การฟังธรรมแล้วบรรลุธรรมโดยฉับพลัน จริงหรือ???

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 12 ธันวาคม 2016.

  1. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    [​IMG]

    การฟังธรรมแล้วบรรลุธรรมโดยฉับพลันที่เกิดขึ้นในครั้งพุทธกาล เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้จริง ย่อมต้องมีเหตุมีผลรองรับในการที่บรรลุอย่างฉับพลันนั้น เสมือนบุรุษผู้ฝึกม้ามาอย่างโชกโชนชำนาญแล้ว สามารถปราบพยศม้าที่เจอหน้ากันครั้งแรกได้ฉันใด เช่นเดียวกับบุคคลผู้ฝึกฝนอบรมจิตที่ได้สั่งสมมาอย่างพากเพียรชำนาญในการเข้าออกรูปฌาน-อรูปฌานจนเป็นวสี เมื่อพบเจอสัมมาฌาน(สัมมาสมาธิ) ย่อมเข้าถึงและบรรลุได้โดยฉับพลันฉันนั้นเช่นกัน

    ย่อมเชื่อถือเรื่องนี้ได้อย่างหมดหัวใจ แบบไม่ต้องสงสัย ถ้าเราเชื่อว่าพระพุทธองค์ทรงเป็นบุคคลแรกที่บรรลุธรรมฉับพลันด้วยการทำสัมมาสมาธิเพียงครั้งเดียวในคืนวันเพ็ญเดือน ๖ ใต้ต้นสาระ ...

    แต่ก่อนหน้านั้น พระพุทธองค์ได้ทรงเพียรอบรม "จิต" มาอย่างยิ่งยวด พากเพียรอย่างมากมายมาหลายภพหลายชาติ โดยเฉพาะพระชาติสุดท้ายที่จะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยแล้ว ทรงออกแสวงหาโมกขธรรมจากครูบาอาจารย์ทั้งหลาย โดยเฉพาะอาจารย์อาฬารดาบส อาจารย์อุทกดาบล ที่มีความชำนาญอย่างยิ่งในอรูปฌานที่ ๗ และ ๘ เมื่อพระพุทธองค์ทรงเข้าสำนักท่านไป เพียงแค่ฟังครั้งเดียวก็ทำได้ชำนาญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าอาจารย์เลย

    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อมาไม่นาน เราเรียนธรรมนั้นได้รวดเร็ว ชั่วขณะหุบปากเจรจาปราศรัยเท่านั้น เราก็กล่าวญาณวาทและเถรวาทได้"

    จนอาจารย์ออกปากชมและชวนให้อยู่ช่วยสอนในสำนัก

    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาฬารดาบส กาลามโคตร อุทกดาบส รามบุตร ทั้งที่เป็นอาจารย์ของเรา ก็ยกย่องเราผู้เป็นศิษย์ให้สม่ำเสมอกับตน และบูชาเราอย่างโอฬาร ด้วยประการฉะนี้"

    เมื่อตอนสำเร็จเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใหม่ๆ ทรงเล็งพระญาณว่าจะมีใครบรรลุธรรมได้บ้าง ทรงระลึกถึงอาจารย์ทั้งสอง

    "พระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า เราจะพึงแสดงธรรม แก่ใครก่อนหนอ ใครจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้ฉับพลัน ครั้นแล้วทรงพระดำริต่อไปว่า อาฬารดาบส กาลามโคตร,อุทกดาบส รามบุตรและนี้แลเป็นผู้ฉลาด เฉียบแหลม มีปัญญา มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อยเป็นปกติมานาน ถ้ากระไร เราพึงแสดงธรรมแก่อาฬารดาบส กาลามโคตร,อุทกดาบส รามบุตรก่อน เธอจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้ฉับพลัน"

    พระพุทธองค์ทรงได้ออกปากกล่าวไว้ว่า อาจารย์ทั้งสองได้ "ฉิบหาย" ไปจากกุศล (ธรรม) อันยิ่งใหญ่แล้ว เพราะถ้าเพียงแค่ได้ฟังจากพระพุทธองค์ก็บรรลุธรรมได้โดยฉับพลัน

