การปฏิบัติสมาธิและวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อเข้าถึงความเป็นพุทธะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย พลน้อย, 11 กรกฎาคม 2009.

  1. พลน้อย

    พลน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +473

    ถึงคุณวิษณุครับ ที่คุณบอกมานั้น ผมเองก็พิจารณาอยู่ก่อนหน้าที่จะอธิบายครั้งแรกด้วยซ้ำ และตั้งใจว่าวันหนึ่งจะไปแนะนำ ท่านว่าที่เข้าถึงจิตนั้นเป็นอย่างไร ทำอย่างไร การสอนของท่านผมก็ฟังหลายตอน ในเบื้องต้นพื้นฐานง่ายๆ ท่านอธิบายถูกต้องตรงหมด แต่ในเรื่องจิตที่สูงเกนกว่านั้น ท่านอธิบายไม่ตรงเพราะมันเกินกว่าจิตท่านที่รู้ได้ ถ้าผมอธิบายครั้งนี้ต้องทำให้ลูกศิษย์ท่านขุ่นเคื่องใจต้องขออภัยอย่างมาก
    <O:p</O:p

    บ้างครั้งผู้ปฏิบัติที่ยังเข้าไม่ถึง ถ้าคิดว่าเข้าใจธรรมะที่ถูกแล้ว และไปเร่งเอาความเป็นพุทธะ โดยทันทีทันใดนั้น เมื่อทำไม่ได้ทันทีทันใดแม้ใช้เวลาปฏิบัติมานานก็เข้าใจอาจทำให้เข้าใจว่า สิ่งที่ตนทำนั้นถึงที่สุดแล้วก็เลยเข้าใจตนเองผิด
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ผมไม่ใช่พระอริยะเจ้าตามที่ท่านทั้งหลายเข้าใจเลยนะ และไม่เคยบอกตรงๆเลยว่าเป็นอะไร เพียงแต่บอกว่าเข้าถึงพุทธะ ท่านก็ตีความไปตามความคิดกันเอง ขนาดปรามาสผมยังเข้าใจผิดเลย คิดดูซิ น่าขำไหม การที่ผมเข้าถึงพุทธะได้ไม่ยากมากนัก ด้วยเพราะบารมี (กำลังจิต) เต็มมาตั้งแต่ในอดีต และก็เข้าถึงพุทธะมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน บอกแบบนี้ ท่านอาจสงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร ท่านที่ทำได้อย่างผมนี้ต้องเป็นพุทธะที่เป็นพุทธภูมิ เท่านั้น

    <O:p</O:p
    พุทธะที่เป็นพุทธภูมิ เป็นได้ทั้ง ฆราวาส และพระสงฆ์ อันนี้คือความต่างระหว่าง พุทธะที่เป็นสาวกภูมิ ที่ต้องบวชเป็นพระอย่างเดียว
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    <O:p</O:p
    และพุทธะที่เป็นพุทธภูมิ ในมหายาน ท่านเรียกว่า " อรหันต์โพธิสัตว์" มีจิตเปรียบได้กับพระอรหันต์ ซึ่งความเป็นพุทธะนั้นไม่ได้แบ่งแยกนิกายใดๆ คนเราไปแบ่งกันเอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    <O:p</O:p
    พุทธะที่เป็นพุทธภูมิ แบบผมนี้ ถ้าลาพุทธะภูมิจะเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ทันที แต่มิใช่สิ่งที่ผมพึ่งจะกระทำ
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    <O:p</O:p
    และการที่เป็น พุทธะที่เป็นพุทธภูมิ นั้น นิสัย ก็เป็น พุทธะวิสัย เรียกอีกอย่าง พุทธะจริต” เป็นสิ่งที่มันเกินกว่าปุถุชน คาดคิดได้เลย ท่านไม่มีทางนึกคิดเอาเองได้เลยว่า“ พุทธะจริต” นั้นเป็นอย่างไร แม้พุทธะที่เป็นสาวกภูมิ ก็ไม่เข้าใจใน“ พุทธะจริต” นี้ ท่านจึงคาดหรือเดาผมกันไม่ออกเลย ก็เพราะเหตุนี้
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    <O:p</O:p
    การปรามาสก็เช่นกัน ท่านปรามาสพุทธะที่เป็นพุทธภูมิ จะได้อานิสงค์แรงกว่า สาวกภูมิตามกำลังจิตที่บำเพ็ญมาเลย อันนี้เป็นสิ่งที่ผมเป็นห่วงท่านทั้งหลาย แม้เพียงเล็กน้อยหรือเสียดสีก็อันตราย ถ้าท่านสงสัยก็มีตัวอย่างในอดีต ท่านที่น่าจะเป็นที่รู้จักเคยปรามาสผม กรรมมันเป็นอย่างไร ผมอาจจะยกมาให้อ่าน
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    <O:p</O:p
    ผมขออธิบายสั้นๆ พุทธะที่เป็นพุทธภูมิ ท่านจะได้หายสงสัยบ้างบางอย่าง และผมไม่ใช่พระอริยะเจ้าอย่างที่ท่านคิด <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 กรกฎาคม 2009
  2. พลน้อย

