงพ่อตั้งศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดารนี่ ต้องการสงเคราะห์คนที่ไม่มีโอกาส ทีนี้หลวงพี่ก็มีความคิดอยู่ว่าจะทำยังไง ถึงเป็นงานสาธารณประโยชน์ให้แก่คนที่ด้อยโอกาส

    ก็มีอยู่ครั้งหนึ่ง มีคนที่หน่วยฝีมือแรงงานจังหวัดนครสวรรค์ คือ ชอบกัน มาหาและคุยกันบอกว่าที่หน่วยนี้ สอนอาชีพทุกอย่างตั้งแต่ช่าง ก็บอกว่าที่นี่หลวงพ่อก็สงเคราะห์เด็ก เขาก็บอกว่าเขาก็สงเคราะห์เหมือนกันพวกช่างยนต์ ช่างไฟฟ้าฯ เขาจะสอน 10 เดือน ครบ 10 เดือนแล้วออกไปทำงานได้เลย

    เราก็บอกว่า ตอนนี้หลวงพ่อก็สงเคราะห์เหมือนกันแต่เกี่ยวกับนักเรียน หลวงพี่ก็มาคิดว่า ถ้าจะแจกเป็นอาหารก็ดี เสื้อผ้าก็ดี แจกเท่าไรก็คงไม่พอหรอก เพราะว่าไปใช้ประโยชน์ได้น้อย แต่ถ้าเราสงเคราะห์เด็กอย่างนี้จะใช้ประโยชน์ได้มาก คือเขาสามารถจะช่วยเหลือตัวเองได้เลย

    ทีนี้การเรียนที่นี่ต้องมีทุนเรียน ทุนละประมาณ 7,500 บาทต่อคน จึงมาคิดว่าถ้าเรามาให้การสงเคราะห์อย่างนี้ คือเราไม่ได้จำกัดจำนวนเท่าไหร่ เราได้ทุนมา 2 คน ก็ส่ง 2 คน ได้มา 5 คน ก็ส่ง 5 คน เราไม่ได้บีบบังคับอะไร พอคุยอย่างนี้หน่วยฝีมือแรงงานก็ทำเรื่องเข้ากรมเลยว่า เราจะทำงานกับสายงานของเขา

    ที่หน่วยนี้ก็พอดีมีคนของเราไปอยู่ในนั้น คือเดิมก็จบ ป 6 นี่แหละ แต่ไปเรียนเกี่ยวกับช่างอ๊อก อ๊อกจนฝรั่งพอใจ ไปเรียนที่เมืองนอก ตอนนี้กลับมา มาเป็นอาจารย์ที่นี่ กลับมารวยเลย ฝรั่งให้เงินเดือนตั้ง 5-6 หมื่น เป็นช่างมีระดับ คือแข่งกันแล้วได้ระดับที่ 2 ของประเทศ ตอนนี้กลับมาเป็นอาจารย์อยู่ในหน่วยพัฒนาฝีมือแรงงาน

    "แล้วงานของศูนย์ฯเก่าๆ จะทำไหมครับ ?"

    ศูนย์ก็ทำเหมือนเดิมแหละ ตอนนี้ก็เก็บเสื้อผ้าตลอด เก็บใส่ถุงพลาสติคมัดปาก ของผู้หญิง ผู้ชาย ขนาดเด็ก ผู้ใหญ่ แยกขนาดไว้เลย ถ้ามีสาขาใดต้องการก็มอบให้ไปแจกเลย ตอนนี้มีเสื้อผ้าเป็นรถบรรทุกเหมือนกัน

    "คือไปนึกถึงได้ที่หลวงพ่อบอกว่า บารมีเร่งรัด หรือ เร่งรัดบารมี คือการทำงานสาธารณประโยชน์ จุดที่ว่านี้ก็คือตัวเร่งรัดบารมี ใช่ไหมครับ ?"

    ใช่ เพราะว่าเราทำ เราไม่ได้หวังผลตอบแทนนี่ เราเสียสละ การทำงานอย่างนี้หลวงพ่อเคยพูดเหมือนกัน ท่านบอกว่า พวกแกนี่นะถ้าทำงานสาธารณประโยชน์อย่าหวังผลตอบแทนจากคน

    ถ้าหวังผลตอบแทนจากเด็กหรือจากคน ถ้าคนคนนั้นอกตัญญูขึ้นมา เราจะเสียกำลังใจ เราจะไม่ทำงานต่อ ทำให้ทำทิ้งและทำเพื่อพระนิพพาน

    ถ้าเราตัดอย่างนี้กำลังใจของเราจะสูง เมื่อกระทบสิ่งไม่ถูกใจ เราก็ไม่เสียใจ เพราะเราไม่หวังผลตอบแทน

    เราหวังผลตอบแทน คือพระนิพพานเท่านั้น


    (จากคอลัภม์ "จากคำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 148 มิถุนายน 2536 หน้า 94-96)



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2021
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    รวมตอบปัญหาเรื่องเจ้าแม่กวนอิม


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  3. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    อานุภาพยันต์เกราะเพชร

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/1460340636694.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/1460340636694.jpg" border="0" alt=" photo 1460340636694.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/1460340649542.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/1460340649542.jpg" border="0" alt=" photo 1460340649542.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/1460340664830.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/1460340664830.jpg" border="0" alt=" photo 1460340664830.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/1460340676542.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/1460340676542.jpg" border="0" alt=" photo 1460340676542.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/1460340697534.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/1460340697534.jpg" border="0" alt=" photo 1460340697534.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/1460340926793.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/1460340926793.jpg" border="0" alt=" photo 1460340926793.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/1460340889912.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/1460340889912.jpg" border="0" alt=" photo 1460340889912.jpg"/></a>

    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 6 ฉบับที่ 56 หน้า 32 -36)

    ทุกท่านสามารถเข้าไปอ่านทั้งฉบับได้ที่ E-Book ในเวบวัดท่าซุงตามลิงค์ url ด้านล่างนี้ครับ

    http://thasungmedia.com/wat/puy/ebook/2556/dummavimok252856/#/1/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กุมภาพันธ์ 2020
  4. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    พระศุกร์เล็งพระเสาร์

    ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าคะ ปีนี้โหรเขาทำนายว่าพระศุกร์เล็งพระเสาร์ ว่าจะไม่ดีต่างๆนานา หนูจะใช้ "คาถาเงินล้าน" ที่แจกใหม่ฉบับล่าสุดไปภาวนา จะแก้ได้หรือเปล่าเจ้าคะ ?

    หลวงพ่อ : ที่จะแก้นี่นะ มันจะผิดกฎหมาย ถ้าแก้เขาให้แก้กันในห้อง อย่างนี้ไม่ถือว่าแก้ เราทำตามกำลังเราให้สูงขึ้น ไม่ถือว่าแก้นะ แต่กำลังเราสูงขึ้น เขาจะลงโทษได้ไม่มาก อันนี้เมื่อกี้นี้คุยกับพระอยู่

    ผู้ถาม : เป็นอย่างไรบ้างคะ ?

    หลวงพ่อ : เรื่องภัยการแทรกของฐานะ ของมันทั่วโลกใช่ไหม ? ถ้าเป็นพิธีนะ ท่านองค์แรกก็คือพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ต้องพบท่าน ก่อนนี้กับพระปัจเจกพุทธเจ้าคุยกับท่านอยู่ พักแล้วขยับตัวออกไป ถ้าพบท่านประเดี๋ยวองค์ปฐมก็มา และพระพุทธกัสสปก็มา สมเด็จพระพุทธทีปังกรก็มา คุยไปคุยมาถามถึงความเป็นมาของคาถาต่างๆ

    องค์ปฐมท่านบอกว่า “เรื่องลาภนะ สมเด็จพระพุทธกัสสปหนักที่สุด และรองลงมาคล้ายคลึงกันก็คือ สมเด็จพระพุทธทีปังกร”

    ก็เลยถามท่านว่า พระพุทธเจ้ามีบารมีเต็มเหมือนกัน ทำไมแตกต่างกันเรื่องลาภ ท่านบอกว่าสุดแล้วแต่การเริ่มต้น คู่อันไหนแรงกว่ากัน คู่การให้ทานมากกว่ากัน อย่าลืมว่า สมเด็จองค์ปฐมก็ดี องค์พระพุทธทีปังกรก็ดี พระพุทธกัสสปก็ดี องค์ปัจจุบันก็ดี ปูให้พวกนี้ทั้งนั้นแหละ นี่คาถาบทนี้ละท่านคุมนะ ท่านชี้เลยพระพุทธกัสสปคุม ที่ให้ทั้งหมดนี่แหละ ท่านบอกเลยที่ให้พระพุทธกัสสปคุมเพราะว่าลาภท่านมาก

    เวลาว่า (สวดคาถาเงินล้าน) เรามีความมั่นคงจริง และทำเป็นสมาธิ ภาวนาไว้สม่ำเสมอ ให้จิตเอาจริงนะ จะไม่เดือดร้อนตามที่เราคิด เราสบายใจได้

    ผู้ถาม : ไม่ต้องไปเห็นพระเสาร์พระศุกร์อะไรนะครับ ?

    หลวงพ่อ : อันนี้ เดี๋ยว ๆ พระศุกร์เล็งพระเสาร์หรือพระเสาร์เล็งพระศุกร์ ถ้าพระศุกร์เล็งพระเสาร์ก็เบาหน่อย ถ้าพระเสาร์เล็งพระศุกร์ ก็หนักหน่อย เดี๋ยวเสาล้มทับเข้า

    อันนี้ไม่เป็นไรนะ อันนี้ท่านให้เพื่อหาทางหลีกอยู่แล้ว กฎของกรรมประเภทนี้เราหลีกไม่ได้กัน ทำกำลังใจให้สูงขึ้น เมื่อกี้นี้พูดกัน ท่านบอกว่าเรื่องนี้ต้องมอบเป็นภาระของสมเด็จพระพุทธกัสสป ท่านหนักในลาภ

    แล้วองค์ปฐมท่านก็บอกว่า สมเด็จพระพุทธทีปังกรนี่องค์หนึ่ง ท่านเรียกมา มานั่งคุยกัน แต่ว่าลีลาต่างกันนิดหนึ่ง

    สมเด็จพระพุทธทีปังกรมีกำลังแข็งมาก สู้แรงมาก

    พระพุทธกัสสปท่านนิ่มนวลในลาภมหาศาล

    แต่ลาภมหาศาลทั้งคู่ ท่านก็เลยบอกว่าให้เป็นหน้าที่ของทั้ง 2 องค์





    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 6 ฉบับที่ 58 หน้า 59-60)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มีนาคม 2020
  5. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    เรื่องของท่านแม่ศรีและหลวงพ่อในอดีต

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/0.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/0.jpg" border="0" alt=" photo 0.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/1_12.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/1_12.jpg" border="0" alt=" photo 1_12.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/2_13.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/2_13.jpg" border="0" alt=" photo 2_13.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/3_10.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/3_10.jpg" border="0" alt=" photo 3_10.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/4_7.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/4_7.jpg" border="0" alt=" photo 4_7.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/5_6.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/5_6.jpg" border="0" alt=" photo 5_6.jpg"/></a>

    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 47 หน้า 4 - 8)


    ด้านบนนี้นำมาจาก E-Book ในเวบวัดท่าซุง ท่านสามารถหาอ่านได้จากลิงค์ url ด้านล่างนี้ครับ

    http://thasungmedia.com/wat/puy/ebook/index.php
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กุมภาพันธ์ 2020
  6. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735

    ท่านที่ไปพิธีสะเดาะเคราะห์เมื่อวานที่วัดท่าซุงแล้วต้องการเอาไก่ถวายพระหรือบูชาครูบาอาจารย์ตามที่หลวงพ่อได้แนะนำเอาไว้ในวิดีโอ รายละเอียดอยู่ในเรื่องด้านล่างนี้แล้วครับ

    และเหตุที่ทางวัดจัดงานบวชเณรทุกเดือนเมษายนของทุกปีตั้งแต่สมัยหลวงพ่อยังอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ เพราะเหตุอะไรอ่านรายละเอียดด้านล่างนี้ได้เช่นกันครับ


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    (จากธัมมวิโมกข์ พฤษภาคม 2532 หน้า 51 - 57)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2016
  7. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    DSC_0022.jpg

    ปลาเลี้ยงพระ

    "ที่หลวงพ่อท่านว่า ลูกหลานฉันมีศรัทธาเป็นอจลศรัทธาแล้ว มีความดีพอสมควรแล้วนี่ท่านรู้ของท่าน ทีนี้ หลวงพี่เจ้าอาวาสนี่มีลูกหลานบริวารตามมาเท่าไรไม่ทราบครับ"