    แต่ในปัจจุบันมักชอบมีการแอบอ้างการบรรลุธรรมแบบฉับพลัน ทั้งที่ขาดเหตุผลมารองรับ ผู้ฟังก็มักเชื่อเพียงเพราะเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือ บุคลิกดี พูดจาไพเราะ แอบอ้างพ่อแม่ครูบาอาจารย์มารับรองตน มักอ้างในสิ่งไม่สามารถพิสูจน์ได้ เช่น มีบุญเก่าสั่งสมมาแล้วหลายภพหลายชาติ ทั้งๆ ที่ในชาติปัจจุบันที่รู้อยู่เห็นอยู่ตำตา ยังไม่สามารถอธิบายเรื่องการปฏิบัติธรรมกรรมฐานสัมมาสมาธิได้อย่างถูกต้อง เพียงอาศัยอ้างปัญญาที่ตนเองมี ฉลาดในการพูดเท่านั้น ก็บรรลุได้นั้น เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อถือ เพราะขาดเหตุผลอย่างยิ่ง

    โดยเมื่อเปรียบเทียบกับพระพุทธองค์ที่ทรงบรรลุธรรมในพระชาติสุดท้ายที่ต้องพากเพียรด้วยความยากลำบากแล้ว ดูเหมือนบุคคลที่แอบอ้างเหล่านั้นได้ลบหลู่ภูมิปัญญาของพระพุทธองค์ว่าด้อยกว่าตนเองเสียอีก ...เวรกรรมมีจริง

    ธรรมใดถ้าไม่ทำก็ไร้ค่า

    เจริญในธรรมทุกๆท่านครับ
    ธรรมภูต
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 003.jpg
      003.jpg
      ขนาดไฟล์:
      39.3 KB
      เปิดดู:
      9,176
  2. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    เห็นด้วยครับ

    ถ้าศึกษาพุทธประวัติ เห็นชัดเลย

    ฌาน กับ สัมมาสมาธิ สภาวะจิตต่างกันมาก...
     
  3. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ตอนตรัสรู้ กับ ตอนเข้านิพพาน

    ตอนตรัสรู้ ท่านนั้งใต้ต้นโพธ์ ท่านเดินวิถีจิตใหม่..เกิดสัมมาสมาธิจิต
    ต่อมาเกิดญาณหยั่งรู้ จนถึงอาสวะญาณ ในการทำลายกิเลส
    (ก่อนนั้น ท่านไปฝึกฌาน1-8 กับฤษี)

    ตอนนิพพาน ท่านเข้าฌาน1ถึง8 แล้วกลับมา ฌาน1ถึง4 แล้วเข้าจิตนิพพานไป
    เหมือนเทียนดับ ไม่รู้หายไปทางทิศไหน..

    ถ้าแยกไม่ออก..
    จะเถียงกัน..ในตำราปรากฏหลายที่..

    เช่นต้องทำจิตเป็นวสี เข้าฌานจนช้ำนาญ
    แล้วมาทำวิปัสนา...

    เป็นต้น..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2016
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,041

    เห็นด้วยกับบทความที่คุณ ธรรมภูต นำมาลงนะครับ
    ในส่วนตัวหนังสือสีแดงเกี่ยวกับบุคคลที่ชอบแอบอ้าง
    โดยขาดเหตุผลมารับรองครับ

    และมีอีกอย่างกับบุคคลที่ชอบใช้คำพูดเยียดเหล่าพระมหาฤาษีทั้งหลาย
    แล้วปากก็บอกว่าตัวเองเป็นคนพุทธ มีไตรสรณะคมเป็นที่พึ่ง
    กล่าวหา แล้วมักอ้างอิง เอาตำรามาเสริมคำกล่าวอ้างเพื่อเอาชนะ
    ท้ายสุดแล้วก็พูดยกตัวเองให้ดูดี......(^_^)