    พลน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +473
    ท่านมโนยกธรรมะหลายอย่างเป็นประโยชน์ เป็นท่านที่ค่อยแก้ต่างให้กับพระธรรมะ เป็นบุญของพระศาสนา ขออนุโมทนา
     
  3. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255


    อนุโมทนาคุณมโนค่ะ


    รูปกายมนุษย์ ประกอบด้วยธาตุ ๖ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
    อากาศวิญญาณธาตุ(ธาตุรู้=จิต)
    เพราะมีธาตุรู้(จิต)รูปกายมนุษย์จึงรู้อะไรได้

    ต่างจากรูปชนิดอื่นที่ประกอบด้วยธาตุ ๔ (ดิน น้ำ ลม ไฟ )
    ไม่มีธาตุรู้(จิต)ดังนั้นรูปชนิดอื่นจึงรู้อะไรไม่ได้ เช่น ก้อนหิน ดิน ทราย ต้นไม้ ใบหญ้าฯลฯ

    รูปกายมนุษย์ มีอายตนะภายใน ๖ เป็นช่องทางของจิตในการรับรู้อารมณ์
    (
    รูปารมณ์ สัททารมณ์คันธารมณ์ รสารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์ ธรรมารมณ์)

    จิต รับรู้ อารมณ์(รูป)
    โดยอาศัยอายตนะภายใน (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)
    และอายตนะภายนอก (รูป เสียง กลิ่น รส กายสัมผัส ธรรมารมณ์)
    เมื่ออายตนะภายนอก-ภายในกระทบกันเป็นคู่
    ทำให้เกิดวิญญาณ ๖
    คือ วิญญาณทางตา วิญญาณทางหูวิญญาณทางจมูก
    วิญญาณทางลิ้น วิญญาณทางกาย วิญญาณทางใจ
    ทำให้เกิด เวทนา สัญญา สังขารขึ้นที่จิตตามมา
    ครบ ขันธ์ ๕รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (อารมณ์และอาการของจิตที่เนื่องด้วยอารมณ์)

    จิตจึงไม่ใช่ขันธ์ ๕ และขันธ์ ๕ ไม่ใช่จิต
    แต่จิตรู้ว่าขันธ์ ๕ เกิดขึ้นที่จิต และขันธ์ ๕ดับไปจากจิต

    เปรียบเหมือน คนอาศัยอยู่ในบ้าน คนไม่ใช่บ้านและบ้านไม่ใช่คน


    (smile)
    <o>:p></o>:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2009
  4. เกสท์

    เกสท์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +18
    ผมว่าคุณควรพิจารณาตัวเองบ้างดีกว่าครับ

    อย่าเที่ยวเอาบาปเอากรรมมายัดเยียดให้คนนั้นคนนี้เลยครับ
    มันเป็นเวรต่อกันเฉย ๆ
    ไม่เป็นประโยชน์กับใครทั้งนั้นครับ
     
  5. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    อนุโมทนาล่วงหน้าครับ ขอให้ไปพบท่านผู้นั้นโดยเร็วครับ
     
