ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

เพิ่มเติมข่าวเกี่ยวกับหมอมุกและครอบครัว จากข่าวไทยรัฐออนไลน์ "ต้องหาตัวคนผิดจริงๆ "

เมื่อตอนพันตรีประสิทธิ์ อิ่มวิทยา พลีชีวิตในสมรภูมิเขาค้อ เมื่อปี 2520 นั้น หมอมุกหรือพันตรีหญิงแพทย์หญิง หทัยพร อิ่มวิทยา ยังเป็นทารกอายุเพียง 8 เดือน
แพทย์หญิงพรรณกร อิ่มวิทยา ภรรยาม่ายของ พันตรี ประสิทธิ์ อิ่มวิทยา เฝ้าเลี้ยงดู อุ้มชูลูกน้อยจนเติบใหญ่ จบจากโรงเรียนจิตรลดา ไปเรียนแพทย์ และเข้ารับราชการเป็นทหารสังกัดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า นับเป็นกำลังพลที่มีคุณค่าของกองทัพบก
หมอมุกได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า เป็นสายเลือดทหารแท้ มีความกล้าหาญในการอาสาลงไปปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มาแล้ว
เคราะห์กรรมที่เกิดขึ้นกับหมอมุกในครั้งนี้ คนในสังคมจึงสุดแสนสะเทือนใจ
...........


ปล.อาจมีความสับสนเกี่ยวกับชีวประวัติของท่านพันโทประสิทธิ์ อิ่มวิทยา อยู่บ้างว่าท่านเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นใดกันแน่ บ้างก็ว่า รุ๋นที่ 1 บ้างก็ว่ารุ่นที่ 2 (ตามข่าวไทยรัฐออนไลน์) นั้น ได้ตรวจสอบกับทำเนียบรุ่นแล้ว พันโทประสิทธิ์ ฯ ท่านเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 1 ครับ รุ่นเดียวกันกับ ท่านพลเอกสุรยุทธ จุลานนท์ องคมนตรี และท่านพลเอกสำเภา ชูศรี อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด

 

เรื่องเกี่ยวกับเขมร อีกแล้วครับท่าน (ขออนุญาตใช้สำนวนของ อาร์เอส เค้าหน่อย) !!!

....ถามกันว่า ถูกต้องมั้ย ...........................รัฐบาลไทยประกาศถอนตัวจากการเป็นภาคีอนุสัญญามรดกโลก ผมขอตอบว่า...ถูกต้องแล้วครับ
ถามกันว่า การถอนตัวจะทำให้ไทยเราได้มากกว่า หรือเสียมากกว่า ผมขอตอบว่า...นอกจากไม่มีอะไรเสียแล้ว กลับได้มากกว่าด้วยซ้ำครับ.......



รายละเอียดเพิ่มเติมโปรดติดตามได้ที่ ไทยโพสต์ครับ "ก้อนกรวดในรองเท้าเพื่อไทย" | ไทยโพสต์

 

"หมอมุก"พยักหน้ารับรู้-แพทย์เริ่มกายภาพบำบัด ไม่ยืนยันหายเป็นปกติ


Manager Online - ����ء��ѡ˹���Ѻ���-ᾷ�����������Ҿ�ӺѴ ����׹�ѹ�����繻���

 

ขอให้คุณพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองหมอมุกค่ะ

 

“หมอมุก” กำลังใจดี ยิ้มแย้มแจ่มใส มีปฏิกิริยาตอบรับการทำกายภาพบำบัดวันแรกได้ดี เป็นที่น่าพอใจของหมอผู้ดูแล ชี้ เป็นสัญญาณที่ดีจะกลับฟื้นคืนปกติ ......



แหล่งที่มา : http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9540000078455

 

... อยากบอกให้หายกังวลกันนิด การถอนตัวจากภาคีไม่มีผลต่อคดีที่เขมรร้องศาลโลกอยู่ขณะนี้ ตรงกันข้าม การถอนตัวเชิงจิตวิทยาของเรา กลับทำให้เขมรหวั่นไหว อาจต้องกลับไปวิเคราะห์ตั้งหลักใหม่ด้วยซ้ำ เพราะในเมื่อเราถอนตัวแล้ว เท่ากับอยู่นอกกลไกมรดกโลก
ฉะนั้น ไม่มีใครจะมาเป็นเจ้าเข้าครองเรา จะมาเที่ยวอ้างมตินั้น-มตินี้มาสั่งให้เราปฏิบัติไม่ได้ ดินแดนเราก็คือดินแดนเรา แหลมเข้ามา...ยิงกระบาลมันเลย!
ความจริง มติมรดกโลก ใครจะปฏิบัติก็ได้ ไม่ปฏิบัติก็ได้ ไม่มีข้อบังคับ เพราะการจะทำอะไร ทุกประเทศคำนึงถึงอธิปไตยและประโยชน์ประเทศตัวเองเป็นหลักก่อนทั้งนั้น
กระทั่งกับ "ศาลโลก" ก็เถอะ สมมุติว่าที่ฟ้องร้องกันใหม่ ศาลโลกตีความเข้าข้างเขมรอีก เราไม่ปฏิบัติตามก็ได้ ศาลโลกไม่มีอำนาจมาบังคับ อย่างเก่งก็ส่งให้ UNSC จัดการต่อ แล้วประเด็นที่เกี่ยวกับดินแดนอันเป็นอธิปไตยของประเทศ UNSC ก็เถอะ...มีอำนาจอะไรมาจุ้น?........