    ส่วนตัวขออนุญาตอ้างประโยคตัวหนังสือ
    ของนาย Prasit5000 ตัวสีน้ำเงินมาเพื่อยืนยัน
    (สีเขียวในประโยคอ้างอิงคือคำพูดที่ข้าพเจ้าเขียน)
    การกล่าวหาจาก สมาชิกที่ ใช้ชื่อ Prasit5000
    ที่เข้ามาแย้ง ไม่ได้แนะอะไรหรอกเกี่ยวกับเรื่อง
    ในหัวข้อกระทู้ แล้วมาพาดพิง ท้ายสุดก็ยกตัวเอง โดยที่ไม่อ่าน
    ข้อความที่เขียนก่อนหน้านั้นให้ดี..
    ก็รอคำตอบจาก คุณ Prasit5000 อยู่นะครับ

    ส่วนตัวสงสัยจริงๆ เวลาไปอ้างอิงข้อความมาแย้ง
    กล่าวหาโดยปราศจากการอ่านให้ดีและยกตัวเองเขียนได้ยาวจัง
    พอให้ตอบคำถามกลับไม่ตอบ....
    ยังไง คุณ Prasit5000 มาอ่านเจอแล้วช่วย
    กลับไปตอบในกระทู้ด้วยนะครับ..(^_^)

    ปล.ขอบคุณสำหรับพื้นที่ครับ
     
  5. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +1,210
    สวัสดีครับลุงธรรมภูติ
    หายไปนานเลยนะครับ
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,433
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    10. ปฏิปทาพระธุดงค์ สายหลวงปู่มั่น - หลวงตามหาบัว


    DrSeripiput Srimuang:published on Dec 11, 2016
     
  7. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    อันที่จริงเวลา ศึกษาอะไรก็ตาม ช่วงเวลาที่เข้าใจนั้น ใช้เวลานิดเดียว หรือฉับพลัน ไม่ได้ใช้เวลานาน แต่ความพร้อมที่จะรับฟังเพื่อที่จะทำความเข้าใจเรื่องราวต่างๆนั้น แตกต่างกันไป บางคนต้องเรียนรู้ทั้งชีวิต บางคนแค่ฟังทีเดียวก็เข้าใจ ก็เพราะว่า ประสบการณ์ในการมองเห็นเรื่องราวต่างๆนั้นต่างกัน การบรรลุฉับพลันแบบนั้น
     
  8. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    .....ท่านเข้าใจ ว่า พระพุทธเจ้า มีสัมมาสัมโพธิญาณ หรือเปล่า แล้วท่านเข้าใจ หรือเปล่า ว่าวิเศษอย่างไร

    ....มิได้ได้มาด้วยของง่ายๆ ต้องบำเพ็ญ บุญบารมีอย่างยิ่งยวด

    .....ตอนพระไตรปิฏกพระสุตันตะปิฏกเล่มต้นๆ ได้กล่าวถึงพระองค์ทรงปราบ กลุ่มเจ้าสำนัก นักบวชทั้งหลาย ผมไม่รู้ว่า จะเป็นฤาษีหรือเปล่า แม้แต่ อุทกดาบส อาฬารดาบส พระองค์ก็ตรวจดูด้วยพระญาณ ว่า ท่านเสียชีวิตแล้ว จึงไม่ได้ไปสอน

    ....ท่านเข้าใจ พุทธญาณหรือไม่ สงสัยจริงๆ มีพระสูตรบทหนึ่งที่พระองค์ อธิบายกับพราหม์ว่า โคตรเง้าหล่าตระกูล พวกพราหมณ์ มาจากใหน ใครสอนมนต์ให้ พระองค์รู้ดีกว่าพวก พราหมณ์ที่มาโต้กับพระองค์อีก เพราะอะไร

    .....พระพุทธเจ้า ต้องการจะรุ้เรื่องอะไร ก็เข้าพระญาณ จะไปอดีต อนาคต ก็ได้ จะแปลกอะไรกะอีแค่ เข้าฌาณอออกฌาณ ทำไมต้องไปเรียนกับใคร อยากรุ้อะไรก็เข้าพระญาณ รุ้ได้ด้วยพระองค์เอง


