นอกเหนือจากโลกเรามีอะไร ?? + 31ภพภูมิ ,ทำไหม่

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย avatan, 5 มิถุนายน 2008.

  1. avatan

    avatan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +365
    [​IMG]



    รูปแรก คือ โลก (The Earth)

    รูปสอง คือ ระบบสุริยะ (Solar System)

    รูปสาม คือ ดาวฤกษ์เพื่อนบ้าน (Stars) และระบบอื่น กลุ่มดาวอื่น

    รูปสี่ คือ กาแล็กซี (Galaxy)ทางช้างเผือกของเรา มีรูปร่างเหมือนกังหัน มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 แสนปีแสง ประกอบด้วยดาวฤกษ์ประมาณ 1 พันล้านดวง เวลาเรามองไปบนท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งไม่มีแสงไฟ และควันบังชั้นบรรยากาศ เราจะเห็นกาแล็กซี ทางช้างเผือก

    รูปห้า คือ กระจุกกาแล็กซี (Cluster of galaxies)กาแล็กซีมิได้อยู่กระจายตัวด้วยระยะห่างเท่า ๆ กัน หากแต่อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม (Group) หรือกระจุก (Cluster) "กลุ่มกาแล็กซีของเรา" (The Local Group) ประกอบด้วยกาแล็กซีมากกว่า 10 กาแล็กซี กาแล็กซีเพื่อนบ้านของเรา มีชื่อว่า "กาแลกซีแอนโดรมีดา" (Andromeda galaxy) อยู่ห่างออกไป 2.3 ล้านปีแสง กลุ่มกาแล็กซีท้องถิ่นมีขนาดเส<WBR>้นผ่านศูนย์กลาง 10 ล้านปีแสง

    รูปหก คือ ซูเปอร์คลัสเตอร์ (Supercluster)ซูเปอร์คลัสเตอร์ ประกอบด้วยกระจุกกาแล็กซ<WBR>ีหลายกระจุก "ซูเปอร์คลัสเตอร์ของเรา" (The local supercluster) มีกาแล็กซีประมาณ 2 พันกาแล็กซี ตรงใจกลางเป็นที่ตั้งของ "กระจุกเวอร์โก" (Virgo cluster) ซึ่งประกอบด้วยกาแล็กซีประมาณ 50 กาแล็กซี อยู่ห่างออกไป 65 ล้านปีแสง กลุ่มกาแล็กซีท้องถิ่นของเรา กำลังเคลื่อนที่ออกจากกระจ<WBR>ุกเวอร์โก ด้วยความเร็ว 400 กิโลเมตร/วินาที

    รูปเจ็ด คือ เอกภพ (Universe)
    "เอกภพ" หรือ " จักรวาล" หมายถึง อาณาบริเวณโดยรวม ซึ่งบรรจุทุกสรรพสิ่งทั้งหมด นักดาราศาสตร์ยังไม่ทราบว่า ขอบของเอกภพสิ้นสุดที่ตรงไหน แต่พวกเขาพบว่ากระจุกกาแล็กซ<WBR>ีกำลังเคลื่อนที่ออกจากกัน นั่นแสดงให้เห็นว่าเอกภพกำล<WBR>ังขยายตัว เมื่อคำนวณย้อนกลับนักดาราศาสตร<WBR>์พบว่า เมื่อก่อนทุกสรรพสิ่งเป็นจุด ๆ เดียว เอกภพถือกำเนิดขึ้นด้วย "การระเบิดใหญ่" (Big Bang) เมื่อประมาณ 13,000 ล้านปีมาแล้ว




    นี่เป็นรูปภาพกาแล็กซี่ทางช้างเผือกของเราที่อยุ่ในจักรวาลครับ
    (อนาเขตพุทธันดร)

    [​IMG]




    [​IMG]


    จากคู่มือการศึกษาพระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉทที่ ๕ วิถีวิมุตตสังคหวิภาค ของพระอาจารย์บุญมี เมธางกูร แห่ง อภิธรรมมูลนิธิ ได้อธิบายเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว ว่าเป็นต่างทวีปจากพวกเรา ในพระพุทธศาสนาแบ่งทวีปออกเป็น ๔ ทวีปทั้ง ๔ มีดังนี้


    ทวีปใหญ่ในทิศทั้ง ๔ ของภูเขาสิเนรุ แต่ละทวีปใหญ่ทั้ง ๔ ทิศนั้น แวดล้อมด้วยทวีปน้อยเป็นบริวาร อีกทวีปละ ๕๐๐ รวมทวีปน้อยมี ๒,๐๐๐ ทวีป


    ทวีปใหญ่ หรือพื้นแผ่นดินทั้ง ๔ ทิศ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์นั้น มีชื่อเรียกกันดังนี้คือ


    ๑. อุตตรกุรุทวีป อยู่ทางทิศเหนือของภูเขาสิเนรุ มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีลักษณะใบหน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีคุณสมบัติ ๓ ประการ คือ

    ๑) ไม่ยึดถือเอาทรัพย์สินเงินทองว่าเป็นของตน
    ๒) ไม่มีการยึดถือในบุตร, ภริยา, สามี ว่าเป็นของตน
    ๓) มีอายุยืนถึง ๑๐๐๐ ปี


    มนุษย์ในอุตตรกุรุทวีปนี้มีการรักษาศีล ๕ เป็นนิจ เมื่อตายไปแล้วย่อมเกิดในเทวโลก แน่นอน ดังสารัตถทีปนีฏีกา แสดงว่า คติปิ นิพฺพตฺถา มโต สคฺเคเยว นิพฺพตฺตนฺติ แปลความว่า มนุษย์อุตตกุรุนี้ เมื่อตายแล้ว ย่อมไปบังเกิดในชั้นเทวโลกอย่างแน่นอน หมายความว่า เมื่อตายจากภพมนุษย์แล้วย่อมไปบังเกิดในชั้นเทวโลกแต่ถึงเวลาที่จุติจากเทวโลกแล้ว อาจไปเกิดในอบายภูมิ ๔ หรือมนุษย์ในทวีปอื่นใดก็ได้ จะไม่ไปสู่อบายภูมิเพียงชั่วภพถัดไปจากที่กำลังเป็นมนุษย์อุตตรกุรุเท่านั้น



