มาร หรือ ซาตาน คืออะไร? เป็นมาอย่างไร?

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย Lukhgai, 21 มิถุนายน 2009.

  1. Lukhgai

    Lukhgai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    3,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +8,240
    ที่จริง
    แล้วมารหรือซาตาน ก็เป็นเทพ-เทวดากลุ่มหนึ่งเหมือนกัน แต่
    เป็นเทพ-เทวดาที่เกเรจิตของเขาจะเป็นมิจฉาทิฏฐิคือมีความคิด
    เห็นที่ผิด จึงทำให้ร่างกายของเขาไม่สวยงามเหมือนกับเหล่า
    เทพ-เทวดาที่เป็นฝ่ายสัมมาทิฏฐิคือมีความคิดเห็นที่ถูกต้อง จึง
    ทำให้ร่างกายเครื่องทรงของเขาสวยงาม มารหรือซาตานมาจาก
    ไหน? ก็เป็นดวงจิตหรือดวงวิญญาณที่มาจากมนุษย์ที่ตายแล้ว
    แต่ในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ในขณะที่เป็นมนุษย์นั้น ก็เป็นมนุษย์หรือ
    เป็นคนที่มีจิตใจที่เป็นมิจฉาทิฏฐิคือมีความคิดเห็นผิดไม่ถูกต้อง
    เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นผิดเป็นถูก เวลาเห็นคนอื่นเขาทำ
    บุญสร้างกุศล สร้างบารมี ไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน รักษาศีล
    เจริญภาวนา(นั่งสมาธิ) ก็จะขัดขวาง ไม่สนับสนุน พูดจาเยาะ
    เย้ยถากถาง ว่าบ้าเหลวไหลงมงาย ส่วนตัวเองความดีก็ไม่ทำ
    ความชั่วก็ไม่สร้าง พอตายจากมนุษย์ดวงจิตหรือดวงวิญญาณก็
    ไปอยู่หรือไปเกิดในร่างของมาร เกิดเป็นมารหรือซาตาน พอไป
    เกิดเป็นมารแล้ว ก็ไปขัดขวางเหล่าเทพ-เทวดา ไม่ให้มีโอกาส
    ได้สร้างบุญสร้างกุศลสร้างบารมีต่อ หลังจากที่เหล่าเทพเทวดา
    ได้หมดบุญจากสวรรค์แล้วและก็ได้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ พวกมาร
    ก็มาขัดขวางการสร้างบุญสร้างบารมีของเหล่าเทวดาทั้งหลายที่
    หมดบุญลงมาเกิดเป็นมนุษย์คนนั้นอีก คอยกลั่นแกล้งให้เขาพบ
    กับความลำบาก เกิดความทุกข์ ความท้อแท้ ขัดขวางไม่ให้
    พบกับความสำเร็จ ไม่ให้เรามีความสุข ถ้าเห็นว่าเราจะมีความ
    สุขและจะพบกับความสำเร็จแล้วมารจะเข้าขวางทันที แต่ไม่ทำ
    ให้เสียชีวิตเหมือนเจ้ากรรมนายเวร มารจะพามนุษย์หลอกล่อ
    มนุษย์ให้ผิดศีลอยู่เสมอ เช่น พาให้คิดและทำการฆ่าเบียดเบียน
    กัน พาให้คิดและทำการลักขโมย คิดช่อคดโกง พาให้ทำและ
    คิดผิดลูกผิดเมียและสามีของคนอื่นเขา พาให้คิดให้พูดโกหก
    พูดเพ้อเจ้อ พูดส่อเสียด พูดนินทา พูดคำหยาบ พาให้
    มนุษย์คิดและเล่นการพนัน เสพสิ่งเสพติดและของมึนเมาทั้ง
    หลาย เพื่อจะได้ให้มนุษย์ทำกรรมชั่วมากๆ เพื่อให้ผลกรรมนั้น
    ได้ส่งผลให้มนุษย์ได้ไปตกนรกหรือลงสู่อบายภูมิ ๔ เวลามนุษย์
    จะทำความดีหรือคิดทำความดี คิดที่จะสร้างจะทำบุญบารมี
    พวกมารก็จะขวางทันที ......
    มารมีทั้งมารที่อยู่ภายนอกตัวเราและมารที่อยู่ภายในตัวของ
    เรา มารที่อยู่ภายในตัวของเรามาอย่างไร? เมื่อพ่อแม่ของเรา
    ได้ร่วมหลับนอนกันแล้ว เชื้ออสุจิของพ่อเข้าผสมกับไข่ของแม่
    มีดวงจิตของเราที่ดับหรือหมดบุญจากสวรรค์มาเข้าทำการปฏิสนธิ
    แล้วหนึ่งดวง แต่ก่อนที่เราจะหมดบุญหรือลงมาจากสวรรค์นั้น
    เทพเทวดาทุกองค์จะรู้ล่วงหน้าและมีสิ่งบอกเหตุว่า ขณะนี้ใกล้