    ....ตอนสมัยเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านเคยไปเรียน จากสำนัก อารดาบท ฯ จริง
    ....ตอนเป็นพระพุทธเจ้า มิได้เรียนกับสำนักได ตรัสรุ้เอง มิได้นำเอาวิชาของใครมาใช้ อย่าดึงพระองค์ลงมาต่ำ อันนี้ผมไม่ยอม คิดว่าคนอื่นดีกว่าก็นับถึอของท่าน ไม่ควร อ้างว่ารุ้ธรรม แล้วมาข่มศาสดาของผม



    .....ผมนะ คุยกับใครถ้า ท่านเริ่ม ใช้อารมณ์ ผมไม่อยากคุยด้วย มันไม่เกิดการสร้างสรรค์ มิได้หนี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2016
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,041
    Prasit5000 เอ่ย คืออย่ามาอ้าง และอย่าแก้ตัวไปเลยครับ
    ใครที่นับถือพุทธ เค้ารู้กันทั้งจักรวาลนั่นหละครับ
    ว่าพระพุทธท่านนับพระมหาฤาษีทั้ง ๒ เป็นพระอาจารย์
    คุณจะอ้างอะไร ก็ดูเหตุดูผลที่มีบนโลกนี้หน่อยนะครับ..
    คนเค้าจะไม่ได้ด่าว่า ...ทำไมมันถึงมา ฉลาดน้อยแถ้บักนี่....

    นิสัยไม่เปลี่ยนเลยเนาะ เรื่องยกตัวข่มท่าน โม้จริงๆและก็โม้มากๆ
    อย่าทำมาเป็นสู่รู้อารมย์ผมเลยครับ
    ผมท้าเลยว่า คุณไม่มีความสามารถด้านนี้
    จิตคุณไม่มีความสามารถเข้าถึงครับ
    กล้าเถียงผมไหมครับ เพราะฉนั้นอย่ามา
    แสดงทำเป็นสู่รู้ในประเด็นแบบนี้มากนะครับ
    เงียบๆไว้ไปหาอ่านตำราแบบเดิมนะดีแล้ว


    แค่ส่วนถามง่ายๆตรงๆ
    ทำไม่ตอบไม่ได้ พออ้างตำรา ยกตัวเองเนี่ย
    ตอบยาวเป็นชัดๆ..ทำไม
    ไม่ตอบเกี่ยวกับประเด็นที่ติดขัดกัน
    ก็คุณบอกว่า
    พระพุทธเจ้าท่านไม่มีอาจารย์
    ใครบอกว่าท่านเคยมีอาจารย์คนนั้นเป็นพวก
    บิดเบือนพระพุทธศาสนาแน่นอน
    ถ้างั้น คุณธรรมภูติ ก็โดนด้วยซิ เอาบทความมาลง
    ใน #Rep 1 เลย
    แค่นั้น หละประเด็นที่ติดขัด อย่าแถไปเรื่องอื่นๆมันจะไม่จบ

    และไม่ได้พูดเรื่อง สัมมาสัมโพธิญาณ มันคนละเรื่อง
    และไม่ต้องมาถามว่าเข้าใจ สัมมาสัมโพธิญาณ หรอกครับ
    โดยเฉพาะกับพวกที่ ฝึกกรรมฐานไม่สำเร็จซักอย่าง
    อย่ามาทำเป็นถามว่า คนอื่นๆเข้าใจไหม...
    เก็ทไหมครับ หัดเจียมตัวเองบ้างนะครับ
    อายปากตัวเองบ้างไหม ที่พูดเรื่องเข้าใจ
    สัมโพธิญาณ ยังรู้สึกได้บ้างไหมครับบริเวณผิวหน้าครับ


    คนละประเด็นแถไปเรื่อยตามสูตร
    ก่อนปิดท้ายด้วยการยกตนและสร้างภาพทิ้งท้าย
    ....พูดเรื่องประเด็นอาจารย์
    และไม่ได้พูดเรื่องศาสดา ไม่ได้พูดเรื่องตรัสรู้
    และไม่ได้พูดตอนที่ท่านตรัสรู้ อ่านภาษาไทยเข้าใจไหมเนี่ย
    แค่ถามว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยมีอาจารย์หรือ
    ท่านไม่ได้นับพระมหาฤาษีเป็นอาจารย์หรือ
    ตอบประเด็นนี้ได้ไหมครับ ??

