มาวิเคราะห์คำทำนาย จากภัยธรรมชาติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย Falkman, 3 กรกฎาคม 2006.

  1. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,697
    ค่าพลัง:
    +51,933
    *************************************
    วันอาทิตย์ที่ ๑ เดือน ตุลาคม พุทธศักณาช ๒๕๔๙
    เวลา ๑๓ นาฬิกา ๓๐ นาที
    *************************************


    ผู้ที่กล่าวทำนาย
    ไว้ก่อนเหตุการณ์จริงจะเกิดขึ้น
    ว่า นายกรัฐมนตรี คนที่ ๒๔ ของประเทศไทย
    จะเป็น...นาย ศุภชัย พาณิชภักดิ์


    ท่านผู้นั้น คือ
    พระศรีอารยะเมตไตรยพุทธเจ้า (สิอรย)
    ที่กำลังจักปรากฏต่อมวลมนุษย์ทั่วหล้า


    ข้าพระพุทธเจ้า ขอต้อนรับ และ
    ขออัญเชิญบทสวดฆราวาส
    ที่ องค์โลกุตตระ ได้มอบประทานให้
    มาแสดงไว้ ณ ที่แห่งนี้




    ***************
    บทอาราธนาผู้ตาม
    ***************


    ธรรมนี้ตอนพระพุทธเจ้ารักชีวิตของตน
    ค้นหาการกระทำต่อไป

    รัตตะนะสุเมตตา โพจะมานะสา เทตะรา ผัสสะ
    สัญญะ จะภูโต โสทะโส นิพพาโว โหตะ ฯ


    -------------------------------------------------


    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ตุลาคม 2006
  2. mayamaya2007

    mayamaya2007 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +14
    บ้าหรือเปล่าทำนายยังผิดเลย ใช่นาย ศุภชัย พาณิชภักดิ์ที่ไหนล่ะ
    หัดดูข่าวสารบ้านเมืองมั้งน่ะ
    จะได้ไม่เพี้ยน

    แล้วคนอย่างนี้หรือจะมาบอกว่าเป็น
    พระศรีอารยะเมตไตรยพุทธเจ้า
    เพี้ยนแล้วคุณ ผมว่า หนุมานผู้น่าสงสารน่าจะไปหาหมอน่ะครับ
    คุณกลับเข้ามาในโลกความเป็นจริงได้แล้ว


    *************
    อย่าบอกน่ะว่าคุณเองคือ
    พระศรีอารยะเมตไตรยพุทธเจ้า ฮ่าาาาาาา.....
    *************
    ผมว่าคุณหนุมานควรรับผิดชอบ แค่นายกคนต่อไปคุณยังบอกผิดเลย
    แล้วใยคุณจะมาอวดรู้อนาคตข้างหน้า

    *********
    ตอบผมหน่อย

    *********
     
  3. animejanai

    animejanai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    510
    ค่าพลัง:
    +494
    รู้แล้วพูดก็มีนะครับ แต่ที่สำคัญคือเราไม่รู้ว่าใครพูดจริงนี่สิ
    ไม่พูดส่อเสียด เพราะจะผิดศีล
     
  4. bonboy

    bonboy สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +12
    ต้นไม้ของ บิลเกตต์ แห่งไมโครซอฟต์

    ต้นไม้ของ บิลเกตต์ แห่งไมโครซอฟต์

    อ่านแล้วน่าสนใจครับ เมื่อไรเมืองไทยจะมีกับเขาบ้างนะ แหล่งเพาะปลูกภูมิปัญญาที่สุดยอดอย่าง Infosys

    http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Cid=81&Pid=58004

    อินเดีย จุดเริ่มต้นของ พระพุทธศาสนา มีการปกครองแบบวรรณะ แต่กลับล้ำ้้หน้าไปไกลแล้ว

    คนไทย ยังมัวแต่งมงาย กับไสยศาสตร์ และทะเลาะกันเอง เพราะผลประโยชน์ ส่วนตน

    น่าเศร้าเหลือเกิน
     
  5. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    เรื่องของมารผจญ

    [​IMG]

    มารมีอยู่ ๕ ฝูง คือ
    ฝูงที่ ๑ ชื่อกิเลสมาร ได้แก่ ความขุ่นมัวที่ฝังติดใจคนเราแล้ว ทำให้เราคิดแต่เรื่องร้ายๆ ซึ่งถ้าจะถามว่า เกิดจากอะไร? ก็เกิดจากการที่ใจของเราเคลื่อนออกจากศูนย์กลางกายไป แล้วเลยทำให้กิเลสได้โอกาสฝังติดใจแนบแน่น จึงทำให้ใจเกิดความคิดร้ายๆ ขึ้นมา เมื่อความคิดร้ายๆ นั้นเกิดขึ้นมาแล้ว ก็เลยทำให้เราคิด พูด ทำแต่สิ่งที่ไม่ดี เป็นการตัดรอนความดีของเราลง แล้วเราเองก็กลายเป็นเสนาหรือผู้รับใช้ของเทวบุตรมารไปอีกทอดหนึ่งด้วย

    ฝูงที่ ๒ ชื่อขันธมาร ได้แก่ร่างกายและจิตใจของเราที่ไม่สมประกอบ พิการไปด้วยเหตุอันใดอันหนึ่ง เช่นสุขภาพไม่ดี ร่างกายเสื่อมโทรม เจ็บไข้ได้ป่วย ก็เลยทำให้ขันธ์ของเราเป็นมารแก่ตัวเอง แม้ที่สุดการที่กินข้าวผิดเวลา นอนดึกๆ ดื่นๆ หรืออยู่ในอิริยาบถเดียวต่อเนื่องกันไปนานๆ เช่น นั่งนานๆ เลยทำให้ปวดเมื่อยเกินเหตุ รวมทั้งการที่ตัวเรามีประสาทสัมผัสเสื่อม ความจำเสื่อม ความคิดไม่แล่น การตัดสินใจยืดยาด ไม่เด็ดขาด เหล่านี้เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นขันธมารบั่นทอนความดีของเราลงทั้งสิ้น


    ฝูงที่ ๓ ชื่ออภิสังขารมาร ได้แก่ ผลกรรมชั่วในอดีตที่ตามมาล้างมาผลาญเรา แม้เราเลิกการกระทำเหล่านั้นแล้ว บาปกรรมก็ยังตามล้างผลาญไม่ลดละ แม้แต่ชาวบ้าน เขาก็ไม่เชื่อถือเรา ตามสาปแช่งเรา ตายแล้วยังแถมตกนรกหมกไหม้อีกด้วย พอเกิดมาใหม่ก็พิการ ใบ้ บ้า ปัญญาอ่อน


    ฝูงที่ ๔ ชื่อมัจจุมาร คือความตายที่คอยจ้องตัดรอนชีวิตอยู่ทุกขณะจิต หากประมาทเมื่อใด เพียงหายใจเข้าแล้วไม่หายใจออกก็ตาย ออกแล้วไม่เข้าก็ตาย ยิ่งไม่ออกไม่เข้ายิ่งตายเร็วหนักเข้าไปอีก รวมทั้งความกลัวตายที่พลอยผสมโรง ริดรอนกำลังใจด้วย


    มารทั้ง ๔ ฝูงนี้ ล้วนอาศัยอยู่ในตัวของเราแต่ละคน มีแต่ มารฝูงที่ ชื่อเทวบุตรมาร ซึ่งอยู่นอกตัวเรา แต่ก็พร้อมจะเข้ามาสิงในตัวเราเมื่อไหร่ก็ได้ มันมีตัวตนจริงๆ พร้อมที่จะแสดงตัวออกมาด้วยกายหยาบก็ได้ กายละเอียดก็ได้ แม้แต่ท้องพระอรหันต์อย่างพระมหาโมคคัลลานะซึ่งทีฤทธิ์มาก มันก็ยังเข้าไปได้ง่ายๆ หากมันได้โอกาสก็พร้อมจะพิฆาตเข่นฆ่าเราทันที เทวบุตรมาร คือมารประเภทหนึ่งซึ่งมีมิจฉาทิฏฐิอย่างแรง
    เทวบุตรมาร มารฝูงนี้ร้ายกาจนัก มีภพที่อยู่โดยเฉพาะ ชอบทำความเดือดร้อนแก่มนุษย์ เทวดา พรหม อรูปพรหม แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มารพวกนี้เห็นใครทำความดีแล้วทนไม่ได้ ต้องหาทางขัดขวาง กลั่นแกล้ง ทำร้าย เพราะแสลงต่อความดี พวกนี้มีตัวตนให้เห็นเป็นตัวๆ เลยนะ ในบางภาวะออกมายืนต่อหน้าให้เราเห็นได้ มีทั้งหัวหน้าและลูกน้องเป็นฝูงๆ แต่อย่างพวกเราน่ะ ระดับหัวหน้ามันไม่มาให้เห็นหรอก อย่างดีมันใช้ให้ชนิดหางแถวมารบกวนแทน เช่น ส่งขี้เมามาเอะอะด่าทอข้างบ้านขณะทำบุญตักบาตร ส่งสุนัขมากัดกันขณะนั่งสมาธิ ฯลฯ

    ถามว่า แล้วเราจะต้องทำอย่างไรกับมารทั้ง ฝูงนี้ มันจึงจะหมดฤทธิ์ ไม่สามารถมาขัดขวางการทำความดีของเราอีกต่อไป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในมารเธยยสูตรว่า
    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการ ก้าวล่วงบ่วงแห่งมารแล้ว ย่อมรุ่งเรืองดุจพระอาทิตย์ฉะนั้น
    ธรรม ๓ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ประกอบแล้วด้วยศีลขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ๑ เป็นผู้ประกอบแล้วด้วยสมาธิขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ๑ เป็นผู้ประกอบแล้วด้วยปัญญาขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ๑


    ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุผู้ประกอบแล้วด้วยธรรม ๓ ประการนี้แล ก้าวล่วงบ่วงแห่งมารแล้ว ย่อมรุ่งเรืองดุจพระอาทิตย์ฉะนั้นฯ"

    พระผู้มีพระภาคตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า


    ภิกษุใด เจริญศีล สมาธิ และปัญญาดีแล้ว ภิกษุนั้นก้าวล่วงบ่วงแห่งมารได้แล้ว ย่อมรุ่งเรืองดุจพระอาทิตย์ ฉะนั้น ฯ
    (พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่ ข้อที่ ๒๓๗ มารเธยยสูตร)
    พระธรรมเทศนาโดยพระภาวนาวิริยคุณ(หลวงพ่อทัตตชีโว)