  6. พลน้อย

    พลน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +473
    ถึงคุณเกสท์ครับ
    กระทู้ที่ผมอธิบาย ไม่ได้มีความหมายใดเลยที่เป็นการเอาบาปเอากรรมมายัดเยียดให้คนนั้นคนนี้ ตามที่ท่านเข้าใจ และไม่มีเจตนาไปในทางนั้นเลย แม้แต่น้อย
    ท่านที่มีจิตเข้าถึงพุทธะนั้น ไม่มีและไม่เกิดจิตที่เป็นอกุศลขึ้น ดังนั้นเจตนาที่ไม่ดีใดๆ จะไม่มีออกมาจากจิต/ใจ ผู้เข้าถึงพุทธะ
    ที่ประโยคด้านบนช่วงหนึ่งอาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดได้ คือ "การที่ผมเข้าถึงพุทธะได้ไม่ยากมากนัก " คำว่าไม่ยากของผมนี้ เวลาผมทำสมาธิวันที่ว่างจากธุระ ทำสมาธิตั้งแต่ 8 โมงเช้า ถึงตี 2 โดยประมาณ พักทานข้าวหรือพักผ่อนพอประมาณ แล้วก็ทำสมาธิต่อ นอนก็รักษาสติ และตื่น 7 โมงเช้า แบบนี้คือ สิ่งที่ทำเป็นปกติและไม่ได้คิดว่ายากอะไรเลย ทุกวันนี้ก็ทำแบบนี้ จนจิตเข้าถึงพุทธะ และความยาก/ง่ายระหว่างผมกับผู้อ่านอาจไม่เท่ากัน อาจทำให้เข้าใจผิดกันได้ จึงต้องมาขยายความประโยคนี้เพิ่ม และจะได้เป็นตัวอย่างให้กับผู้ปรารถนาพุทธภูมิทั้งหลาย ว่าท่านที่มีบารมีเต็มเขาปฏิบัติตนกันอย่างไร
    เคยอ่านกระทู้คุณเกสท์ เข้าใจว่าคุณเกสท์ เป็นผู้ที่มีสติค่อนข้างดี ท่านหนึ่ง
    ขอบคุณครับ
     
  7. เกสท์

    เกสท์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +18
    ถึง คุณทดสอบ1 เช่นกันครับ
    ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ หวังสร้างประโยชน์ใหญ่ มุ่งหวังให้สรรพสัตวทั้งหลายพ้นจากความทุกข์ ย่อมเล็งถึงประโยชน์ตน และส่วนรวม ย่อมเสียสละตน เพื่อประโยชน์ผู้อื่น

    แต่สิ่งที่คุณทดสอบ1 โพสต์ข้อความเหล่านี้ คุณเล็งประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่นโดยถ่องแท้แล้วหรือ

    การที่คุณกล่าวว่าบุคคลนั้น บุคคลนี้จะต้องมีเคราะห์มีกรรมนะ หากกล่าวปรามาสตัวคุณ แล้วคุณก็โพสต์ข้อความทำนองนี้ ยังไง ยังไง ต้องมีผู้กล่าวปรามาสคุณแน่นอน

    ผลที่ได้คือบาปกรรมที่คุณกล่าวอาฆาตเอาไว้ แล้วสิ่งนี้คือประโยชน์ผู้อื่นหรือ

    มันน่าเป็นโทษต่อผู้อื่นเสียมากกว่านะ

    ส่วนประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการกระทำของคุณ มีประโยชน์ต่อใครแม้สักคนหนึ่งนั้น มีหรือไม่

    คุณย่อมรู้ดีหากคุณพิจารณา ให้เหมาะสมแก่ฐานะที่คุณอ้างถึง คือ พุทธภูมิที่บารมีเต็ม และย่อมมีปัญญาบารมีเพียงพอที่จะพิจารณาได้

    แล้วพุทธภูมิที่บารมีเต็ม จะต้องสมาธิตลอดเวลาอย่างเดียวเช่นนั้นหรือครับ บารมีถึงจะเต็ม

    ไม่ใช่ผู้ที่ได้พุทธลัทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งมิใช่หรือ ถึงจะเรียกว่าบารมีเต็ม