    จริงๆมีถามเกี่ยวกับกรรมฐานต่างๆท่านที่สำเร็จ
    ก่อนที่ท่านจะตรัสรู้ด้วยนะครับ แต่ไม่ถามหรอก
    เอาแค่ประเด็นเดียวก็พอครับ
    มองเห็นไหมครับ ตัวสีแดงใหญ่ๆข้างบน
    ถามตั้งแต่กระทู้โน้นยันกระทู้นี้ เห็นไหมที่ถาม
    และถามในกระทู้ก่อนหน้ามาหลายวันแล้วครับ


    เอ้าๆๆๆๆยกมาอีกรอบ อ้างอิงข้างล่างเพื่อว่าตาบอดสี หรือตาฟาง
    แล้วอ่านไม่เจอ.ประเด็นอื่นๆคุณเพ้อเจ้อมากขี้เกียจยกมา
    เอาประเด็นนี้ประเด็นเดียว
    มันหลายวันแล้วครับ อย่ามาทำเป็นอ้างเรื่องสร้างสรร
    ตอบไม่ได้ก็บอกมาครับ มันไม่น่าอายหรอกครับ
    อย่ามาท่ามาก ท่ามากถ้าเก่งบ้างยังพอรับได้นะครับ
    ที่ขีดเส้นใต้สีแดงนะครับประเด็นคุณ
    นอกนั้น สีอื่นเป็นคำพูดคุณทั้งหมดนะ
    ที่เหลือเป็นตำรา อ้างมาทั้งนั้นคนละเรื่อง
    เลยไม่เอามาลง

    ส่วนตัวหนังสือสีน้ำเงิน คนเค้าก็รู้กันทั้งจักรวาลครับ
    ไม่ต้องอ้างมาเพราะไม่ใช่เรื่องการนับพระมหาฤาษีเป็นอาจารย์
    ส่วนสีเขียว มาลงอีกรอบ ให้คนอื่นๆอ่าน
    เพื่อใครจะยังไม่รู้นิสัย พุทธท่าใหญ่เป็นอย่างไร.(มีแต่มาด
    ถ้าเก่งปฏิบัติยังพอรับได้ เก่งแต่อ้างตำรา อ้างแบบไม่ฉลาด
    อ้างเพื่อเอาชนะ อ้างแบบปัญญาน้อยเว้ย)


    ประเด็นเรื่องนี้ ก็คือ ที่ขีดเส้นใต้สีแดง

    ประเด็นมีแค่ ตัวหนังสือสีแดง ที่ขีดเส้นใต้ครับ
    ปล ไปหัดอ่าน ก ข มาใหม่นะครับ ดูเหมือนว่าตอนนี้
    ตรรกะคุณมันจะเสื่อมอย่างแรง เข้าใจตรงกันนะครับ
    ตอบให้มันได้เหอะ อย่ามาอ้างไม่สร้างสรรค์ มันคือการแถครับ
    อย่ามายกตัวเองหน่อยเลย..เพราะเรื่องที่ผมถาม
    มันเกี่ยวข้องกับเนื้อหาในกระทู้นี้ตั้งแต่ #Rep แรก
    แล้วในกระทู้ปัญหา คุณไม่ตอบประเด็นที่ผมถามซักคำ
    ทำไม ตอบคำถามแค่นี้ยากมากไหม
    ที่อ้างพระสูตร อ้างตำราเสริมความคิดตนเอง
    กับโม้ว่าตัว เป็นพุทธ มีไตรสรณะคม
    ดูเท่ห์ ดูหล่อ และเก่งและเก่งจังเลยเนาะ
    อ้าวตอบหน่อยจิ จะตอบว่าไง พ่อพุทธท่าใหญ่
    อิอิ ถ้าคุณมองว่าส่วนตัวโกรธแล้วเขียนแบบผมได้ไหมหละครับ (^_^)
    เห็นทำเป็น สู่รู้นัก เขียนแบบไม่ต้องมีการแก้ไขล่าสุดแบบผมได้ไหมหละครับ พ่อพุทธท่าใหญ่
    เหอะๆ ว่าไงครับท่าน (^_^)
     