    ที่มา http://www.dhamma.net/dhamma/Mara/9.html
    หมายเหตุ
    เรื่องของเทวบุตรมารนี้ เท่าที่ผมได้รับฟังมาได้ความว่า เมื่อชาติก่อนของพวกนี้เป็นพวกฤาษี โยคี นักพรต ชอบบำเพ็ญภาวนาอยู่ตามป่าเขา จนได้ฌาณสมาบัติ เมื่อตายลงก็ได้มาเกิดเป็นเทวดาเพราะบุญแห่งการบำเพ็ญภาวนา แต่เป็นเทวดาที่เป็นมิจฉาทิฎฐิ เป็นเทวดาอันธพาล ไม่เคารพในพระพุทธเจ้า ไม่เคารพในพระธรรม ไม่เคารพในพระสงฆ์ เรียกว่าเป็นเทวดาอสูร
    เทวบุตรมารพวกนี้เองที่ชอบมากลั่นแกล้ง ผู้ที่ปฎิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา โดยมารบกวนการบำเพ็ญธรรมบ้าง มีฤทธิ์เดชสามารถสร้างนิมิตหลอกลวงให้ผู้ปฎิบัติธรรมหลงผิดไปจากความเป็นจริง เช่นทำนิมิตให้เห็นเป็นพระพุทธเจ้ามาโปรดแต่สอนธรรมผิดๆ เพี้ยนๆ บ้าง แกล้งมาบอกว่าผู้ปฎิบัติธรรมท่านนั้นว่าเป็นพระศรีอาริย์จุติมาบ้าง แกล้งทำนิมิตให้เห็นเหตุการณ์ในอนาคตที่ไม่เป็นจริงบ้าง ฯลฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ตุลาคม 2006
  6. animejanai

    animejanai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    510
    ค่าพลัง:
    +494
    สงสัยผมก็เป็น
    รู้อย่างงี้จะได้ทำตัวถูก
    ขอบคุณครับที่บอก
    ปล.คนที่ไม่อยากให้คนอื่นได้ดีกว่าตน(ฮา) สงสัยจริงว่าทำไม?
    (ฮาอีก) ตรงที่บอกว่าเป็น เทว"บุตร"มาร
    อ๊ะ เค้าห้ามพูดส่อเสียดนี่นา
    อโหสิกรรมด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 ตุลาคม 2006
  7. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ตำนานพระศรีอาริย์ก่อนกึ่งพุทธกาล(พระศรีอาริย์วัดไลย์)
    [​IMG]
    กล่าวถึงเมืองนครพารา มีกระทาชายคนหนึ่งหา เลี้ยงบุตร
    ภรรยาด้วยความชอบธรรม ประพฤติตนอยู่ในศีลในธรรม จะได้
    ประกอบอกุศลกรรมหยาบช้าก็หามิได้ และเป็นคนที่เพียบพร้อม
    ไปด้วยศรัทธา เคารพในพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม
    และพระสงฆ์ เมื่อกระทำการกุศลสิ่งใดก็ตั้งใจมุ่งมาดปรารถนา
    ขอให้พบพระศรีอาริย์ ขอได้ไปเมืองแก้ว

    อยู่มาวันหนึ่งเป็นวันพระ 15 ค่ำ ชายผู้นี้มีจิต ศรัทธารักษา
    อุโบสถศีลแปด มิได้รับประทานอาหารเย็น ได้ปรารภกับบุตร
    ภรรยาว่า

     
  8. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    พระศรีอาริย์หลังกึ่งพุทธกาล


    [​IMG]


    รับกาศิตพระพุทธองค์ ลงสู่โลกยุคเบียฬบีฑ์

    รักษ์ธรรมะรังษี ตามพระพุทธทรงประสงค์
    มั่นหมายจะเสริมศาสน์ สถาปน์โลกให้อยู่ยง
    บำราศภัยพินาศ,คง ศิวิไลซ์สถาพร
    หากแล้งพระธรรมญาณ อันธพาลกลีบร
    จะครองโลกเป็นอากร เป็นทมิฬเดรัจฉาน
    โลกทุกข์ทนทั้งคืนวัน พิฆาตกันบ่มีประมาณ
    ด้วยเหตุอหังการ เข้าครองโลกวิโยคธรรม
    พระจึงจุติแทนพุทธองค์ เพื่อประสงค์ดำรงธรรม
    ตามแนวพระศาสดานำ ทั่วโลกผองผ่องพ้นภัย
    เผยแผ่เที่ยงธรรมแท้ ให้ไพศาลพิชิตชัย
    ยุคทมิฬแปรผันไป ชาวศิวิไลซ์ทั้งปฐพี

    <CENTER></CENTER>
    ท่ามกลางพระพุทธศาสนานี้ สุวัณณภูมิแดนอาริยะนี้



    พระโพธิญาณแห่งหมื่นพระพุทธา
    เทวดา 50,000 องค์ ยักษ์อีก 50,000 ตน
    นาคและครุฑก็จะเป็นมิตรกัน ลงประจำรักษา
    เหล่ากาขาว จะสืบศาสนจักร อาณาจักร พุทธจักร
    ลุถึง พ.ศ. 3850 คนสุดท้ายเป็นศรีอาริยวงศ์ผู้สืบสานงาน
    มีนามว่า "สิริอริยะ" (Siriariya)
    เมื่อพ้นจากนี้ไปแล้ว ทุกสิ่งจักคืนสู่ต้นน้ำ
    พระเสื้อเมืองทรงเมืองทั้งหลาย ก็จะละทิ้งบ้านเมือง
    หลีกลี้เข้าป่าเขาลำเนาไพร เพราะอธรรมจะครองโลก
    อธรรมทั้ง 3 และอคติทั้ง 4
    เข้าครอบงำสันดานประมุขและรัฐบุรุษ
    จนบ้านเรือนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า
    มหาภัย 10 ประการ กวาดล้างประชากรชาวโลก
    ครั้นแล้วก็จะบังเกิดพญาธรรมิกราชองค์ที่ 4
    คือ พระศรีอาริย์ธรรมามิกราช
    จะมายอยกพระพุทธศาสนาอีก
    จะทรงเกียรติดั่งพระเจ้าอโศกมหาราช
    สืบศาสนจักร อาณาจักร พุทธจักร ต่อไป

    ภาคเหนือของไทย เวียงกาขาว แดนธรรมศรีวิไล โดยพุทธวัจนะว่าเป็น.....มหาอาณาจักรสัมมาทิฐิ"


    <CENTER></CENTER>
    ปะวัตตะตุ ภะวัง จักกะระตะนัง" มีมณฑลธรรมจักรประกอบขึ้นด้วยดุม บรรจุ 84,000 พระธรรมขันธ์ และรัตนะธารณี "หัวใจพระยูไล"
    ทรงอานุภาพแห่งการคำนวณอริยทรัพย์ อริยมรรค เมื่อหมุนผัดผันไปในอากาศ จะมีเสียงดังกระหึ่มประกอบด้วยความไพเราะเหมือนทิพย์ดนตรีทรงอานุภาพถึงจักรแก้วจอมจักรพรรดิ "อะเนกะระตะโน"ณ สะดือทะเล ริมเกาะมินดาเนา ใกล้เกาะฟิลิปินส์(ลึกประมาณ 35,410 ฟุต) ดึงดูดให้แก้วรัตนะชาติต่าง ๆ ทองคำ น้ำมัน ขึ้นมาจักรแก้วกับแก้วมณีนี้มีมหิทธาศักดานุภาพล้ำเลิศ
    "คหปติระตะนัง" คือบุคคลผู้จะกู้เอาทรัพย์ขึ้นจากใต้น้ำและใต้ดินให้ชาติมูลค่านับแสนแสนล้านเป็นมหาสมบัติใต้แผ่นดินเป็น "คลังมหาสมบัติของพระศรีอารีเมตไตร"ก็คือ "ท้องทะเลลึกสีครามรอบประเทศไทย" นั่นเอง
    มหาสมบัติใต้ทะเล
    ขุมทรัพย์มหาศาลที่ถูกคำนวณมาสู่ท้องทะเลลึกสีครามนี้มีมูลค่าถึง 1/8 ของราคาทองคำและเงินทั้งหมดในโลกจากทรัพย์สมบัติเงินทองที่เรืออับปางมาแต่อดีต
    พ.ศ. 1043 - 2115 เรือบรรทุกสมบัตินานาชาติมี สเปน 10 ลำ โปรตุเกตุ 17 ลำ ญี่ปุ่น 2 ลำฝรั่งเศส 2 ลำ อิตาลี 1 ลำ รวม 51 ลำ มูลค่า 170,205,000,000 เหรียญทอง
    พ.ศ. 2153 - 2443 สเปน 56 ลำ ฮอลันดา 36 ลำ โปรตุเกส 1 ลำ ฝรั่งเศส 1 ลำ กรีซ 1 ลำ รวม 65 ลำมูลค่า 144,932,000 เหรียญทอง
    พ.ศ. 2245 - 2343 สเปน 27 ลำ อังกฤษ 9 ลำ ฝรั่งเศส 5 ลำ ฮอลันดา 3 ลำ อเมริกา 1 ลำ รวม 45 ลำมูลค่า 30,000,000 เหรียญทอง
    พ.ศ. 2344 - 2424 เตอรกี - อียิปต์ 65 ลำ อเมริกา 25 ลำ อังกฤษ 21 ลำ สเปน 6 ลำ ฝรั่งเศส 4 ลำ ตุรกี 1 ลำ เยอรมัน 1 ลำ จีน 1 ลำไม่ปรากฏสัญชาติ 2 ลำ รวม 126 ลำมูลค่า 139,699,000 เหรียญทอง
    พ.ศ. 2444 - 2476 อังกฤษ 8 ลำ อเมริกา 34 ลำรัสเซีย 3 ลำ เยอรมัน 3 ลำ ฮอลันดา 1 ลำ เบลเยี่ยม 1 ลำ ฝรั่งเศส 1 ลำ รวม 49 ลำ มูลค่า 4,052,562,000 เหรียญทอง มหาสมบัติเหล่านี้จะถูกคำนวณมาใช้เป็นประโยชน์ชาวโลกเมื่อดอกไม้สีเหลืองทองเบ่งบานบนภูเขาหิมะโดยธรรม
    มหาสมบัติใต้ดินของชาวสยาม
    เมื่อดอกไม้สีเหลืองทองเบ่งบานทั่วบุรี ถึงกาลที่ภาคผู้เลี้ยง ผู้รักษา ตนบุญ ตนหลวง บุรพชนต้นตระกูลแห่งสุวัณณภูมิ ผู้รักษาประเทศชาติเทวาอารักษ์ เจ้าป่าเจ้าเขา ภูติผีพราย ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ผู้รักษาทรัพย์แผ่นดินทั้งหลายต้องประกาศนาม ประกาศเขต ประกาศทรัพย์สู่จักรพรรดิภาคผู้เลี้ยงผู้รักษาว่าถึงกาลให้ก้าวสู่ยุคถิ่นกาขาว ชาวศรีวิไล ไทยมหารัฐ และจักรพรรดิราชเพื่อวางแนวทางสู่ความร่มเย็น ความอุดมสมบูรณ์พูนสุขจะได้เกิดฉัตรโพธิ์เงินไทรทอง เงาร่มโพธิ์ร่มไทรปกแผ่ไปทั่วตามผังจริงแห่งโองการนวกาพรหม นามแม่กาเผือกสู่แผ่นดินรัตนโกสินทร์ว่า บัดนี้ถึงกาลที่จะคืนสู่ผังจริงว่าแผ่นดินนี้ คือ แผ่นดินธรรม แผ่นดินทองให้ผู้รักษาทรัพย์ทุกท่าน เปิดทรัพย์สมบัติขึ้นสู่ประเทศชาติส่งต้นดอก - ผลบุญ สุขสันติให้ถึงตลอดแนวทั่วสุวัณณภูมิ