    เวลาที่ท่านจะหมดบุญและลงไปเกิดใหม่แล้ว เหล่าเทพเทวดาจะ
    ดีใจกันมากถ้าหากการหมดบุญของเขาได้ไปเกิดยังโลกมนุษย์และ
    ได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ เพราะมีโอกาสที่จะบำเพ็ญตนให้สู่ความ
    หลุดพ้นคือพระนิพพานได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเหล่าเทพเทวดาที่
    ยังไม่หมดบุญทั้งแปดหมื่น จักรวาล ก็จะทำการแสร้งซ้อง
    อนุโมทนาสาธุการยินดีต่อเทพเทวดาองค์นั้นที่ได้ไปเกิดเป็น
    มนุษย์ มารซึ่งรู้เห็นเหตุการณ์อยู่ก็ตามลงไปขัดขวางด้วยทันที
    โดยการลงไปปฏิสนธิหลังดวงจิตหรือดวงวิญญาณของเทวดาองค์
    นั้น ในไข่ฟองเดียวและร่างเดียวกันแต่มีดวงจิต ๒ ดวงจิต ......
    เมื่อดวงจิตของมารเข้ามาอยู่ในร่างของมนุษย์แล้ว เขาก็
    จะเรียนรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ไปพร้อมๆกับจิตของเทวดา
    (จิตของเรา) มนุษย์เป็นอย่างไร? มนุษย์ชอบอะไร? มารก็จะ
    เรียนรู้ทั้งหมดและก็จะปลอมแปลงเป็นเทวดาหรือเทพองค์นั้น
    แสดงเป็นเทพองค์นั้นหรือเทวดาองค์นี้หลอกมนุษย์ให้มีความ
    รัก ความโลภ ให้มีความโกรธ ให้มีความหลงไปต่างๆนาๆ
    เพราะมนุษย์มองไม่เห็นตัวของเขาเพราะตัวของเขาหรือร่างกาย
    ของเขานั้นเป็นกายทิพย์(อากาศธาตุ) แม้แต่คนที่เป็นร่างแท้ๆยัง
    ไม่เคยเห็นเลย แม้แต่ทางความฝันก็แทบจะไม่เคยด้วยซ้ำไป
    ถึงจะเห็นด้วยญาณหรือตาทิพย์ก็ไม่ใช่ว่าจะจริงหรือใช่เสมอไป
    เราต้องใช้พลังของพระพุทธคุณเปิดร่างที่เห็นนั้นอีกทีหนึ่งจึงจะรู้ว่า
    ตัวจริงหรือตัวปลอม ถึงมารจะมีพลังปลอมแปลงหรือพรางตัวได้
    ขนาดไหนก็ปิดไม่อยู่ เพราะมันแพ้ทางบารมีกัน มารในตัว
    มนุษย์จะมีพลังมากกว่าพลังของเทวดา(จิตของเรา)อาจารย์จะ
    เรียกมารที่อยู่ในตัวมนุษย์นี้ว่า " องค์ " หรือ " องค์ใน " เมื่อเรา
    คลอดออกมาเป็นทารกแล้วเติบโตมาเป็นเด็ก จากเด็กก็เติบโต
    เป็นผู้ใหญ่ มารก็จะทำให้เรามีปัญหาหลายๆด้านหรือมีทุกข์มาก
    ขึ้น เพื่อจะได้พาร่างมนุษย์นี้ไปพบกับพวกมารในร่างมนุษย์ตัว
    อื่นๆที่มาก่อนแล้ว ที่เราเห็นและรู้จักกันในนามของ " ร่างทรง "
    หรือ " ทรงเจ้า " เพื่อเสริมเพิ่มพลังอำนาจให้กันและกัน โดยมี
    กุศโลบายหลอกล่อในการที่จะครอบงำหรือควบคุมก็คือให้รู้ข้อดี
    ผลดีของ การรับขันธ์ครอบขันธ์ ทำเพื่อจะให้จิตแท้ของเรายอม
    เปิดร่างเปิดทางให้ ก็คือให้เจ้าตัวยินยอมนั่นแหละ เมื่อ
    ทุกอย่างสมบูรณ์แล้วมารก็จะครองร่างนี้สำเร็จ ที่นี้ก็จะทำท่า
    เหมือนจะพาตัวเราหรือพามนุษย์ไปในทางสว่าง ไปในทาง
    ธรรม พาไปทำบุญโน่นทำบุญนี่เหมือนจะพาให้หลุดพ้น แต่สุด
    ท้ายก็พาให้หลงทางเสีย ชอบแสดงอิทธิ์ฤทธิ์ปฏิหาร ใบ้เลขให้
    หวยให้เบอร์ ให้ทุกท่านสังเกตุดูก็แล้วกัน ส่วนองค์เทพเทวดา
    จริงๆนั้นท่านก็มีอยู่จริงๆ อาจารย์จะกล่าวในหัวข้อเมนูเรื่อง
    เทวดาประจำตัว และ เทวดาสร้างบารมี ต่อไป ......
    ในสมัยพระพุทธองค์ก็ได้กล่าวถึงมารไว้เหมือนกันคือ
    พระยามารชื่อ วัสสวดีมาร ที่ขัดขวางการออกบวชของเจ้าชาย
    สิทธัตถะว่า " อีก ๗ วันก็จะได้เป็นเจ้าจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แล้ว