แหล่งที่มา : เปลว สีเงิน นสพ.ไทยโพสต์ 28 มิ.ย.54

 

.... จะต้องตั้งหน่วยงานถาวรภายใต้แผนปฏิบัติการเชิงรุก "นำแผ่นดินพระวิหารกลับบ้าน" เสียแล้วกระมัง เพราะนายถนัด คอมันตร์ รมว.ต่างประเทศ มอบเรื่องนี้ไว้ให้เป็นมรดกลูกหลานไทยสืบต่อ ดังความในหนังสือที่แจ้งผู้รักษาการเลขาธิการสหประชาชาติ เมื่อ ๖ ก.ค.๐๕ ความว่า
"ขอสงวนสิทธิ์ที่ไทยมี หรืออาจมีในอนาคตที่จะเรียกเอาปราสาทพระวิหารกลับคืนมา โดยอาศัยกระบวนการทางกฎหมายที่มีอยู่ หรือที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง"..........


แหล่งที่มา:http://www.thaipost.net/news/290611/40913

 

...หากสังคมใดดำเนินการตามใจตัวเอง ไม่คิดถึงกฎระเบียบที่ลงมติโดยสมาชิกแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ ที่เราจะต้องอยู่ร่วมในสังคมแบบนี้...

รัฐมนตรี สุวิทย์ คุณกิตติ แห่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ในการเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ท่านได้สรุปเอาไว้

........................................

อันที่จริงก็พอเป็นที่รู้ๆ กันมานานแล้วว่า คณะกรรมการมรดกโลกนั้น คิดอย่างไร และคิดจะทำอะไร ต่อกรณีความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ในการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก แต่ใครต่อใคร ยังพอมีความหวังอยู่บ้างเล็กๆ น้อยๆ ว่า ความต้องการที่จะเห็น สันติภาพ มากกว่าที่จะเห็น สงครามน่าจะเป็นความรู้สึกนึกคิดที่ยังพอมีอยู่ ในหัวจิตหัวใจของมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา โดยเฉพาะมนุษย์ผู้ซึ่งมีฐานะเป็นถึง คณะกรรมการมรดกโลก ทั้งหลาย ดังที่นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ ท่านได้กล่าวเอาไว้นั่นแหละว่า “เราได้บอกกับยูเนสโกว่า มติอะไรก็ตาม ควรเป็นมติที่มุ่งไปสู่การลดความตึงเครียด และที่เราท้วงติงเรื่องปัญหาการบูรณะตัวปราสาท เพราะกลัวจะนำไปสู่การปะทะกัน เกิดความเข้าใจผิดกันได้ ดังนั้น ควรเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายพูดคุยถึงแผนในระยะยาว ปล่อยให้พื้นที่สงบนิ่งก่อน...”
-----------------------------------------------


คัดลอกจาก http://www.thaipost.net/news/270611/40806

 

'สะพานข้ามทะเลยาวสุดในโลก'


China - Manager Online - �չ�������Դ '�оҹ������������ش���š' �Ѻ�ͧ���ҹ�֧ 100 ��

 

วัดเชียงทอง สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2102-2103 ในสมัยของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดแห่งสถาปัตยกรรมล้านช้างที่สวยงามที่สุดในสปป.ลาว

-“สิม”หรือ“โบสถ์” หัวใจของวัดเชียงทอง ได้ชื่อว่าเป็นสิมล้านช้างสมบูรณ์ที่สุด หลังคาสิมสร้างโค้งอ่อนช้อยทรงปีกนกเป็น 3 ชั้น ลดหลั่นปกคลุมต่ำลงมา บนสันกลางคามี“โหง่”หรือ“ช่อฟ้า” 17 ช่อ อันปราณีตสวยงาม อันบ่งบอกว่าเป็นวัดที่กษัตริย์สร้าง ภายในสิมประดิษฐานพระประธานดูขรึมขลัง ประตูสิมด้านหน้าเป็นงานแกะสลักไม้ อันอ่อนช้อย ผนังด้านนอก-ด้านใน ตกแต่งด้วย“พอกคำ”หรืองานลงรักปิดทอง ส่วนผนังสิมด้านหลัง(ด้านนอก) ประดับลาย“ดอกดวง”หรือลายกระจกสี ทำเป็นรูป“ต้นทอง”อันเป็นที่มาของชื่อเมือง