    </PRE>
    จากการที่เหล่าเจ้าหน้าที่ผู้รักษาทรัพยากรล้ำค่าในแผ่นดินขึ้นมาประกาศนาม ประกาศเขต ประกาศทรัพย์ เพื่อเป็นการส่งมอบต่อเหล่าจักรพรรดิผู้มากระทำหน้าที่ให้ชาวศิวิไล พื้นที่แหล่งแร่ทองคำกระจายหลายจังหวัด ยกเว้นที่ราบสูงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และพื้นที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง โดยมีพื้นที่ศักยภาพที่มีแร่ทองคำสูง มี 2 แนว คือ
    แนวแรกพาดผ่านจังหวัดเลย หนองคาย เพชรบูรณ์ พิจิตร นครสวรรค์ลพบุรี ปราจีนบุรี สระแก้ว ชลบุรี และระยอง
    แนวที่สองพาดผ่านจังหวัดเชียงราย ลำปาง แพร่ อุตรดิตถ์ สุโขทัย และตาก
    ส่วนพื้นที่อื่น ๆ มีทองคำกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป เช่น บริเวณบ้านป่าร้อน อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แหล่งโต๊ะโมะ อำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส และ อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี (เฉพาะนราธิวาสและกาญจนบุรียังมีขุมน้ำมันใต้แผ่นดินมหาศาลอีกด้วย)
    สำหรับแร่เพชรและดีบุก แร่ใสในทะเลอันดามัน บริเวณพื้นที่ จังหวัดระนอง จังหวัดพังงา และจังหวัดภูเก็ตรวมพื้นที่ 2,577 ไร่
    ประกาศเขต
    แร่ทองคำในแต่ละพื้นที่มีดังนี้อ.กระบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ครอบคลุมพื้นที่ 73,125 ไร่ อ.เมือง จังหวัดสระแก้ว 90,000 ไร่ อ.เนินมะปราง บ้านทุ่งพระ บ้านห้วยบ่อทอง ต.บ้านมุงจังหวัดพิษณุโลก 109,000 ไร่ อ.ลำนารายณ์ จังหวัดลพบุรี 39,000 ไร่ อ.แกลง จังหวัดระยอง 33,000 ไร่ อ.นายายอาม จังหวัดจันทบุรี 10,000 ไร่ ต.เขาเจ็ดลูก อ.ทับคล้อ จังหวัดพิจิตร และ ต.ท้ายดง อ.วังโป่ง จ.เพชรบูรณ์ 1,200 ไร่ภูทับฟ้า ภูเหล็ก ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จังหวัดเลย 125,000 ไร่อ.วังชัน จังหวัดแพร่ อ.ทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัยและสุดเขตแดนจังหวัดนราธิวาส
    เฉพาะในเขตพื้นที่ของผู้รักษาทรัพย์แผ่นดินจังหวัดกาญจนบุรี องค์พรหมพระยากาญจนพลินทร์ และผู้รักษาทรัพย์แผ่นดินภาคใต้องค์พรหมทักษิณและรัตติตรัตนนาคา(พญานาคราช) เมื่อถึงกาลทรัพยากรล้ำค่าเคลื่อนสู่หน้าดิน
    Wealth shall come from under the earth.This shall take Siam beyond wealth or super wealth unknown of before by any country of this planet. All lives of Siam shall experience happiness never dreamed of....... The glory of Siam
    มหาสมบัติเหล่านี้เป็นของผู้ทรงไว้ซึ่งอำนาจสิทธิแห่งแผ่นดินไม่มีผู้หนึ่งผู้ใด สิ่งหนึ่งสิ่งใดมาทำลายล้างซึ่งอำนาจสิทธิแห่งความสำเร็จกิจนี้ได้

    <CENTER></CENTER>


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2006
  9. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,697
    ค่าพลัง:
    +51,933
    มาแล้ว...ไม่เห็นเอง

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  10. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ยุคพระศรีอาริย์(พระเจ้าจักรพรรดิ)ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน

    ผมได้รับฟังมาจากเพื่อนนักปฎิบัติธรรมท่านหนึ่ง(ขอไม่เอ่ยนาม) กล่าวไว้ดังนี้:-

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน) ได้เคยบอกลูกศิษย์ที่ตึกรับแขก ซึ่งภรรยาของผมเมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษา ได้ช่วยงานอยู่ที่นั่น เราทราบดีว่าหลวงพ่อนั้นเป็น "พระสุปฏิปันโน" จึงไม่ต้องสงสัยคำพูดใดๆของท่าน

    เมื่อคราวหนึ่งท่านกล่าวกับคณะศิษย์ที่ตึกรับแขกว่า... ขณะนี้ "พระเจ้าจักรพรรดิ" ได้ลงมาเกิดในประเทศไทยแล้ว (พวกเราจึงเลิกสงสัยว่าทำไมประเทศไทยจึงเจริญรุ่งเรืองต่อไป) และเกิดเป็นคนหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ มีเชื้อทางฝั่งลาว ตอนเกิดนั้น มารดาท่านฝันว่าได้แหวนทองจากเทวดา และตั้งชื่อลูกของท่านว่า "เทพ"


    ยุคสามร่มโพธิ์ศรี จากคุณอัญญาสิทธิ์

    <TABLE class=tborder id=post121026 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt1 id=td_post_121026>ถึงคุณ เกษม เรื่อง "สามร่มโพธิ์ศรี" นั้นที่จริงคือเรื่องของพระจักรพรรดิ์ ที่พระศรีฯ จะลงมายกยอพระศาสนา ที่พระศรีฯท่านมาเป็นพระยาธรรมิกราช ปกครองโลก พระโพธิสัตว์อีกองค์หนึ่งทำหน้าที่เป็นคล้ายพระสังฆราชของโลก และพระโพธิสัตว์อีกองค์หนึ่งทำหน้าที่คล้ายนายกของโลก โดยมีเหล่า อัญญาสิทธิ์ และ อัญญาธรรม ซึ่งเป็นผู้ที่ลงมาทำหน้าที่ต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ปฎิบัติรอพระจักรพรรดิ์ กันทั้งนั้นและมักอยู่ในที่ลี้ลับ แต่ถ้าปฏิบัติจิตถึงก็สื่อกันได้

    รายละเอียดเรื่องสามร่มโพธิ์ศรี ผมกำลังรวบรวมจากคนในคณะหลายๆคน เพราะฟังมา ต่างวาระกัน แล้วจะนำมาเล่าสู่กันฟังทีหลังครับ

    ที่สำคัญก็คือกาลของยุคพระจักรพรรดิ์ ใกล้เข้ามามากแล้ว ครูบาอาจารย์ ท่านมาบอกบ่อยๆให้เร่งปฏิบัติกัน พระศรีฯใกล้จะลงมาทำหน้าที่พระจักรพรรดิ์ แล้ว คำว่า "ใกล้" นี้ ในโลกภายในนั้นหากเป็น 5-10 ปีมนุษย์นั้น ถือว่าน้อยมาก

    ที่ผมกำลังกังวลก็คือ กาลของพระจักรพรรดิ์ จะมาเร็วกว่าที่คิดมาก ครูบาอาจารย์ท่านสั่งให้ทำหลายสิ่งหลายอย่าง ผมยังทำไม่เสร็จอีกมาก ครูบาอาจารย์ท่านบอกไว้ว่าเมื่อกาลของพระจักรพรรดิ์ใกล้เข้ามา หายนะจะเกิดขึ้นกับโลก เทวดาเขาจะทำฤทธิ์ โลกจะปั่นป่วนเท่าที่จำได้ ท่านบอกว่า "ประเทศอเมริกาจะเป็นเกาะเป็นแก่ง" ยุโรปต่อไปก็จะหายนะอยู่ไม่ได้ ต้องมาพึ่งแผ่นดินไทย (ต่อไป ไทยกับลาวจะกลับมารวมกัน) ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น หายไป ฯลฯ และ ประเทศไทยจะดีได้ ก็ต่อเมื่อ "เกิดเหตุใหญ่" เสียก่อน การเมืองไทยคนจะฆ่ากันตายเป็นเบือ แต่ที่เป็นอยู่ทางภาคใต้ตอนนี้คิดว่ายังไม่ใช่เหตุการณ์ที่ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวไว้ เคยถามท่านว่า "ไม่ให้เกิดไม่ได้หรือ" ท่านว่า "ปู่ยีเว่าไว้แล้ว ปานพระเจ้าเว่า เปลี่ยนแปลงไม่ได้"

    หากใครสังเกตดีๆ ลมพายุนั้นคล้ายจักรหมุน หากใครเคยขี่จักรภายในจะเข้าใจว่าเป็นยังไง เท่าที่เห็นตอนนี้คือภายใน ปราบภายใน ก็ล้นออกมาภายนอก ใครมีกรรม เป็นเชื้อสายของพวกที่เขาปราบภายในก็จะได้รับผลกระทบ ถ้าจะไล่ลำดับ ก็ต้องไปตั้งต้นศึกษาระบบจิตวิญญาณที่หมุนเวียนอยู่บนโลกตั้งแต่ยุครามเกียรติ์แหละ

    เอาเป็นว่าพวกอิสลามคือเชื้อยักษ์พวกนึง ฝรั่งก็เชื้อยักษ์อีกพวกนึง ทางเอเชียก็เป็นพวกเทวดา นาค ฯลฯ รวมทั้งลูกผสมเชื้อยักษ์ก็มีเช่นกัน ศาสตร์วิชาการที่มนุษย์ใช้อยู่บนโลกปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นวิชาของพวกเชื้อยักษ์เป็นคนคิด (ยิวกับยักษ์ เป็นภาษาลัญญลักษณ์) สุดท้ายศาสตร์วิชาการที่มนุษย์เอามาใช้ก็จะทำลายเบียดเบียนมนุษย์กันเอง
    <!-- / message -->

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2006
  11. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ที่สุดแห่งเทคโนโลยี ยุคชาววิไล
    โดยคุณม้งคละ

    [​IMG]

    เมื่อนั้น พระราชาก็เริ่มคิดค้นถึงเทคโนโลยีขั้นสูงสุด ที่เป็นที่รวมของทุกสิ่งทุกอย่าง คือ เป็นเครื่องมือที่สามารถจะดึงอณูธาตุที่มีในอากาศมาขึ้นรูปเป็นวัตถุสิ่งของต่างๆได้ตามปรารถนา โดยไม่ต้องได้ตัดไม้เพื่อมาทำกระดาษ ไม่ต้องขุดดินระเบิดหินเพื่อมาทำซีเมนต์หรือก้อนอิฐ ไม่ต้องผลิตคอมพิวเตอร์เป็นจอๆ แบบมีแป้นควบคุมนี้มาใช้ ด้วยว่า ข้าวของเครื่องใช้เหล่านี้ มีความสิ้นอายุไป แล้วก็กลับกลายเป็นของเสียในภายหลัง มีความล้าหลัง มีคุณสมบัติหลายอย่างไม่ตรงตามปรารถนา ประกอบกับในเวลานั้น ปัญหาขยะในโลกก็ยังคงมีอยู่ แม้ว่าเทคโนโลยีที่พยายามพิจารณาดีแล้วนั้นจะก่อมลพิษน้อยก็ตาม แต่มันก็ยังมีอยู่ สืบต่อไปในระยะกาลประมาณหนึ่ง ก็มีอันต้องสะสมกันล้นพื้นที่ได้ง่าย ด้วยเหตุนี้ พระราชาจึงพิจารณาเพื่อสร้างวัตถุอันเป็นที่สุดแห่งเทคโนโลยีขึ้นมา คือจักรรัตนะ หรือจะเรียกว่า เครื่องควบคุมพลังงานหรือธาตุในจักรวาลให้เป็นไปตามใจปรารถนา ก็ได้