    ๒. ปุพพวิเทหทวีป อยู่ทางทิศตะวันออกของภูเขาสิเนรุ มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีลักษณะใบหน้าตอนบนตัดโค้งมนลงส่วนล่างคล้ายบาตร มีอายุยืนถึง ๗๐๐ ปี

    ๓. อปรโคยานทวีป อยู่ทางทิศตะวันตกของภูเขาสิเนรุ มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีลักษณะใบหน้ากลม คล้ายวงพระจันทร์ มีอายุยืนถึง ๕๐๐ ปี

    ๔. ชมพูทวีป อยู่ทางทิศใต้ของภูเขาสิเนรุ มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีลักษณะใบหน้ารูปไข่ กำหนดอายุขัยไม่แน่นอน โดยความยิ่งหย่อนในคุณธรรม สมัยใดคนชมพูทวีปมีกาย วาจา ใจ เพียบพร้อมยิ่งด้วยคุณธรรมสมัยนั้นคนชมพูทวีปมีอายุยืนถึงอสงไขยปี สมัยใด คนชมพูทวีป กาย วาจา ใจ ย่อหย่อนด้วยคุณธรรม สมัยนั้นมีอายุลดน้อยถอยลงมาเพียง ๑๐ ปี เป็นอายุขัย








    ภูเขาสิเนรุ

    เป็นศูนย์กลางของมงคลจักรวาล คือ จักรวาลที่เราอาศัยอยู่นี้
    เป็นเขาที่ละเอียดมองไม่เห็นด้วยตา
    จักรวาลหนึ่ง ๆ วัดโดยรอบได้ ๓,๖๑๐,๓๕๐ โยชน์
    ส่วนที่เป็นพื้นดินหนา ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์
    โดยมีพื้นน้ำรองรับหนา ๘๔๐,๐๐๐ โยชน์
    น้ำนี้ตั้งอยู่บนลม ซึ่งมีความหนา ๙๖๐,๐๐๐ โยชน์
    เขาสิเนรุ เป็นภูเขาสูงสุดตั้งอยู่ท่ามกลางกาแล็กซี่
    ยอดเขาสิเนรุ เป็นผืนแผ่นดินแห่งแรก
    ที่โผล่ขึ้นหลังจากโลกธาตุได้ถูกทำลายลงด้วยน้ำ
    ซึ่งทำลายขึ้นไปจนถึงเทวโลก และพรหมโลก
    คือ ถึง ชั้นสุภกิณหา (ตติยฌานภูมิ ๓)
    แผ่นดินที่โผล่เป็นครั้งแรกนี้ เป็นที่ตั้งของเทวดาชั้น ดาวดึงสาภูมิ
    ภูมิที่อยู่สูงขึ้นไป คือ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตดี
    ต่อจากนั้นก็เป็นภูมิของ รูปพรหม ๑๖ ชั้น และ อรูป พรหม ๔ ตามลำดับ
    ภูมิเหล่านี้สถิตอยู่สูงขึ้นไป ต่อจากยอดเขาสิเนรุทั้งสิ้น




    [​IMG]




    ขุนเขาสิเนรุ สูง ๑๖๘,๐๐๐ โยชน์
    จมอยู่ในมหาสมุทรสีทันดรครึ่งหนึ่ง
    คือหยั่งลงสู่ห้วงน้ำ ๘๔,๐๐๐ โยชน์
    และสูงขึ้นไปในอากาศ ๘๔,๐๐๐ โยชน์
    วัดรอบเขาได้ ๒๕๒,๐๐๐ โยชน์ พื้นดินยอดเขาประกอบด้วย
    รัตนะ ๗ ตามไหล่เขา ๔ ด้าน...ด้านตะวันออกเป็น เงิน
    ด้านตะวันตก เป็น แก้วผลึก...ด้านใต้ เป็นแก้ว มรกต
    ด้านเหนือเป็น ทอง...น้ำในมหาสมุทร อากาศ ต้นไม้ ใบไม้
    ที่อยู่ในด้านนั้น ๆ จะเป็น สีน้ำเงิน สีผลึก สีเขียว สีทอง
    ตามสีของไหล่เขานั้นด้วย

    กลางเขาสิเนรุ เป็นที่ตั้งของเทวดาชั้น จาตุมหาราชิกาภูมิ
    รอบเขาทั้ง ๔ ทิศ เป็นที่สถิตของท้าวมหาราชทั้ง ๔ คือ
    ท้าวธตรัฏฐ ประจำอยู่ทิศตะวันออก ท้าววิรุฬหก ประจำอยู่ทิศใต้
    ท้าววิรุฬปักข์ ประจำอยู่ทิศตะวันตก และท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ
    ประจำอยู่ทิศเหนือ มหาราชทั้ง ๔ เป็นเทวดาชั้นผู้ใหญ่ที่ดูแล
    เทวดาในชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ ทั้งหมด รวมทั้งมนุษยโลกของเราด้วย

    ตอนกลางของภูเขาสิเนรุ ลงมาจนถึงตอนใต้พื้นมหาสมุทร
    มีชานบันไดเวียน ๕ รอบ คือ
    ชั้นที่ ๑ ที่อยู่ใต้พื้นน้ำ เป็นที่อยู่ของพญานาค
    ชั้นที่ ๒ เป็นที่อยู่ของครุฑ
    ชั้นที่ ๓ เป็นที่อยู่ของ กุมภัณฑ์เทวดา
    ชั้นที่ ๔ เป็นที่อยู่ของยักเทวดา
    ชั้นที่ ๕ เป็นที่อยู่ของ จาตุมหาราชิกา ๔ องค์

    รอบเขาสิเนรุ มีภูเขาล้อมรอบอยู่ ๗ รอบ
    เป็นภูเขาทิพย์ เรียกว่า สัตตบรรพ์
    รอบที่ ๑ ชื่อว่า ยุคันธร
    รอบที่ ๒ ชื่อว่า อีสินธร
    รอบที่ ๓ ชื่อว่า กรวิก
    รอบที่ ๔ ชื่อว่า สุทัสสนะ
    รอบที่ ๕ ชื่อว่า เนมินธร
    รอบที่ ๖ ชื่อว่า วินัตตถะ
    รอบที่ ๗ ชื่อว่า อัสสกรรณ