    ผมอ่านโพสต์ของคุณ ก็มั่นใจว่าคุณเป็นผู้มีสติค่อนข้างดี ท่านหนึ่งเช่นกัน

    ขอบคุณครับ
     
  8. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ท่านเกรสครับ ผมว่าเขาคงอยากจะเป็นพระพุทธเจ้ามาก อดรนทนไม่ไหวแล้วครับ แม้พระศาสนาของพระสมณโคดมนั้นยังไม่สิ้นกาล แต่ว่าถึงยังไงเขาก็ไม่สน ขอให้เขาได้ทำในสิ่งที่คิดว่าเป็นประโยชน์ โดยหารู้ไม่ว่า จะได้อะไรเป็นเนื้อแท้ คนที่เข้าใจความหมายต่างๆที่เขากล่าวจะมีกี่คน ต่อให้มี เมื่อถึงบั้นปลายก็วุ่นวายอยู่ดีครับ ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าพุทธภูมิอะไรนี่คืออะไร แต่ผมเห็นตั้งแต่แวปแรกแล้วว่า ปัญญาที่จะทำให้ผู้อื่นเข้าใจธรรมได้เหมือนพระพุทธเจ้านั้น มีน้อยถึงไม่มีเลย รู้ได้เฉพาะตนก็ไม่ควรกล่าวก็ไม่มีใครปรามาสแน่นอน เมตตาก็ไม่มี ศรัทธาก็ไม่มี มีแต่สมาธิอย่างเดียว อุเบกขาก็ไม่มี ถ้ากลัวว่าคนอื่นจะตกนรกแล้วไม่กลัวตัวเองจะตกนรกหรือครับ
     
  9. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    คนเพ้อเจ้อ ปล่อยมันไปเถอะ เดี๋ยวมันก็ร้อนเอง
    มันร้อนไม่พอก็ปล่อยมันไป
     
  10. สมคิด แซ่อื้อ

    สมคิด แซ่อื้อ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +5
    เป็นพุทธะไม่ได้หรอก ต้องตั้งจิตอธิฐานก่อนว่าปราถนาจะเป็นพุทธะ ผู้ที่จะเป็นพุทธะได้นั้น ต้องระลึกชาติได้เท่านั้น
     
  11. พลน้อย

    พลน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +473
    ถึงคุณ<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]</st1:personName>เกสท์ ครับ ตอบคุณเกสท์ จากคำถามที่อยู่ในกระทู้เก่าครับ<O:p</O:p
    <O:p
    ข้อสงสัยคำพูดผมที่ว่า <O:p
    สติจะสมบูรณ์ได้ต่อเมื่อ จิตไม่ปรุงแต่งอารมณ์ใดๆแล้ว” <O:p</O:p
    <O:p
    “สติจะสมบูรณ์ได้ต่อเมื่อ จิตไม่ปรุงแต่งอารมณ์ใดๆแล้ว” คือ สภาวะจิตของ “ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ” ท้ายสุดของโพชฌงค์ 7 ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ เป็นสภาวะจิตที่มีสติสมบูรณ์ที่สุดและจิตไม่ปรุงแต่งอารมณ์ใดๆ


    ลองไปเปิดตำราดู “ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ” หมายถึง ความมีใจเป็นกลาง ขออธิบาย คือ หรือการทำจิต(ใจ)ให้เป็นกลางหรือ มัชฌิมาปฏิปทา หรือการรู้ให้เป็นกลาง หรือรู้กลางๆ ที่หลายๆท่านนิยมพูดกัน กลับหาท่านที่เข้าถึงความหมายได้ยาก ท่านที่เข้าใจความหมายได้แท้จริง คือ ผู้ที่ปฏิบัติจนจิตเข้าถึงเท่านั้น
    <O:p
    มัชฌิมาปฏิปทา เป็นทางเดินของจิตที่พระอรหันต์ ,พระปัจเจกพระพุทธเจ้า ,พระมหาโพธิสัตว์ และองค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธะเจ้า คือ การตั้งจิตที่เป็น “ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ” ซึ่งสมบูรณ์ด้วยโพชฌงค์ 7 ประการ และสภาวะจิตที่เดินทางสายกลางคือ มรรค 8 ประการ แต่ท่านผู้อ่านไม่ต้องไปสนใจมรรค 8 ประการเพราะเข้าถึงไม่ได้ด้วยความคิดใดๆ
    <O:p