    (หัวเราะ) ฉันไม่มีลูกหลาน มีแต่พี่เเต่น้องเท่านั้นเอง (หัวเราะ) มันเหมือนพี่น้องเพื่อนฝูงกัน พี่น้องกัน เพราะว่าทำงานทุกอย่าง แม้แต่เป็นพระในวัดก็จริง ถือว่าเป็นพี่เป็นเพื่อนเป็นพี่น้องกัน การอยู่ร่วมกันก็จริง ถือว่าอยู่เหมือนพี่เหมือนน้องเหมือนเพื่อนฝูง ไม่ได้อยู่อย่างเป็นหัวหน้าอะไร แต่ทำงานแบ่งงานกัน คนนี้ถนัดทางนี้ได้ทำงานนี้

    ธรรมวิโมกข์ท่านอาจินต์เขาทำ ก็มีกลุ่มของเขาทำ อย่างเรื่องวัตถุมงคลท่านวิรัชถนัดเรื่องนี้ก็ไปคุมงานด้านนี้ อย่างพระสุรจิต พระสมพงษ์ ก็ไปคุมเรื่องโรงเรียน ก็แบ่งงานกันไป พระที่มีความถนัดเรื่องป่าก็ไปอยู่ป่า ชำนาญเรื่องก่อสร้างไปคุมงานก่อสร้าง

    เป็นช่างตอนนี้ทำแพอยู่หลังสวยนี่ พระท่านออกแบบเองทำเอง ใช้ลูกบวบเหล็กทำ ไปดูสิแพเริ่มออกแล้ว เริ่มสวย จะทำอย่างนี้สามหลังนี่ เพราะว่าได้เงินที่เลี้ยงปลามาประมาณล้านหนึ่งแสนบาท สำหรับปลาเลี้ยงพระ พระเลี้ยงปลา อะไรอย่างนี้ ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน

    "แค่ปลาเลี้ยงพระเป็นระดับล้านเลยหรือ"

    ล้านกับหนึ่งแสนกว่าบาท ในตอนนี้นะ

    "ปลาเขาเลี้ยงวิธีไหนถึงได้มีเงินมากมายขนาดนั้น อยากได้ยุทธวิธีไว้ครับ"

    หลวงพ่อท่านไม่อยากให้พระนี่เป็นผู้ที่ว่าสำอางค์ สำอางค์มันก็ทำงานอะไรก็ทำไม่ได้ กินข้าวแม้แต่ล้างชามก็ล้างไม่ได้ ท่านไม่ให้ฝึกอย่างนั้น ถ้าฉันหมดให้เก็บไปเลย ให้ไปล้างเองอะไรเอง เช็ดเก็บให้เรียบร้อย ไม่ว่าจะพระอาวุโสไม่อาวุโสก็ช่างเถอะ ช่วยกันทำทั้งนั้น

    พอเราล้างพวกเศษอาหารก็เป็นอาหารของปลา เลี้ยงหมาก็เป็นบุญ เลี้ยงปลาก็เป็นบุญ ทีนี้ก็เกิดปลามันมามากใช่ไหม ชาวบ้านเขาก็ให้เด็กขายข้างบน ทีนี้หลวงพ่อก็บอกว่า เออ...ให้ใครไปขายข้างล่างนะ ถ้าได้กำไรมาบ้าง ก็เอามาเลี้ยงพระ

    ทีนี้ก็เอาเศษอาหารพวกอาหารปลา ก็รับเลี้ยงมาสักสองปีกว่า ร่วมสามปีก็แล้วกัน ได้เงินมาประมาณล้านกับหนึ่งแสนกว่าบาท เขาบอกว่าสำหรับค่าอาหารพระ

    ทีนี้ก็มีอยู่คราวหนึ่ง เกิดคนเขาไปฝึกกรรมฐานกันนี่นะ ฝึกไปฝึกมาเขาเลี้ยงปลาอยู่ บอกหลวงพี่ฉันจะเอาปลามาปล่อยวัด บอก เออเอามาได้ ตอนฉันเพล เอ๊..ใครมันโยงเรืออะไรมาวะ ที่แท้มันไปอยู่ตรงโป๊ะที่เขาเลี้ยงปลา เลยเอามาปล่อยทั้งโป๊ะเลย (หัวเราะ)

    "โอ้โฮ้...เอาอย่างนั้นเลย"

    เอามาโป๊ะหนึ่งเลย เป็นพันๆตัว เอากระชังมาปล่อยทั้งกระชังเลย กระชังที่เขาเลี้ยงที่เมืองอุทัยน่ะนะ ก็เอาเรือดึงมา มาปล่อย ปล่อยเต็มที่เลย ทีนี้ ก็บอกกับปลาว่า วันอาทิตย์นะมึงก็กินกันจนไม่ค่อยขึ้นมาผุดเลยนะ พอวันจันทร์ก็อดเหมือนกูเลย (หัวเราะ)

    เสาร์อาทิตย์คนไปวัดใช่ไหม ก็ไปเลี้ยงเสาร์อาทิตย์ ตรงกันพระก็กินกันไม่หมดใช่ไหม พอวันจันทร์คนเขากลับกันหมดแล้ว ก็อดเหมือนเรา

    "จริงๆนะ พระจะอุดมสมบูรน์ก็วันเสาร์อาทิตย์นี่นะ วันเทศกาล ชีวิตอันเดียวกันนะ"

    ชีวิตเดียวกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน

    "ฉะนั้นปลาต้องช่วยพระต่อไปนี้"

    ก็ยังไม่ได้เบิกเงินมาใช้เรื่องอาหารเท่าไร

    "อืม.. อัศจรรย์จริงๆนะ ขนาดปลาเลี้ยงพระได้ระดับล้านนี่ สองปีหรือครับ"

    ประมาณสองปีครึ่งนี่แหละ สองปีครึ่ง ทีนี้คนมาวัดก็ไปหาปลาก่อน เพราะว่าเด็กนี่ไปแล้ว มันอดไม่ได้ พอเห็นปลาขึ้นละก็เรียกแม่เจี้ยวแล้ว ต้องซื้อให้ เพราะปลามันเชื่องนี่ อ้าปากลูบหัวลูบอะไรได้

    "แล้วไม่มีใครมากวนเหรอครับ"

    ก็มี มีคนมาลักเหมือนกัน ทีนี้ธรรมดาเอาข่ายลงนี่ ทหารก็ลงไปลากด้วย ก็ให้ลงข่ายละ ทีนี้เอาหม้อแบตฯใส่เรือมา ช๊อตตักเลย

    ตานี้ตรงวัดข้างๆกัน คือวัดยาง เขาก็มีกรมประมง เขามาลอกโคลนแม่น้ำสะแกกรัง ลอกไปลอกมามันก็เอาโป๊ะมาจอดใกล้ๆตรงวัดยาง คงกินปลาวัดไปหลายตัวเหมือนกัน พอกินปลาวัดก็ต้องกินเหล้าสิ ทำแป๊ะซะกันกินเหล้า กินเหล้าพอเมาก็คลานลงน้ำเลย ลงน้ำก็ไปลอยเอาเช้า (หัวเราะ)

    "ตายเลยหรือ"

    ตาย เขาก็ลือกัน เนี่ย...มันกินปลาวัดท่าซุงมันถึงตาย รุ่งขึ้นอีกวันมันย้ายแพไปไหนเลย ตายโหงไปแล้ว จะตายจริงหรือเปล่ามันผสมโรงอยู่แล้วคนเรา



    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 160 เดือนมิถุนายน 2537 หน้า 71-72)


    D27B397E-BDC1-472B-B85B-1854AAD4D043_zpsqpr9d6c2 (1).jpg

    เรื่อง สะเดาะกุญแจ

    มีอยู่คราวหนึ่งนะเรื่องนี้ ที่เรื่องสะเดาะกุญแจนี่ ไม่ใช่ฉันสะเดาะเองหรอกนะ หลวงพ่อท่านจะไปจันทบุรี ไปปีละครั้งสมัยก่อนไปบ้านคุณสมบูรณ์ เวสารัชชานนท์

    คุณสมบูรณ์ สมัยก่อนจริงๆแกไม่ค่อยเชื่อ นินทาได้ตอนนี้แกตายไปแล้ว (หัวเราะ) แกเพิ่งตายทีหลังหลวงพ่อได้ไม่กี่วัน ก็งานศพหลวงพ่อยังมากันเลย ยังคุยกันเอิ๊กอ๊ากๆ หัวร่อกันดี หัวร่อไปหัวร่อมา ไม่ถึง 50 วันหรือไง

    "50 วันแล้วครับ"

    50 วันนี่ยังมา พวกเรายังบ่นกันอยู่ว่า ยังมาล้อเล่นว่า นี่โกนหัวไปครึ่งแล้วยังไม่มาบวชอีกหรือ (หัวเราะ) กลับไปได้อาทิตย์หนึ่งก็ตาย คุณสมบูรณ์นี่แกเล่าให้ฟัง ใครว่าหลวงพ่อดีนี่แกไม่เชื่อ พี่สาวเขาเล่าว่าหลวงพ่อเก่งอย่างนั้นอย่างนี้แกก็ไม่เชื่อ

    มีอยู่คราวหนึ่งก็ขับรถให้แม่ พี่สาวนั่งข้างหลังกับแม่ แกเป็นคนขับรถ พี่สาวก็อ่านหนังสือดังๆให้แม่ฟัง แกก็ขับรถไปด้วย ฟังไปด้วย ไม่เชื่อพี่สาวนี่ ฟังไปเรื่อย เอ๊ะ พระองค์นี้ดีจริงๆ พูดดีพูดตรงนี่

    แกไปถามพี่สาวว่าพระองค์นี้อยู่ที่ไหนก็เสียเหลี่ยม (หัวเราะ) ไปค้นหา ไปวัดอโศการาม ไปสืบที่อื่น จนได้หนังสือมาเล่มหรือสองเล่มนี่ แล้วไปให้ คุณจีรศักดิ์ พูนผล นี่เล่มหนึ่ง เพื่อนกัน วิศวกรเหมือนกัน

    พออ่านเล้วก็ติดตามมาหาหลวงพ่อ ทีนี้คนเรานี่ พวกโหงวเฮ้งแข็งก็ไม่ค่อยเชื่อ อย่างด๊อกเตอร์ปริญญานี่ก็ไม่ค่อยเชื่อ (หัวเราะ)

    "เชื่อครับ ผมเชื่อ"

    ไม่ค่อยเชื่อง่ายๆ คุณสมบูรณ์ก็หัวพอพอกัน ไม่ค่อยเชื่อ หลวงพ่อก็ไปบ้าน เขาก็ต้อนรับดีนะ ทีนี้ตอนขากลับ คุณสมบูรณ์แกก็ขับรถมาส่งหลวงพ่อที่กรุงเทพฯ ง่วงนอน ก็ทำยังไง หลวงพ่อบอก บูรณ์ เอ๊ะ กุญแจมันไม่เห็นมีที่ไข มันไขยังไงวะ กุญ
    แจบางอย่างมันมีแม่เหล็กทาบที่ก้นน่ะ ใช่ไหม แล้วไม่มีกุญแจไขเข้าไปยังไง แล้วเอาแม่เหล็กทาบมันจะลั่นโป๊ะออกมา

    หลวงพ่อก็จับ เอ๊ะ..บูรณ์ มันไขทางไหนวะนี่ คุณสมบูรณ์นี่ขับรถง่วงแล้ว จันทบุรีมาวัดท่าซุง มันไขทางไหนวะนี่ พอจับลั่นโป๊ะออกไป โอ้โฮ.. คนง่วงๆตกใจ ตกใจตาสว่างเลย ทีนี้ไม่ต้องแล้ว ท่านจับมันลั่นออกไปเองอย่างนี้ ไม่ธรรมดาแล้วๆ เราไปจับดูมั่งซิ (หัวเราะ)

    เขาจับนี่มันขาววับเลยนะ ไอ้เราก็ยังพยายามไม่พอเนอะ แหม... แค่เหลืองนี่ หลวงปู่ปานบอกจับจนขาววับเลย โอ้โห สมัยก่อนใครเขาว่าเรียนวิศวะช่างกลอะไร ต้องไปแทง
    ตะไบจนมือถลอกปอกเปิก เดี๋ยวนี้ไม่ต้อง มันจ้างเขามาเจีย พวกเรียนเขาว่าอย่างนั้นนะ
    ต้องให้แทงตะไบแทงเหล็กนี่ ฝึกความอดทน สมัยก่อนพวกวิศวกรต้องอดทน สมัยใหม่เจียหมดเลย จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้เขาเล่าให้ฟัง

    หลวงพ่อก็บอกว่า คนเรานี่มันชอบอภิญญา 99 เปอร์เซ็นต์ จะไปสอนสุกขวิปัสสโกเฉยๆ มันไม่ดึงดูดความสนใจ ท่านจึงเอาอภิญญามาเติมเล็กเติมน้อยอยู่นี่ พอมีศรัทราปุ๊บ ท่านก็สอนธรรมะเข้าไป ใช่ไหม ท่านไม่ได้เอาอภิญญามาโลดโผน

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 164 พฤศจิกายน 2537 หน้า 92-93)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 สิงหาคม 2021
  8. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    เวลาเพลจริงๆกี่โมงกันแน่ลองอ่านหลวงพ่อตอบคำถามด้านล่างดูครับ

    จากธัมมวิโมกข์ ฉบับรวมเล่มปีที่ 1  หน้า 555.jpg

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับรวมเล่มปีที่ 1*2523*1-8 หน้า 555)

    พระฉันอาหารเลยเที่ยงได้ไหม

    ผู้ถาม : ฆราวาสถือศีล 6 ได้ไหมคะ ?