    นอกจากนี้ ยังมีภูเขาจักรวาล ซึ่งเป็นภูเขาที่กั้นระหว่างจุฬโลกธาตุด้วย

    ในสารัตถทีปนีฎีกา กล่าวไว้ว่า
    มหานรก ทั้ง ๘ ขุม และ อุสสทนรก ซึ่งเป็นนรกบริวารของมหานรก
    ตั้งอยู่ที่ใต้พื้นดินธรรมดา ลึกลงไปตรงกันกับชมพูทวีป
    รวมเนื้อที่กว้าง ๑๐,๐๐๐ โยชน์ สูง ๑๐,๐๐๐ โยชน์ เป็นรูปสี่เหลี่ยม





    [​IMG]



    -วัฏสงสาร-


    การที่สัตว์ในโลกทั้งปวงทุกรูปทุกนาม ต้องท่องเที่ยววนเวียนอยู่ในภูมิทั้งหลายคือต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในโลกต่างๆ อย่างไม่มีวันสิ้นสุดนั้นในทางพระพุทธศาสนาเรียกชื่อว่า วัฏสงสาร = การท่องเที่ยวเวียนตายเวียนเกิด เพราะวัฏฏะวนเวียน วัฏสงสารนี้ เมื่อจะจำแนกเป็นประเภทใหญ่ๆ เพื่อให้จำได้ง่าย ก็มีอยู่ด้วยกัน ๓ ประเภท คือ ๑. เหมฐิมวัฏสงสาร การท่องเที่ยวเวียนเกิดเวียนตายอยู่ในภูมิชั้นต่ำชั้นทรามอันมีความทุกข์มากหรือมีทุกข์โดยส่วนเดียว กล่าวคือ นิรยภูมิ เปตติวิสยภูมิ อสุรกายภูมิ ติรัจฉานภูมิ ๒. มัชฌิมวัฏสงสาร การท่องเที่ยวเวียนเกิดเวียนตายอยู่ในภูมิชั้นกลาง เป็นโลกชั้นดี มีโลกิยสุขพอประมาณคือมีสุขบ้างทุกข์บ้างหรือมีสุข โดยส่วนเดียวแต่เป็นสุขชั้นโลกีย์ ซึ่งมีอยู่ ๗ ภูมิ คือ มนุสสภูมิ จาตุมหาราชิกาภูมิ ตาวติงสภูมิ ยามาภูมิ ตุสิตาภูมิ นิมมานรดีภูมิ ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ ๓. อุปริมวัฏสงสาร การท่องเที่ยวเวียนเกิดเวียนตายอยู่ในภูมิชั้นสูง อันเป็นภูมิชั้นดีวิเศษมีสุขมากแต่ยังเป็นสามิสสสุข คือเป็นสุขเจือทุกข์ ซึ่งมีอยู่ ๒๐ ภูมิคือรูปภูมิ ๑๖ ภูมิและอรูปภูมิ ๔ ภูมิ บรรดาภูมิทั้ง ๓๑ ภูมินี้ ยกเว้นสุทธาวาสภูมิทั้ง ๕ แล้ว ย่อมเป็นที่ อุบัติเกิด เป็นที่อยู่และเป็นที่ตายแห่งสัตว์ทั้งหลายทุกรูปทุกนามสัตว์โลกทั้งหลายย่อมต้องท่องเที่ยวเวียนเกิดเวียนตาย อยู่ในภูมิ เหล่านี้เรื่อยไปไม่มีวันสิ้นสุดลงได้ต้องอยู่ภายในวัฏสงสารนี้ มิภูมิใดก็ภูมิหนึ่งอย่างแน่นอน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1-1.jpg
      1-1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      54.7 KB
      เปิดดู:
      2,824
    • post-1326-1164762403_thumb.jpg
      post-1326-1164762403_thumb.jpg
      ขนาดไฟล์:
      24.9 KB
      เปิดดู:
      3,129
    • 1a.jpg
      1a.jpg
      ขนาดไฟล์:
      47.5 KB
      เปิดดู:
      5,583
    • 2.jpg
      2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      59.3 KB
      เปิดดู:
      2,667
    • 3.jpg
      3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      136.6 KB
      เปิดดู:
      3,937
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มีนาคม 2010
  2. โอซารัน

    โอซารัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +91
    อนุโมทนาบุญนะครับ

    ข้อมูลละเอียด

    และผมอัศจรรย์ใจมากนะคับ

    ใครมตำราีแบบนี้ต้องเชี่ยวชาญมากจริง
     
  3. avatan

    avatan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +365
    อัพรูปให้ไหม่ครับ
     
  4. Aekkapat

    Aekkapat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +318
    คุณ avatan ตั้งกระทู้ได้เหมาะทีเดียวครับ
    ผมกำลังหาข้อมูลที่สรุปภาพรวมทั้งหมดของจักรวาลและภพภูมิอยู่พอดี
    ขอบพระคุณที่จัดทำนะครับ
    อนุโททนาอย่างยิ่ง
     
  5. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อมูลจาก .:: ระบบสุริยะจักรวาล - คลังปัญญาไทย ::.

    ดวงอาทิตย์ (Sun)

    เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะจักรวาล อยู่ห่างจากโลกเป็นระยะทางประมาณ 93 ล้านไมล์

    .....................................................................................

    ตอนนี้มาถึงคำถามหละนะครับ...

    จักรวาลหนึ่ง ๆ วัดโดยรอบได้ ๓,๖๑๐,๓๕๐ โยชน์

    ซึ่งถ้า 1 โยชน์ มีค่าประมาณ 16 กิโลเมตรแล้วหละก็
    3,610,350 โยชน์ ก็น่าจะประมาณ

    3,610,350 x 16 = 57,765,600 กิโลเมตร ถูกไหม๊ครับ

    แล้วตอนนี้ ตามข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เรามี เขาบอกว่า

    ดวงอาทิตย์อยู่ห่างโลกประมาณ 93 ล้านไมล์
    ซึ่ง 1 ไมล์ = 1.609 กิโลเมตร

    เพราะฉะนั้น ก็จะได้ว่า ดวงอาทิตย์อยู่ห่างโลก = 93 ล้าน x 1.609
    ซึ่ง = 149.637 ล้านกิโลเมตร หรือ 149,637,000 กิโลเมตร

    ซึ่งจะเห็นได้ว่า มันไกลกว่าระยะทางที่บอกว่า

    "
    จักรวาลหนึ่ง วัดโดยรอบได้" = 57,765,600 กิโลเมตรซะอีก

    นั่นแปลว่า ไม่ใครก็ใคร..ก็ต้องมีคนผิดแน่ๆหละ

    เพราะมันเป็นไปไม่ได้ ที่จักรวาลทั้งจักรวาล
    จะแคบกว่าระยะห่างจากดวงอาทิตย์มาถึงโลก!!