    ก็จักรรัตนะนี้นั้น เมื่อปรากฏสำเร็จขึ้นมาแล้ว จะมีคุณสมบัติในการควบคุมธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ในขอบเขตเท่าที่ใจนึกได้ โดย เครื่องมือชนิดนี้จะตอบสนองโดยตรงต่อความนึกของมนุษย์ ในการป้อนข้อมูลเข้าจักรรัตนะ จึงไม่จำเป็นต้องอาศัยแป้นพิมพ์ ไม่ต้องอาศัยหน่วยความจำภายนอก และขอบเขตในการควบคุมธาตุ กว้างใหญ่ไปเท่าที่ใจของผู้เป็นเจ้าของจะนึกถึงได้ ... จักรรัตนะนี้ รับข้อมูลเข้าไปในรูปของอารมณ์จิต จึงมีอานุภาพเป็นทิพย์ มีความสามารถในการเร่งพลังงานข้ามมิติแห่งกาลเวลาเข้าไปยังภพภูมต่างๆในต่างมิติได้ สามารถจะไปนรกสวรรค์ได้ ไปพรหมโลกได้ คือ ไปได้ทุกที่ที่มีธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เท่าที่ใจของเจ้าของจะนึกถึง ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ก็จะใช้งานแค่ในขอบเขตจักรวาลหนึ่งเท่านั้น ไม่ค่อยนำไปใช้งานข้ามแกแล็กซี่นัก แต่ในความจริง จักรรัตนะ สามารถเดินทางข้ามแกแล็กซี่ได้

    เมื่อต้องการจะเข้าไปศึกษาเรื่องราวของวัตถุธาตุในจักรวาล เช่น โครงสร้างดาวโลกชมพู โครงสร้างดวงอาทิตย์ หรือเนบิวลา หรือวัตถุอื่นใดในวงกว้างนั้น จักรรัตนะจะเร่งพลังงานเข้าไปไว้ในระดับทิพย์ที่ไม่แตะต้องกับธาตุ4แบบมนุษย์ แล้วแทรกซึมเข้าไปในเนื้อวัตถุธาตุเหล่านั้นได้ มีการนำเสนอโครงสร้างของดวงดาวเหล่านั้นได้คล้ายอย่างที่คอมพิวเตอร์นำเสนอข้อมูลในรูปกราฟฟิก จะต่างกันก็แค่ว่า จอมอนิเตอร์สำหรับจักรรัตนะแล้ว เป็นจอที่ไม่มีขอบเขตแน่นอน

    ไม่ใช่เพียงเท่านั้น จักรรัตนะนั้นเอง ยังมีกำลังอำนาจในการขยายอณูแห่งธาตุเข้าไปยังระดับโครงสร้างที่เล็กลงๆไปเรื่อยๆได้ตามปรารถนา

    เรียกจักรรัตนะว่า เป็นเครื่องมือสารพัดจะนึก สารพัดจะใช้ก็ได้

    เพราะเหตุที่จักรรัตนะมีความพิเศษอย่างนี้ จึงมีอานุภาพครอบงำแม้กระทั่งอานุภาพของเหล่าเทวดา จึงมีอำนาจในการจัดอารักขาป้องกันภัยอันตรายให้พระราชาได้ตามที่พระราชาปรารถนา

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้รู้แจ่มแจ้งโลก เมื่อกล่าวถึงโลกในมุมอันเป็นทีสุดแห่งความเจริญในด้านความรู้เทคโนโลยี พระองค์จึงกล่าวถึง จักรรัตนะนี้ ว่า เป็นสิ่งพิเศษสูงสุด และตรัสเรียกพระเจ้าจักรพรรดิ ผู้สามารถก่อเหตุปัจจัยให้เหมาะสมในการปรากฏจักรรัตนะนั้นว่า เป็นอัจริยะมนุษย์ เกิดขึ้นมาเพื่อเป็นอัจริยะมนุษย์ คือสามารถคิดค้นสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปไม่อาจจะคาดคิดถึง แม้กระทั่งจะจินตนาการว่ามันมี มนุษย์ทั้งหลายก็ไม่กล้าจะจินตนาการ แต่บุคคลพิเศษผู้นั้น กลับมีกำลังปัญญาข้ามกรอบมนุษย์ทั่วไปนั้นไป จึงกล่าว่า พระเจ้าจักรพรรดิเป็นบุคคลพิเศษ และเพราะความที่พระเจ้าจักรพรรดิทำประโยชน์เกื้อกูลโลก เพื่อประโยชน์สุขแก่เทวดาและมนุษย์ จึงดำรงอยู่ในฐานะที่ควรเคารพสักการะ ควรแก่การระลึกถึง ผู้ที่ระลึกถึงพระเจ้าจักรพรรดิ มีผลให้เข้าสู่สุคติภูมิได้ หลังจากตายเพราะกายแตก

    พระเจ้าจักรพรรดินั้นเอง คือพระธรรมราชา เป็นราชาโดยธรรม เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในโลก ในคุณสมบัติต่างๆ

    แม้จะอย่างนั้นก็ตาม พระเจ้าจักรพรรดิผู้พิศษเยี่ยงนั้น ก็เปรียบไม่ได้แม้เสี้ยวหนึ่งในแสนโกฏิเสี้ยวแห่งองค์คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ต่อไปจะได้กล่าวถึงวิธีการสร้างจักรรัตนะ

    หลักการสร้างจักรรัตนะ

    ขั้นตอนการออกแบบ การออกแบบจักรรัตนะนั้น ประกอบไปด้วยสองส่วน คือส่วนฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ (ให้พิจารณาเทียบเคียงกับเรื่องเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เราใช้กันในปัจจุบันนี้)

    การออกแบบฮาร์ดแวร์ของจักรรัตนะ

    ฮาร์ดแวร์ คือส่วนที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตามนุษย์นี้
    จักรรัตนะจะถูกออกแบบให้มีรูปเหมือนกงล้อ คล้ายจานบิน คล้ายๆล้อเกวียน แต่ซี่ของจักรรัตนะนั้น จะไม่ปล่อยเป็นซี่แบบอากาศเหมือนซี่รถจักรยาน หากแต่จะบุไว้เป็นตาๆ หากแบ่งส่วนออกก็จะได้สามส่วนใหญ่ๆ คือ ส่วนดุมจักร๑ ส่วนกำหรือซี่จักร๑ และส่วนกงจักร๑

    ส่วนดุมจักรนั้นจะอยู่ตรงกลางสุด ใช้เป็นแกนหมุนได้ ทำมาจากแก้วไพทูรย์

    ส่วนซี่หรือกำของจักรคือส่วนที่อยู่ตรงวงกลาง มีอยู่พันซี่คือ การขีดเส้นในแนวรัศมีของวงจักร และมีการแบ่งซี่เหล่านั้นออกเป็นวงย่อยๆ หรือเรียกว่าเป็นแทร็กๆก็ได้ ช่วงกำของจักรนี้ เมื่อลากตัดวงด้วยแนวซี่จักรแล้ว ก็จะได้เซกเตอร์ของซี่กำ แต่ละเซกเตอร์เอง ทำจากแก้วมีค่าหลากสีสัน มีการสลักรูปต่างๆไว้ในแต่ละเซกเตอร์ คือ รูปแบบต่างๆของแกแล็กซี่ รูปแบบต่างๆของดวงอาทิตย์ ของดวงจันทร์ ของโลก ของเทวดาเหล่าต่างๆ และรูปที่เกี่ยวกับมนุษย์ คือสัญลักษณ์ทั้งหมดที่สลักไว้ จะครอบคลุมเรื่องราวทั้งหมดในแกแล็กซี่

    ในส่วนกงจักรนั้น จะแบ่งออกเป็นร้อยเซกเตอร์ พระอรรถกถาเรียกว่า ร้อยคัน และในแต่ละเซกเตอร์นั้นจะประดิษฐานฉัตรไว้ มีแถวลวดลายดอกไม้ทองคำแล่นโดยรอบขอบเขตแต่ละเซกเตอร์ของกงนั้น วัสดุที่ใช้ทำคันกงจักร คือ แก้วแดงบริสุทธิ์

    หากมองจักรรัตนะในทิศเบื้องบน จะเห็นรูปจักรรัตนะ คล้ายกับดวงอาทิตย์ทอแสงสีรุ้งโดยรอบ แล้วก็มีประกายรุ่งเรืองด้วยแสงจากแก้วมณีแต่ละสี คือ แก้วสีต่างๆที่นำไปทำจักรรัตนะนั้น เปล่งแสงได้ด้วย โดยตรงดุมนั้นจะมีรัศมีรุ่งเรืองที่สุด ทีนี้มาดูลายวงจรของจักรรัตนะบ้าง

    คอมพิวเตอร์ปัจจุบันนี้ มีแผ่นPCBเป็นแผงวงจรนำไฟฟ้าเข้าไปผ่านIC ที่มีคุณสมบัติต่างๆ ซึ่งใตไอซีเหล่านั้น มีลายวงจรเล็กๆ มีความละเอียดระดับไมครอน และในอนาคตยังจะพัฒนาให้ผลิตไอซีที่เล็กลงไปยิ่งกว่านั้นอีก จนท้ายที่สุด มนุษย์จะค้นพบว่า วัสดุทุกชนิด มีคุณสมบัติในการจำทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นเฉพาะสารกึ่งตัวนำ และลักษณะวิธีการอ่านข้อมูลในอณูธาตุเหล่านั้นเอง ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ระบบฉายกระแสไฟฟ้าเพื่อตรวจจับสัญญาณแม่เหล็ก หรือฉายเลเซอร์กระทบอะไรเทือกนี้ ..

    ในส่วนนี้ บางที ในอนาคตอันใกล้ มนุษย์อาจสามารถใช้โมเลกุลของธาตุเพียงโมเลกุลเดียวในการทำตัวCPU ของคอมพิวเตอร์ก็ได้ เมื่อมนุษย์เห็นโครงสร้างของอุตอมได้ละเอียดขึ้น มีเครื่องมือระดับละเอียดปานนั้น

    ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมนุษย์ศึกษาถึงความเกี่ยวพันระหว่างจิตกับธาตุ4 แล้ว มนุษย์ก็จะสามารถสร้างวงจรความจำ ทำวัตถุให้เป็นวัสดุเมมมอรี่ได้ โดยการใช้กำลังจิต เมื่อรู้ไปถึงนั่น มนุษย์ก็จะอธิบายได้ถึงการทำเครื่องลางของขลังในสายเทคโนโลยีทางนามว่า มันก็หลักคล้ายๆกับเรื่องเครื่องคอมพิวเตอร์นี้

    คือ ผู้ทีเขาเรียกว่า เป็นผู้อัดพลังจิตนั้น ทำการบริกรรม เพ่งอารมณ์มุ่งหมายอยู่ อธิษฐานไว้ว่า วัตถุนี้ ให้มีคุณสมบัติอย่างนี้ เมื่อกระทบกับกระแสจิตอย่างนี้ของคนนี้ ทำนองนี้นะครับ ซึ่ง คุณสมบัติ ความพิเศษพิศดารของเครื่องลางของขลังเหล่านั้น จะมีอานุภาพมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับความรู้แจ้งชัดของผู้อัดพลัง คือ ผู้ป้อนซอฟต์แวร์ให้แก่วัสดุนั้นเอง ซึ่งโดยมากแล้ว ผู้ที่ศึกษาทางการทำเครื่องลางของขลัง เรียนด้วยวิธีสืบทอดกันมา ไม่รู้แจ้งชัดในความข้อนี้ คุณสมบัติของเครื่องลางของขลังจึงกินอาณาเขตแคบๆ ใช้งานได้แคบๆ ทั้งๆที่สามารถประยุกต์ไปใช้งานให้กว้างขวางกว่านั้นมากมาย