    หลวงพ่อ : ได้ ศีล 1 ยังได้เลย ศีลข้อที่ 6 อะไรล่ะ ?

    ผู้ถาม : วิกาลโภชนา...ค่ะ แต่ว่าหนูทำงานเลิกเที่ยง แล้วอย่างนี้จะรักษาศีลข้อนี้ได้ไหมคะ ?

    หลวงพ่อ : ถ้าเที่ยงแล้วเรายังไม่เลิกทำงาน ก็ถือว่าเราจะกินข้าวไม่เกินบ่ายโมงหรือบ่ายสองโมง ตั้งเวลาไว้เลย ใช้ได้ ไม่ใช่ 2 ชั่วโมงกิน 2 ชั่วโมงกินก็ต้องคิดเหมือนกันนะ

    ผู้ถาม : (หัวเราะ)

    ผู้ถาม : ถ้าหากเป็นพระ ฉันอาหารเลยเที่ยงได้ไหมคะ ?

    หลวงพ่อ : เวลาเดิมของพระจริงๆ ตามวินัยนี่มันไม่ใช่เลิกฉันเที่ยง พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าพระอาทิตย์ตรงศีรษะเริ่มฉันได้ แต่อย่าให้เงาพระอาทิตย์เลย 2 นิ้ว ความจริงท่านสั่งให้ฉันเที่ยงแต่เงาเลยไป 2 นิ้วไม่ได้ 2 นิ้วไม่ใช่น้อยนะ

    มาตอนหลังเลื่อนเข้ามาฉัน 5 โมงเลิกเที่ยง เวลานี้ไปถือตามพระวินัยแบบนั้น ชาวบ้านเขาถือว่าเลยเที่ยงไปแล้วฉันไม่ได้หาว่าพระกินเลยเวลา

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับรวมเล่มปีที่ 1*2523*1-8 หน้า 555)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2020
  9. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    "ด้วยพระบารมี" เป็นเรื่องจากประสบการณ์หลังจากท่านผู้เขียนศรีเสาวภาได้เข้ามาปฏิบัติธรรมกับองค์หลวงพ่อแล้ว



    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0044_10.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0044_10.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0044_10.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0045_7.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0045_7.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0045_7.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0050_6.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0050_6.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0050_6.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0053_8.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0053_8.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0053_8.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0060_6.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0060_6.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0060_6.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0064_6.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0064_6.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0064_6.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0066_7.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0066_7.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0066_7.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0068_2.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0068_2.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0068_2.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0075_7.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0075_7.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0075_7.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0076_4.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0076_4.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0076_4.jpg"/></a>

    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 46 หน้า 97 - 106)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2020
  10. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    ด้วยพระบารมี (2) ต่อจากด้านบน


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 47 หน้า 108 - 120)

    นำมาจาก E-Book ของเวบวัดท่าซุง ท่านสามารถเข้าไปหาอ่านเพิ่มเติมได้จากลิงค์ url ด้านล่างนี้ครับ

    http://thasungmedia.com/wat/puy/ebook/index.php

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 เมษายน 2016
  11. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    [​IMG]


    (จาก ธัมมวิโมกข์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 46 หน้า 74)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2016
  12. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0112_4.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0112_4.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0112_4.jpg"/></a>
    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 13 หน้า 22)

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0122_4.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0122_4.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0122_4.jpg"/></a>
    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 13 หน้า 19)


    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0115_4.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0115_4.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0115_4.jpg"/></a>
    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 13 หน้า 21)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2020
  13. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 47 หน้า 121 - 124)

    เรื่องด้านบนนี้นำมาจาก E-Book ของเวบวัดท่าซุง ท่านสามารถเข้าไปหาอ่านเพิ่มเติมได้จากลิงค์ url ด้านล่างนี้ครับ

    http://thasungmedia.com/wat/puy/ebook/index.php
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2016
  14. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]

    (จากหนังสือ "ตายไม่สูญ..แล้วไปไหน" หน้า 95-96)

    เรื่องด้านบนนี้นำมาจาก E-Book ของเวบวัดท่าซุง ท่านสามารถเข้าไปหาอ่านเพิ่มเติมได้จากลิงค์ url ด้านล่างนี้ครับ

    http://thasungmedia.com/wat/puy/ebook/index.php
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤษภาคม 2016
  15. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735


    พระอาจารย์ชัยวัฒน์ อชิโต แห่งวัดท่าซุง เทศน์เนื่องในวันมาฆะบูชา (22/02/59) ณ พระพุทธบาทหินดาด อ. เลาขวัญ จ. กาญจนบุรี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2020
  16. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    23.jpg 28.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2020
  17. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    คาถาอนัตตา

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 3 ฉบับที่ 23 หน้า 182 - 186)

    หลวงพ่อตอบปัญหาด้านบนนำมาจาก E-Book เวบวัดท่าซุง ท่านสามารถเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่ลิงค์ url ด้านล่างนี้ครับ

    http://www.thasungmedia.com/wat/puy/ebook/index.php


    [​IMG]
     
  18. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    00010.jpg 49749291_10157024478379329_7075251634183340032_n.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2020
  19. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    [​IMG]

    พระราชชีวประวัติของท่านแม่จามเทวี แห่งนครหริภุญชัย




    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    (จากธัมมวิโมกข์ กันยายน 2540 หน้า 100 - 106)
     
  20. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    ถูกต้อง.jpg สัมปจิตฉามิ.jpg

    เรื่อง หลวงตาจันทร์พูดถึงหลวงพ่อ

    (มีโยมผู้หญิงเล่าให้ฟังว่า ไปกราบหลวงตาจันทร์มา แล้วท่านพูดให้ฟังว่า)

    "ท่านบอกว่า หลวงพ่อเรานะ 10 ปี
    ก็ยังไม่ตาย 100 ปีก็ยังไม่ตาย อยู่ตลอดกาลเจ้าค่ะ หมายความว่าอย่างไรคะ"

    "โอ้..ต้องถามพระครูเจ้าอาวาส คนอื่นตอบไม่ได้ คนอื่นตอบไม่ได้ รับรอง"

    เออๆ คือ ร่างกายของท่านไม่เผานะ ยังอยู่ไปตลอด ยังอยู่ (หัวเราะ)

    "ตราบใดที่ไม่เผา ตราบนั้นก็ยังอยู่ โอหลวงตาจันทร์พูดถูกเนอะ (หัวเราะ) ตอบไม่ให้
    ใครเถียง ไม่ให้ใครย้อนถาม"

    คิดเป็นธัมมะ ก็เพราะว่าคำสอนของท่านนี่ เป็นคำสอนที่มายึดพระพุทธศาสนา นี่ก็พูดเฉพาะพวกเรา ให้เหมือนสมัยพระพุทธโฆษาจารย์ มาบูรณะแล้วก็มาทำให้เพื่องฟูอีก
    วาระหนึ่ง

    หลวงพ่อก็รับช่วงนั้นมา มาถึง 2,500 ปีนี่ มาต่ออีกช่วงหนึ่ง ช่วงนี้หลวงพ่อมาฟื้นฟู เป็นคนที่กล้าพูดว่า นรกมีจริง สวรรค์มีจริง ฉันไปเห็นมาแล้ว อย่างนั้นอย่างนี้

    "แล้วยิ่งร้ายไปกว่านั้น คือนิพพานมีจริงทั้งๆที่ทั่วจักรวาล 99 เปอร์เซ็นต์ เขาสอนนิพพานสูญทั้งนั้น มีหลวงพ่อยืนยันว่ามีนะ"

    แม้แต่อทิสสมานกายท่านก็ยังช่วยเราอยู่นี่ สังเกตดู ไปตามคนโน้น ไปตามคนนี้ ทำงานเรื่องวัดเรื่องวาก็ไม่มีอะไรหนักใจนี่ท่านช่วย

    คือว่า คำสอนก็ดี สรีระก็ดี อทิสสมานกายของท่านก็ดีที่นิพพานแล้ว ก็ยังมาช่วยสงเคราะห์คนโน้นคนนี้อยู่ตลอดที่ยังไม่นับถือท่าน อย่างที่ท่านเขียนว่า ถ้าลูกทุกคนรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ และรักงานสาธารณประโยชน์ ตราบนั้นพ่อจะอยู่กับลูกตลอดไป

    ทีนี้ พูดแล้วมันเป็นความจริงทุกอย่างนี่ ใช่ไหม อ้าว..พูดมากไม่ได้ เดี๋ยวไปอีกแล้ว

    "ทำไม เป่าปี่อีกแล้วเหรอ"

    นึกถึงท่านน้ำตามันไหลอยู่เรื่อย

    "เอ๊ะ ไอ้ขวัญมันพยากรณ์เป๊ะเลย แสดงว่าไอ้ขวัญมันมีอนาคตังสญาณ"

    เอ๊ พูดถึงตรงนี้ไม่ได้ เพราะว่ามันตรงทุกอย่างนี่ที่ท่านพูด เขาบอกใครไปทำอะไรที่เป็นสาธารณกุศลก็ดี บางทีเราก็เห็นยานัตถ์ุมาฟุ้งนี่ ความอบอุ่นก็เริ่มมาแล้ว ทำงานที่เป็นความดีสาธารณประโยชน์ หลายๆท่าน ทีนี้มันจะเข้ามาเรื่อย ส่วนมากยานัตถุ์นี่จะได้กันเยอะ พวกยานัตถุ์

    "จำกลิ่นไว้นะ ลูกสาวหมอมี กลิ่นมันจะหอมกว่า ถ้ากลิ่นฉุนๆ น่ะหลวงปู่ปาน ถ้าหากว่าไม่มีกลิ่นเลยก็เจ้าอาวาส (หัวเราะ) เพราะท่านสุกขวิปัสสโกนี่ หรือไง"

    ถ้ากลิ่นเหม็นๆ ก็เจ้าอาวาส (หัวเราะ)

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 163 เดือนตุลาคม 2537 หน้า 88-89)

    เรื่อง พิจารณาศพ

    "สมัยบวชใหม่ๆนี่ พิจารณาศพเคยไหมครับ แบบที่เปิดเห็นศพ"

    เคยเห็นศพก็เห็นตายแล้วนี่น่ะ ไปเห็นที่ในโลงเท่านั้นเอง ไม่ค่อยไปป่าช้า

    แต่พิจารณาศพนี่ดีอย่างหนึ่ง อย่างคุณที่ตายที่เครื่องบินนี่ คุณสุวิทย์หวั่งหลีน่ะ มีเงินเป็นหมื่นๆล้าน เรามองดู ก็อ๊อ.. ไม่มีอะไรเลย หมด ตายที่สูงเสียด้วย ก็มีเงินมากๆ ก็ยังช่วยไม่ได้

    อีตอนเราไม่มีเงิน มันก็อยากจะมี มันอยาก นึกว่าเงินนี่ช่วยได้ทุกอย่าง ที่จริงมันช่วยได้ไม่ทุกอย่างหรอก ตอนจะตายเงินกองอยู่ข้างตัวยังช่วยไม่ได้ หมออยู่ข้างตัวยังช่วยไม่ได้ แต่อานาปานี่ช่วยได้ ช่วยบรรเทาทุกขเวทนาลง คือหลบเลี่ยงได้ ตัวนี้ถึงอยากให้ทำกัน ได้ตัวนี้แล้วจะทรงตัวอื่นได้หมด

    ส่วนมากก็จะทิ้งตัวอานาปาเสียเยอะ ไม่ต้องเสียสตางค์เลย ตัวนี้บรรเทาทุกขเวทนาได้ จิตมันแยกออกจากกาย แยกในสมาธิ มันจะบรรเทาทุกขเวทนา นี่พูดถึงสมาธิเฉยๆ