    ผมทิ้งประเด็นเอาไว้ให้ช่วยกันคิดครับ
    เพราะผมก็สงสัยคำอธิบายเกี่ยวกับภพ-ภูมิของทางพุทธเรามานานแล้วเหมือนกันครับ

    ใครรู้ช่วยอธิบายให้เข้าใจหน่อยนะครับ ผมจะกราบอนุโมทนาสาธุเป็นอย่างยิ่งครับ

    .............................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2010
  6. pakung

    pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
    เห็นด้วยกลับข้างบน ครับ

    บางอย่างมันอธิบายไม่ไ่ด้ ก็อย่าไปอธิบายมันเลยครับ

    อย่าพยายามเลยครับ
     
  7. ดอนdon

    ดอนdon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,580
    ค่าพลัง:
    +3,291
    ผมคิดว่าคนสมัยนี้มาตรฐานความสูงคงไม่เกิน180ขนาดเท้ายาวไม่เกิน50cm(คาดเดาครับ)
    แต่คนสมัยก่อนพุทธกาลน่าจะมีเท้ายาวไม่ต่ำกว่า2เมตร(คาดเดาครับ)
    การก้าวจึงยาวกว่าและหนทางย่อมสั้นกว่า(คาดเดาครับ)
    การคำนวณจึงน่าจะคำนวณจากการเดินหรือการก้าวยาวโดยประมาณใช้จุดศูนย์กลางคือโลกหรือพระอาทิตย์(คาดเดาครับ)
    ถ้า1ก้าวยาวยืด=3ก้าวครึ่ง เท้าคนสมัยก่อน2เมตรก้าวยาวยืด=7เมตร ช่วยลองดูสูตรนี้หน่อยครับว่าคูณกันแล้วจะใกล้เคียงมั้ย(คือผมงงครับ เพราะเดามาก)อย่าว่ากันนะเพราะผมเดา
     
  8. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772

    สมัยพุทธกาลที่ว่านั้นก็คือ 2500 ปีกว่าๆมานี่เองนะครับ
    ซึ่ง เรามีหลักฐาน และมัมมี่สมัยอียิปต์มากมาย
    ที่มีอายุเก่าแก่กว่านั้น แต่ไม่เห้นมีมัมมีตนไหน
    ที่ร่างกายใหญ่โตอย่างที่คุณคาดเดามาเลยนะครับ

    จะว่าไปแล้วก็เห็นมีอยู่รูปหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าเป็นของจริงหรือเปล่านะครับ


    [​IMG]

    ...................................................
     
  9. stefa

    stefa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,240
    ค่าพลัง:
    +1,790
    rabbit_sleepy สงสัย ก็อย่าเพิ่งเชื่อ
    ไม่น่าเชื่อ ก็เพราะไม่เห็น
    ในเมื่อไม่เห็น ก็เพราะไม่มีให้เห็น
    แล้วจะไปเชื่อทำไม
    ในเมื่อไม่เป็นความจริง
     
  10. ดอนdon

    ดอนdon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,580
    ค่าพลัง:
    +3,291
    ศพที่มีโครงกระดูกเพราะการฝัง แต่ศพที่ไม่มีกระดูก เหลือแต่ตำนาน เพราะการเผาเช่นส่วนสูงของพุทธองค์และพระกัสสัปปะ เมื่อมีใครเห็นก็จะถามว่าท่านคือเทวดาหรือยักษ์
     
  11. ดอนdon

    ดอนdon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,580
    ค่าพลัง:
    +3,291
    ถ้าผู้กล่าวถึงความไกล3ล้านโยชน์มีความสูงสี่เมตร 16กิโลเมตรของคนสี่เมตรจะเท่ากับเท่าไหร่เมื่อเทียบกับ16กิโลเมตรของคนธรรมดา (สมมติ)
    ไม่ทราบว่าระยะทางที่ทางวิทย์ค้นพบ เป็การประมาณสมมติฐานหรือเปล่าครับ
     
  12. nainoi_IT

    nainoi_IT สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    ศึกษาให้พอประมาณ

    ผมว่าศึกษาให้พอประมาณ น่ะครับ เพื่อรู้ แต่ถ้ารู้ แล้วไม่ไปปฎิบัติ เลย ตายไป ก็ไม่มีค่าไร สู้ ผู้รู้แค่นิด แต่นำไปปฎิบัตเห็นผลจริง ตายไปก็เอาไปได้น่ะครับสนใจตัวเองดีกว่าว่าคุณจะสร้างบุญบารมียังไงที่จะพ้นจากที่ ที่คุณอยู่ทุกวันนี้น่ะครับ แล้วไม่มาเกิดอีก
     
  13. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    พ ร ห ม ภู มิ
    รูปพรหม
    ๑. พรหมปาริสัชชาภูมิ

    พรหมโลกชั้นที่ ๑ พรหมปาริสัชชาภูมิ = ที่อยู่ของพระพรหม ผู้เป็นบริษัทท้าวมหา พรหมซึ่งสถิตย์อยู่ชั ้นมหาพรหมาภูมิ เป็นพรหมโลกชั้นแรกคื อชั้นต่ำที่สุด แต่ก็ตั้งอยู่เบื้องบ น สูงกว่าปรนิมมิตวสวัต ตีสวรรค์ขึ้นไปถึงห้า ล้านห้าแสน แปดพันโยชน์ นับว่าไกลจากมนุษยโลก นักหนา ไม่สามารถ นับได้

    พระพรหมแต่ละองค์ ณ พรหมพิมานแห่งตนในที่ นี้ล้วนแต่ มีคุณวิเศษ โดยเคยเจริญสมถกรรมฐา นจนได้บรรลุ ปฐมฌาน อย่างสามัญมาแล้วทั้ง สิ้น เสวยปณีตสุขอยู่ มีความเป็นอยู่อย่างแ สนจะสุขนักหนา ตราบจนหมด พรหมายุขัย