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,041

    ถ้าอะไรที่มันเป็นเรื่องภายในองค์กรใดก็ตาม
    โดยเนื้อแท้แล้วไม่อยากจะให้ใครไป วิพากษ์ วิจารณ์ครับ
    เพราะเราไม่ได้อยู่ในองค์กรนั้นๆ...
    เราไม่ได้คลุกคลีร่วมกับเค้า...
    มองเป็นกลางๆไว้ก็พอครับ

    แต่มีข้อสังเกตุอย่างหนึ่งว่า
    ทำไมบุคคล รุ่นก่อนๆที่มีความเคารพครูบาร์อาจารย์จริงๆ
    ที่ไม่เคยเอาครูบาร์อาจารย์มาอ้างเพื่อยกตนเอง
    ที่เชื่อได้ว่า ท่านมีความสามารถจริงๆ
    ในระดับที่เชื่อได้ และพิสูจน์ได้จริงๆนั้น
    ซึ่งไม่มีจริตในการชอบอ้างบุญ อ้างบารมี อ้างวาสนา
    อ้างเวรอ้างกรรม
    เพื่อมายกตนข่มท่าน กับบุคคลต่างๆไปฝึก
    แล้วไม่เห็นเหมือนที่ตนเห็นนั้น..
    ทำไมถึงค่อยๆห่างไปจากองค์กรนั้นๆ..
    และทำไมเดี๋ยวนี้ พระมีชื่อท่านหนึ่ง
    ที่เคยเป็นอาจารย์ทางด้านนั้นท่านถึงได้กล้าพูดว่า
    กว่า ๙๐ เปอร์เซ็นต์ ที่ฝึกส่วนมากจะหลงเสียมากกว่า
    ฝากให้เป็นข้อคิดเฉยๆนะครับ (^_^)




    และส่วนตัวมองว่าการฟังธรรมแล้วบรรลุโดยฉับพลัน
    เป็นไปได้ครับ แต่ว่ามันมีวาระของมันอยู่ครับ...
    ซึ่งวาระในการบรรลุธรรมส่วนตัวมองว่ายากกว่า
    การเข้าถึงกรรมฐานกองต่างๆอีกด้วยซ้ำไปครับ
    และก็เชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า บุคคลที่บรรลุธรรมจริงๆ
    คงไม่มีใครมานั่งบอกกล่าวให้คนอื่นๆทราบหรอกครับ
    หรือแค่จะอ่านตำราแล้วมาเทียบเคียงกับพฤติกรรม ตนเอง
    แล้วคิดว่า ตนเองเป็นระดับโน้นนี่นั้นได้หรอกครับ..
    พวกนี้ล้วนเป็นเรื่องนามธรรม เป็นสภาวะทางจิตทั้งนั้นครับ
    ซึ่งมันสามารถพิสูจน์ได้ไม่ยาก แม้พวกที่ชอบอ้างๆทั้งหลาย
    จะไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้เลย ที่พอจะทำให้คาดได้ว่า
    เข้าถึงธรรมที่ตนอ้างได้จริงๆ ก็ยังคิดว่าตนเองเข้าถึง
    คิดว่าตนเองบรรลุได้ อย่างไม่น่าเชื่อ แปลกไหมหละครับ
    แม้ว่าเราจะมองว่าแปลก แต่ก็จะมีบุคคลเหล่านี้
    เวียนผ่านมาเรื่อยๆ หลังๆมาเห็นหายๆไป
    และอาการไม่ค่อยจะปกติเกือบทุกรายนั่นหละครับ