    มรรค 8 ประการเข้าถึงสมบูรณ์ได้ด้วย โพชฌงค์ 7 ถ้าเข้าไม่ถึง โพชฌงค์ 7 ก็เข้าไม่ถึง มรรค 8 ประการ

    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ขยายความเพื่อความเข้าใจ สภาวะจิต “ อุเบกขาสัมโพชฌงค์” จิตวางอุเบกขา (ฌานที่ 4 ) รวมกับสติสัมปชัญญะ และความต่อเนื่องของสติในความนิ่งของสติ คือ “ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ”

    <O:p
    สภาวะจิต “ อุเบกขาสัมโพชฌงค์” ไม่น่าจะมีพระอรหันต์ท่านใดที่เคยอธิบายไว้ก่อนหน้าผมนี้ ไม่น่าจะมีในตำราใดๆ แต่รับรองว่าถูกหลักของพระพุทธศาสนาแน่นอน ผมอธิบายผลของพุทธะ คือ มหาสติ ก็อธิบายว่า “มหาสติ”เป็นอย่างไรด้านบน และโพชฌงค์ 7 เป็นวิธีการปฏิบัติให้เข้าถึง มหาสติ ก็เข้าถึงแบบนี้ก็อธิบายแบบนี้ และรับรองว่า ไม่ว่าจะเป็น พุทธะพุทธภูมิ หรือ พุทธะสาวกต้องเข้าแบบนี้เหมือนกันทั้งสิ้น เพียงแต่ พุทธภูมิ มีสภาวะจิตที่ละเอียดและความเข้าใจมากกว่า สาวกภูมิ เท่านั้นเอง
    <O:p
    สภาวะจิต มหาสติ”และ สภาวะจิต อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ” ถ้าสังเกตให้ดีผมอธิบายได้ละเอียด เนื่องจากจิตเข้าถึงสภาวะนี้และเข้าถึงพุทธะแบบนี้มาแล้วหลายๆชาติ ท่านผู้อ่านอาจยิ่งสงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร คำตอบก็คือ พุทธะที่เป็นพุทธภูมิ เรียกสั้นว่า “ พุทธภูมิ (พุท-ธะ-ภูมิ) ” ทำได้แบบนี้




    <O:p
    พุทธภูมิ คือ ภูมิของผู้เที่ยงแท้ต่อการตรัสรู้
    <O:p
    ปุถุชน ปรารถนาพุทธภูมิ เรียกว่า ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ ซึ่งก็ยังมิใช่พุทธภูมิแท้จริง



    <O:p</O:p
    <O:p
    การจะเข้าถึงพุทธะแบบผมนี้ได้ต้องสมบูรณ์ 3 อย่างคือ
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ศีลสมบูรณ์ สมาธิสมบูรณ์(อุเบกขา) ปัญญาสมบูรณ์ (สติสัมปชัญญะ)
    <O:p
    ถ้าสังเกตให้ดีจะไปเข้าสภาวะจิตของ โพชฌงค์ 7 องค์แห่งการตรัสรู้
    <O:p
    <O:p
    คุณเกสท์ครับ วันหนึ่งถ้าผมไม่ได้อธิบายที่นี่แล้ว ธรรมะที่ผมอธิบายไว้ทั้งหมด สามารถนำมาปฏิบัติได้เลย และเป็นธรรมที่สมบูรณ์ดีแล้ว จากผู้ที่เข้าถึงพุทธะแล้ว ท่านที่เข้าไม่ถึงพุทธะไม่สามารถอธิบายได้แบบนี้ การจะเข้าใจธรรมะที่ผมอธิบายได้ต่อเมื่อปฏิบัติจนจิตเข้าถึงเท่านั้น
    <O:p</O:p
    <O:p
    ขอบคุณครับ<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 กรกฎาคม 2009
  12. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ผมก็รู้ว่าไม่ใช่อย่างนี้อีกนั่นแหละ อาจดูเหมือนปรามาสแต่อย่างที่บอก ผู้มีธรรมย่อมกล่าวธรรมที่สมควรแก่ธรรมต่อผู้รับโดยไม่แฝงซึ่งความเป็นทิฐิใดๆ แม้จะเป็นพุทธภูมิก็ตามก็ย่อมต้องรู้ดีในความหมายและความจำเป็นของการใช้คำต่างๆในอภิธรรม หรือ นอกเสียจากมารที่มักจะมีเหตุผลเฉพาะตนเพื่อลุอำนาจของกิเลสเท่านั้น อุเบกขาโพชฌงค์ คือ วางเฉยจากทุกสภาวะ ทั้ง ภาวะ และ วิภาวะ หมายความว่า ไม่ใช่ทั้งอกุศล ไม่ใช่ทั้งกุศล และ ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง สภาวะนี้เรียก อุเบกขาโพชฌงค์ ผมก็รู้ของผมอย่างนี้เหมือนกัน ก็อ่านๆเอาในตำรา ไม่เก่งพอจะคิดเองได้ เอาตามความเข้าใจครับ
     