    สมาธิดีแล้ว ปัญญามันเกิดง่าย ปัญญาของลูกศิษย์หลวงพ่อจะง่าย เพราะท่านสอนวิปัสสนาควบไปเยอะ พอจิตเป็นสมาธิปุ๊บมันจะเห็นอะไรง่ายไปหมด เพราะท่านแทรกซึมเคล้ากันไปหมดแล้วนี่

    บางคนก็เห็นว่าหลวงพ่อสอนมโนมยิทธินี่ ม้นฌานโลกีย์นี่ ก็จริง มโนมยิทธิเป็นฌานโลกีย์จริง แต่ว่าท่านไม่ได้สอนอย่างเดียวนี่ วิปัสสนาญาณก็สอนใช่ไหม ตัดขันธ์ 5 เห็นร่างกายเป็นทุกข์ อะไรอย่างนี้ เป็นวิปัสสนาญาณไปแล้ว ผสมผสานกลมกลืนไปหมดเล้ว

    "ปกติภาวนาเบื่อนี่ ก็สลับกับพิจารณาได้ ใช่ไหมครับ"

    ใช่ จิตบางคนนี่มันเบื่อภาวนา บางทีมันไม่เอา ภาวนามันเบื่อ ก็ต้องมาพิจารณา บาง
    ทีพิจารณาเบื่อ มันฟุ้งใช่ไหม มันฟุ้งเราก็ต้องปล่อยไป ตามดูมัน มันฟุ้งไปถึงไหน
    บางทีจับอานาปาไม่อยู่ อารมณ์จะคิดนี่ เราก็ต้องรู้จิตเรา มันคิดก็ต้องคิด คิดเราก็ดู
    ว่าคิดเรื่องอะไร ต้องตามดู

    "ที่เมื่อวานนี้พระครูบอกว่า อานาปาเป็นหัวใจสำคัญ แม้พระพุทธเจ้าอยู่ด้วยอานาปา
    อานาปาที่จับไม่อยู่นี่สิ ช่วยแก้ไข ช่วยแนะนำเพิ่มเติมเสริมต่อหน่อยเถอะ เพราะว่าได้แป๊บเดียว วิ่งจู๊ดเข้าบ้านไปโน้นไปนี่อีกแล้ว"

    อานาปา แปลเป็นไทย ก็คือรู้ลมหายใจเข้าออก เป็นกรรมฐานที่สำคัญที่สุด คือตัวนี้เป็นตัวกันอารมณ์ฟุ้งซ่าน ใช่ไหม เหมือนปวดหัวต้องพารา มันแก้กัน คือแก้อารมณ์
    ฟุ้งซ่าน ถ้าฟุ้งซ่านต้องจับอานาปา คือรู้ลมหายใจเข้าออก ตัวนี้เมื่อเวลาเราจะตายแล้วนี่ มันจะระงับความทุกขเวทนาทางร่างกายได้

    ถ้าได้กรรมฐานตัวนี้ตัวอื่นจะง่าย ง่ายกว่าตัวอื่นทั้งหมด อันที่จริงตัวนี้มันไม่ใช่ตัวง่ายนะ มันยากเหมือนกัน ไอ้ลมนี่นะ ทั้งๆที่เราหายใจเข้าออกทุกวันนี่ แต่มันก็ยากเหมือนกันไม่ใช่ง่าย


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 163 เดือนตุลาคม 2537 หน้า 93-94)

    วันเช็งเม้ง

    ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าขา วันเช็งเม้ง เขาไปไหว้พ่อแม่ปู่ย่าตายายกันที่ฮวงซุ้ย แต่ลูกคิดว่าการเดินทางไปกลับใช้เวลามาก เลยเปลี่ยนมาถวายสังฆทานกับหลวงพ่อแล้วอุทิศส่วนกุศลให้คุณพ่อที่ตายไปแล้ว อย่างนี้จะมีผลดีกว่าไปไหว้คุณพ่อที่ฮวงซุ้ยหรือเปล่าคะ ?

    หลวงพ่อ : อย่างนี้หลวงพ่อชอบ

    ผู้ถาม : หลวงพ่อเข้าใจตอบ

    หลวงพ่อ : ใช่ ตรงไปตรงมา สัจจวาจาใช่ไหม คือเป็นอย่างนี้นะ ว่ากันตามเรื่องจริงๆ นะ ถ้าเราไปไหว้ที่ฮวงซุ้ยเป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวที ใช่ไหม

    ถ้าเราทำบุญที่นี่ อุทิศให้ท่านก็เป็นการกตัญญูเหมือนกัน แต่ว่าถ้าเราไปไหว้ที่ศพ เอาของไปไหว้ที่นั่นผลมันไม่ได้ที่สวรรค์ ได้แต่ความกตัญญูกตเวที เราได้แน่แต่ผีไม่แน่ว่าจะได้อะไร

    ถ้าถวายสังฆทานเราก็ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ท่านผู้ใหญ่ที่เราคิดให้ก็ได้ด้วย ได้ผล 2 ประการ

    (จากธัมมวิโมกข์ เล่มที่ 168 เดือนมีนาคม 2538 หน้า 70)

    เรื่อง สร้างสมเด็จองค์ปฐมปางพระนิพพาน

    มีคนเขามาถามว่า ที่ธัมมวิโมกข์ลงว่าสร้างพระสมเด็จองค์ปฐมปางพระนิพพานนี่ จริงๆฉันเองนี่ไม่รู้ ตอนแรกนี่ไม่รู้ นึกเอ๊ะสร้างตรงไหนปางนิพพาน แต่หลวงพ่อสั่งว่าให้สร้างไว้ข้างบน เป็นพระอย่างพระวิสุทธิเทพ ข้างบนของพระองค์ปฐมอีกที


    "บนดาดฟ้าเลยหรือครับ แล้วจะขึ้นไปอย่างไร หรือไม่ให้ขึ้น"


    ไม่ให้คนขึ้น เอาพระขึ้นอย่างเดียว

    "อ๋อ ไว้มณฑปบนนู่น"

    เอ้อ มณฑปบน ธรรมดามณฑปหนึ่งจะมีพระอยู่ทุกองค์ใช่ไหม


    "ครับๆ"

    ไอ้เราก็ไม่รู้ไปถามก็อ้อ ตอนนั้นท่านสั่งไว้ ช่างเสริฐก็ไม่มีเวลา คงจะปั้นเป็นปูนละมั้ง ทีแรกไม่รู้นะเห็นเขาลงธัมมวิโมกข์ มีคนโทรไปถามเหมือนกัน ปรากฏว่าสมเด็จองค์ปฐมปางพระนิพพานไม่ทราบว่าเป็นมาอย่างไร ไปถามดูแล้วว่า หลวงพ่อสั่งไว้ให้สร้างปางพระนิพพานไว้ข้างบน ธรรมดามีพระพุทธรูปใช่ไหม มณฑปแก้วก็ดี มณฑปของท่านท้าวมหาราชก็ดี จะมีพระพุทธรูปตั้งข้างบน


    ดร.ปริญญา ปรารภว่า "ถ้าอย่างนั้นทำไมจะเป็นปูนล่ะหลวงพี่ หลวงพี่ก็ต้องบอกสิ บอกนี่มาหล่อกัน งานประจำปี ปีหน้า แล้วใครอยากจะถวายทองก็เริ่มถวายได้ ให้ช่างเสริฐเริ่มขึ้นแบบได้"


    หล่อเหรอ.. เออ..เอา

    "ที่เขาถามนี่เขาอยากจะทำบุญ"

    เขาทำไปบ้างแล้ว ไม่รู้เขาทำตรงไหนกัน

    "เอ้า ที่นี้ก็จะได้ประกาศเป็นเรื่องเป็นราวได้"


    จะหล่อเหรอ

    "หล่อสิครับ รับทองเลย เดี๋ยวถอดเลย นี่ทองแท้หรือเปล่านี่ ถอดถวายเลย ประเดิมจริงๆวันนี้เลย เอ้อ ตัดสินใจให้เด็ดขาด ถอดถวายเลย อานิสงส์บริสุทธิ์"


    ยกทรงถามว่า "ตะกี้ฟังไม่ถนัด อะไร หล่อรูปเจ้าอาวาสองค์ใหม่หรืออะไร ฟังไม่ค่อยถนัด (หัวเราะ) หูไม่ค่อยดีครับ"


    "หล่อรูปสมเด็จองค์ปฐมปางพระนิพพานไว้บนมณฑปสมเด็จองค์ปฐม ญาติโยมจะ

    ถวายทองคำร่วมหล่อก็ถวายมา จะถวายเป็นปัจจัยร่วมหล่อก็ถวายเข้ามา จะเริ่มบอกบุญตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป แล้วจะหล่อเอามีนาหน้า งานประจำปีโน้น"

    หล่อทุกปี ปีละองค์

    "แล้วรุ่นจ้าอาวาสจะหล่อ พ.ศ. อะไรครับ"

    หา !

    "อ้าว องค์โน้นก็หล่อแล้ว องค์นี้ก็แล้ว เมื่อไม่มีที่จะหล่อแล้ว ก็ต้องมาถึงคิวเจ้าอาวาสละ"

    (หัวเราะ) เอ้อ นึกไม่ออกเลย หล่อเข้าโลงล่ะสิ (หัวเราะ) วันเข้าโรงเลย เขาห้าม เดี๋ยวอายุสั้น

    "อ๊อ นี่ๆ เพิ่งนึกออก"

    ไม่รักกันจริงอีแบบนี้

    "ไม่รู้อะไร โบราณเขาห้ามนักห้ามหนา แหม...เข้าใจปัดออกได้ แล้วนิ่มนวลด้วยอย่างนี้"

    (จากธัมมวิโมกข์ เล่มที่ 163 เดือนตุลาคม 2537 หน้า 86-87)

    พระพุทธสิหิงค์.jpg
    เรื่อง..พระพุทธสิหิงค์

    พระพุทธสิหิงค์นี่ตามประวัติจริงๆ ท่านเป็นองค์จริง ท่านไม่ใช่องค์เทียม องค์ไหนองค์เทียมเราก็ไม่รู้ พระพุทธสิหิงค์ตามตำนานบอกว่าสร้างที่ลังกา แต่เวลาที่จะสร้างนี่ให้พระอรหันต์ ขอพระอรหันต์ขึ้นไปดูพระพุทธเจ้า ก็ไปขอดูพระรูปพระโฉมในสมัยที่เป็นมนุษย์ และก็ทำก็สวย องค์จริงๆสวยมาก แต่ว่าก็ไม่เหมือน ปั้นจะให้เหมือนกันไม่ได้ เพราะว่าคนปั้นไม่เห็นภาพ คนเห็นภาพเป็นคนบอก ก็ลำบากนะ ถึงยังงั้นก็ยังดี ก็ไปนั่ง นั่งดูจริงๆนะนั่งไม่เบื่อ องค์แท้นะ

    ทีนี้มีกี่องค์ก็ไม่ทราบ แต่เขาลือกันว่าแกหล่อเทียมไว้ก็มี ทางราชการเขาอาจจะเอาองค์จริงเก็บ เพราะว่าถ้าองค์จริง ราคาก็สูง ดีไม่ดีขโมยไปกินเสียอีก

    "อยู่ที่พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ใช่ไหมครับ ?"