    สิ่งที่เด่นชัดที่สุดในเรื่องเกี่ยวแก่เทคโนโลยีทางนามที่ประสานกับหลักการคิดแบบเทคโนโลยีทางวัตถุนี้แล้ว ก็คือ จักรรัตนะ นี้เอง

    คงเคยได้อ่านพบกันมาบ้างว่า ได้ยินว่า เมื่อพระราชาจักรพรรดิพาจักรรัตนะพัดผันไปยังที่ใด มนุษย์ หรือบุคคลใดๆที่มีความคิดว่าจะหยิบศาสตราวุธขึ้นมาเพื่อจะทำร้ายพระองค์หรือทำร้ายใครๆนั้น จะไม่สามารถหยิบจับอาวุธขึ้นมาได้ นั่นก็ด้วยอานุภาพของจักรรัตนะ ซึ่ง พระราชาได้โปรแกรมให้ตอบสนองกับสัญญาณจิตรายบุคคลว่า เมื่อบุคคลนึกคิดอย่างนี้ ขอร่างกายของเขาจงตอบสนองอย่างนี้ เพราะร่างกายมนุษย์หรือเทวดาเอง ก็ประกอบขึ้นมาจากธาตุ4ทั้งนั้น

    การออกแบบซอฟต์แวร์จักรรัตนะ

    ขั้นตอนที่ยากที่สุดของจักรรัตนะก็คือการออกแบบซอฟต์แวร์นี้เอง สมมติว่าออกแบบฮาร์ดแวร์ใช้เวลาสัก1-3ปี การออกแบบซอฟต์แวร์อาจจะใช้ 20-200ปี หรืออาจจะมากกว่านั้นก็ได้ ขึ้นอยู่กับปัญญาของพระราชาองค์นั้นๆว่า แล่นไปช้าเร็วเท่าไรในการออกแบบ

    การออกแบบซอฟต์แวร์นั้น พระราชาจะต้องประมวลเรื่องระดับความคิดของบุคคลต่างๆที่มีในโลกว่ามีกี่ระดับ แล้วก็แยกแยะงานที่คนแต่ละระดับจะสามารถใช้งานจักรรัตนะได้ ว่า ใครจะใช้งานได้ในขอบเขตใดบ้าง

    เช่นว่า การใช้งานจักรรัตนะในเชิงของการเดินทางจากที่หนึ่งไปสู่ที่หนึ่งด้วยวิธีการย้ายโมเลกุล หากว่าพระราชาอนุญาตให้มนุษย์ทุกคนใช้เทคโนโลยีนี้อย่างอิสระ จะเกิดอะไรขึ้น? ก็ต้องตอบได้อย่างไม่สงสัยว่า ความวุ่นวายจะเกิด เดี๋ยวก็เดินทางไปโผล่ห้องนอนของคนนั้นคนนี้ แล้วไปทำกรรมลามกต่างๆมากมายได้ง่าย ด้วยเหตุอย่างนี้ พระราชาจะโปรแกรมไว้ว่า ในการเดินทางนั้น จะมีการกำหนดจุดในการปรากฏ เป็นท่า เป็นด่านตรวจคนเข้าเมืองอะไรทำนองนี้ ทั้งๆที่จริง จักรรัตนะสามารถจะส่งคนไปปรากฏในที่ใดๆก็ได้ แต่พระราชาไม่อนุญาตให้ผู้อื่นใช้จักรรัตนะในฟังก์ชันนั้นได้เท่านั้นเอง เพื่อประโยชน์ที่เหมาะสม

    พระราชาก็จะมาพิจารณาเรื่องการเดินทางว่า จะต้องมีลำดับเริ่มต้นอย่างไร คือ เริ่มจากการเดินทางในบ้านในเมืองนั้นก่อน โดยให้ประชาชนกำหนดจุดสถานีขนส่ง หรือป้ายรถเมล์เป็นจุดๆในการเข้าและออก แล้วพระราชาก็จะเป็นผู้ป้อนโปรแกรมว่า อนุญาตการเดินทางด้วยการย้ายมวลสาร ในระหว่างจุดนี้กับจุดนี้ ทำนองนี้ พระองค์จะกำหนดเป็นจุดๆไป แม้การเดินทางทางอากาศ ด้วยวิธีการเหาะไปก็ตาม อันนี้ก็แล้วแต่รสนิยมของแต่ละคน พระราชาก็จะอนุญาตการใช้จักรรัตนะในกิจการการเดินทางด้วยการเหาะไว้ กำหนดเพดานเหาะไว้ กำหนดท่าเข้าท่าออกไว้ เพียงแค่ผู้ใช้งาน ต้องการเดินทาง ก็อธิษฐานกำหนดจุดเข้าจุดออกเท่านั้น จักรรัตนะก็จะควบคุมอณูธาตุในอากาศให้มีความหนาแน่นเข้า ยกร่างกายคนๆนั้นขึ้นสู่เพดาน แล้วก็ส่งไปด้วยระดับความเร็วที่กำหนดไว้ ทำนองนี้

    พระราชาไม่ได้พิจารณาการใช้จักรแค่ในมุมนั้น หากแต่ยังพิจารณาการใช้ประโยชน์จักรรัตนะในมุมของการผลิต มีการกำหนดเจ้าหน้าที่ควบคุมการผลิตว่า ใครสามารถเป็นเจ้าหน้าที่ผลิตสินค้าได้ เหมือนการเดินทางอย่างนี้ บางทีก็ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ในการกำหนดจุด มีการกำหนดโปรแกรมว่า ก่อนที่ประชาชนทั่วไปจะเดินทางได้ ต้องเข้าพบเจ้าหน้าที่คนนั้นก่อน บอกเจ้าหน้าที่ว่า ต้องการไปลงที่เมืองนั้นๆ ตำแหน่งนั้นๆ แล้วเจ้าหน้าที่ก็จะกำหนดจุด แล้วก็บอกอนุญาต เมื่อเจ้าหน้าที่อธิษฐาน จักรรัตนะจึงจะทำงานในการควบคุมพลังงานแบบนั้นให้สำเร็จ ....

    ผู้อ่านลองคิดดูเถิดว่า มีกิจการอะไรบ้างในโลกนี้ ที่พระราชาต้องประมวลเข้ามาแล้วจัดลำดับ เพื่อทำซอฟต์แวร์คือเปลี่ยนสิ่งเหล่านั้นเป็นอารมณ์จิต แล้วก็อัดอารมณ์จิตนั้นบรรจุไว้ในนิมิตแห่งรูปในจิต แล้วก็อธิษฐานดึงนิมิตนั้นขึ้นมาสู่ความปรากฏเป็นธาตุ4ขึ้นมา

    จะเห็นว่า ต้องได้พิจารณามากมายหลายเรื่องทีเดียว ทั้งเรื่องของมนุษย์และสัตว์ดิรัจฉาน เป็นต้นว่า เมื่อใดราชสีห์เกิดสภาพคิดว่าต้องการกินอาหาร แล้วเกิดความพยายามว่าจะค้นหาอาหาร เมื่อนั้น อาหารตามที่ราชสีห์ปรารถนานั้นจงปรากฏในเบื้องหน้าราชสีห์นั้น เป็นต้น ... เมื่อราชสีห์ได้รับอาหารแล้ว ก็จะไม่ออกล่าเหยื่อ ก็จะไม่ฆ่าเนื้อ เนื้อก็จะอยู่เป็นสุข ไม่ถูกเบียดเบียน สัตว์ทั้งหลายล้วนได้อาหารตรงตามปรารถนา อย่างนี้เป็นต้น

    นั่นคือ สภาพคิดทั้งหมดที่พระราชาต้องได้พิจารณานั่นล่ะว่า จะให้เกิดสิ่งใดขึ้นเมื่อเกิดสภาพคิดอย่างนี้ในสัตว์ตัวนี้ ผู้มีปกติคิดอย่างนี้ มีศีลอย่างนี้ ทำนองนี้ แล้วจงได้ความสำเร็จตามนี้ หรือว่าจงได้ความสำเร็จเป็นอีกอย่างหนึ่ง

    และเมื่อพิจารณาแล้ว จะเห็นว่า ท้ายที่สุด ถึงจะมีเทคโนโลยีดีระดับนั้น สูงสุดระดับนั้น ก็ไม่อาจจะทำให้คนดีกลับชั่ว คนชั่วกลับดีได้ ไม่อาจทำคนไม่รู้ให้กลับรู้ ทำคนรู้ให้กลับไม่รู้ได้ ความเจริญหรือเสื่อมเฉพาะบุคคล เกิดขึ้นเป็นไปตามกรรมที่บุคคลนั้นๆกระทำแก่ตนเอง แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว สัตว์ทั้งหลายในยุคพระเจ้าจักรพรรดิ ค่อนข้างอ่อนโยน เอื้อเฟื้อ อารีย์ เมตตากัน โดยมาก หลังจากตายเพราะกายแตก จึงเข้าสู่สุคติโลกสวรรค์ ต่อไปจะได้กล่าวถึงกระบวนการสร้างจักรรัตนะ

    กระบวนการสร้างจักรรัตนะ

    หลักการสร้างจักรรัตนะ กับหลักการน้อมนำขุมทรัพย์จักรพรรดินั้น ใช้หลักเดียวกัน คือ ขึ้นกับกำลังจิต แต่ ขุมทรัพย์จักรพรรดินั้น เกิดจากกำลังบุญของบุคคลคนเดียว ส่วนจักรรัตนะนั้น เกิดจากกำลังบุญของบุคคลนั้น+กำลังจิตมวลรวมของหมู่มนุษย์ ซึ่งนั่นก็หมายความว่า การประชุมพร้อมกันแห่งเหตุปัจจัยเพื่อความปรากฏของจักรรัตนะนั้น จะต้องได้อาศัยจิตรวมจากหมู่มนุษย์โดยมากด้วย ซึ่งกระแสจิตเหล่านั้นจะไหลเชื่อมโยงกันเป็นโครงข่ายพลังจิตขึ้น โดยมีความจดจ่อจิตจ้องรวมลงที่พระราชาผู้เป็นต้นเหตุให้พวกเขาเหล่านั้นได้ดำรงชีวิตอย่างสุขสบาย

    ทุกๆวัน พระราชาจะออกแสดงธรรม อบรมพสกนิกรของพระองค์ แล้วพิจารณาราชกิจในการบรรเทาทุกข์ให้แก่ประชาชน มีการอบรมสัมมาทิฏฐิให้ แล้วในช่วงวันอุโบสถ พระราชาจะหลีกเร้นอยู่แต่ผู้เดียว แล้วเพ่งธรรมอยู่ คือ ระลึกถึงอาการของจักรรัตนะ ระลึกถึงอาการมาของจักรรัตนะ ระลึกถึงการใช้งานจักรรัตนะ ซึ่งกระบวนการนี้คือการป้อนซอฟต์แวร์นั่นเอง แต่ โปรแกรมที่พิจารณานั้น จะยังไม่ได้ถูกอธิษฐานด้วยกลไกแห่งฤทธิ์ ตราบที่พระราชายังลงใจไม่ได้ว่า ซอฟต์แวร์ที่พิจารณานั้น เข้าถึงความบริบูรณ์ดีแล้ว ซึ่ง ที่จุดแห่งความบริบูรณ์อันนั้น เมื่อเข้าถึง จะรู้เฉพาะตนเอง จิตจะสงบรำงับลงจนถึงบาทแห่งฤทธิ์เอง