ท่านที่สนใจสามารถคลิกเข้าไปหารายละเอียดได้ที่ :“หลวงพระบาง” เมืองท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ Travel - Manager Online - ���ǧ��кҧ� ���ͧ��ͧ�����������ٻẺ

 

"ลงชื่อไปได้เลย...ประเทศไทย 'ให้' ผมมาทั้งชีวิต แล้วแค่นี้ทำไมผมจะ 'ให้' ประเทศไทยไม่ได้"!?

ครับ...ต่อจากนี้เป็น "เชื่อผมซักครั้ง" ที่คุณชรินทร์ นุกรณ์นวรัตน์ เด็กหนุ่มยุค "เบรสเนฟ" แห่งสหภาพโซเวียต ที่ได้รับความไว้วางใจให้เป็นตัวแทน "อินทัวริสต์" ในไทยถึงปัจจุบัน เขียนถึงเพื่อนและน้องๆ ในเครือโกลเบิลฯ

เมื่อ 'คนจริงประเทศไทย' พูด

..... ผมเป็นคนโชคดีเหมือนกับทุกๆ คนที่เกิดในประเทศไทย มีเสรีตั้งแต่เกิด สำหรับผมมีเสรีมาตลอด 60 ปีแล้ว พ่อแม่ผมเป็นคนจีนอพยพมาตั้งถิ่นฐานในเมืองไทย เพราะที่นี่มีเสรีภาพและโอกาส เสรีภาพทำให้คนทุกคนมีโอกาส จะมีมากมีน้อยขึ้นอยู่กับการแสวงหา และความสามารถ ความขยันหมั่นเพียร ของแต่ละบุคคล
ใครขยันเรียน มุ่งมั่นในการทำงานให้เกิดประโยชน์กับตน กับครอบครัว กับสังคมส่วนรวม ก็จะได้ความสำเร็จในหน้าที่การงาน ผลตอบแทนที่ดี และการสรรเสริญจากสังคม ไม่ว่าจะรับราชการ เป็นทหาร ตำรวจ เอกชน นายจ้าง และลูกจ้าง ทุกคนมีหน้าที่ของแต่ละคน ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุดจึงจะเจริญก้าวหน้าได้......
... เพราะคนไทยเรามีเสรีภาพ รับรู้ความจริงได้ ความเจริญของประเทศบ้านเมืองที่เรามีในปัจจุบันนี้ ได้มาเพราะเสรีภาพที่คนไทยมีทุกคน โอกาสที่คนไทยทุกคนได้รับ ไปทำให้เกิดผลดีต่อประเทศชาติ เงินภาษีของประชาชนจากการงานที่คนไทยได้ทำ สร้างความเจริญก้าวหน้าให้ประเทศอย่างมากมาย...
...แต่ที่แน่นอนไม่ต้องห่วงและดีที่สุดคือ ประเทศเรามี "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" ทรงเป็นพระประมุขที่ดี และเป็นหลักให้ประชาชนอยู่ใต้ร่มพระบารมีอย่างเป็นสุขและเสรีกันทั่วหล้า ...

นี่คือบางตอนจาก : เมื่อ " คนจริงประเทศไทย " พูด รายละเอียดหาอ่านได้จาก www.thaipost.net ครับ

 

.................................................................................


มีบางเรื่องบางตอนที่ชาวไทยควรได้รับรู้ไว้....

...เมื่อ วันที่ 18 มิถุนายน 2551 กระทรวงการต่างประเทศโดย.......ได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Communiqué) สนับสนุนให้ประเทศกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก...
....
สาระในแถลงการร์ร่วมมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตประเทศ ต้องขออนุมัติรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ซึ่งศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า การลงนามของ.....ขัดต่อรัฐธรรมนุญ มีคำสั่งให้เพิกถอนแถลงการณ์ร่วม

ตอนหนึ่งในคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนุญเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2551 ระบุว่า

“ การลงนามในคำแถลงการณ์ร่วม จึงเท่ากับเป็น การยอมรับให้รัฐบาลกัมพูชาเข้ามาบริหารจัดการในบริเวณพื้นที่ที่ประเทศไทยอ้างกรรมสิทธิ์ อันเป็น การยอมรับการแสดงสิทธิและอำนาจอธิปไตยของประเทศกัมพูชานอกเหนือเขตปราสาทพระวิหารตาม คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศและแผนที่แสดงแนวเขตแดนของประเทศไทยตาม มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๐๕ ด้วย
ดังนั้น การลงนามในคำแถลงการณ์ ร่วมดังกล่าว จึงถือเป็นกรณีที่อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศไทยบริเวณพื้นที่ดังกล่าวได้ในอนาคต”

...นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชฑูตไทย ณ กรุงเฮกใ นฐานะหัวหน้าทีมสู้คดีที่ กัมพูชาฟ้องไทยต่อศาลโลก ได้กล่าวไว้ในตอนหนึ่ง ของการแถลงปิดคคีด้วยวาจา ต่อศาลโลก เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมาว่า

“ จุดยืนของไทยที่มีต่อการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ในฐานะมรดกโลก ปราสาทพระวิหารจำเป็นต้องมีพื้นที่กันชน นั่นหมายถึงว่าต้องรวมเอาดินแดนที่อยู่ในอธิปไตยของไทยเข้าไปด้วย ประเทศไทยเข้าใจ มีความพร้อม และมีความประสงค์ที่จะร่วมกับกัมพูชาในการเสนอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกร่วมกัน แต่เป็นกัมพูชาเองที่ปฏิเสธเรื่องนี้ และนั่นก็คือรากเหง้าของปัญหาในการขึ้นทะเบียนมรดกโลกของปราสาทพระวิหาร เนื่องจากขณะนี้กรอบเวลาใกล้เข้ามาถึง แต่สิ่งที่คาดหวังก็ยังไม่มีความแน่นอน "ความขัดแย้งที่มีการถูกออกแบบเอาไว้" ล่วงหน้าจึงถูกจุดขึ้น เพื่อใช้สำหรับการยื่นขอให้ศาลประกาศมาตรการชั่วคราว ซึ่งจะเป็นวิธีที่จะช่วยแผ้วถางพื้นที่ในการจัดทำพื้นที่กันชนที่ต้องการ เพื่อนำไปรวมอยู่ในแผนบริหารจัดการที่จะนำเสนอในที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกซึ่งจะมีขึ้นในปลายเดือนหน้า ซึ่งเป็นกลวิธีที่ไทยคัดค้านอย่างเป็นที่เข้าใจได้”
...............

แหล่งที่มา:http://www.manager.co.th/Columnist/ViewNews.aspx?NewsID=9540000078670


ครับเป็นความรู้ที่พวกเราชาวไทยควรได้รับรู้ เพราะเป็นหน้าที่ของชาวไทยทุกคนจะต้องรักษาและหวงแหนแผ่นดินเกิด...

...บรรพบุรุษของไทยแต่โบราณ ปกบ้านป้องเมืองคุ้มเหย้า

เสียเลือดเสียเนื้อมิใช่เบา หน้าที่เรารักษาสืบไป ...

 

อยู่กับปัจจุบัน (ไปก่อน)