    ๒. พรหมปุโรหิตาภูมิ

    พรหมโลกชั้นที่ ๒ พรหมปุโรหิตาภูมิ = ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลายผู้ทรงฐานะปร ะเสริฐ คือเป็นปุโรหิตของท่า น มหาพรหม

    ความเป็นอยู่ทุกอย่าง ล้ำเลิศวิเศษกว่าพรหม โลกชั้นแรก รัศมีก็รุ่งเรืองกว่า รูปทรงร่างกายใหญ่กว่ า สวยงามกว่า ทุกท่านล้วนมีคุณวิเศ ษ ได้เคยเจริญสมถกรรมฐา นจนได้ บรรลุ ปฐมฌาน ขั้นมัชฌิมะ คือขั้นปานกลาง มาแล้วทั้งสิ้น

    ๓. มหาพรหมาภูมิ

    พรหมโลกชั้นที่ ๓ มหาพรหมาภูมิ = ที่อยู่แห่งท่านพระพร หม ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย มีความเป็นอยู่และรูป กายประเสริฐยิ่งขึ้น ไปอีก ได้เคยเจริญสมถกรรมฐา นจนได้บรรลุปฐมฌานขั้ น ปณีตะคือขั้นประณีตสู งสุดมาแล้วทั้งสิ้น

    พรหมโลก ๓ ชั้นแรกนี้ ตั้งอยู่ ณ ระดับพื้นที่ระดับเดี ยวกัน
    แต่แยกเป็น ๓ เขต

    ๔. ปริตตาภาภูมิ

    พรหมโลกชั้นที่ ๔ ปริตตาภาภูมิ = ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลายผู้มีรัศมีน้ อยกว่าพระพรหมที่มีศั กดิ์สูงกว่าตน ล้วนมีคุณวิเศษ โดยได้เจริญภาวนากรรม บำเพ็ญ สมถกรรมฐาน จนได้บรรลุ ทุติยฌาน ขั้นปริตตะ คือ ขั้นสามัญมาแล้วทั้งส ิ้น

    ๕. อัปปมาณาภาภูมิ

    พรหมโลกชั้นที่ ๕ อัปปมาณาภาภูมิ = ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลายผู้มีรัศมีรุ ่งเรืองมากมายหาประมา ณมิได้ ล้วนแต่ทรงคุณวิเศษ โดยได้เคยเจริญภาวนาก ารบำเพ็ญ สมถกรรมฐาน จนได้บรรลุ ทุติยฌาน ขั้นมัชฌิมะ คือขั้นปานกลางมาแล้ว ทั้งสิ้น

    ๖. อาภัสราภูมิ

    พรหมโลกชั้นที่ ๖ อาภัสสราภูมิ = ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลายผู้มีประกายร ุ่งโรจน์แห่งรัศมีนาน าแสง ล้วนมีคุณวิเศษ โดยได้เคยเจริญภาวนาก รรมบำเพ็ญ สมถกรรมฐานจนได้บรรลุ ทุติยฌาน ขั้นปณีตะ คือ ประณีตสูงสุดมาแล้วทั ้งสิ้น

    อนึ่งพรหมโลกชั้นที่ ๔ - ๖ นี้ทั้งสามชั้น ความจริงตั้งอยู่
    ณ พื้นที่ระดับเดียวกัน แต่แยกสถานที่เป็น ๓ เขต

    ๗. ปริตตสุภาภูมิ

    พรหมโลกชั้นที่ ๗ ปริตตสุภาภูมิ = ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลาย ผู้มีความสง่าสวยงามแ ห่งรัศมีเป็นส่วนน้อย คือน้อยกว่าพระพรหมใน พรหมโลกที่สูงกว่าตนน ั่นเอง ล้วนแต่เป็นผู้ทรงคุณ วิเศษ โดยได้เคยเจริญภาวนาก รรม บำเพ็ญสมถกรรมฐานจนได ้บรรลุ ตติยฌาน ขั้นปริตตะ คือขั้นสามัญมาแล้วทั ้งสิ้น

    ๘. อัปปมาณสุภาภูมิ

    พรหมโลกชั้นที่ ๘ อัปปมาณสุภาภูมิ = ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลาย ผู้มีความสง่าสวยงามแ ห่งรัศมีมากมายไม่มี ประมาณ สง่าสวยงามแห่งรัศมีซ ึ่งซ่านออกจากกายตัว มากมายสุดประมาณ ล้วนแต่เป็นผู้ทรงคุณ วิเศษ โดยได้เคยเจริญภาวนาก รรมบำเพ็ญสมถกรรมฐาน จนได้บรรลุ ตติยฌาน ขั้นมัชฌิมะ คือขั้นปานกลางมาแล้ว ทั้งสิ้น

    ๙. สุภกิณหาภูมิ

    พรหมโลกชั้นที่ ๙ สุภกิณหาภูมิ = ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลาย ผู้มีความสง่าสวยงามแ ห่งรัศมี ที่ออกสลับ ปะปนกันอยู่เสมอเป็นน ิตย์ ทรงรัศมีนานาพรรณ เป็นที่น่าเพ่งพิศทัศ นานักหนา ล้วนแต่เป็นผู้ทรงคุณ วิเศษ โดยได้เคยเจริญภาวนาก รรมบำเพ็ญสมถกรรมฐาน จนได้บรรลุ ตติยฌาน ขั้นปณีตะ คือขั้นประณีตสูงสุดม าแล้วทั้งสิ้น

    พรหมโลกชั้นที่ ๗ ชั้นที่ ๘ และชั้นที่ ๙ นี้ ความจริงตั้งอยู่
    ณ พื้นที่ระดับเดียวกัน แต่แยกสถานที่เป็น ๓ เขต

    ๑๐. เวหัปผลาภูมิ

    พรหมโลกชั้นที่ ๑๐ เวหัปผลาภูมิ = ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลายผู้ได้รับผลแ ห่งฌานกุศลอย่างไพบูล ย์