    ในระหว่างที่บรรเทาทุกข์ให้ประชาชนนั้น กระแสเมตตาเพราะความกตัญญูรู้คุณในพระราชาของประชาชนในราชธานีเองและในต่างประเทศก็จะจดจ่อหลั่งไหลเข้าไปสู่พระราชาผู้มีคุณเช่นนั้น แล้วพระราชานั้นอาศัยกระแสจิตเหล่านั้นที่ประสานกันเองโดยอัตโนมัติ มาเป็นปัจจัยหนึ่งในการอธิษฐานถึงความปรากฏแห่งจักรรัตนะ

    ด้วยอาการอย่างนี้ จักรรัตนะจึงมิได้สำเร็จมาจากการประกอบที่โรงงานแห่งใดแห่งหนึ่งบนพื้นดิน หรือบนเทวโลก หรือพรหมโลก หากแต่อุบัติขึ้นมาจากความประชุมพร้อมแห่งกำลังจิตที่กลมกลืนเป็นอันเดียวกันของมหาชน คือ มหาชนนั้น มีความรักความเคารพเป็นอันเดียวกันในพระราชาผู้มีพระคุณของเขานั่นเอง

    ในช่วงที่ปรากฏจักรรัตนะนั้น วันเดือนปี การโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ และฤดูกาลจะเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ หนึ่งเดือนมี30วัน 12เดือนเป็น1ปี ทำนองนี้ แม้ฤดูร้อนฤดูหนาวฤดูฝนก็ปรากฏสม่ำเสมอ อันเป็นผลจากกระแสจิตมวลรวม ซึ่งไม่มีสูตรคณิตศาสตร์ที่จะใช้ในการคำนวณ เนื่องจากเป็นเรื่องของนามที่ยากจะหยั่งวัดปริมาณอารมณ์ได้

    เพราะความที่จักรรัตนะสำเร็จได้มาจากกำลังแห่งกระแสจิตมวลรวม จักรรัตนะ จึงมีอานุภาพเป็นทิพย์และตอบสนองโดยตรงต่อกระแสจิตของสัตว์ จึงไม่จำเป็นต้องอาศัยการป้อนข้อมูลทางคีย์บอร์ดหรือกระแสไฟฟ้า

    เพราะความที่จักรรัตนะ สำเร็จมาจากอธิษฐานของพระราชา จักรรัตนะจึงอยู่ใต้อำนาจจิตของพระราชาเท่านั้น ไม่ขึ้นแก่อำนาจจิตของบุคคลอื่น แต่ เพราะความที่ปัจจัยประกอบของจักรรัตนะมาจากกระแสจิตมวลรวมของสัตว์ พระเจ้าจักรพรรดิจึงสามารถแยกแยะขอบเขตอำนาจการใช้งานจักรรัตนะในบุคคลต่างๆได้

    และเพราะความที่จักรรัตนะ ตกอยู่ใต้อำนาจจิตของพระราชาและสามารถจะกำหนดให้ตกอยู่ใต้อำนาจของบุคคลใดๆได้ตามขอบเขตกำหนด พระราชาจึงอบรมพระราชโอรสองค์โต ผู้จะสืบวงศ์จักรพรรดิให้รู้ถึงวิธีการเข้าควบคุมอำนาจจักรรัตนะได้ว่า กระแสจิตเท่าใด มีความระลึกรู้รอบคอบในการบริหารราชกิจเท่าไร จึงจะสามารถหมุนจักรรัตนะได้เหมือนอย่างที่พระเจ้าจักรพรรดิสามารถกระทำ และเมื่อพระราชโอรสองค์นั้นอบรมจิตตนเข้าถึงภูมินั้น ความรู้เฉพาะตนจะปรากฏแก่จิตพระราชโอรสเองว่าสามารถหมุนจักรได้แล้วโดยไม่ต้องรอพระราชาอนุญาต เมื่อนั้น พระราชโอรสจะได้ชื่อว่า เป็นผู้เข้าถึงนามแห่ง ปริณายกรัตนะ ต่อแต่นั้น พระราชโอรสจะเข้าไปพบพระราชาเองโดยธรรม เพื่อขอแบ่งเบาพระราชกิจในการบริหารบริษัท เช่นกัน

    ขุนคลังของพระเจ้าจักรพรรดิเอง ก็อบรมจิตตน จูนจิตเข้าไปตามคำแนะนำของพระราชา จนสามารถจะใช้อำนาจจักรรัตนะในการใช้อานุภาพแห่งตาทิพย์ในการเห็นทรัพย์ทั้งที่มีเจ้าของและไม่มีเจ้าของ ในที่ต่างๆ ทั้งในแผ่นดิน ในแม่น้ำ ในมหาสมุทร หรือในอากาศ ในดวงดาวในอวกาศ เป็นต้น .. นอกจากเห็นทรัพย์แล้ว ขุนคลังนั้นยังมีความสามารถในการใช้จักรรัตนะในการดึงธาตุต่างๆเหล่านั้นจากที่นั้นๆมาไว้ในที่ๆตนกำหนดไว้ได้ด้วย ... เมื่อขุนคลังอบรมตนได้ถึงขีดนั้น จะเกิดญาณแจ่มชัดแก่จิตเองว่า ตนสามารถ แล้วเขาก็จะเข้าไปพบพระราชา เพื่อประกาศความสามารถตนในการแบ่งเบาราชกิจเกี่ยวแก่เรื่องทรัพย์ทั้งหลาย..... เมื่อนั้น่ขุนคลังจึงได้ชื่อว่าคหปติรัตนะ

    เรื่องวิธีการอบรมจิตเพื่อความถึงฝั่งแห่งปริณายกรัตนะ คหปติรัตนะนั้น สำหรับผู้ใส่ใจอยากรู้ ก็สามารถหาอ่านเอาได้ในพระไตรปิฎก และข้อจำกัดคือ ปริณายกรัตนะ พัฒนามาจากพระราชโอรสองค์โต ผู้มีนิสัยใคร่ต่อสิกขา.... ส่วนขุนคลังแก้วนั้น เป็นขุนคลังของพระราชาเอง เป็นผู้มีปัญญา ฟังโอวาทพระราชา แทงตลอดในวาทะเหล่านั้นได้... นั่นก็คือ บุญของท่านเหล่านั้น เนื่องอยู่กับพระเจ้าจักรพรรดิ ไม่อาจปรากฏโดดๆได้ คล้ายอย่างตำแหน่งเอตทัคคะในศาสนาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ตำแหน่งเหล่านั้น เนื่องกับพระพุทธเจ้า การอบรมบารมีตนเพื่อถึงฝั่งแห่งบารมีนั้น จึงไม่อาจละการคลุกคลีกับเจ้าต้นบุญในเรื่องนั้นๆ เพราะความที่สิ่งเหล่านั้น มิอาจปรากฏสำเร็จได้ด้วยลำพังตน ไม่เหมือนพระเจ้าจักรพรรดิกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เป็นโจกหมู่ เป็นผู้นำหมู่ ไม่ต้องเดินตามหลังใครนอกจากธรรม

    ความเป็นอยู่ของมนุษย์หลังจากความปรากฏจักรรัตนะ

    เมื่อจักรรัตนะปรากฏแล้ว ในช่วงใหม่ๆ หมู่มนุษย์บางส่วน จะยังไม่กล้าใช้บริการจักรรัตนะในการเดินทาง ในการผลิตสินค้า ในการนิรมิตอาหารประหนึ่งมนุษย์เป็นเทวดา เพราะความไม่รู้เกี่ยวแก่จักรรัตนะว่า สิ่งที่ปรากฏต่อหน้านั้น มันฝันไปหรือว่า มันเป็นความจริง อาหารที่นิรมิตขึ้น กินแล้วจะมีประโยชน์ต่อร่างกายเหมือนอาหารที่ได้มาจากการขวนขวายขุดพืชตัดผักแร่เนื้อเถือหนังสัตว์มากินหรือไม่?

    แต่ในราชธานีของพระเจ้าจักรพรรดินั้น ผู้คนใช้บริการจักรรัตนะโดยไม่นานนักก็ชิน เพราะในบ้านเมืองของพระราชาผู้เช่นนั้น สิ่งอัศจรรย์ปรากฏเป็นปกติ เป็นต้นว่า ต้นกัลปพฤกษ์ หรือว่าผีสางเทวดา เรื่องของฤาษีชีพราหมณ์ผู้ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม ฤทธิ์อภิญญา เหล่านี้ จะเป็นเรื่องปกติในบ้านเมืองนั้น

    ทีนี้ เมื่อเทคโนโลยีจักรรัตนะปรากฏแพร่หลายไป มนุษย์โดยมากในโลกก็จะเริ่มใช้สอยจักรรัตนะในการเดินทาง ในการผลิตเครื่องใช้ ผักผลไม้และอาหารต่างๆ โดยไม่ต้องไปทำไร่ไถนาไม่ต้องทำมาค้าขายก็ได้ แต่ว่า แม้จะเป็นอย่างนั้น การหาเก็บผัก พืชผล ศึกษาสัตว์ ล่าสัตว์เหล่านี้ ก็ยังมีอยู่ในพวกมนุษย์บางเหล่า เพราะพวกที่คึกคะนองนั้น มีอยู่ในทุกกาลทุกสมัย เขาจะรู้สึกเหมือนกับว่า สิ่งที่ได้มาง่ายๆ มันไม่อร่อย ไม่เร้าใจ ทำนองนี้

    ในตอนที่จักรรัตนะปรากฏแล้ว เรื่องการใช้การสัญจรทางรถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน เรือ ก็จะหมดความจำเป็นลง แต่ก็ยังมีผู้ใช้ยานพาหนะเหล่านั้นอยู่ตามความนิยมแต่ละบุคคล จนเวลาผ่านไปหลายปี หลายสิบปี การพัฒนาเทคโนโลยีทางวัตถุที่ต้องใช้กำลังแรงกายแรงความคิดของมนุษย์เหมือนเทคโนโลยีตอนกลางนี้นั้น ก็จะขาดการสืบต่อ ทำให้คนโดยมากไม่ค่อยจะสนใจเรื่องราวเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์เชิงวัตถุนัก แต่จะหันไปศึกษสิ่งต่างๆ สสารต่างๆในมุมของวิทยาศาสตร์ทางจิต คือพิจารณาเรื่องจิตเป็นองค์ประกอบด้วย

    หากว่าในยุคนั้นยังมีพระพุทธศาสนาอยู่ ผู้คนก็จะเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดในโลก บางส่วนก็จะตัดกิเลสเข้าถึงธรรมของพระศาสดาได้ง่าย

    วันเวลาผ่านพ้นไป พระเจ้าจักรพรรดิผลัดองค์จาก1 ไป2 ไป3 4..5..6 ..7 ...8 ยิ่งเวลาผ่านไปนาน มนุษย์ก็ยิ่งขาดความรู้ความใส่ใจในเทคโนโลยีเดิม จนถึงวาระหนึ่ง คือ รุ่นลูกรุ่นหลานพระเจ้าจักรพรรดิ ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ไม่อาจสืบวงศ์จักรพรรดิ ไม่อาจยังจักรรัตนะให้ปรากฏได้ ในเมื่อนั้น ความวุ่นวายจะกลับเกิดแก่โลก