เพราะยังอยู่ใต้อวิชชา (ความเห็นผิดเพราะไม่รู้อริยสัจ จึงไปยึดสิ่งเป็นทุกข์มาเป็นตัวตน) จึงเกิดเป็นกาลเวลา เมื่อมีกาลเวลาจึงมีอดีต จึงมีอนาคต เมื่อมีอดีต มีอนาคต ก็มีปัจจุบัน ทั้งหมดเป็นผลจากความเห็นผิด
(พูดไปแล้วก็เหมือนกับการมีเวทนา๓ เหมือนกัน มีทุกข์ ก็มีสุข ก็มีอุเบกขา นี่มันเลยมีผลเพราะมีเหตุที่ผิดนั่นเอง การให้อยู่กับปัจจุบันก็เหมือนให้อยู่กับอุเบกขานั่นเอง เพราะหากทำเหตุให้เกิดเป็นอุเบกขาจะเจ็บตัวน้อยสุด ทั้งๆ ที่มันยังเกิดดับอยู่)
กลับมาที่ปัจจุบัน เพราะการอยู่กับปัจจุบันจะเห็นความจริงซึ่งมีอยู่แล้วโดยธรรมชาติ แต่ความชินบังตาไปหมด เพราะหากคิดไปอนาคตจะเกิดผลเป็นทุกข์ สุข อุเบกขา เมื่อคิดไปถึงอดีตจะเกิดเป็นทุกข์ สุข อุเบกขา แต่หากอยู่กับปัจจุบันจะเกิดเป็นอุเบกขาอย่างเดียว การกลับมาอยู่กับปัจจุบันได้ก็อาศัยกายใจเป็นฐานที่ตั้ง แล้วก็อีก ในฐานทั้ง๒ เมื่ออาศัยใจเป็นที่ตั้งจะเกิดเป็นสุข ทุกข์ อุเบกขา แต่เมื่ออาศัยกาย จะเกิดผลเป็นสุขและอุเบกขาในที่สุด พระพุทธองค์จึงให้ความสำคัญของกายคตาสติ หรืออานาปนสติค่อนข้างมาก เพราะฐานนามธรรมค่อนข้างเสี่ยงและมีผลข้างเคียง
เมื่ออยู่กับปัจจุบันจิตจะตั้งมั่นเป็นบาทฐานให้เห็นสัจจธรรมได้ง่าย
อยู่กับปัจจุบันไว้ จนวันหนึ่งที่พบความจริงจะเดินแหวกเข้าไปจนปัจจุบันเองก็ไม่มี
Happiness is here and now. But the real happiness is no here no now. But still here until then.
ข้อคิด: หลังสวนยินดีธรรมเป็นคลองท่ากูบ น้ำขึ้นน้ำลงทุกวันตามน้ำทะเลเพราะต่อกันอยู่โดยแม่น้ำตาปี แรกๆก็ชอบน้ำขึ้น ไม่ชอบน้ำลง จากนั้นเริ่มนั่งดูน้ำขึ้นน้ำลง ศึกษาจนรู้จักเลยรู้ว่ามันเป็นธรรมชาติ
จากนั้นพอน้ำขึ้นก็เข้าใจว่ามีเหตุ พอน้ำลงก็เข้าใจว่ามันก็มีเหตุ เลยไม่ได้ไปชอบหรือไม่ชอบ ศึกษาจนเห็นว่ามันเป็นของมันอย่างนั้น จะบ้าชอบไม่ชอบสุขทุกข์อะไรกับมันนักหนาจึงทิ้งปัญญาที่ได้จากการศึกษา ไม่เฝ้าดูมันแล้วเพราะไปนั่งเฝ้าดูก็เป็นทุกข์ ไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนกับน้ำขึ้นน้ำลง ไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนกับการต้องไปเฝ้าดู ไม่ไปทุกข์ไปร้อนกับใครจะมาโต้เถียงหรือพูดจายกหลักการเหตุผลสารพัดของน้ำขึ้นน้ำลงอีก พอแล้ววางไว้ไม่หยิบฉวยไม่มีเก่งไม่เก่ง ฉลาดไม่ฉลาด ปัญญาดีไม่ดี .... มันก็เป็นของมันพรรค์นั้นแหละ บ้าดูบ้ารู้มานาน วันนี้บ้ากว่าเก่ามั๊งนี้ 555​

ขอขอบคุณ : ยินดีต้อนรับเข้าสู่ เว็บไซด์สวนยินดีธรรม​

 

“หมอมุก” ออกจากไอ.ซี.ยู.! พักฟื้นห้องพิเศษ-แม่ดีใจลูกผ่านวิกฤตได้


Crime - Manager Online - �����ء� �͡�ҡ��.��.��.! �ѡ������ͧ�����-��������١��ҹ�ԡĵ���


ในนามของกระทู้นี้ ขอร่วมแสดงความยินดีด้วยนะครับ ท่านใดอยากจะร่วมแสดงความยินดีด้วยกันก็ขอเชิญเลยครับ

 

.....ฉะนั้น จึงตั้งสติให้มั่น ไปให้ถึงที่เลือกตั้งก่อนเวลาปิดหีบสักชั่วโมง เมื่อรับบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ 2 สี และดูที่ช่องหมายเลขที่ต้องการจะเลือก อย่าทำบัตรเสีย หรือโหวตโนเป็นอันขาด เพราะชาติต้องการให้คุณรัก ต้องการให้คุณเลือก แล้วคุณจะภาคภูมิใจในความสำคัญของคุณเอง
-กรหริศ บัวสรวง
ครับ...ขอให้ทุกท่านโชคดีอันดับ ๒ และขอให้ประเทศไทยโชคดี...อันดับ ๑.


แหล่งที่มา: "เชิงยุทธศาสตร์หรือยุทธปัจจัย?" www.thaipost.net



พรุ่งนี้ 3 ก.ค.54 อย่าลืมไปใช้สิทธิเลือกตั้งกันนะครับ

 

.........