    ยกเว้นว่าบอกกล่าวแล้วมันจะปนไปด้วยประโยชน์แห่งตนแห่งท่านของ
    บุคคลอื่นๆร่วมด้วยท่านถึงจะกล่าวเหมือนครูบาร์อาจารย์
    หลายท่านที่ได้ละสังขารไปแล้ว...
    แต่ปัจจุบันนี้ การนำมาบอกมากล่าวว่าตนเองบรรลุธรรมนั้น
    ล้วนแล้วแต่เพื่อส่งเสริมกิเลิสต่างๆที่ไปดึงไปยึด
    เอา ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ จนกลายเป็นตัวเองซะส่วนมากครับ..
    ก็มีตัวอย่างให้เห็นอยู่ในสังคมทุกวันนี้

    บุคคลที่บรรลุธรรมจริงๆ หรือปัญญาทางธรรมแต่ฉาน
    ในทางปฏิบัติระดับหนึ่ง มันใช้เวลาแค่เสี้ยววินาทีก็ทราบได้
    แล้วหละครับ มันไม่ใช่เรื่องยากอะไรหรอก เพียงแต่ว่ามันเป็น
    นามธรรมมากเกินไป มันพิสูจน์ได้ยากครับ จึงไม่ควรนำมาเป็นประเด็น
    สำคัญอะไร. แต่สิ่งหนึ่งที่มันพอจะบอกเราได้จริงๆ..
    ก็คือความสามารถในการถ่ายทอดธรรมในเรื่องนั้นๆ
    หรือการถ่ายทอดธรรมในสภาวะนั้นๆครับ
    ซึ่งต้องอาศัยพื้นฐานการถ่ายทอด
    ที่มาจากการปฏิบัติและผ่านสภาวะนั้นมาจริงๆด้วยครับ....
    ซึ่งผู้ที่อ่านหรือได้สัมผัสก็จะเข้าได้เองว่า
    ท่านที่ถ่ายทอดธรรมนั้น มาจากการปฏิบัตของท่าน
    หรือมาจากตำรา หรือจากทั้งตำราและการปฏิบัติร่วมกันครับ

    ที่ไม่ใช่การอาศัยปัญญาทางโลกที่ตนเองมี
    แล้วใช้การ คิด วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ ตามภูมิความรู้ตนทางโลกที่มี
    หรืออาศัยความเฉลียวฉลาดในการพูด
    และก็ชอบเอาบารมีเก่าเอาบุญเก่ามาอ้างมาหนุน
    แต่งเรื่องราวสร้างสภาพแวดล้อมก่อนเข้าถึงเนื้อหาหลักมากมาย
    แล้วยังอ้างการสะสมมาแล้วหลายชาติมาเสริม
    มาหนุนว่าตนเองบรรลุธรรม ซึ่งมันเป็นกิเลสทั้งนั้นหละครับ
    ที่มันหลอกให้เข้าใจไปเองอย่างนั้นครับ
    ไม่น่าจะเป็นบรรลุธรรม น่าจะเป็นกิริยาทะลุธรรมมากกว่าครับ



    ปล.เรื่องที่รอ คุณ prasit5000 มาตอบ
    คือเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธฯท่าน
    นับพระมหาฤาษี เป็นอาจารย์เกี่ยวกับ
    การสอนกรรมฐานนะครับ
    ไม่ใช่เรื่องการที่พระมหาฤาษีสอนธรรม
    ไม่ใช่เรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธฯท่าน
    ไม่ใช่เรื่องการกลายมาเป็นศาสดาเอกของโลก
    ไม่ใช่เรื่องการบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณนะครับ
    ให้เข้าใจตรงกันไว้ด้วย เพื่อมีใครไม่รู้อิโน่อิเน่
    เข้ามาหนุน ส่วนตัวขี้เกียจตามไปแก้นะครับ
    เข้าใจที่ส่วนตัวพูดนะครับ