    พระองค์จะประสงค์สิ่งใดก็จะได้สมประสงค์ทั้งหมดทุกอย่าง
    ทรัพย์สมบัติ แผ่นดิน จะออกบวชทำไม " พระพุทธองค์ก็
    ตอบไปว่า " เพื่อสัพพัญญุตญาณ " หลังจากนั้นพระองค์ก็เดิน
    ทางออกบวช ครั้งต่อมาก็ตอนที่พระพุทธองค์ใกล้จะตรัสรู้
    พระยามารก็ยกทัพมาขัดขวางเพื่อไม่ให้พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้เป็น
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและอีกครั้งก็ตอนที่พระพุทธองค์ได้บอกพระ
    อานนท์ว่า พระองค์สามารถจะทำให้ร่างกายสังขารของพระองค์
    ให้ยังอยู่นานเท่าไรก็ได้เป็นกัปไม่ตาย แต่พระอานนท์ไม่เข้าใจ
    ไม่รู้ก็เลยไม่ได้กล่าวทูลขอให้พระพุทธองค์ให้ทรงอยู่ต่อ พระยา
    มารจึงเข้าไปทูลขอให้พระองค์เสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพาน
    พระองค์ก็รับปากแก่พระยามารไปว่า " อีก ๓ เดือนข้างหน้าเราจะ
    เสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพาน " หลังจากนั้นพระพุทธองค์ก็
    ออกกุฎีมาบอกกับพระอรหันต์สาวกทั้งหลายว่า " อีก ๓ เดือน
    ข้างหน้าเราจะนิพพานที่เมืองกุสินารา " ......
    ณ.บัดนี้กาลเวลาได้ผ่านไปแล้ว ๒๕๔๘ ปี พระพุทธองค์
    ก็ไม่มีรูปกายให้เราได้พบเห็น พระอรหันต์สาวกทั้งหลายก็ไม่มี
    แล้ว พระสงฆ์สาวกผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ในพระธรรมวินัยก็หา
    ยากเต็มทน แต่พระยามารและเหล่าบริวารก็ยังอยู่เหมือนกัน จะ
    อยู่ในรูปของดวงจิตหรือวิญญาณ เป็นกายทิพย์ เป็นอากาศธาตุ
    เป็นพลังงานรูปหนึ่งที่ส่งผลในทางที่ไม่ดีให้กับเรา มารจะแฝงอยู่
    โดยทั่วๆไปและจะแฝงอยู่ในตัวของคนเราทุกๆคน สัตว์และสิ่ง
    ของ ต้นไม้ใบไม้และยอดหญ้า มารจะมีรูปร่างคล้ายๆกับสัตว์ใน
    โลกนี้ แต่ไม่ใช่พวกอสูรกาย มารจะทำให้เรามีจิตที่เกิดความ
    รักหลง ความโลภหลง ความโกรธหลงไปในทางที่ผิดๆ จะขัด
    ขวางความสุข ความเจริญ ความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นกับเรา
    ตลอดจนขวางการสร้างบุญสร้างกุศลของเราด้วย เช่น ในบางครั้ง
    เราอยากจะทำความดีอยู่ๆก็มีอีกความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาไม่ให้เราทำ
    หรือไปทำอย่างนั้น ส่วนพวกมารที่อยู่ภายนอกตัวของเรานั้น ก็
    จะทำให้เราโกรธโมโห ไม่พอใจ ทำให้เราเสียทรัพย์สินเงิน
    ทอง ทำให้เราบารมีตกโดยพาเราไปผิดศีลผิดธรรม ทำให้เรา
    จิตตกทำให้เราได้รับรู้อารมณ์ที่ไม่ดีจากภายนอกต่างๆเข้าตัวเรา
    ทางหู ตา จมูก ลิ้น กายและจิตใจ ถ้าหากจิตของเราปรุง
    แต่งก็จะปรุงว่าชอบหรือไม่ชอบ ถ้าหากว่าไม่ปรุงแต่งตัวเราก็จะมี
    อารมณ์เฉยๆ มารส่งผลให้กับเราไม่ถึงขั้นเสียชีวิต แค่ทุกข์ยาก
    ลำบากกายใจ ทำให้เราไม่สำเร็จ การเงินการงานติดขัดมี
    ปัญหาต่างๆในทางไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรหรือมาร
    เราต้องขจัดมันออกไปให้หมดสิ้นให้ห่างออกจากตัวเราไปเสีย
    เพื่อความสุขความสบายกายสบายใจของเราและทุกๆคนที่อยู่รอบๆ
    ข้างของเราด้วยต่อไป .........
    การป้องกันหรือหลีกเลี่ยงไม่ให้เหล่าพวกมารหรือซาตาน
    ครอบงำหรือควบคุมตัวของเราหรือคนค้างเคียงในเบื้องต้นนี้ก็
    คือ .........