สภาวะธรรมอธิบายทุกฐานความต่างได้อย่างมหัศจรรย์ ด้วยธรรมะเดียวของพระพุทธองค์
ทรงสอนให้มนุษย์มองตนและสรรพสิ่งรอบกายด้วยปัญญา ... ​

พิจารณาให้เห็นเป็นธรรมดา ​

ในการขับเคลื่อน เลื่อนไหล เกิดใหม่ เปลี่ยนไป สู่ดับสูญ
เป็นสภาวะที่ไม่สามารถดำรงอยู่ในวัฐจักร นับอนันตกาล บนทางช้างเผือก​

“ สติ .. คือฐานที่มั่นอย่างแท้จริงในวินาทีของชีวิต ..
ไม่หวั่นไหว กับความไม่ดำรงอยู่ในฐานที่ดำรงอยู่นั่นเอง ” ​

ธรรมชาติ ให้บทเรียนแห่งสติกับมนุษย์ตลอดมา ขึ้นกับว่า สิ่งเหล่านั้นได้ย้อนวงล้อหรือไม่
วันคืนอันรวดเร็ว ทำให้เราแทบลืมทบทวน เตรียมคำตอบให้กับชีวิต เรารู้เพียงว่า ...
เราโชคดีเพียงใด ที่ได้มี ได้เป็น และได้อยู่ . . . และโชคดีที่ยังอยู่กับลมหายใจ
มีอิสระในความคิด มีอิสระในการเลือกที่จะเป็น จะอยู่ หรือพร้อมจะไป .. ?

..........


ขอขอบคุณ athenaz blog

 

'อ่าน'บันดาลใจ




<!--2 กรกฎาคม 2554 - 00:00-->

• เพลิน Learning

2 กรกฎาคม 2554 - 00:00


วันนี้ ด.ช.ทิวทัศน์ คะนะมะ, ด.ญ.สุรีย์พร แซ่โง้ว, สามเณรเริงฤทธิ์ จันทร์โท และ นายธวัชชัย โตขำ ตัวแทนเยาวชนระดับประถมศึกษาจนถึงอุดมศึกษา ที่ชนะเลิศโครงการประกวดวาดภาพจากวรรณกรรมไทย 'จินตนาการ สืบสาน วรรณกรรมไทยกับอินทัช' เมื่อปีที่ผ่านมา มีโอกาสแสดงความสามารถอีกครั้งด้วยการวาดภาพ “ความสุขจากการให้” ตามจินตนาการจากการอ่านวรรณกรรมที่ชื่นชอบของแต่ละคน ให้ผู้เข้าร่วมงานได้ชื่นชมอย่างใกล้ชิด พร้อมชมการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะสื่อผสมชุด “น้ำพระทัยไหลริน สู่แดนผา” โดยน้องๆ นักเรียนชาวเขาเผ่าต่างๆ ได้แก่ จีนฮ่อ ไทยลื้อ อาข่า ไทยใหญ่ และเย้า จากโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 30 อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ซึ่งร่วมกันถ่ายทอดจินตนาการด้วยแรงบันดาลใจจากพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย พร้อมทั้งเพลิดเพลินกับการแสดงหุ่นสายมหาชนก โดยคณะหุ่นสายเสมา ซึ่งได้รับรางวัลดีเด่นในสาขาวรรณกรรมสร้างสรรค์จากการประกวดหุ่นโลก (World Festival of Puppet Art 2008)
................ประธานกรรมการบริหาร อินทัช กรุ๊ป กล่าวว่า ในปีนี้ได้สานต่อโครงการประกวดวาดภาพจากวรรณกรรมไทย “จินตนาการ สืบสาน วรรณกรรมไทยกับอินทัช ปีที่ 5” เพื่อเชิดชู สืบสานความเป็นไทยและมรดกทางศิลปวัฒนธรรมไทย โดยเฉพาะภาษาและวรรณกรรมไทย ด้วยการกระตุ้นให้เยาวชนรักการอ่าน ภาคภูมิใจในภาษาไทย สามารถนำประโยชน์และข้อคิดที่ได้รับจากการอ่านมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตได้อย่างเหมาะสม โดยหัวข้อการประกวดในปีนี้ คือ “ความสุขจากการให้” เนื่องจากสังคมไทยเป็นสังคมแห่งการให้ สังคมแห่งความสุขอันเกิดมาจากการให้ ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ การให้ความรัก การให้ทาน การให้โอกาส การให้ที่นำมาซึ่งมิตรภาพ รวมถึงการให้อภัยที่สามารถสร้างความสุข รอยยิ้ม ความประทับใจให้ทั้งผู้ให้และผู้รับ
"ถือเป็นการร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็น “ผู้ให้” อย่างแท้จริงแก่แผ่นดินและปวงชนชาวไทย จะเห็นได้จากพระราชกรณียกิจมากมายที่ทรงทำให้แก่พสกนิกรของพระองค์ รวมถึงพระอัจฉริยภาพและพระปรีชาสามารถในด้านอักษรศาสตร์ ภาษาศาสตร์ และวรรณกรรม ดังจะเห็นได้จากหนังสือพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันได้แก่ พระมหาชนก คำพ่อสอน ทองแดง นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ และติโต จึงนำเรื่องการให้มาเป็นแนวคิดของการประกวดในปีนี้"
บรรดานักอ่านที่อยากถ่ายทอดจินตนาการส่งผลงานได้ที่โครงการ “จินตนาการ สืบสาน วรรณกรรมไทยกับอินทัช ปีที่ 5” สำนักกิจกรรมสัมพันธ์ อินทัช เลขที่ 414 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 ตั้งแต่วันนี้-31 ส.ค.นี้ โดยติดตามข้อมูลข่าวสาร ตัวอย่างหนังสือวรรณกรรม ผลงานตัวอย่างที่ส่งเข้าประกวดได้ที่ www.facebook.com/intouchwanakam.