    อนึ่ง ผลแห่งฌานกุศล ที่ส่งให้ไปอุบัติเกิ ดในพรหมโลก ๙ ชั้นแรกนั้น ไม่เรียกว่ามีผลไพบูล ย์เต็มที่ ทั้งนี้ก็โดยมี เหตุผลตามสภาพธรรมที่ เป็นจริง ดังต่อไปนี้
    ก.
    เมื่อคราวโลกถูกทำลาย ด้วยไฟ นั้น ๔ ชั้นแรก ก็ถูกทำลายไปด้วย
    ข.
    เมื่อคราวโลกถูกทำลาย ด้วยน้ำ นั้น ๖ ชั้นแรก ก็ถูกทำลายไปด้วย
    ค.
    เมื่อคราวโลกถูกทำลาย ด้วยลม นั้น ทั้ง ๙ ชั้นแรก ก็ถูกทำลายไปด้วยไม่ม ีเหลือเลย

    ๑๑. อสัญญีสัตตาภูมิ

    พรหมโลกชั้นที่ ๑๑ อสัญญีสัตตาภูมิ = ที่อยู่ของ พระพรหมทั้งหลาย ผู้ไม่มีสัญญา พระพรหมไม่มีสัญญาทั้ งหลาย ผู้อุบัติเกิดด้วยอำน าจ แห่งสัญญาวิราคภาวนาแ ละสถิตย์อยู่ในพรหมโล กชั้นนี้ ย่อมมีแต่รูป ไม่มีนามคือจิตและเจต สิก เสวยสุขอัน ประณีตนักหนา ล้วนแต่มีคุณวิเศษยิ่ งนัก โดย ได้เคยเจริญภาวนากรรม บำเพ็ญสมถกรรมฐาน จนได้สำเร็จ จตุตถฌาน อันเป็นรูปฌานขั้นสูง สุด มาแล้วทั้งสิ้น

    ทรงเพศเป็นพระพรหมผู้ วิเศษ สถิตย์อยู่ในปราสาท แก้วพรหมวิมานอันมโหฬ ารกว้างขวางนักหนา มีบุปผชาติ ดอกไม้ประดับประดาเรี ยบเรียงเป็นระเบียบ ไม่รู้แห้งเหี่ยว โรยรา โดยรอบ ผู้ที่ไปอุบัติเกิดใน พรหมภูมิชั้นนี้ มี มากมายนักหนาจนนับไม่ ถ้วน ล้วนแต่มีหน้าตาเนื้อ ตัว สวยสง่ามีอุปมากังรูป พระปฏิมากรพุทธรูปทอง คำขัดสี ใหม่ งามซึ้งตรึงใจสุดพรรณ นา แต่มีอิริยาบถไม่เหมื อนกัน บางองค์นั่ง บางองค์นอน บางองค์ยืน มีอิริยาบถใดก็ เป็นอย่างนั้นตลอดไป ไม่เคลื่อนไม่ไหวติง จักษุทั้งสอง ก็มิได้กะพริบเลย สถิตย์เฉยเสวยสุขเป็น ประดุจรูปปั้น อยู่อย่างนั้นชั่วกาล นานนักแล

    อนึ่ง เวหัปผลาภูมิและอสัญญ ีสัตตาภูมินี้ ความจริงตั้งอยู่ ณ พื้นที่ระดับเดียวกัน แต่แยกสถานที่กันอยู่ และมีระยะ ห่างไกลกันมาก

    เครดิต
     
  14. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    สุทธาวาสภูมิ

    เป็นพรหมโลกอีกชนิดหน ึ่ง ต่างจากทั้ง ๑๑ ชั้นแรก ภูมินี้ เป็นที่อยู่แห่งพระพร หมอริยบุคคลในบวรพุทธ ศาสนา ชั้นพระพรหมอนาคามีอร ิยบุคคล ผู้มีความบริสุทธิ์ เท่านั้น ส่วนท่านที่ทรงคุณวิเ ศษอื่นๆ แม้จะได้สำเร็จฌาน วิเศษเพียงใด ก็ไปอุบัติเกิดในสุทธ าวาสภูมินี้ไม่ได้ อย่างเด็ดขาด สุทธาวาสภูมินี้มีอยู ่ ๕ ชั้น ตั้งอยู่ท่ามกลางอากา ศ และตั้งอยู่เป็นชั้นๆ ขึ้นไป ตามลำดับภูมิ หาได้ตั้งอยู่ในระดับ เดียวกันไม่

    ๑๒. อวิหาสุทธาวาสภูมิ

    สูงขึ้นไปจากอสัญญีสั ตตาภูมิประมาณ ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์ อวิหาสุทธาวาสภูมิ = ภูมิอันเป็นที่อยู่อั น บริสุทธิ์แห่งพระพรหม อนาคามีอริยบุคคลทั้ง หลาย ผู้ไม่เสื่อมคลายในสม บัติของตน

    พระพรหมในพรหมโลกชั้น นี้ ย่อมไม่ละทิ้งสมบัติ กล่าวคือ สถานที่ของตนโดยเวลาเ พียงเล็กน้อย เพราะว่าพระพรหม ที่อุบัติเกิดและสถิต ย์อยู่ ณ ที่นี้ ท่านย่อมไม่จักจุติเส ียก่อน จนกว่าจะสถิตย์อยู่นา นถึงมีอายุครบกำหนด ซึ่งแปลก ออกไปจากพระพรหมในสุท ธาวาสภูมิที่เหลืออยู ่อีก ๔ ภูมิ คือพระพรหมในอีก ๔ สุทธาวาสภูมินั้นอาจไ ม่ได้อยู่ ครบกำหนดอายุก็มีการจ ุติหรือนิพพานเสียก่อ น พระพรหมในอวิหาสุทธาว าสภูมินี้ แต่ละองค์นั้น ล้วนแต่ เป็นผู้มีวาสนาบารมี กิเลสธุลีเหลือติดอยู ่ในจิตสันดาน น้อยนักหนา โดยได้เคยเป็นสาวกแห่ งพระพุทธองค์ พบพระบวรพุทธศาสนาแล้ วมีปกติเห็นภัยในวัฏส งสาร อุตสาหะจำเริญ วิปัสสนากรรมฐาน จนยังตติยมรรคให้ เกิดในขันธสันดานได้ส ำเร็จเป็นพระอนาคามีอ ริยบุคคล มาแล้ว