    ๑. ให้หลีกเลี่ยงการเข้าไปหาตำหนัก สถานที่ๆมีการลงทรง
    ประทับทรงลงร่างหรือมีการลงแบบแฝงร่างและพิธีกรรมต่างๆที่
    เกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ ท่านจะถูกสะกดหรือถูกครอบงำทาง
    อ้อม

    ๒. อย่าทำการรับขันธ์ ครอบขันธ์ ครอบครูอย่างเด็ดขาด
    เพราะท่านจะถูกสะกดเป็นบริวารของเขาทันที่โดยตรง

    ๓. อย่าเข้าหาพระสงฆ์ แม่ชีหรือนักบวชที่มีการลงทรง
    ประทับร่างหรือแฝงร่าง(มีองค์) เพราะพระสงฆ์ทุกวันนี้ที่รู้ด้วย
    ญาณอภิญญาจิตจากการปฏิบัติธรรมฝึกจิตนั้นไม่มีเลยหรือมีน้อย
    มากหายากในปัจจุบันนี้เพราะว่า ถ้าหากท่านมีญาณได้ฌานจาก
    การฝึกจิตท่านจะไม่สนใจใครเลยไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร จะออก
    สันโดดและสมถะแสวงหาวิเวกเสมอตลอดเวลา ทุกวันนี้มีแต่
    พวกมารในร่างมนุษย์ที่เคยลงทรง ประทับร่างมาแล้วทั้งนั้นที่
    ออกบวชแล้วแสดงอิทธิฤทธิ์ แสดงปฏิหารให้พวกมนุษย์หลงทาง
    กัน ผู้ชายก็บวชเป็นพระเป็นเณร ผู้หญิงก็ไปบวชเป็นชีหรือ
    พราหมณ์ อาศัยความเชื่อ ความศรัทธาของศาสนาหรือผ้า
    เหลืองแอบอ้างกำบังตน ไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรเสียหายขึ้นกับ
    ศาสนา ชอบอ้างเทพเทวดาองค์นั้นองค์นี้ อย่างนั้นอย่างนี้
    ขอให้ตนเองได้บรรุเป้าหมายก็พอ จะสังเกตุได้ง่ายๆส่วนใหญ่
    แล้วบุคคลพวกนี้จะไม่ค่อยรู้หลักธรรมหรือธรรม จะทำพิธีไหว้ครู
    มีการทำบายสี มีเศียรฤาษี มีการทำนายทายทักดูดวงเป็นตัน
    ซึ่งพระสงฆ์ในพระธรรมวินัยนั้นไม่มีกิจที่จะทำอย่างนี้อยู่แล้ว พระ
    พุทธองค์เคยตรัสไว้ว่า " เราไม่เคยกลัวใครที่จะมาทำลายพระพุทธ
    ศาสนาและก็ไม่มีใครที่จะทำลายพระพุทธศาสนาได้ นอกจาก
    อุบาสก อุบาสิกา ภิกษุ ภิกษุณี สามเณร พุทธบริษัทใน
    พระพุทธศาสนาเท่านั้นที่จะทำลายกันเอง " .........