แหล่งที่มา 'อ่าน'บันดาลใจ | ไทยโพสต์

 

ได้รับฟอร์เวิร์ดเมล์จากออสเตรเลีย เกี่ยวกับภาพวีดิโอการเล่นยิมนาสติคส์ของจีน ลองคลิกเข้าไปชมกัน ดูผ่านก็สวยงามชื่นชมในความเก่งของผู้แสดงดูจะเป็นเด็กๆวัยรุ่นทั้งหมด แต่ถ้าดูพิศก็จะเกิดมุมมองที่หลากหลาย ที่สำคัญที่สุดคงจะต้องฝึกซ้อมกันอย่างหนักและคงจะต้องมีวินัยในการซ้อมด้วยใช่ไหมครับ

China gymnastics.

 

...ความผิดหวัง ไม่ใช่เรื่องของคนแพ้ แต่เป็นคุณสมบัติของคนเบาปัญญา ยิ่งใครที่ผิดหวังแล้วห่อเหี่ยว หมดกำลังจิต-กำลังใจ ถึงขนาดเที่ยวตีโพย-ตีพาย ด่าทอต่อว่าคนอื่นเปะปะไปหมด อย่างนี้ถึงระดับ...โมหจริต
ใครที่มีโอกาสผิดหวัง จงภูมิใจเถอะ เพราะนั่นแสดงว่า ถึงรส-ถึงชาติ "ชีวิตเผ็ด" โชกโชนจากการต่อสู้ เคยได้ขึ้นไปยืนอยู่บนแป้นผู้ชนะเลิศมาแล้ว ตรงข้ามกับคนที่ไม่เคยผิดหวัง ซึ่งทั้งโลกมีอยู่ ๒ คนเท่านั้น คือ
คนที่ชีวิตไม่เคยต่อสู้
กับคนที่...ไม่เคยมีชีวิต!...


....สตางค์น่ะ...ทิ้งได้
แต่ "สติ" ไม่ควรทิ้ง!
เพราะทิ้งสติแล้วปัญญาใคร่ครวญก็จะไม่เกิด ต้องเก็บไว้กับตัว-กับใจให้ตลอด ถ้าขาดสติใคร่ครวญเขา-ใคร่ครวญเรา อาจไปประเมินคนที่คิดต่าง-เลือกต่าง ชนิดตีราคาทางชีวิต "ผิดราคาจริง" เพราะหลงเอาตัวเองเป็นราคากลาง ซึ่งแบบนั้น การมีค่ายการศึกษาสูงๆ ต่อท้ายชื่อ
ไม่ได้บ่งบอกว่าเป็น "ปัญญาชน" ที่เหนือกว่า "ปัญญารากหญ้า" ตรงไหนเลย!?
การทำ-การพูดอะไร หวังเพียงสะใจระบายแค้น ชนิด "จบแล้วไม่จบ" ไม่เคารพกติกา อย่างนั้น ต้องตอบกับจิตสำนึกทางความรับผิดชอบด้วยว่า นั่นคือทางแก้ปัญหาหรือทางเพิ่มปัญหา และมันใช่ตามกฎกติกา-ตามวิถีประชาธิปไตยหรือไม่?......


.... แยกคนน่ะ แยก สูง-ต่ำ-ดำ-ขาว ได้ แต่จะแยกทางความคิด-ความต้องการจาก "ฐานสังคมชาติ" เดียวกันไม่ได้ ไม่อย่างนั้น จะมีศาสตร์การเมืองว่าด้วยปรัชญา-ความคิด-ทฤษฎี-ลัทธิ เป็นฐานการบริหาร-การปกครองทำไม?
คนหลงป่า สุดท้ายก็ต้องปีนขึ้นเขา เพื่อเบิ่งหา "ถนนหลวง-ทางตรง" เป็นเป้าหมายกลับบ้าน-กลับเมือง ฉะนั้น ในเมื่อรักจะใช้มาตรฐานประชาธิปไตยเป็นระบอบปกครองกับคนมาตรฐานแบบสังคมไทย ใครจะทำอะไร-แบบไหน ผมไม่รู้ แต่ที่รู้แน่ๆ คือ
ต้องทำใจ...ด้วยเข้าใจครับ!....