    ๑๓. อตัปปาสุทธาวาสภูมิ

    สูงขึ้นไปต่อจากอวิหา สุทธาวาสภูมิขึ้นไปอี กประมาณ ได้ ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์ อตัปปาสุทธาวาสภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่อันบร ิสุทธิ์แห่งพระพรหมอน าคามี อริยบุคคลทั้งหลาย ผู้ไม่มีความเดือดร้อ น หมายความว่า ท่านเหล่านี้ย่อมไม่ม ีความเดือดร้อน ทั้งทางกาย วาจาและใจเลย ย่อมเข้าฌานสมาบัติ หรือผลสมาบัติอยู่เสม อ นิวรณธรรมซึ่งเป็นกิเ ลสอันทำให้ จิตเดือดร้อนไม่มีโอก าสที่จะเกิดขึ้นได้ ฉะนั้นจิตใจของ ท่านเหล่านั้นจึงมีแต ่สงบเยือกเย็น ท่านเหล่านี้เคยเป็น พระสาวกแห่งพระพุทธอง ค์ อุตสาหะจำเริญวิปัสสน า กรรมฐานจนสามารถยังตต ิยมรรคให้บังเกิดในขั นธสันดาน ได้สำเร็จเป็นพระอนาค ามีอริยบุคคลและในขณะ ที่เจริญ วิปัสสนากรรมฐาน ปรากฏว่าเป็นผู้มีวิร ิยินทรีย์ คือมี วิริยะแก่กล้ากว่าอิน ทรีย์อย่างอื่น

    ๑๔. สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ

    สูงขึ้นไปต่อจากอตัปป าสุทธาวาสภูมิขึ้นไปอ ีกประมาณ ได้ ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์ สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่อันบร ิสุทธิ์แห่งพระพรหมอน าคามี อริยบุคคลทั้งหลาย ผู้มีความแจ่มใส คือท่านเหล่านี้ ย่อมมีความเห็นอย่างช ัดแจ้งแจ่มใส สามารถเห็น สภาวธรรมได้โดยแจ้งชั ดเพราะเป็นพระพรหมที่ บริบูรณ์ ด้วยประสาทจักษุ ทิพพจักษุ ธัมมจักษุและปัญญาจัก ษุ จึงเห็นสภาวธรรมได้แจ ่มใส ชัดเจน จิตใจสงบเยือกเย็น ท่านเหล่านี้เคยเป็นพ ระสาวกแห่งพระพุทธองค ์ อุตสาหะจำเริญวิปัสสน ากรรมฐานจนสามารถยัง ตติยมรรคให้บังเกิดใน ขันธสันดาน ได้สำเร็จเป็นพระอนาค ามีอริยบุคคลและในขณะ ที่เจริญ วิปัสสนากรรมฐาน ปรากฏว่าเป็นผู้มีสติ นทรีย์ คือมี สติแก่กล้ากว่าอินทรี ย์อย่างอื่น

    ๑๕. สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ

    สูงขึ้นไปต่อจากสุทัส สาสุทธาวาสภูมิขึ้นไป อีกประมาณ ได้ ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์ สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่อันบร ิสุทธิ์แห่งพระพรหมอน าคามี อริยบุคคลทั้งหลาย ผู้มีความเห็นอย่างแจ ่มใสมากกว่า คือนอกจากธัมมจักษุที ่มีกำลังเท่ากับพระพร หมในขั้น สุทัสสาสุทธาวาสภูมิแ ล้ว พระพรหมในสุทัสสีพรหม โลกนี้ ประสาทจักษุ ทิพพจักษุ ปัญญาจักษุ ทั้ง ๓ นี้มีกำลังแก่ กล้ากว่าพระพรหมในสุท ัสสาสุทธาวาสภูมิ ทำให้ท่านมีความเห็นใ นสภาวธรรมได้ชัดเจนแจ ่มใสยิ่ง ท่านเหล่านี้เคยเป็นพ ระสาวกแห่งพระพุทธองค ์ อุตสาหะจำเริญวิปัสสน ากรรมฐานจนสามารถยังต ติยมรรค ให้บังเกิดในขันธสันด านได้สำเร็จเป็นพระอน าคามีอริยบุคคล และในขณะที่เจริญวิปั สสนากรรมฐาน ปรากฏว่าเป็นผู้มี สมาธินทรีย์ คือมีสมาธิแก่กล้ากว่ าอินทรีย์อย่างอื่น

    ๑๖. อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ

    สูงขึ้นไปต่อจากสุทัส สีสุทธาวาสภูมิขึ้นไป อีกประมาณ ได้ ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์ อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่อันบร ิสุทธิ์แห่งพระพรหมอน าคามี อริยบุคคลทั้งหลาย ผู้ทรงคุณวิเศษโดยไม่ มีความ เป็นรองกัน

    เบื้องอกนิฏฐสุทธาวาส พรหมโลกนี้ มีพระเจดีย์เจ้าองค์ สำคัญ ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์แส ดงว่าเป็นพรหมโลกที่ เคารพนับถือพระบวรพุท ธศาสนาประดิษฐานอยู่ องค์หนึ่งมีนามว่า ทุสสะเจดีย์

    เหล่าพรหมทั้งปวงในที ่นี้ ย่อมเป็นผู้ทรงคุณวิเ ศษโดย ไม่มีการเป็นรองกัน คือไม่ต่ำกว่ากันทั้ง ในด้านความ สุขและความรู้ ทั้งนี้เพราะทรงล้วนแ ต่เป็นผู้มีวาสนาบารม ี ในจิตสันดานมีกิเลสธุ ลีเหลือติดอยู่น้อยนั กหนา โดยท่านเหล่านี้เคยเป ็นพระสาวกแห่งพระพุทธ องค์ อุตสาหะจำเริญวิปัสสน ากรรมฐานจนสามารถยัง ตติยมรรคให้บังเกิดใน ขันธสันดาน

    ได้สำเร็จเป็นพระอนาค ามีอริยบุคคลและในขณะ ที่เจริญ วิปัสสนากรรมฐาน ปรากฏว่าเป็นผู้มีปัญ ญินทรีย์ คือมี ปัญญาแก่กล้ากว่าอินท รีย์อย่างอื่น

    ฉะนั้น ท่านพระพรหมอนาคามีบุ คคลที่อุบัติเกิดใน อกนิฏฐพรหมโลกนี้ จึงมีคุณสมบัติวิเศษย ิ่งกว่า บรรดาพระพรหมทั้งสิ้น ในพรหมโลกทั้งหลายรวม ทั้ง สุทธาวาสพรหมทั้งสี่ท ี่กล่าวมาแล้วด้วยก็เ ทียบไม่ได้