    องค์เมื่อก่อนนี้อยู่ที่นั่น

    "เดี๋ยวนี้ก็คงจะอยู่"

    ที่ยังอยู่นั่น สงสัยองค์ไหน องค์พี่หรือองค์น้อง แต่ว่าองค์ที่ยังอยู่นี้ก็สวย สวย เราก็ไม่รู้ นั่งดูๆ แล้วก็ไม่เบื่อนี่ อย่างพระพุทธชินราชก็ไม่เบื่อ ที่ดีเพราะว่าให้เขาทำกันได้ เขาไปดูเขามาเองดีสบายใจ นี่พวกนี้แกไม่ต้องคือว่า ย้งงั้นก็ดีเพื่อความมั่นใจ

    ถ้าสงสัยกันทีก็นั่งหลับตากันที เขียนๆ ไปเดี๋ยวแกก็นั่งหลับตา พอลืมตาเขียนต่อไป เเต่ความจริงถ้าแกคล่องดีไม่ต้องไปหลับตา กำลังทำอยู่นี่มันจะได้ภาพตลอด ใช่ไหม อันนี้ก็ต้องใช้เวลานิดหน่อย คือว่าต้องใช้เวลานิดหน่อย ต้องใช้เวลานิดหน่อยนี่หมายความว่าอารมณ์ แต่เมื่อก่อนลำบากเหมือนกัน

    อย่างพระออกธุดงค์ พระออกธุดงค์นี่ต้องใช้อารมณ์ตลอด รักษาอารมณ์อยู่ตลอดเวลา ขณะเดินกันอยู่ขณะคุยกันอยู่ อารมณ์ก็ต้องสัมผัสกันตลอด เวลาคุยไปคุยมานี่ ใครมาจะได้รู้ คำว่าใครมาไม่ไช่โจรมา ผีมา จะได้รู้ผีชั้นไหนมา บางทีคุยๆกันปั๊บ อ้าวต้องเปลี่ยนเรื่องกันทันที เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเรื่องที่คุยนี่ผิด คุยไปๆ เราตีความหมายคำสอนพระพุทธเจ้า ความจริงธุดงค์จะคุยจ๊อกแจ๊กอย่างนี้ไม่ได้ จิตมันต้องคุมอยู่ตลอดเวลาเพราะเราไม่รู้ว่าเสือจะมากินเมื่อไหร่ ใช่ไหม

    ทีนี้ทั้งๆที่เราใช้อารมณ์อยู่นี่ เรื่องธรรมะพระพุทธเจ้าเนี่ยลำบาก ถ้าทำตามขั้นตามลำดับที่ ถ้าหากว่าเราทำไม่ถึงนะผิดแหง ตีความหมายผิด ผิดจริงๆ อย่างทำถึงปฐมฌานแล้วอธิบายฌานที่ 2 ผิด ได้ฌานที่ 2 แล้วไปพูดฌานที่ 3 ผิด รับรองว่าผิดต้องผิดแน่ๆ เพราะถ้าอารมณ์ไม่ถึงมาว่าทำไมจึงผิด

    เพราะว่า ความรู้สึกของเรา กับ อารมณ์ที่ได้จากจิต มันไม่เหมือนกัน ตีความหมายเอาเอง

    ของที่ง่ายที่สุดก็คือ วิตก วิจาร

    ปฐมฌานมีองค์ 5 มี วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา

    ถ้าฌานที่ 2 มีองค์ 3 มี ปีติ สุข เอกัดคตา ตัดวิตก วิจาร แค่นี้ เวลาปฏิบัติจริงไม่รู้ พอจิตเข้าถึงฌานที่ 2 ปุ๊บจิตตัดภาวนา มีปีติเต็มที่ เหลือปีติ สุข เอกัคคตาปั๊บมันก็สบายดิ่งจิตสงัด พอสงัดพอจิตตก สมาธิมันเคลื่อนปั๊บถึงอุปจารสมาธิ มันต้องค้างแค่นั้น นึกว่าตายหลับไปหรือไงหว่าเมื่อกี้นี้ แค่พุทโธจับต้นชนปลายไม่ถูก และก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร

    แค่นี้เคยอ่านหนังสือมันคล่อง เวลาปฏิบัติจริงไอ้ตัวดิ่งสงัดไป เพราะเราเคยหยาบ รู้ตลอดใช่ไหม ปฐมฌานมันรู้ตลอด รู้ทั้งคำภาวนา พอเราตัดวิตก ไอ้ วิตก แปลว่า ตรึก วิจาร แปลว่าตรอง นี่เราก็จำได้แต่เป็นตรอง ตรึกตรองเราภาวนาอยู่

    ไอ้ตัวนึกว่าจะภาวนามัน ตรึก(วิตก)

    ภาวนาถูกหรือผิด ครบหรือไม่ครบนี่ ตรอง(วิจาร)

    อันนี้ไม่เข้าใจ พอมันตัดมันก็ตัดตัวนี้ เพราะมันตัดที่ วิตก วิจาร มันตัดเองแล้วดิ่งสบายสงัด มันก็รู้สึกว่ามันไม่หลับ แต่มันสบายสงัดมาก พอจิตตกฮวบมา ความรู้สึกตัวเต็มที่ อ้าว..ตายเมื่อกี้หลับหรือไง เราไม่ภาวนานี่ แย่ จับภาวนาจับไม่ถูก แค่พุทโธสองคำไม่รู้จะเอาอะไรดี นอนด๊อกแด๊กๆ เคยเห็นหรือเปล่า

    "เคยครับ"

    นี่แค่นี้ ฉะนั้นพระที่เราไปคุยอะไรกับท่าน หากว่าท่านเข้าใจคิดว่าเราจะหาเรื่องธรรมะ แต่ท่านเข้าใจเรานะ หากว่าท่านเข้าใจเรา หากว่าท่านรู้ว่าเราไม่เอาถ่าน ท่านก็คุยได้ทุกอย่าง ถ้าคุยเอาเรื่องจริงๆ ท่านจะไม่คุยในส่วนที่ก้าวไปไม่ถึง อย่างจะไปหาท่านที่ได้ปฐมฌาน แต่ว่าฌานที่ 2 ไม่ได้ ท่านก็ไม่พูดเรื่องฌานที่ 2 ก็จะพูดเฉพาะปฐมฌานเพราะท่านรู้ถ้าขืนพูดไปก็ผิดเรื่องฌานที่ 2 ท่านก็ไม่ยอมพูดเรื่องฌานที่ 3 เพราะอะไร เพราะไอ้จุดที่ได้มาแล้วกับเราเข้าใจตำรามันต่างกันเยอะ ผลนะ


    (จากธัมมวิโมกข์ เล่มที่ 159 เดือนพฤษภาคม 2537 หน้า 15-17)

    พระศุกร์เล็งพระเสาร์


    ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าคะ ปีนี้โหรเขาทำนายว่าพระศุกร์เล็งพระเสาร์ ว่าจะไม่ดีต่างๆนานา หนูจะใช้ "คาถาเงินล้าน" ที่แจกใหม่ฉบับล่าสุดไปภาวนา จะแก้ได้หรือเปล่าเจ้าคะ ?

    หลวงพ่อ : ที่จะแก้นี่นะ มันจะผิดกฎหมาย ถ้าแก้เขาให้แก้กันในห้อง อย่างนี้ไม่ถือว่าแก้ เราทำตามกำลังเราให้สูงขึ้น ไม่ถือว่าแก้นะ แต่กำลังเราสูงขึ้น เขาจะลงโทษได้ไม่มาก อันนี้เมื่อกี้นี้คุยกับพระอยู่

    ผู้ถาม : เป็นอย่างไรบ้างคะ ?

    หลวงพ่อ : เรื่องภัยการแทรกของฐานะ ของมันทั่วโลกใช่ไหม ? ถ้าเป็นพิธีนะ ท่านองค์แรกก็คือพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ต้องพบท่าน ก่อนนี้กับพระปัจเจกพุทธเจ้าคุยกับท่านอยู่ พักแล้วขยับตัวออกไป ถ้าพบท่านประเดี๋ยวองค์ปฐมก็มา และพระพุทธกัสสปก็มา สมเด็จพระพุทธทีปังกรก็มา คุยไปคุยมาถามถึงความเป็นมาของคาถาต่างๆ

    องค์ปฐมท่านบอกว่า “เรื่องลาภนะ สมเด็จพระพุทธกัสสปหนักที่สุด และรองลงมาคล้ายคลึงกันก็คือ สมเด็จพระพุทธทีปังกร”

    ก็เลยถามท่านว่า พระพุทธเจ้ามีบารมีเต็มเหมือนกัน ทำไมแตกต่างกันเรื่องลาภ ท่านบอกว่าสุดแล้วแต่การเริ่มต้น คู่อันไหนแรงกว่ากัน คู่การให้ทานมากกว่ากัน อย่าลืมว่า สมเด็จองค์ปฐมก็ดี องค์พระพุทธทีปังกรก็ดี พระพุทธกัสสปก็ดี องค์ปัจจุบันก็ดี ปูให้พวกนี้ทั้งนั้นแหละ นี่คาถาบทนี้ละท่านคุมนะ ท่านชี้เลยพระพุทธกัสสปคุม ที่ให้ทั้งหมดนี่แหละ ท่านบอกเลยที่ให้พระพุทธกัสสปคุมเพราะว่าลาภท่านมาก

    เวลาว่า (สวดคาถาเงินล้าน) เรามีความมั่นคงจริง และทำเป็นสมาธิ ภาวนาไว้สม่ำเสมอ ให้จิตเอาจริงนะ จะไม่เดือดร้อนตามที่เราคิด เราสบายใจได้

    ผู้ถาม : ไม่ต้องไปเห็นพระเสาร์พระศุกร์อะไรนะครับ ?

    หลวงพ่อ : อันนี้ เดี๋ยว ๆ พระศุกร์เล็งพระเสาร์หรือพระเสาร์เล็งพระศุกร์ ถ้าพระศุกร์เล็งพระเสาร์ก็เบาหน่อย ถ้าพระเสาร์เล็งพระศุกร์ ก็หนักหน่อย เดี๋ยวเสาล้มทับเข้า

    อันนี้ไม่เป็นไรนะ อันนี้ท่านให้เพื่อหาทางหลีกอยู่แล้ว กฎของกรรมประเภทนี้เราหลีกไม่ได้กัน ทำกำลังใจให้สูงขึ้น เมื่อกี้นี้พูดกัน ท่านบอกว่าเรื่องนี้ต้องมอบเป็นภาระของสมเด็จพระพุทธกัสสป ท่านหนักในลาภ

    แล้วองค์ปฐมท่านก็บอกว่า สมเด็จพระพุทธทีปังกรนี่องค์หนึ่ง ท่านเรียกมา มานั่งคุยกัน แต่ว่าลีลาต่างกันนิดหนึ่ง

    สมเด็จพระพุทธทีปังกรมีกำลังแข็งมาก สู้แรงมาก

    พระพุทธกัสสปท่านนิ่มนวลในลาภมหาศาล

    แต่ลาภมหาศาลทั้งคู่ ท่านก็เลยบอกว่าให้เป็นหน้าที่ของทั้ง 2 องค์


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 145 เดือนมีนาคม 2536 หน้า 63-64)


    เรื่อง หลวงพ่อดุมากๆ

    มาหาท่านครั้งแรก ไอ้เรามันไม่เคยเจอพระดุ เราก็เดี๋ยวจะไปเดี๋ยวจะถามยังงั้นยังงี๊นะ
    รู้จักหลวงพ่อจากอ่านหนังสือหลวงปู่ปานอย่างเดียวครั้งแรกเลย ตอนนั้นบวชแล้วสิ
    มาท่านก็เลี้ยงหมาก๊อก ก๊อก ฉันเพลเสร็จท่านจะมาเลี้ยงหมาท่าน เป็นกะละมังๆเลยมา
    ตักทำเองเลย ท่านบอกให้พระเลี้ยงนี่หมามันจะติดสีเหลือง อย่างน้อยก็เป็นเทวดา เสร็จแล้วก็ไปล้างชามท่าน้ำนั่นน่ะ เลี้ยงปลาอีกที เรียกว่าปลาตะเพียนทอง มันก็มากิน ล้างกะละมังเสร็จก็กลับ

    เราไปใหม่ก็ไปนั่งรับท่านข้างใน โอ้โหตาท่านคมกริบ มองเพ่ง...ไอ้คนสมัยนี้มันบวช
    เป็นพิธีกรรมเท่านั้นแหละ มันบวชมันกลัวมีเมียไม่ได้มันถึงบวช

    ว่าเราหรือเปล่าวะเนี่ย ว่าเราหรือเปล่า (หัวเราะ) แข็งปักลงมาถึงใจเลยนะ ตอนหลังนี่

    "เดี๋ยวสิ เดี๋ยวสิ หลังจากนั้นมีอะไรต่อหรือเปล่า"

    ตอนนี้บอกไม่ได้ (หัวเราะ) เป็นความลับพูดเป็นสาธารณะชนไม่ได้ (หัวเราะ) โอท่านจวกปั๋งๆๆมาเลย

    "โดนดีเลยนะ"

    พระครูสุรินทร์ท่านก็มาฝากบอกว่า ฝากด้วยพระท่านอยากจะมาปฏิบัติธรรม ท่าน
    บอกระงับนิวรณ์ได้หรือยัง เราบอกนิวรณ์นี่อะไรวะ (หัวเราะ) ไม่ต้องรู้ว่ามีอะไรเลย คือ
    ไม่รู้เรื่องเลย

    "เรียกว่ามาอย่างบริสุทธิ์เลยนะ แหม..เอ้ออย่างนี้ก็ดีนะ ลูกหลานจะได้รู้ไว้"

    เราบอกอะไรวะตัวอะไรวะ ไม่รู้เรื่องเลย

    "นี่ต้องอย่างนี้เจ้าอาวาสต้องเก่งมาอย่างนี้นะ"