    ที่มา...ของ คนตาทิพย์
     
  2. avicha

    avicha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +472
    ขอบคุณมากครับที่ให้ความรู้ เป็นทษฎีที่น่าสนใจมากครับ
     
  3. ขอมจำแลง

    ขอมจำแลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    407
    ค่าพลัง:
    +1,274
    *** ถูกผิดปนกันเหมือนสีขาวกับดำ ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ไม่มีอะไรบริสุทธิ์ 100% อยู่แล้ว ตราบใดที่ยังมีขันท์5อยู่ ***

    *** พิธีกรรมทางศาสนาก็มีกุศโลบายที่ดีๆ ช่วยน้อมใจคนที่มีกิเลสให้เกิดปัญญาโดยไม่รู้ตัว(แบบไม่บังคับให้เห็นธรรมด้วยความอยาก)อย่างแยบคาย ลองศึกษาดูนานๆ อย่าพิ่งตัดสินเลยครับ ***
     
  4. ๙๙๙๙๙๙๙๙๙

    ๙๙๙๙๙๙๙๙๙ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +2,808
    มาร จะเอาในระดับไหนละครับ ทีแบบเทวดาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ หรือผูที่อยู่เบื้องหลัง ที่คอยบังคับ ความคุมจิตใจ ได้ทั้งมนุษย์ เทวดาและทุกสิ่งบนโลกละครับ

    มาร ตัวจริงน่ากลัวและร้ายกาจมากกว่าที่คุณคิดและไม่ใช้สิ่งที่เรารู้จักและมองเห็นเกินกว่าจะเข้าใจ
     
  5. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,516
    มารคอหอย
    (คนจะกินข้าวโทรมาอยูได้ไม่รับหรอกพวกแกมันมารคอหอยอย่าโทรมาตอนชั้นกินข้าวได้ไหมประเดี๋ยวกินไม่ทันเพื่อน)
     
  6. ขอมจำแลง

    ขอมจำแลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    407
    ค่าพลัง:
    +1,274


    *** เอางี้ เวลากินข้าว ก็ปิดเครื่องเลย หุหุหุหุหุ........งานเข้า
     
  7. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,516
    การจำแนกประเภทของมาร

    ตามพระไตรปิฏก (สาธุชนทั้งหลายสามารถสืบค้นได้ทั่วไปทั้งในและนอกวัด)
    -กิเลสมาร
    -ขันธมาร
    -มารฟ้าที่หก มาราธิราช วสวสตีมาร
    -มัจจุราชมาร

    ตามที่เคยคุ้นเคยได้ยิน
    -มารคอหอย (เพื่อนหรือพี่ชายที่ชอบแย่งอาหาร หรือลูกชิ้นในชามก๋วยเตี๋ยวอันนี้บางทีปิดธีระพล เอ้ย telephone ก็ไม่อาจจักพ้นได้)
    -มารหัวขน (โดยมากใช้ด่าลูกที่ไม่ล่ายหลั่งใจขัดขวางความสุขของมารดา)
    -มารความรัก (ใช้ด่า the love rival เช่นฟ้าส่งข้ามาเกิด แล้วไยนรกต้องส่งหมอนั่นหรือแม่นั่นมาเกิดด้วยทำไม้ ทำไม)
    - เพื่อนมารชวนโดดเรียน
    -หรือที่ผู้ใหญ่เคยบอกว่า ผู้ชายเป็นมารร้ายของการศึกษา (ทำให้แม่หนูบางคนเข้าใจผิดพอครูหรือผู้ชายสอนหนูก็เลยโดดเรียนค่ะ)ใช้คู่กับสตรีเป็นศัตรูของการเรียน (อันนี้สอนเด็กผู้ชาย)
    -พรรคมาร อันนี้ให้ไปถามนักการเมืองเอง
    -แม่มาน(ใช้เรียกสตรีมีครรภ์ในภาคเหนือ)อันนี้เป็นคำพ้องเสียง และไม่นิยมทำให้แม่มานขุ่นเคืองขัดหัวใจจะบังเกิดเภทภัยแก่ผู้ล่วงเกินได้
    - ส่วนซาตานเคยเห็นตามแผงหนังสือนิยายเล่มละ 10 บาทสมัยก่อนเช่น มนต์รักซาตาน ซาตานพิสวาส ซาตานแค้นคลั่งรัก เป็นต้น คล้ายคล้ายว่าซาตานนี้ในไทยแลนด์ค่อนข้างจะหมกมุ่นซักหน่อยนะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...