    พระพรหมอนาคามีทั้งหล ายในสุทธาวาสพรหมแรกท ั้ง ๔ หากยังมิได้สำเร็จเป็ นพระอรหันต์และดับขัน ธ์เข้าสู่ พระปรินิพพานแล้ว ครั้นสิ้นพรหมายุขัย ก็จำต้องจุติจาก สุทธาวาสพรหมโลกที่ตน สถิตอยู่มาอุบัติเกิด ใน อกนิฏฐสุทธาวาสพรหมโล กนี้ เมื่อมาอุบัติเกิดในท ี่นี้แล้วย่อมจะ ไม่ไปอุบัติเกิดเป็นอ ะไรและในที่ใดภูมิใดอ ีกเลย เพราะ จะต้องได้สำเร็จเป็นพ ระอรหันต์และดับขันธ์ เข้าสู่ พระปรินิพพานอยู่ในพร หมโลกชั้นอกนิฏฐพรหมโ ลก นี่เอง

    จึงอาจกล่าวได้ว่า อกนิฏฐสุทธาวาสพรหมโล กนี้ เป็นพรหมโลกที่มีศีลค ุณ สมาธิคุณ ปัญญาคุณ อยางประเสริฐล้ำเลิศย ิ่งกว่าพรหมโลกชั้นอื ่นๆ ทั้งหมด ด้วยประการฉะนี้

    พรหมโลกตั้งแต่ชั้นที ่ ๑ ถึงชั้นที่ ๑๖
    เป็น รูปพรหม คือพรหมที่มีรูปแต่เป ็นรูปทิพย์ มนุษย์ธรรมดาไม่สามาร ถ มองเห็นได้ จักเห็นได้ก็โดยทิพยว ิสัยเท่านั้น

    เครดิต
     
  15. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    อรูปพรหม

    อรูปพรหม แปลว่า พระพรหมที่ไม่มีรูปร่ าง เพราะเหตุที่จะ อรูปพรหม = พรหมไม่มีรูป เป็นพระพรหมผู้วิเศษ เพราะเหตุอุบัติขึ้นด ้วยอำนาจ แห่งรูปวิราคภาวนา

    ๑๗. อากาสานัญจายตนภูมิ

    สมัยที่โลกยังว่างจาก พระพุทธศาสนานั้น บรรดาโยคีฤาษีสิทธิ์ต ลอดจนชีไพรดาบส ที่ประพฤติพรหมจรรย์บ ำเพ็ญตบะเดชะภาวนา ครั้นเขาผู้มีอำนาจฌา นสูงรำพึงอยู่ดังนี้ ว่าอันว่าตัวตน กล่าวคืออัตภาพร่างกา ยนี้ไม่ดีเป็นนักหนา กอปรไปด้วย ทุกข์โทษหาประมาณมิได ้ ควรที่ตูจะปรารถนากระ ทำตัว ให้หายไปเสียเถิด แล้วก็เกิดความพอใจเป ็นนักหนา ในภาวะที่ไม่มีตัวตนไ ม่มีรูปกาย มิได้อาลัยในสรีระร่า ง พลางออกจากจตุตถฌานแล ้วก็มีใจผ่องแผ้ว ปรารถนา อยู่แต่ในความไม่มีรู ป อุตส่าห์เจริญสมถกรรม ฐาน ต่อไปจนได้สำเร็จ อรูปฌาน ครั้นถึงกาลกิริยา ตายแล้วก็ตรงแน่วมาอุ บัติเกิดเป็นพระพรหมว ิเศษ นาม อรูปพรหม จิตใจนั้นยังมีอยู่ แต่ว่าหัวหูตาตีนมือ แม้แต่นิดหนึ่งก็ไม่ม ีเลย เสวยสุขอยู่ด้วยภาวะไ ม่มีรูป ตามจิตปรารถนา อากาสานัญจายตนภูมิ = ภูมิเป็นที่ตั้งอยู่แ ห่งพระพรหม ผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศั ยอากาสบัญญัติซึ่ง ไม่มีที่สุดเป็นอารมณ ์ ตั้งอยู่พ้นจากอกนิฏฐ สุทธาวาสพรหมโลกไปอีก ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์

    ๑๘. วิญญาณัญจายตนภูมิ

    พ้นจากอากาสัญจายตนภู มิขึ้นไปอีก ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์ วิญญาณัญจายตนภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่ แห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศั ย วิญญาณบัญญัติ อันไม่มีที่สิ้นสุดเป ็นอารมณ์ พระพรหมผู้วิเศษไม่มี รูป ซึ่งอุบัติเกิด ณ อรูปพรหมโลก แห่งนี้ เพราะเหตุที่ตนปฏิสนธ ิด้วยวิญญาณัญจายตน วิบากจิต

    ๑๙. อากิญจัญญายตนภูมิ

    พ้นจากวิญญานัญจายตนภ ูมิขึ้นไปอีก ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์ อากิญจัญญายตนภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่ แห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศั ย นัตถิภาวบัญญัติเป็นอ ารมณ์ พระพรหมผู้วิเศษไม่มี รูป อุบัติเกิด ณ อรูปพรหมโลก แห่งนี้ เพราะเหตุที่ตนปฏิสนธ ิด้วยอากิญจัญญายตน วิบากจิต

    ๒๐. เนวสัญญานาสัญญายตนภู มิ

    พ้นจากอากิญจัญญายตนภ ูมิขึ้นไปอีก ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์ เนวสัญญานาสัญญายตนภู มิ = ภูมิเป็นที่อยู่ แห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศั ย ความประณีตเป็นอย่างย ิ่ง มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่

    พระพรหมผู้วิเศษไม่มี รูป อุบัติเกิด ณ อรูปพรหมโลก แห่งนี้ เพราะเหตุที่ตนปฏิสนธ ิด้วยเนวสัญญานาสัญญา ยตนวิบากจิต มีอายุยืนนานเป็นที่ส ุดด้วยอำนาจแห่ง อรูปฌานกุศลอันสูงสุด ที่ตนได้บำเพ็ญมา พระพรหมวิเศษแต่ละองค ์ในชั้นสูงสุดนี้ ล้วนแต่เป็นผู้ที่ได้ สำเร็จยอดแห่งอรูปฌาน คืออรูปฌานที่ ๔ มาแล้วทั้งสิ้น

    เครดิต
     

แชร์หน้านี้

Loading...