    บอกหลวงพ่อครับญาติผมที่อยู่นี่นครสวรรค์ แล้วก็แถวๆนี้แถวมโนรมย์นี่มีญาติ
    เยอะครับ มีพี่น้องอยู่แถวนี้ครับ ท่านบอก เออ..พี่น้งน้องไม่สำคัญน่ะ ระวังนะอย่าฟังเสียง
    นกเสียงกาหมาเห่าหมาหอนให้มากนักนะ เราก็เอ..หมายความว่ายังไงวะ คิดไปคิดมาพี่น้องเราด่าหลวงพ่อทุกคนเลย (หัวเราะ) ก็พี่น้องเราอยู่แถวนั้นใช่ไหม พี่น้องเกลียดหลวงพ่อทั้งนั้น ท่านถึงบอกว่าอย่าฟังหมาเห่าหมาหอนมากนัก

    ทีนี้วันแรกก็ ไอ้เราก็ส่วนมากอาบน้ำแม่น้ำน่านมา ถึงที่นี่มันก็น้ำประปาใช่ไหม ไอ้ตรง
    พระฉันเก่ามันมีอยู่ห้องหนึ่ง ก็อาบซู่ๆออกมา ฮื่อ..น้ำท่ามันก็มีอยู่ข้างๆ ไม่ใช่สำอางค์มาอาบน้ำนี่ (หัวเราะ)

    "อู้ฮู้..ประเดิมใหม่ๆเลยหรือ"

    "อู้ฮู้ จวก.. เขาให้คนอาบน้ำในแม่น้ำไงเล่า แถวนั้นเขาอาบน้ำในแม่น้ำกันทั้งนั้น ตั้ง
    แต่นั้นเข็ดเลยไม่อาบอีกแล้ว (หัวเราะ) ต้องอาบน้ำที่แพ ท่านประหยัด แถวนั้นไม่มีปลูก
    ดอกไม้อะไรหรอก ตึกเสริมศรีนะ เพราะว่าท่านให้ตักน้ำในแม่น้ำมารดนี่ (หัวเราะ) น้ำ
    ก๊อกอะไรนี่ท่านไม่ให้รดหรอก เพราะว่าเปลือง มันต้องใช้คลอรีน ต้องใช้ไฟฟ้าสูบมา ใครจะขยันนักล่ะ

    ทีนี้บางคนก็เอาน้ำประปาไปล้างรถ พอท่านเห็นท่านก็จวกเอา ไอ้ขี้ข้าไอ้พวกนี้ โอ้..ด่า
    เจ็บทั้งนั้นเลย

    "เรียกว่าล้างทีเดียวชาตินี้ไม่ได้ล้างอีกต่อไปเลย"

    ท่านเป็นคนละเอียดถี่ถ้วน ใช้คุ้มค่าเงินที่บริจาคไปนี่ใช้คุ้มค่า ไม่ฟุ่มเฟือย ท่านละ
    เอียดเรื่องเงิน แล้วไม่ไว้ใจคนหรอกเรื่องเงินน่ะ ต้องรู้ทุกอย่างเรื่องเงินทอง

    ทีนี้ก็เอ๊ะทำไมถึงดุ ชักกลัวละสิคราวนี้ ทีนี้ลงเทศน์เมื่อไรเอาเมื่อนั้น (หัวเราะ) ก็เทศน์
    กันที่แคบๆนี่อย่างกับห้องนี้ มันเล็กกว่าอีกนี่

    "ไม่มีทางหลบเลยหรือครับ"

    ก็หนีกันไม่จนหรอกมองเห็นกันหมด

    "อ๋อ..คนน้อยก็เทศน์คนมากก็เทศน์"

    เทศน์ ลงทุกวัน เราคุยกันอย่างนี้เราจะรู้เราคุยอะไรกันบ้าง ทีนี้มีพี่สะใภ้ท่านอยู่คน
    หนึ่งท่านก็เทศน์ เรื่องอะไร เรื่องคนในครัวนะ เออ..พระท่านก็บิณฑบาตมานะ ท่านก็ฉัน
    อย่างนั้น แต่อีแม่ครัวจัญไรนี่สิ มันต้องทำพิเศษกินอีก ท่านก็ว่า เราก็แหม...กูว่าแล้วมันต้องยายนี่แน่ เต็มที่เลย (หัวเราะ)

    พอตกกลางคืนเอาใหม่ท่านเทศน์อีก ให้ทุกคนมันดูตัวมันนั่นแหละ ไม่ใช่ไปดูตัวบุคคลอื่น ดูจิตของตัวเอง ไอ้ตัวมันเองดูตัวเองซะบาง อู้ฮู้...ว่ากูนี่หว่านี่ (หัวเราะ) ไม่ต้องไปฟ้องนะคิดในใจนะ เราคุยกันนึกๆว่าโอ้ว่ายายคนนั้นแหละ

    ครูบาอาจารย์นี่รู้จริงไม่มีโมเม ตอนหลังหลังนี่ชักเบาแล้ว ซักห้าปีสิบปีนี่นะ เบาเรื่องนี้ เมื่อก่อนนี่นะโอ้โฮ เรียกว่าพรรษาแรกพูดกันไม่รู้เรื่อง ว่าเอ๊ะหลวงพ่อทำไมถึงสั่งงาน
    อย่างเดียวกันนี่สามคนสี่คน สั่งคนนี้ พอเจอเราสั่ง เจอพี่โอสั่ง แต่งานอย่างเดียวกัน มัน
    เบลอเพราะกลัวกันนี่ เดี๋ยวมันไม่ทำ มันเบลอมันกลัวจนลานเกินไป

    "เรียกว่าพอเข้าไปใกล้ พอสั่งอะไรก็ ครับ ครับ ครับ"

    พระฉันอาหารกันท่านดูว่าเออ...พระฉันอาหารมีรสชาติอย่างไรบ้าง เป็นห่วง เเต่เมื่อ
    ฉันเสร็จแล้วสักพักหนึ่ง ท่านบอกว่าได้ยินเสียงหมามันกัดกันหรือไงนี่ (หัวเราะ)

    "อู้ฮู้ ใช้ศัพท์อย่างนั้นแลยหรือครับ"

    ใช้อย่างนี้ กินข้าวดังจ้วบๆนี่ มันไม่ใช่คนไม่ใช่พระหรอก คนก็ยังเลวเกินไปนี่เขาเรียกหมู หมูคือสัตว์เดรัจฉาน


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 162 สิงหาคม 2537 หน้า 80-82)




    เรื่อง พิธีสะเดาะเคราะห์

    สะเดาะเคราะห์นี่มันเป็นการบำเพ็ญ ไม่ใช่รับเคราะห์เขานี่ ต้องเชื่อกฎของกรรมอย่าง
    ที่พระพุทธเจ้าตรัส ไม่ใช่ว่าพอทำพิธีสะเดาะเคราะห์แล้วเคราะห์มาเข้าตัวเองอะไรอย่างนี้

    พิธีสะเดาะเคราะห์คือทำความดีหนีความชั่ว

    หมายความว่าช่วงจังหวะนื่ อกุศลกรรมมันจะมาทันเราพอดี ทันพอดีเลยเวลานี้ เราเดินมาพอดีมันก็ถึงพอดี แต่ถ้าเราวิ่งไวกว่ามันก็พลาดเหมือนกัน คือวิ่งสปีดให้มันไวกว่าปกติสักหน่อย

    มีอยู่คราวหนึ่งไปชลบุรีกับหลวงพ่อ มีหลวงพ่อ หลวงปู่ธรรมชัย ฉัน แล้วก็หลวงพี่โอ หลวงพ่อบอก เฮ้ย ! สามโมงออกเดินทางนะ สามโมงปุ๊บ นายทหารชั้นผู้ใหญ่ก็มา จะเจิมนั่นจะเจิมนี่ จะให้หลวงปู่ธรรมชัยเจิม หลวงพ่อท่านก็บอก หลวงปู่ เวลาก็ต้องเป็นเวลา ไป หลวงปู่ก็งง (หัวเราะ) หลวงพ่อดุนี่

    "อ๋อ..หลวงปู่นี่เคยถูกดุเหมือนกันเหรอครับ"

    โดน (หัวเราะ) หลวงปู่ธรรมชัยนะ หลวงปู่ธรรมชัย พอมาในรถท่านก็บอกตอนสามโมงน่ะ ที่ออกสามโมงนั่นน่ะ มันจะคลาดกันที่ตรงไหน รถมันจะชนกัน ถ้าเราไปช่วงหลังจากนั้นน่ะมันจะชนกัน ตรงนั้นเราไปไปชนกันพอดี เราไปช่วงนี้มันจะคลาดกัน
    ตรงนั้น

    สะเดาะเคราะห์มันมีอะไรล่ะ เราไม่ได้เรียกเป็นเงินเป็นทองห้าบาท สิบบาท ร้อยบาท
    พ้นบาท แต่แสนบาทเราก็เอาใช่ไหม (หัวเราะ)

    การเจริญภาวนาก็ถือว่าเป็นบุญ การฟังพระสวดอภิธรรมก็ถือว่าเป็นบุญ มีอานิสงส์
    ใช่ไหม การรักษาศีลก็ถือว่าเป็นบุญสะเดาะเคราะห์ เดินมานี่ให้ภาวนาว่าพุทโธ ก็เป็นพุทธานุสสติเป็นบุญใหญ่ ไม้ที่แตะนี่ (คธาเสก) ก็พระพุทธเจ้าทำใช่ไหม ก็เป็นพุทธานุสสติ บุญสามสี่อย่างมารวมกันนี่ มันก็มากกว่าธรรมดา มันก็เพิ่มพลังขึ้น ทำให้หนีได้เร็วขึ้น ไวขึ้น

    เอ้าหมดเวลาแล้วหรือ แหม กำลังมีเรื่องคุยหมดเวลาเสียได้

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 162 สิงหาคม 2537 หน้า 82-83)


    เรื่อง หมอรักษาโรคเอดส์

    นี่ถ้าใครเกิดเป็นโรคเอดส์นี่นะ เพื่อนฉันอยู่องค์หนึ่งเป็นพระ เพื่อนกันเลย ตอนนี้
    กำลังเริ่มดัง รักษาคนที่โรงพยาบาลตำรวจ เป็นพยาบาลอยู่หรือไงนี่ หาย พวกเอดส์หาย ไปสักสิบกว่าคนแล้วนี่ ท่านบอกว่าพระท่านช่วย บอกว่าหลวงปู่โต เป็นเพื่อนกันก็เลยคุยกัน

    ถามเป็นไงรักษาโรคเอดส์หายเป็นยังไง บอกว่ามันไม่ใช่อะไรหรอก เวลาคนป่วยมา
    หานี่เราก็ถามหลวงปู่โต ปู่โตก็บอกว่ามันเป็นกรรมน่ะ แกดูกรรมสิ ไอ้กรรมที่เคยทำมาก็ปรากฏขึ้น ก็ตกลงกับเจ้ากรรมว่าขอได้ไหม จะเอาอะไรล่ะ จะเอาอะไรล่ะ จะให้เขาทำให้ บางทีมันก็ไม่เอาหรอกมันจะเอาเรื่องอย่างเดียว เขาถึงต้องคุยว่าการจองเวรนี่แม้แต่เทวทัตยังลงนรกเลยใช่ไหม อภัยทานนี่มันจะเป็นผลดี ก็เทศน์โปรดน่ะ จนกว่ามันจะอ่อนว่าจะเอาอะไร

    มีอยู่คนหนึ่งก็จะตายแล้ว ก็มาหาพอคุยอย่างนั้นท่านก็บอกแกเอาเหรอ แกจะช่วย
    มันเหรอเนี่ยไอ้คนนี้น่ะ บอกช่วยครับ เป็นอย่างไรผมก็ยอม หลวงปู่โตท่านก็ยิ้ม พอ
    หลวงปู่โตยิ้มแกก็คุยกับเจ้ากรรมนายเวร เจ้ากรรมนายเวรก็บอกต้องให้บวชหมดเลยนี่ ไอ้เมียนี่ไม่ต้องบวชมันไม่สนใจหรอก มันไม่ได้เกี่ยว ลูกแก 3 คนนี่ต้องบวช และไอ้คนจะตายนี่ด้วย คนจะตายใช่ไหม ยังไงก็เอา รับปาก

    พอรับปากพอกลับไปบ้านก็แทบจะไม่ต้องกินยานี่ มันก็หายเลย ทีนี้ไอ้เมียก็บอกแกเพิ่งฟื้นไข้ใหม่ๆ แกอย่าเพิ่งบวชเลย ให้ลูกมันบวชไปเถอะบวชไปก่อน ไอ้เจ้านี่ก็ป่วยป่วยจนถึงกับผ่าตัด เขาบอกเป็นถึงกระดูก อะไรมันทับเส้นประสาท รักษาเท่าไรก็ไม่หาย