แหล่งที่มา : www.thaipost.net เปลว สีเงิน 6 ก.ค.54


ต้องขออนุญาตคัดลอกบางตอนจากคอลัมน์ของ คุณเปลว สีเงิน มาฝากกันครับ

 

ข้อมูลทางพลังจิตเทียบกับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ข้อมูลที่ตรงกัน

ทองที่อยู่ในกรุวัดราชบูรณะ ครั้งหนึ่งเมื่อ 8 ปีก่อน อ.อาชวินเคยพูดไว้แล้วว่าเป็นของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ครั้งนี้หากมีการพิสูจน์เรื่องอายุของเครื่องทองได้จริงตามที่ได้รับฟังจากท่านพระอาจารย์มหาฤทธิชัยแล้ว ตามหลักฐานและหลักคิดเชิงทางวิทยาศาสตร์นั้น จะสรุปว่าเป็นของสมเด็จพระนเรศวรในทันทีคงไม่ได้ คงจะสรุปได้ออกเป็น 3 แนวทาง

เครื่องทรงกษัตริย์ในกรุวัดราชบูรณะอาจจะเป็นของ
1 สมเด็จพระมหาธรรมราชา
2 สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
3 สมเด็จพระเอกาทศรถ

คำถามที่น่าสนใจก็คือ วัดราชบูรณะนั้นสร้างขึ้นใหม่บนที่เดิมจากทรงระฆังคว่ำเป็นทรงพระปรางค์ ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จริงหรือไม่? คำตอบนี้คิดว่าผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดีคงหาคำตอบได้ในเชิงอายุของพระปรางค์ ถ้าได้คำตอบนี้ในเชิงวิชาการ ย่อมจะนำไปสู่ที่มาที่ไปที่ชัดเจนมากขึ้น ปัจจุบันนี้มีโครงการบูรณะอุทยานประวัติศาสตร์อยุธยา ซึ่งหมายถึงจะบูรณะไปถึงวัดราชบูรณะด้วย ถ้าเป็นไปได้นักประวัติศาสตร์น่าจะประเมินอายุของพระปรางค์ไปด้วย

ที่จริงเรื่องอายุของเครื่องทองในกรุวัดราชบูรณะที่ตรวจพบว่ามีอายุราวๆ 400 ปีซึ่งก็ขัดความเชื่อที่ถือกับว่าเครื่องทองเหล่านี้เป็นของเจ้าสามพระยาหรือในยุคสมัยของพระองค์เท่านั้นตามข้อมูลที่หาได้จากพงศาวดาร ซึ่งถ้าเครื่องทองนี้อยู่ในยุคของเจ้าสามพระยาเครื่องทองเหล่านี้ต้องมีอายุราวๆ 600 ปีเชียวนะคะ


หายไปสามอาทิตย์ มัวแต่หาข้อมูลแนวถนนตัดใหม่อยู่ เพิ่งนึกออกว่าทางสายธาตุได้กล่าวสิ่งที่พูดถึงตนเองไว้ดังนี้

ต้องขออภัยท่านผู้อ่านหากความเห็นนี้มันทะเม่งๆ คืออย่างนี้ค่ะภาพนิมิตที่เห็นมาจากการปฎิบัติธรรมในอดีตทั้งหมดแม้แต่เห็นผีหรือนางไม้ก็ไม่เคยเชื่อว่านั่นเป็นเรื่องจริง สักแต่ว่าเห็นแล้วก็เฉยๆผ่านไป ถือว่าเป็นความคิดเลื่อนลอยฟุ้งซ่านของจิตเราเองค่ะ นี่คือสิ่งที่คิดมาตลอดแบบนี้ จนต้องหาหลักฐานอันมีทั้งพงศาวดาร หลักฐาน จิตรกรรม ปฎิมากรรม มาสอดคล้องกับเรื่องบางเรื่องที่รับรู้ไว้นานแล้วเท่านั้น ทางสายธาตุจึงพอจะนับว่าเชื่อถือได้ นิมิตใดที่ยังหาหลักฐานไม่พบก็เฉยๆไป ตั้งตนอยู่แบบนี้จากวัดอัมพวัน คือรู้ก็สักว่ารู้ เห็นก็สักว่าเห็น ตามคำสอนหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโมแห่งวัดอัมพวันเป็นสำคัญ จิตดวงเดียวของเรานี้จึงจะไม่เหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงมากเกินไป ถ้าคิดแบบเชิงวิชาการ ก็เปรียบความคิดของจิตตัวเราเองเป็นกราฟเส้น ต้องพยายามรักษาเส้นกราฟของระดับจิตให้อยู่ใกล้เส้น normal ให้มากที่สุด อย่าออกนอกเส้นมากจนเกินไป จึงคิดว่าแบบนี้จึงจะเป็นการฝึกตนได้