  13. เกสท์

    เกสท์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +18
    เมื่ออุเบกขายังไงสติก็สมบูรณ์อยู่แล้วครับ
    สติที่สมบูณ์โดยไม่อุเบกขาก็มี

    ผมว่าคุณหลงเอามากทีเดียวนะ

    ผมว่าคุณยังไม่ออกทางปัญญาเลยจะบอกให้นะ
    อยู่ในขั้นสมถะ สมาธิ แค่นั้นเอง

    ผมขี้เกียจพูด
    คุณ ทิฏฐิมานะ สูงจรดฟ้า

    พูดไปก็ไม่มีประโยชน์
     
  14. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    และที่ผมรู้ว่าไม่ใช่เพราะ
    1. พุทธภูมิ คือ ผู้ปราถนาเพื่อให้ได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล เที่ยงแท้แน่นอนก็ต่อเมื่อ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งพยากรณ์
    2. การประพฤติปฏิบัติหรือจริยวัตรของพระโพธิสัตว์เจ้านั้นจะเป็นไปในทิศทางคล้ายคลึงกับพระศาสดาเป็นอย่างมาก ช่วยเหลือเกื้อกูลแบบไร้มิจฉาทิฐิใดๆ และอื่นๆอีกมากมาย
    3. วิธีการช่วยเหลือก็จะเล็งเห็นคุณและโทษของการกระทำนั้นเป็นอย่างดีเฉกเช่นพระศาสดา เช่น พระศาสดาจะสอนธรรมที่มนุษย์ทุกคนควรจะประพฤติปฏิบัติได้ ไม่นำสิ่งที่พระองค์ทำได้เพียงผู้เดียว ณ เวลานั้นมากล่าวสอนผู้อื่น หรือ อีกนัยหนึ่ง คือ รู้กาละเทศะ หรือ มีพระญาณว่าควรกล่าวหรือไม่ควรกล่าว สังเกตได้จากบันทึกในพระคัมภีร์
    4. มีเมตตาบารมีเป็นที่ตั้ง ไม่รังเกียจแม้ผู้นั้นจะเป็นพญามาร หรือ คู่อริมาก่อนแต่ชาติปางไหนๆก็ตาม พิจารณาได้จากพระคัมภีร์
    5. เห็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ต่อหมู่คณะและพวกพ้อง ถ้าเป็นธรรมะ ก็ คือ สัจธรรมที่เป็นสิ่งที่ควรทำให้แจ้งด้วยความเป็นจริงไม่ใช่เอา อัตตามาเป็นที่ตั้ง ลุด้วยอำนาจ ตัณหา กิเลสอุปาทาน วิปัสสนูกิเลส
    6.ยังมีอีกมาก แต่แค่นี้คงพอแล้ว
    ผมรู้ว่าไม่ใช่และก็ไม่มีวันใช่ และทั้งหมดก็ไม่ได้อ่านจากตำรา พิจารณาตัวเองด้วย
     