    ไอ้คนพระเพื่อนฉันนี่นะ ทีนี้ก็มีคนมาเยี่ยมก็ถามว่า เฮ้ย ! ไอ้คนที่มึงพามานี่มันบวชหรือ
    เปล่าวะที่มันแก้บนไว้มันบวชหรือเปล่า เขาบอกไอ้ลูกมันบวชหมดแต่พ่อมันไม่บวชหรอก มันบอกว่าป่วย หายไข้ใหม่ๆ จะมาบวชทำไม บอกเวลาจะตายก็มาหากูนี่ เวลาหายแล้วก็ไม่ทำตามอย่างนี้ กูนึกแล้วเชียวหลวงปู่โตถามยิ้มๆว่าแกจะเอาหรือ มึงกลับไปบอกไอ้คนที่มึงพามาให้มันทำตามพูด

    พอไปถึงทำตามพูดไอ้นี่ก็หายป่วย ก็บอก เออ...หลวงปู่โตพูดยิ้มๆ เราก็นึกว่าจะมีอะไร

    ทีนี้ท่านก็รักษาโรคเอดส์หายไปสักสิบคนได้ แต่เป็นยาอะไรก็ไม่รู้นะ มีการให้น้ำ
    เกลือด้วยนี่ ทางหมอโรงพยาบาลเขาก็ให้ถุงมือ ถุงมือเขาต้องสวมสองชั้นนะ แล้วก็มีอะไรก็ไม่รู้นะสวมหน้า ใส่แว่นตา อยู่ที่วัดขุยโพธิ์ จ.สุพรรณฯ เขาไปหาที่วัดไปคุยเป็นเพื่อนกัน เคยอยู่กันที่วัดนี่ แต่เขาไปสร้างวัดเป็นเจ้าอาวาส

    "ยังรักษาอยู่หรือเปล่าครับ"

    "รักษาอยู่ อาจารย์ยกทรงจะไปหาหรือไง" (หัวเราะ)

    เขาให้น้ำเกลือด้วย บอกว่าเป็นยาพวกพระท่านบอก ถ้าท่านทำอย่างนี้ได้มันเป็นหน้า
    ที่ของท่าน ก็ต้องทำอย่างนี้แหละ ก็ถือว่าทำเป็นธรรมทาน

    โยมท่านน่ะอยู่อุตรดิตถ์ร้องห่มร้องไห้ ไม่อยากให้ทำ กลัวว่าจะติดเอดส์มา แกบอกถ้ามันจะเป็นก็เป็นเองถือว่าป้องกันดีที่สุดแล้วนี่ โรคของกรรมไม่แบน่ะโยม ใครเป็นตอนนี้ก็โรคนำสมัย ถ้าเป็นพวกนี้แล้วนี่โรคอย่างอื่นมันแทรกซ้อนง่าย พอเขาเป็นอะไรเขาไอจามไข้หวัดเราก็ติด มันไม่มีภูมิคุ้มกันนี่

    "เป็นอันว่าเมืองไทยเราก็รักษาหายสิโรคแบบนี้"

    เขาบอกว่าถ้ารักษาเป็นมาตรฐานจะถวายสูตรนี้ให้แก่ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ แต่ว่าพวกยา
    โบราณส่วนมากเขาไม่ค่อยเชื่อเท่าไรหรอกมั้ง

    "มีคนอยากจะทราบว่าอยู่ที่ไหนครับ"

    อยู่ข้างวัดหลวงปู่ดดา เรียกว่า "วัดขุยโพธิ์" มะเร็งก็รักษาหายมาแล้วนี่ เส้นทางเดียวกับวัดหลวงปู่บุดดา ชื่อฉันเรียกเขาว่า "พระเดชะ" แต่เขาชื่อ "พระครูเกษมสุวรรณโพธิ์" เป็นเจ้าอาวาสวัดขุยโพธิ์ บอกเจ้าอาวาสวัดท่าซุงสั่งมา ต้องมีเส้นนะ บอกอย่างนี้เขาจะได้รู้ว่า เออ พระองค์นี้พวกกัน ไมใช่ว่าเส้นเข้าง่ายอะไร คนไข้ไม่มากเท่าไหร่

    "เอ้า ถ้าโยมไม่เชื่อว่าพระองค์นี้เก่งไม่เก่งนะ โปรดเป็นโรคเอดส์ซะก่อนแล้วก็ไปรักษา
    จะได้พิสูจน์กัน"


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 162 เดือนสิงหาคม 2537 หน้า 78-79)


    การงานจะสำเร็จด้วยการปฏิบัติธรรมอะไร

    ผู้ถาม : การงานทั้งหลายทั้งปวงจะสำเร็จลุล่วงได้นั้นจะต้องอาศัยธรรมอะไร และควร
    ปฏิบัติแบบไหนจึงดีขอรับ ?

    หลวงพ่อ : เอาอย่างย่อหรืออย่างยาวล่ะ ?

    ผู้ถาม : เอาทั้งสองอย่างเลยครับหลวงพ่อ

    หลวงพ่อ : อย่างย่อนะ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า "วิริเยนะ ทุกขมัจเจติ" บุคคลจะ
    ล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร อย่างหนึ่งนะ

    อย่างยาวก็มี 4 ข้อ ที่เรียกว่า อิทธิบาท 4 นะ คือ

    1. ฉันทะ มีความพอใจในกิจการนั้น
    2. วิริยะ มีความเพียรต่อสู้อุปสรรคเพราะงานทุกอย่างต้องมีอุปสรรค
    3. จิตตะ เอาจิตใจจดจ่อในกิจการนั้น
    4. วิมังสา ใช้ปัญญาใคร่ครวญ

    ถ้า 4 อย่างนี้ครบถ้วนงานทุกอย่างก็สำเร็จหมด ทั้งทางโลกก็สำเร็จ ทางธรรมก็สำเร็จ

    (จากธัมมวิโมกข์ฉบับที่ 145 เดือนมีนาคม 2536 หน้า 72 )

    พิจารณาธรรม

    ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าขา ลูกพิจารณาธรรมะเป็นส่วนใหญ่ มองเห็นชีวิตเน่าเปื่อย น่าเบื่อหน่าย มีแต่ความทุกข์ไม่ช้าก็ตาย เหมือนท่อนไม้อันไร้ค่า อารมณ์อย่างนี้จะปรากฎประหลาด คือจะปรากฏเฉพาะเวลา 3 ทุ่ม คือเป็นเวลาที่ (จุดๆๆ) เมื่อเป็นเช่นนี้...

    หลวงพ่อ : (หัวเราะ) เดี๋ยวๆๆ จุดอะไร

    ผู้ถาม : ผมรู้แล้ว หลวงพ่อคงไม่รู้ซิอยู่วัด (หัวเราะ)

    หลวงพ่อ : ฉันไม่รู้อะไรกัน (หัวเราะ) เขาปลงขันธ์ 5 ได้ดีนะ

    ผู้ถาม : นี่เขาสารภาพดีนะ

    หลวงพ่อ : ตรงไปตรงมา ดีมากเป็นสัจธรรม

    ผู้ถาม : จนกระทั่งบางครั้งสามีโมโห ถึงกับด่า อีระยำ ตอนอื่นไม่ไปปลง เสือกมาปลงตอนจุดๆๆ เดี๋ยวนี้ลูกสบายใจได้แล้ว เวลาที่ปัญหาเกิดขึ้น (จุดๆๆ) ลูกก็เรียกหลวงพ่อช่วยทุกครั้ง

    หลวงพ่อ : (หัวเราะ)

    ผู้ถาม : ปู้โธถัง ปลงสังขารไม่ดูเวล่ำเวลา ไม่ดูอย่างยกทรงเป็นตัวอย่าง

    หลวงพ่อ : ใช้ได้ เวลานั้นจิตใจเป็นเอกัคคตารมณ์ เป็นอารมณ์เดียวเป็นฌาน ขอบารมีได้ง่าย

    ผู้ถาม : เอ๊....ตอนขอบารมีหลวงพ่อ หลวงพ่อเป็นสงฆ์ จะไปจุดๆไม่ได้นะ ไม่ถูกเรื่องถูกราวเหมือนกัน

    หลวงพ่อ : ไม่ใช่ ไปเป็นพยานเขา (หัวเราะ) นี่หัวเราะเจ็บท้องเลย

    (จากธัมมวิโมกข์ฉบับที่ 176 เดือนพฤศจิกายน 2538 หน้า 88)


    ข้อห้ามที่นอนสูงใหญ่

    ผู้ถาม : ข้อที่ห้ามนอนที่นอนสูงใหญ่ แต่ว่าพื้นที่นอนเป็นหินอ่อน เราเอาผ้าห่มรองตัว อย่างนี้ได้ไหมคะ ?

    หลวงพ่อ : ได้ ที่นอนสูง ที่นอนใหญ่ ยัดด้วยนุ่นและสำลี อันนี้เขาป้องกันความ
    ลุ่มหลง ความฟุ่มฟือย ถ้าจิตมันไม่คิดไปในด้านกิเลส ฉันว่าทำได้ ไม่เห็นแปลก

    (หลวงพ่อได้กรุณาอธิบายเพิ่มเติมอีกว่า)

    หลวงพ่อ : ศีล 8 นี่เป็นตัวธรรมเสีย 4 ข้อ เป็นตัวศีลเสีย 4 ข้อ ถ้าผิดข้อ ปาณา...
    อทินนา... มุสา... สุรา... ลงนรกแน่

    แต่ตัวธรรม คือ... อพรหม... วิกาล....นัจจคีตะวา... มาลาคันธะ... อุจจาสยนะ... ถ้าพลาดมันไม่ลงนรกนะ

    ข้ออพรหมจริยาเวรมณี... ถ้าเราละเมิดเฉพาะสามีภรรยาของเรา
    ไม่ได้ประพฤติล่วงเกินสามีกรรยาผู้อื่นไม่ได้ขาดกาเม ตัวนี้เป็นธรรม

    ข้อวิกาลโภชนาเวรมณี ข้อนี้เราไม่ได้ฆ่าสัตว์ มันบาปที่ไหนล่ะ

    ข้ออุจจาสยนะ คือไม่นอนในที่นอนสูง ที่นอนใหญ่

    ข้อมาลาคันธะ คือไม่ทัดดอกไม้และของหอม อันนี้ไม่ได้ทำอะไรใคร

    ความจริงที่เรารักษาน่ะ มันเป็นศีล 9 นะ ข้อ 7 มันเหมาเป็น 2 อย่าง

    ถ้าเป็นศีล 10 ก็เพิ่มชาตรูปะ...อีกข้อหนึ่ง ศีลขัอนี้เขาห้ามจับเงินและทอง แต่ถ้าจิตมันติดอยู่ จิตมันผูกพัน ถือว่าเป็นลาภสักการะ อันนี้ผิด

    แต่ถ้าจิตไม่ติดอยู่ มันก็ไม่เป็นไร ทีนี้ถ้าจิดมันติด เขาเอาเงินมาให้ปั๊บ แหม... ดีใจ อย่างนี้ผิด"

    (ท่านคงมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นบ้างนะครับ เกี่ยวกับการรักษาศีล บางข้อเป็นธรรมะ เราประพฤติเพื่อพรหมจรรย์ เพื่อความบริสุทธิ์ของเราเอง ไม่ได้เบียดเบียนใครให้เดือดร้อน เมื่อผิดพลาดไปจึงไม่ถึงกับตกนรกเหมือนกับการผิดศีล)

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับรวมเล่มปีที่ 1 หน้า 556-557)


    หลวงพ่อเทศน์ดีมาก

    ฟังหลวงพ่อเทศน์แล้วไปฟังคนอื่นจืดหมด รสกร่อย ไม่ใช่ว่าเรายกย่องหรือจะ
    เชียร์อะไรเกินไป แต่คนอื่นอาจจะไม่เป็นอย่างนั้น แต่ว่าเรามันกร่อยนี่ บางทีมันน้ำหาเนื้อไม่เจอ ของกินเราอร่อยเสียแล้วนี่ อย่างอื่นก็อย่างนั้นแหละ


    (ด็อกเตอร์ปริญญาพูดเสริมว่า) "จริงๆ แล้วส่วนหนึ่งก็คือ ศรัทธาที่บริบูรณ์ว่า คำพูดของท่านทุกคำนี่ตรง จริง

    เพราะฉะนั้น ทุกๆอย่างออกมามันก็เป็นสาระไปหมด ไม่เหมือนกับเราต้องไปนั่งฟัง เอ..เมื่อไรจะพูดได้เข้าเรื่องสักทีนะ เอ๊ะ อย่างนี้ให้เราเทศน์ดีกว่าวะ