    เมื่อสิ้นพระเจ้าจักรพรรดิและขาดการสืบต่อเทคโนโลยีแห่งจักรรัตนะ ในยามนั้น ผู้คนปรากฏหนาแน่นไปในโลก เพราะความที่อาหารหาได้ง่าย .....แต่พอพระเจ้าจักรพรรดิสิ้นไปแล้ว การเดินทางไปมาหาสู่กันของมนุษย์ก็จะลำบากขึ้นนิดหน่อย เขาก็จะพากันกลับมาศึกษาเทคโนโลยีล่าสุดในทางวัตถุ แล้วก็ประดิษฐ์คิดค้นเพื่อนำกลับมาใช้งานดังเดิม

    ในช่วงจากนั้นมา มนุษย์ก็จะเริ่มกลายออกจากความรู้ทางนามออกไป จิตใจก็หยาบขึ้น แต่ความรู้ทางวัตถุจะรู้กันทั่วไป เขามีความรู้ขนาดที่ว่า จะเอาอะไรผสมอะไรแล้วทำเป็นอาวุธได้ เมื่อความวุ่นวายถึงขีดที่สุด มนุษย์ก็จะเข่นฆ่ากันด้วยความรุ้อันนั้นเอง

    เหมือนอย่างที่เราเคยได้ยินว่า เมื่อมนุษย์มีอายุขัย สิบปี เด็กอายุ5ปีจะแต่งงานและควรมีลูก เมื่อมนุษย์มีอายุขัยสิบปี จะมีสันดานดุจสัตว์ป่า สมสู่กันไม่เลือกว่าลูกว่าแม่ว่าพ่อหรือพี่น้อง และเต็มไปด้วยโทสะ จับอะไรขึ้นมาก็กลายเป็นอาวุธนำเข้าประหัตถ์ประหารกันสิ้นไปเสียโดยมาก เว้นแต่ในท่านผู้กลัว ที่คิดว่าใครอย่าทำร้ายเรา แม้เราก็อย่าทำร้ายใคร แล้วพากันหนีเข้าป่า ผ่านไปเจ็ดวัน เขาก็ฆ่ากันไปเสียเกือบสิ้น เมื่อสงครามใหญ่ของสัตว์มนุษย์ยุติลงในตอนนั้น พวกหลบเข้าป่าก็จะกลับมาสู่เมือง พบหน้ากันแล้วก็ดีใจว่า ท่านทั้งหลาย ท่านยังมีชีวิตอยู่หรือ? แล้วก็พากันปรึกษากัน ดำรงอยู่ในศีล จนอายุกลับเจริญขึ้น ทำนองนี้

    ทั้งหมดทั้งสิ้น ก็เกิดมาจากความรู้ ความรู้ที่นำไปใช้ในทางผิด กับความรู้ที่นำไปใช้ในทางถูก

    ยุคพระเมตไตรยสัมพุทธเจ้า

    ได้ยินว่ายุคพระเมตไตรยพุทธเจ้า ก่อนการอุบัติของพระพุทธองค์ จะมีการอุบัติของพระเจ้าจักรพรรดินามว่า สังขะ ก่อน และพระเมตไตรยโพธิสัตว์จะไปเกิดเป็นลูกของมหาปุโรหิตของพระเจ้าสังขจักรพรรดิ

    เพราะอย่างนั้น ยุคของพระเมตไตรยสัมพุทธเจ้าจึงต่างจากยุคพระพุทธโคดมตรงที่ว่า พระเมตไตรยพุทธะอุบัติในยามที่มนุษย์มีเทคโนโลยีมากมายในด้านวัตถุ ส่วนยุคพระโคดมอุบัติในยามที่มนุษย์มีความรู้ไม่มากนักในเชิงวัตถุ

    พระพุทธเจ้าทั้งหลาย สอนโลกด้วยการบัญญัติ รูปนาม ขันธ์ อายตนะ ธาตุ อินทรีย์ เหล่านี้ แต่ความต่างกันบ้างในการอธิบายธรรม ก็ต่างแต่ว่าฐานความรู้ของคนในยุคนั้นมีไปเกี่ยวแก่เรื่องใด

    ในยุคพระเมตไตรยสัมพุทธเจ้า จะสามารถอธิบายธรรมชาติได้ในเชิงของธาตุที่ละเอียดขึ้น แต่ แม้จะอย่างนั้น ก็ยังไม่เกินกรอบแห่งธาตุขันธ์ อายตนะ อินทรีย์เหล่านี้ไปได้เลย มีลำดับการสอนพระสาวกคล้ายๆกัน แม้จะต่างทางปริมาณแห่งพระสาวกบ้างก็ตาม แต่ท้ายที่สุดก็รู้ที่สุดแห่งธรรมได้เช่นเดียวกัน

    ในยุคพระเมตไตรยสัมพุทธเจ้านั้น มนุษย์จะปรากฏหนาแน่น เพราะเป็นยุคที่มีพระเจ้าจักรพรรดิ อาหารหาได้ง่าย คนก็เกิดมาก เกิดมามากอย่างไรพระเจ้าจักรพรรดิก็เลี้ยงไหว ขอเพียงให้มีที่อยู่ และอยู่อย่างสงบ ซึ่ง นั่นมีอยู่ในยุคจักรพรรดิ

    แม้เทคโนโลยีทางการแพทย์และอื่นๆก็ถึงที่สุดในยุคจักรพรรดิ มีการปรับแต่งยีนของมนุษย์เพื่อปิดป้องโรคต่างๆได้ ทำให้มนุษย์ไม่มีโรคอย่างอื่น เว้นแต่โรคที่ไม่ได้เกิดจากพันธุกรรม คือ โรคชรา โรคหิว โรคอิ่ม โรคง่วงนอน เหล่านี้

    เรื่องราวต่างๆที่เขียนมา มาถึงที่สุดแล้ว
    แม้จะไม่ได้กล่าวถึงเรื่องมณีรัตนะ เรื่องอิตถีรัตนะ เรื่องการน้อมนำลูกผู้มีบุญญาธิการมาเกิดด้วย เรื่องช้างแก้วม้าแก้ว เรื่องต้นกัลปพฤกษ์ เรื่องสิ่งแปลกๆต่างๆ เรื่องหลักการในการเดินทางด้วยวิธีเคลื่อนย้ายตำแหน่ง หรือย้ายโมเลกุล ตามแต่จะเรียก หรือจินตนาการเรื่องเกี่ยวแก่การเดินทางไปตามเส้นมิติแห่งกาลเวลา เพื่อข้ามเครื่องกั้นทางระยะทาง

    และท้ายที่สุด การก้าวข้ามมิติแห่งกาลเวลา เพื่อพ้นไปจากกาลเวลา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดทั้งสิ้น พระพุทธเจ้ารู้ทั่วถึง หมดจด ไม่มีผู้อื่นที่จะแสดงธรรมได้ยิ่งไปกว่านี้แล้ว

    การเขียนจินตนาการของผู้เขียนแบบบอดๆ ฟั่นๆเฝือๆนี้ เทียบไม่ได้เลยกับพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี้เป็นแต่เพียงความคะนองในบางขณะของผู้เขียนเท่านั้น

    ในกระทู้นี้จะได้หยุดการเขียนลงแล้ว
    เพราะเบื่อหน่ายในการเขียนนี้เหมือนกัน มันเหม็นคลุ้งเหมือนมูตรแลคูถ


    หากว่าสิ่งใดในนี้ จะเป็นประโยชน์แก่จินตนาการของท่านผู้อ่าน ท่านใดจะหยิบยกไปใช้ประโยชน์ (หากใช้ได้) ผู้เขียนก็อนุญาตไว้เสียโดยไม่ขีดคั่น ใช้ได้เลยตามประสงค์ จะนำไปตัดต่อแต่งเติมอย่างไรก็ตาม เพราะสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ไม่ใช่ของผู้เขียน ไม่ใช่ตัวตนของผู้เขียน เป็นสิ่งที่ปรากฏในธรรมชาติ ผู้เขียนมิได้หวงแหนสักนิดนึง

    เอาไว้เท่านี้ล่ะนะครับ
    จากคุณ : มังคละ [ ตอบ: 21 พ.ย. 47 - 14:33 ] ยังไม่แนะนำตัว | สมาชิกลานธรรมถาวร | ตอบ: 88 | ฝากข้อความ |

    คัดลอกมาจาก
    http://larndham.net/index.php?showtopic=13331&st=39<!-- / message -->​
     
  12. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    นิยายสิริอริยะ ธรรมิกราชโพธิสัตต์

    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1>

    <!-- / icon and title --><!-- message -->
    [​IMG]


    ท่านที่สนใจบทความ ข้อเขียน ของคุณมังคละ(ทลิททกะ เมษโปดก) ขอเชิญเข้าไปอ่านหนังสือที่ท่านได้แต่งเอาไว้ เรื่อง"สิริอริยะ ธรรมิกราชโพธิสัตต์" ได้แล้วที่นี่ครับ.......

     
  13. animejanai

    animejanai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    510
    ค่าพลัง:
    +494
    ขออนุญาติถามนะครับ
    เห็นบอกว่าพระศรีฯท่านเกิดที่พม่า เป็นคนพม่า
    หรือเกิดเป็นคนไทยเชื้อสายลาว
    ขอถามว่าท่านจะเกิดหรือจะเกิดที่ไหนหรือครับ อยากทราบครับ
    หรือว่าเป็นคนทั้ง2ชาติครับ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 ตุลาคม 2006
  14. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    พวกหัวพันธุ์ทั้งหก

    คนหลายเชื้อชาติ เขาเรียกคนเผ่านี้ว่า “พวกหัวพันธุ์ทั้งหก” คือมีเชื้อพันธุ์ของไทย ลาว จีน พม่า รามัญและเวียตนาม. เพราะความที่มีหลายเชื้อพันธุ์ คนในตระกูลนี้จึงดูเป็นเหมือนคนจีนเมื่อเข้าอยู่ในพวกจีน เป็นเหมือนคนลาวเมื่ออยู่ในหมู่คนลาว เมื่ออยู่ในหมู่คนพม่าก็ดูเหมือนคนพม่า เมื่ออยู่ในหมู่คนมอญก็ดูเหมือนคนมอญ เมื่ออยู่ในหมู่คนเวียตนามก็ดูเหมือนคนเวียตนาม เมื่ออยู่ในหมู่คนไทยก็ดูเหมือนคนไทย.

    หรือหากจะกล่าวอีกนัยหนึ่ง ก็คงจะว่า พวกหัวพันธุ์ทั้งหกนี้ เมื่ออยู่ในหมู่คนจีน จีนก็ว่าไม่ใช่จีน เมื่ออยู่ในหมู่คนลาว ลาวก็ว่าไม่ใช่ลาว เมื่ออยู่ในหมู่พม่า พม่าก็ว่าไม่ใช่พม่า เมื่ออยู่ในหมู่มอญ มอญก็ว่าไม่ใช่มอญ เมื่ออยู่ในหมู่คนเวียตนาม เวียตนามก็ว่าไม่ใช่เวียตนาม และเมื่ออยู่ในหมู่คนไทย คนไทยก็ว่าไม่ใช่ไทย. แสดงว่าพวกหัวพันธุ์ทั้งหกนี้เป็นตระกูลที่ไม่ค่อยมีใครจะคบหาเป็นพรรคพวกนักก็ได้ ทั้งๆที่เขาก็มีเชื้อชาตินั้นๆเหมือนกับคนอื่นๆ.