  15. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    คนเป็นพุทธะ ต้องมีใจเสียสละ

    มีกำลังจิตกำลังใจ ที่หาญกล้า ไม่กลัวลำบากตน

    แต่นึกถึงผู้อื่นเป็นหลัก ใครขี้เกียจสันหลังยาว เวลาขึ้นรถเมล์ แล้วคอยไปแย่งเขาึขึ้นก่อน

    เวลาทำอะไร ขอให้ตนเองสบายไว้ก่อน แบบนี้ อย่าไปคิดเลยเรื่องพุทธภูมิ ให้รีบๆ ปฏิบัติธรรมไปเลย จะได้รอดตัวไป ไม่เช่นนั้น ยังอีกยาวไกล


    คนมีจิตใจเป็นพุทธภูมิ ต้องคำนึงถึงผู้อื่นเป็นหลัก คำนึงถึงสาธารณะเป็นหลัก มีจิตใจกว้าง

    ไม่คับแคบ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เพื่อนกินก่อน เรากินทีหลัง ยามสุขด้วยกัน ดีใจด้วย ยามทุกข์ยอมทุกข์คนเดียว

    นี่แหละ จริต คนที่เห็นประโยชน์ผู้อื่นมาก่อน และที่สำคัญ ไม่เห็นแก่ตัว

    คอยเป็นกำลังใจให้คนอื่น
     
  16. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    นั่นนะซิทำไมเราไม่มาเผยแพร่ธรรมที่เป็นธรรมแท้ที่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นจากกิเลสอุปาทาน ทั้งหลายที่หมักไว้ดองไว้ออกจากจิตนั้น โดยนำธรรมที่มีจากจิตที่ปราศจากทิฐิที่เป็นธรรมในฝ่ายอกุศลมาใช้กันละ มันน่าจะเกิดประโยชน์ต่อผู้อื่นได้ไม่มากก็น้อยนะครับ
    นำสิ่งที่เป็นเลิศในปัจจุบันกาลมาใช้ และนำสิ่งที่ไม่เป็นมิจฉาธรรม มากล่าวในขณะเดียวก็พิจารณาตนเองไปด้วยพร้อม เหตุเพราะว่า อีกไม่นานเราทุกคนจะต้องตายทิ้งสังขารอันไม่เป็นสาระกันแล้ว มันนานจริงเหรอ และมัน แน่นอนอย่างนั้นจริงเหรอ ร่วมจิตร่วมใจกันประกอบสิ่งอันเป็นคุณงามความดีกันเถอะใครที่หลงก็ตั้งสติ พิจารณาให้ดี อย่าคิดว่าตนเก่งกว่าผู้อื่น เพราะหากเมื่อใดก็ตามที่จิตเรายังไม่เป็นจิตแห่งพระอรหันต์ ก็ไม่มีวันเป็นไปได้ที่กิเลสส่วนละเอียดที่ฝังในจิตนั้นจะถูกถอน ซึ่งทั้งหมดจึงเป็นสิ่งที่รู้ได้ด้วยตนเองนั่นแหละ จึงควรนำส่วนที่ดีที่บริสุทธิ์แล้วมาใช้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อกันและกัน อันที่ยังไม่สำเร็จก็เพียรพยายามกำจัดมันออกไป ว่าอย่างงั้นดีกว่าไหมครับ
     
  17. pantham phuakph

    pantham phuakph เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +444
    ขออนุโมทนากับทุกท่าน

    หากว่างจากภาระที่จำเป็น เจอกันที่นิพพานนะครับ
     
  18. อู๋ซิน

    อู๋ซิน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +45
    ยังไม่จบอีกเหรอ
     
  19. ้ำspw

    ้ำspw Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +33
    ขอถามคุณทดสอบ1 ว่า
    1.การปฏิบัติให้ถึงปัญญาทางพระพุทธศาสนาเริ่มจากอะไร
    2.การปฏิบัติให้เกิดปัญญาทางพระพุทธศาสนาปฏิบัติอย่างไร
    3.ปัญญาทางพระพุทธศาสนาเป็นอย่างไร
     