    ผมเคยพาเพื่อนมาคนหนึ่งมานั่งฟังหลวงพ่อคุย เขาเป็นนักอักษรศาสตร์ เขาบอกหลวงพ่อองค์นี้แปลก พูดแล้วมีย่อหน้าด้วย เอ้อ พูดมีย่อหน้าได้ด้วย"

    สมัยก่อนนู้น ก่อนๆนู่นนะ ท่านยังแข็งแรงอยู่ เทศน์นี่เขาเรียกว่าเทศน์สัมผัสอักษร ทั้งกัณฑ์นี่นะ เทศน์สัมผัสอักษรทั้งกัณฑ์ เขาเรียกอะไรล่ะ

    "ร่ายๆ"

    ร่ายเหรอ เอาสัมผัสอักษรแล้วได้เนื้อได้น้ำนะ ไม่ใช่ท่องมา เราก็เออ หลวงพ่อนี่พูด
    เพราะเหลือเกิน เพราะ


    มันมีอยู่กัณฑ์หนึ่งที่ท่านเทศน์ โอ้โห พูดแล้วจะปีติอีกแล้ว มันมีในหนังสือหรือในเทปอะไรไม่รู้นะ เทศน์เรื่องพระมหากัสสปกับพระพุทธเจ้า

    "เนื้อเรื่องเป็นยังไครับ ที่หลวงพ่อเทศน์"

    เนื้อเรื่องก็หมายความว่า ก่อนเข้าพรรษาหรือไงนี่ พระพุทธเจ้าก็เรียกพระมหากัสสป
    เข้ามา บอก กัสสป เธอแก่แล้วนี่ อย่าลำบากเลย อยู่กับตถาคตเถอะ

    พระมหากัสสปก็เพิ่งนึกในใจว่า เราแก่แล้วเราจะทำเพื่อประโยชน์ของคนรุ่นหลัง เราแก่นี่ไม่สำคัญละ แต่เราทำเพื่อว่าพระในภายหลังจะได้เป็นตัวอย่าง

    ก็ทูลบอกไม่เป็นไรพระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าจะทำเป็นตัวอย่างกับพระ พระในภายหลังจะได้เอาเป็นตัวอย่างว่าการถือธุดงควัตรนี่มีประโยชน์อย่างไร พอท่านทูลอย่างนั้นพระพุทธเจ้าก็ไม่ว่าอะไร บอก เออ ถ้าอย่างนั้นกัสสป เธอเอาสังฆาฏิของเธอมาแลกกับตถาคตเถอะ ของเธอเก่าแล้ว ไปในป่าจะลำบากของเก่า ก็เปลี่ยนสังฆาฏิกัน


    พอไปแล้วพระมหากัสสปก็อยู่ในป่าอยู่อย่างนั้นน่ะ อยู่นี่พระพุทธเจ้าก็นิพพานเลย
    หลังพระมหากัสสปไปพระพุทธเจ้าก็นิพพาน พระมหากัสสปก็ไม่รู้เรื่อง ปฏิสัมภิทาญาณหลวงพ่อถึงเน้นว่า ปฏิสัมภิทาญาณถ้าไม่จำเป็นจะต้องใช้ ก็ไม่ได้ใช้ ก็ไม่รู้

    ทีนี้พระพุทธเจ้าก็นิพพานแล้ว จุดไฟเผาไม่ไหม้ใช่ไหม พระมหากัสสปก็เดินธุดงค์ไปก็ไปเจอพราหมณ์หรืออะไร เก็บดอกชบามา นึกเฉลียวใจว่า เอ๊ นี่มันไม่ใช่ดอกไม้ในเมืองมนุษย์ ถามพราหมณ์ พราหมณ์บอกว่าพระพุทธเจ้านิพพานเสียแล้ว พระมหากัสสปเข้ามาหาพระพุทธเจ้านี่ โอ้โฮ ตอนนี้คุยไม่ได้แล้ว


    "ทำไมล่ะครับ"

    ปีติมันเกิด... พอท่านเทศน์นี่เราน้ำตาร่วงเลย พระมหากัสสป...

    "พระกัสสปน้ำตาร่วงหรือครับ"

    เราน้ำตาร่วงเสียก่อนแล้ว

    "เอ้า นิมนต์ธรรมาสน์สองต่อก็แล้วกัน"

    พระพุทธเจ้าปรารภน่ะ อะไรนะ กัสสปเธอแก่แล้ว อยู่กับตถาคตเถอะ ทีนี้พระอรหันต์
    ถือว่าท่านติงแล้วนะ ติแล้วนะ พระมหากัสสปปรารภบอก เรานี่เลวเหลือเกินเลย พระพุทธเจ้าติงแล้วอย่าไปนี่ ไม่เชื่อไง ไม่เชื่อ


    เทศน์ตอนนี้ท่านเทศน์เพราะมาก โอ้โฮ ไปหาเทปฟังเถอะ

    "มีเทปหรือเปล่าครับ"

    (ด็อกเตอร์ปริญญาตอบว่า) "มี เทปมี"

    แต่ขอให้ทำสมาธิเสียก่อนฟัง เทปหลวงพ่อทุกมัวนนี่อยากให้มีสมาธิสักหน่อย อย่า
    ไปฟังลอยๆ ถ้าฟังลอยๆ มันก็ลอยๆ ไป ถ้าตั้งสมาธิฟังนี่จะได้ทุกตัว

    "เหมือนกับเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์เลย"

    เหมือนอยู่ในเหตุการณ์เลย พระอรหันต์ท่านติงแล้วเพราะมาก ติงแล้วเราถึงรู้ว่า โอ้โฮ เรานี่มันหยาบยิ่งกว่าอะไรอีกร้อยพันเท่า ท่านเทศน์วันพระนี่ไม่รู้ว่าม้วนไหน วันหลังจะหามา มันมีอยู่ที่นี่ แต่ไม่รู้ว่าม้วนไหน (เรื่องความเป็นมาของพระพุทธเจ้า)

    ม้วนหนึ่งมีหน้าเอหน้าบี มันจบในม้วนนั่นน่ะ ตอนขอขมานี่สิ ท่านปรารภตัวท่านกับพระพุทธเจ้า ตอนนี้เพราะมาก พระพุทธเจ้าก็ยื่นเท้าออกมาทะลุมาเลยใช่ไหม เป็นการ
    รับทราบ

    (จากธัมมวิโมกข์ฉบับที่ 174 เดือนกันยายน 2538 หน้า 83-84)


    ตอนเช้ากับตอนหัวค่ำจับพระที่ห้อยคอขอท่านคุ้มครอง ตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นยามา

    เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2535 ได้มีท่านผู้หนึ่งไปหาอาตมาที่วัดท่าซุง ไปถามว่า "คุณพ่อตายแล้วไปอยู่ที่ไหน" อาตมาไม่ได้บอกท่านผู้นั้น แต่ให้ไปฝึกพระกรรมฐานกับเขาในมหาวิหาร 100 เมตร ไม่เกิน 3 วันคุณก็พบกับคุณพ่อคุณได้ บอกคุณก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะคุณก็ไม่หายสงสัย คุณก็จะถามเรื่อยไปและก็ไม่มีประโยชน์สำหรับคุณ

    ในที่สุดท่านผู้นั้นก็ตัดสินใจ วันรุ่งขึ้นก็ไปฝึกพระกรรมฐาน เพียงแค่วันแรกก็สามารถคุยกับคุณพ่อได้ แต่ในขณะที่ท่านผู้นี้ถามอาตมา ได้บอกชื่อผู้ตาย อาตมาก็นึกถึง เมื่อนึกถึงผู้ตายก็มายืนข้างหน้า จึงถามว่า

    "เวลานี้คุณไปอยู่ที่ไหน"

    เขาตอบว่า "เวลานี้ผมไปอยู่บนสวรรค์ชั้นยามาครับ"

    ถามว่า "ไปอยู่ชั้นยามาได้ ปกติคุณทำอะไรสมัยยังมีชีวิตอยู่"

    ตอบว่า "ปกติผมทำสมาธิ"

    ถามว่า "คุณทำสมาธิเวลาไหน"

    ตอบว่า "เวลาตอนเช้ากับตอนคํ่าครับ ตอนเช้าผมตื่นนอนขึ้นมา ก็จับพระที่สร้อยห้อยคออยู่มาพนมมือ อาราธนาบารมีพระ หรือที่เรียกกันว่าปลุกพระก็ได้ ตอนคํ่าก็เกรงอันตรายจึงทำแบบนั้นอีกเหมือนกัน"

    การทำอย่างนี้ชื่อว่าเป็นการนึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ทั้งตอนเช้าและ ตอนคํ่าก็เป็นสมาธิ

    สมาธิไม่จำเป็นต้องไปนั่งขัดสมาธิเฉยๆ จะทำแบบไหนก็ได้ นั่งแบบไหนก็ได้ ถ้าอยู่ที่บ้านของเรา จิตนึกถึงพระพุทธเจ้าก็ถือว่าเป็นพุทธานุสติ จิตนึกถึงพระธรรมเป็นธัมมานุสติ จิตนึกถึงพระสงฆ์เป็นสังฆานุสติ เขาจึงไปอยู่ชั้นยามาได้


    (จากหนังสือตายไม่สูญ...แล้วไปไหน หน้า 133)


    ก่อนตายพิจารณาเช่นใด


    เพราะคนป่วยจะมีสภาพเหมือนกับคนที่เรือล่มกลางทะเล คือว่าในเมื่อไม่มีอะไรจะเป็นที่พึ่งลอยคออยู่ในน้ำ ใครเขาส่งท่อนไม้ให้ก็เกาะท่อนไม้ ส่งสุนัขเน่าให้ก็เกาะสุนัขเน่า ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่ากลัวว่าตัวจะตาย ข้อนี้ฉันใดคนป่วยก็เช่นเดียวกัน ถึงจุดใดจุดหนึ่งที่พึงจะเกาะได้เขาก็เกาะแน่น แต่ว่าเราให้เกาะบุญกุศลไว้ อย่างการใส่บาตรก็ตาม หรืออย่างถวายสังฆทานก็ตาม หรืออย่างภาวนาก็ตาม

    ตอนนี้ถ้าเวลาป่วยใหม่ๆ เราแน่ใจไม่ได้ว่าการป่วยคราวนี้มันจะตายหรือไม่ตายก็ไม่ทราบ เราก็นั่งนึกภาวนาไว้ คือคำว่าภาวนาไม่ใช่เต็มวัน ก็นึกบ้างไม่นึกบ้าง ถึงเวลาว่างๆก็นึกถึงคำภาวนากับลมหายใจเข้าออก เวลาที่มันปวดขึ้นมานึกไม่ไหวก็ไม่เป็นไร แต่ว่าขณะที่ป่วยใหม่ๆ จิตนึกถึงคำภาวนาจิตจะมีอารมณ์ทรงตัวเป็นกุศล ถ้ากุศลเข้าครอบงำจิตเวลานั้นอกุศลจะเข้าไม่ได้

    อันดับแรกเราคิดถึงนิพพานกัน ถ้าบังเอิญถ้ายังไม่ถึงนิพพานก็ไปสวรรค์ก่อน ไปพรหมก่อน ถ้าต้องการคิดถึงนิพพานก็คิดตามนี้ว่า อะจิรัง วะตะยัง กาโยฯ ให้คิดว่าร่างกายนี้อีกไม่ช้านักก็จะมีวิญญาณไปปราศแล้ว คือออกไปแล้ว ในเมื่อวิญญาณหลุดไปก็มีสภาพเป็นของที่บุคคลเขาไม่ต้องการ เหมือนกับท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์

    ฉะนั้น ขึ้นชื่อว่าร่างกายอย่างนี้เราจะมีชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ชาติต่อไปไม่มีอีก เราต้องการนิพพาน ให้คิดอย่างนี้นะก่อนภาวนาหรือหลังภาวนาแล้วก็ได้ คิดอย่างนี้ทุกวัน คิดพอสบายใจ ไม่ต้องนานนัก แล้วก็เริ่มภาวนา จิตจะสบาย จิตจะเกาะอยู่อารมณ์นี้ จะภาวนาว่า พุทโธ ธัมโม หรือสังโฆ หรืออะไรก็ได้แต่จิตจะเกาะอารมณ์นี้อยู่ แล้วเวลาท่านตายเมื่อไหร่ขึ้นชื่อว่าร่างกายจะต้องเกิดไม่มีกับท่านอีกต่อไป

    (จากธัมมวิโมกข์ เดือนกุมภาพันธ์ 2555 หน้า 78)





     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มีนาคม 2020

แชร์หน้านี้

Loading...