    ที่มา http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=50789

    หมายเหตุ

    จากตำนานพระศรีอาริย์จุติกล่าวเพียงว่า ท่านเป็นคนหลายเชื้อชาติ แต่ถ้าอ้างจากคำบอกเล่าของครูบาอาจารย์ทั้งหลาย กล่าวตรงกันว่า ท่านมาเกิดที่ภาคอีสานเป็นคนไทยมีเชื้อสายลาวครับ

    ที่บอกว่าพระศรีอาริย์จะมาเกิดทางตอนเหนือของประเทศพม่านั้น เป็นคำทำนายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ว่าพระศรีอาริย์จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าทางตอนเหนือของประเทศพม่าในอีกประมาณ ๑ ล้านปีมนุษย์ ซึ่งเป็นชาติสุดท้ายของพระศรีอาริย์ แต่ในชาติปัจจุบันนี้ท่านได้มาเกิดแล้วที่ประเทศไทย และจะมาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลกนี้ทั้งโลก ซึ่งเป็นคนละชาติกันกับตอนที่ท่านจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่า"เมตไตรย" ในอนาคตครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ตุลาคม 2006
  15. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=center align=left><TD><TABLE borderColor=#0000ff width="100%" bgColor=#99ccff border=1><TBODY><TR bgColor=#ccffff><TD>
    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC]ประเพณีชักพระศรีอารีย์ วัดไลย์ [/FONT]​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD align=left>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ประเพณีชักพระศรีอาริย์ วัดไลย์[/FONT][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] อยู่ที่ ตำบลเขาสมอคอน อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี เป็นประเพณีที่ชาวบ้านถือปฏิบัติกันมาช้านานและเชื่อกันว่า "พระศรีอาริย์ หรือพระศรีอริยเมตไตร" จะมาตรัสรู้เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าในโลกมนุษย์หลังจากสิ้นสุดศาสนาของพระมหาสมณโคดมแล้ว 5,000 ปี เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา เรียกว่า "ศาสนาพระศรีอาริย์" จึงได้มีการสร้างรูปพระศรีอาริย์ขึ้น เพื่อเป็นที่เคารพสักการะโดยเชื่อกันว่าจะได้ไปเกิดในยุคศาสนาของพระศรีอาริย์ แล้วจะมีความร่มเย็นเป็นสุข [/FONT][/FONT]</TD><TD> </TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] ประเพณีชักพระศรีอาริย์ วัดไลย์ แต่เดิมจะจัดในช่วงหน้าน้ำตรงกับวันแรม 5 ค่ำ เดือน 11 เป็นประเพณีทางชลมารค เพราะน้ำจะท่วมทุ่งการสัญจรไปทางเรือสะดวก การแห่ทางชลมารค จะอัญเชิญรูปพระศรีอาริย์ ลงเรือปิกนิก เรียกกันว่า "เรือทรง" มีเรือพายของคณะกรรมการวัดใช้เชื่อกลากจูงนำหน้าและมีเรือพ่ายของชาวบ้านนับร้อยๆ ลำ ร่วมขบวนแห่ มีบางพวกก็แข่งเรือยาว บางพวกเล่นเพลงฉ่อยและเพลงเรืออย่างสนุกสนาน ท้ายขบวนมีเรือเอี้ยมจุ๊นของทางวัดบรรทุกวงมโหรี ปี่พาทย์ และแตรวง บรรเลงให้ความครึกครื้นไปตลอดทาง โดยเรือทุกลำจะตกแต่งอย่างสวยงาม เพื่อโยงเรือทรงและผลัดเปลี่ยนกันจูงไปตามลำน้ำบางขามจนถึงวัดมหาสอน ตำบลมหาสอน อำเภอบ้านหมี่ ตลอดระยะทางจะมีการตั้งโรงทานเลี้ยงอาหารและเครื่องดื่มแก่ผู้ร่วมขบวนเป็นระยะๆ เมื่อขบวนแห่กลับมาถึงวัดก็จะเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มนัสการ สรงน้ำ และปิดทองพระ ในตอนกลางคืนประชาชนจะนำเรือพายมาลอยอยู่หน้าวัดเพื่อฟังพ่อเพลงแม่เพลงเล่นเพลงพื้นบ้าน โต้ตอบกันเป็นที่สนุกสนาน และเรือทุกลำจะมีการจุดตะเกียงจนดูสว่างไสวไปทั่ว ส่วนบนศาลา วัดไลย์นั้นจะมีการเทศนาเรื่องตำนานพระศรีอาริย์ วัดไลย์ ให้ประชาชนฟังไปพร้อมๆ กัน [/FONT]
    [/FONT]​
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD align=left>
    </TD><TD align=left>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] [/FONT]
    [/FONT][FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ประเพณีชักพระศรีอาริย์ วัดไลย์ทางชลมารคได้ล้มเลิกไปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 เพราะได้มีการสร้างเขื่อนเจ้าพระยา ที่จังหวัดชัยนาท เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในการเกษตร จึงทำน้ำเหนือที่เคยไหลท่วมทุ่ง ตำบลเขาสมอคอนก็แห้งแล้งลง ประเพณีชักพระศรีอาริย์ วัดไลย์ก็ได้เปลี่ยนมาจัดในฤดูแล้งแทน คือ วันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 เป็นประเพณีแห่ทางสถลมารค แต่พิธีการต่างๆ ยังคงอนุรักษ์แบบแผนเดิมไว้ [/FONT][/FONT][FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    [/FONT]
    [/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] [/FONT][/FONT][FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ปัจจุบันประเพณีชักพระศรีอาริย์ วัดไลย์ ทางสถลมารคได้กำหนดให้วันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 ของทุกปี โดยถือปฏิบัติมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 ทางวัดจะจัดขบวนแห่และได้มีการอัญเชิญรูปหล่อพระศรีอาริย์ ประดิษฐานบนตะเฆ่ชนิดไม่มีล้อทำเป็นบุษบกมีหลังคาหรือทำเป็นฉัตรกั้นแทน แล้วนำเชือกขาดใหญ่ 2 เส้น ผูกตะเฆ่เป็น 2 แถว ให้ประชาชนทั้งหลายที่มาร่วมงานช่วยกันชักลาก ไปตามเส้นทางที่กำหนดไว้ เมื่อถึงเวลาจะจุดพลุ พร้อมตีกลองและระฆังเป็นสัญญาณให้เริ่มฉุดลากตะเฆ่เพื่ออัญเชิญรูปพระศรีอาริย์แห่ผ่านหมู่บ้านต่างๆ เริ่มจากวัดไลย์ไปสิ้นสุดที่วัดท้องคุ้ง ซึ่งตลอดระยะทางจะมีผู้มาตั้งโรงทานเลี้ยงอาหารนานาชนิดกับประชาชนทั้งหลายที่มาร่วมงาน มีดนตรีและการละเล่นต่าง ๆ เมื่อสุดเส้นทางที่กำหนดไว้ จึงแห่รูปพระศรีอาริย์กลับ พอถึงวัดอัญเชิญขึ้นประดิษฐานยังวิหารตามเดิมและเปิดโอกาสให้ประชาชนมานมัสการ ปิดทอง กลางคืนจะมีมหรสพสมโภชตลอดงาน [/FONT][/FONT]​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ที่มา http://library.rits.ac.th/il/lop/trad/trad8.html
     
  16. pen@_p@ne

    pen@_p@ne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +433
    คือเหตุการณ์จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ค่ะ พอจะบอกผู้ไม่รู้เพื่อเตรียมตัวได้ไหมค่ะ ขอบคุณค่ะ
     
  17. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    เรื่องของภัยพิบัติได้เริ่มเกิดขึ้นแล้วครับ จะหนักหน่วงและรุนแรงขึ้นไปเรื่อย ๆ ทั้งสงครามและภัยธรรมชาติ จนถึงขีดสุดในปีกุน(พ.ศ.2550-2551ถ้าไม่สามารถขอเลื่อนต่อไปได้อีก) หลังจากนั้นพระศรีอาริย์จะมาปรากฎตัวให้คนทั้งโลกได้เห็น ครูบาอาจารย์หลาย ๆ ท่านบอกตรงกันว่าท่านจะมาปรากฎตัวในปี พ.ศ.2552 ครับ
     
  18. pattarawat

    pattarawat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,671
    ค่าพลัง:
    +7,982
    เมื่อคืนนี้แผ่นดินไหวที่ฟิลิปปินส์ ตกใจมากครับ ครั้งก่อนมันแค่เขย่าครึกครัก แต่ครั้งนี้มันยาวนานถึง 10 วินาที จนผมคิดในใจว่า จะเริ่มแล้วหรือนี่ หรือเป็นแค่สัญญาณเตือนภัยว่า สติจงมาอยู่กับตัว
     
  19. pattarawat

    pattarawat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,671
    ค่าพลัง:
    +7,982
    คืนนี้ก็มาอีกแล้วครับ ช่วงเวลาพอๆ กันเลย รู้สึกว่ามันจะยังไงๆ อยู่นา
     
  20. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ผมเคยนำเรื่องที่ได้ไปกับคุณคนานันท์ที่ชอย 26 ลงโพสในกระทู้กิจกรรมนอกสถานที่ไว้ครับ..เมื่อสัก 2-3 เดือนก่อน

    เบื้องบนเคยบอกไว้ว่าในปลายปีนี้ (2549) จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ทั่วไปหมดทุกภาคในประเทศไทย (ซึ่งเกิดขึ้นแล้ว) และสิ่งที่จะตามมาก็คือเรื่องแผ่นดินไหวที่เกิดถี่ขึ้น และคลื่นยักษ์รอบสองซึ่งจะรุนแรงขึ้นกว่าเดิม..รวมถึงภัยแล้ง และจะเห็นภัยแบบนี้ชัดเจนมากขึ้นและหนักขึ้นในปีหน้า ..

    มีพี่ที่รู้จักอีกคนชื่อคุณแม้ว ได้ไปพักที่ปราณบุรีเมื่อเร็วๆนี้ โทรมาเล่าเรื่องแผ่นดินไหว..รับรู้แรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวความถี่สูงได้ พี่เขาบอกว่าน่ากลัวมากจริงๆ..จากศูนย์กลางที่อยู่นอกชายฝั่งจ.ระนอง ใครที่เคยมีประสบการณ์แบบนี้อาจชินแล้วก็ได้..มีอีกกระแสเข้ามาจากกลุ่มพี่คนนี้ว่าประมาณเดือนสามเดือนสี่ ทราบว่าจะมีพายุใหญ่คล้ายไซโคลน พัดหอบน้ำเข้ามาในกรุงเทพจนท่วมสูง2-3เมตร..จะจริงเท็จแค่ไหนก็ลองติดตามดูก่อนครับ....(แต่มันเลยฤดูมรสุมไปแล้วจะเกิดได้ยังไงไม่ทราบเหมือนกันครับ..) อันนี้ต้องพิสูจน์ร่วมกันครับ..ดูแล้วปีหน้าก็คงหนักไม่ใช่เล่นครับ..อย่าประมาทดีที่สุดครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...