  20. พลน้อย

    พลน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +473
    ขออนุญาตตอบคุณคนดูครับ

    1.การปฏิบัติให้ถึงปัญญาทางพระพุทธศาสนาเริ่มจากอะไร
    ตอบ

    การปฏิบัติให้ถึงปัญญาทางพระพุทธศาสนาเริ่มโดย สติ สิ้นสุด คือ มหาสติ
    สติ ปุถุชน ยังอยู่ภายใต้ความคิดฟุ่ง ภายใต้อารมณ์ต่างๆ และท้ายสุดภายใต้กำลังอวิชา
    สติ ของผู้เข้าถึงพุทธะ อยู่เหนือความคิดฟุ่ง/อารมณ์ต่างๆ และท้ายสุดเหนือกำลังอวิชา
    สติ ของผู้เข้าถึงพุทธะ เรียกว่า มหาสติ
    ปุถุชนท่านที่เข้าไม่ถึง พุทธะ ไม่มีทางทราบเลยว่า สภาวะจิตมหาสติ นั้นเป็นอย่างไร เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถเข้าถึงได้โดยความคิดใดๆ จึงมิต้องแปลกใจว่า มีผู้เข้าใจผิดเมื่อได้อ่านกระทู้ที่ผมอธิบายไป
    2.การปฏิบัติให้เกิดปัญญาทางพระพุทธศาสนาปฏิบัติอย่างไร
    ตอบ ตามที่ได้ยกคำสอนขององค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ 2 ท่าน รวมถึงผลการปฏิบัติที่ผมอธิบาย มาในกระทู้ให้ปฏิบัติตามนี้ได้เลยครับ เป็นการปฏิบัติ แบบวิปัสสนานำสมถะ เพราะอาศัย สติก่อนจึงถือว่าเป็น วิปัสสนานำสมถะ การปฏิบัติแบบนี้จะไม่หลงไปในสภาวะใดๆ
    3.ปัญญาทางพระพุทธศาสนาเป็นอย่างไร

    ขอตอบตามที่จิตผมเป็นอยู่คือ
    1.การมีสติรู้สมบูรณ์ ในอาการ 32 ร่างกาย (รวมถึงอายตนะ5) ในเวทนา ในจิต ในธรรม รวมถึงสภาวะภายนอกที่ ตา หู จมูก ลิ้น กายไปกระทบ รู้ทั่วพร้อมกัน ท่านผู้อ่านอาจสงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร เป็นไปได้ คือ การตั้งจิตที่รู้บริสุทธิ์ของจิต เหนืออารมณ์และความคิดฟุ่งซ่าน จึงจะสามารถทำให้จิตรู้ทั่วพร้อมด้วยอาการทั้งปวง เรียกอีกอย่างว่า "มหาสติ"
    2.การรู้พระไตรลักษณ์อย่างสมบูรณ์ และไม่ติดในพระไตรลักษณ์ ,รู้สิ่งใดเที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง ,การที่จิตไม่เกาะสิ่งใดก็เพราะรู้พระไตรลักษณ์ ที่ไม่ได้พูดพระไตรลักษณ์ก็เพราะใจผมมันไม่ได้เกาะสิ่งใด เมื่อจิต/ใจไม่ได้เกาะสิ่งใดแล้วพระไตรลักษณ์ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้
    3.การที่จิตมีสติและมิได้หวั่นไหวไปในอารมณ์ อาการและความคิดใดๆ

    4.การที่จิตเข้าถึงมหาสติ สามารถกำหนดจากสติเข้าฌาน 1 หรือ 2 หรือ 3 หรือ 4 ได้ทันที เร็วเพียงเสมือนนึก และสามารถเข้าฌานได้เป็นชั่วโมงตามความตั้งใจ

    5.การที่จิตมีสติและกำลังเอาชนะกำลังอวิชชา
    ทั้ง 5 อย่างนี้ เป็นปัญญาที่ผมได้จากการปฏิบัติจนจิตเข้าถึงพุทธะ จากจิตที่เป็น มหาสติ ซึ่งไม่มีในปุถุชน ไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยความคิดใดๆ
    ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 กรกฎาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...