    และไม่งั้น เด่ว พ่อพุทธท่าใหญ่ Prasit5000
    แกจะแถและอ้างไปเรื่อยเปื่อยออกไปดาวอังคารอีก
    ไม่ตอบตรงประเด็นซักที ไม่รู้ว่ามีปัญหาในการอ่านแล้วทำความ
    เข้าใจภาษาไทยหรือเปล่า อย่างว่าหละถนัดแต่อ้างตำรามาก
    กว่าใช้ความคิดตัวเอง ก็มีโอกาสเป็นประมาณนี้หละครับ
    และขี้เกียจจะต้องมานั่งฟังแกโม้เรื่องที่แกทำไม่ได้อีก
    แถมจะโม้จะอะไรไม่ได้ดูตัวเองเลยด้วยนะนั่น..
    และขี้เกียจมานั่งอ่านสำนวนการยกตนเองให้ดูดีของแกอีก...
    ที่บอกไว้เพื่อให้เข้าใจตรงกัน..
    เพื่อใครสนใจจะตอบในประเด็นที่ส่วนตัวถามคุณ Prasit5000
    ก็เชิญนะครับ (^_^)
    ปล.เขียนบอกไว้ กลัว คุณ Prasit5000 จะลืมไป
    ว่าที่นี้ดาวโลก ไม่ใช่ดาวอังคาร หรือดาวพุท นะครับ
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,041

    ตัวหนังสือสีเขียวคือกล่าวได้ถูกต้องครับ...
    แต่ตัวหนังสือสีน้ำเงินคือ คุณเข้าใจผิดอย่างแรงครับ
    มันฟ้องเลยว่า ในทางปฏิบัติคุณทำไม่ได้จริงอย่างแน่นอนครับ...
    ใช้คำว่า แค่อรูปฌาน ถามหน่อยนะ ว่าคุณมีปัญญาทำได้หรือเปล่าครับ..
    ไม่ได้ชวนทะเลาะนะครับ จะเล่าอะไรให้ฟัง อ่านก่อนนะครับ...

    อรูปฌานเราขึ้นได้จริงๆ หรือทำได้จริงๆ
    ที่ต้องผ่านรูปฌานมาก่อนนั้น
    ในขั้นแรกของอรูปฌาน จิตมันแยกธาตุแยกขันธ์ได้
    ของมันเองอยู่แล้วหละครับ
    ยังไงๆ มันก็แยกของมันเองโดยธรรมชาติแล้วครับ
    แต่ว่าจะเกิดเป็นปัญญาทางธรรมหรือไม่
    มันอีกคนละเรื่องหนึ่งเลยนะครับ


    ไม่งั้นทางปฏิบัติมันไปอรูปฌานไม่ได้หรอกครับ
    ถ้ามันไม่สามารถแยกธาตุแยกขันธ์ได้
    และท่านที่ ๑ ท่านรวมทั้งท่านที่ ๒ ที่เป็นพระพุทธฯท่านนับเป็นอาจารย์นั้น
    จิตท่านแยกธาตุแยกขันธ์ได้ปกติอยู่แล้วครับ
    ไม่งั้นไม่มีความสามารถในระดับอรูปฌานหรอกครับ....



    แม้ท่านที่ ๑ และยิ่งท่านที่ ๒ ท่านสำเร็จระดับจิตธาตุ
    คือจิตมีความสามารถเล่นแร่แปรธาตุได้สบายๆ
    คือ หายตัวได้ หยิบจับของในอากาศ เรียกของได้แบบชิวๆ
    น้ำเป็นน้ำจริง ลมเป็นลมจริงๆ ฯลฯ นั่นหละครับ
    สภาวะจิตระดับนี้ เป็นสัมมาสมาธิแน่นอนครับ
    ไม่ใช่แบบที่เคยอ่านเจอในตำราแบบท่านพระเทวทัตนะครับ

    เพราะถ้าไม่เป็นสัมมา ไม่มีทางที่จะทำได้ในระดับนี้
    แน่นอนล้านเปอร์เซนต์ ครับ
    และที่สำคัญคือทำได้ตลอดเมื่อไรก็ได้
    และทำได้คล่องตัว พวกนี้ล้วนมาจากจิตที่เป็นสัมมาทั้งนั้นครับ
    จิตที่ไม่ใช่สัมมา คือพวกท่ามาก ลีลาเยอะ
    เห็นโน้นนี่นั่นหน่อยเสื่อม และกว่าจะทำอะไรพิเศษๆได้ต้องตั้งท่า
    แต่ละอย่างใช้เวลานาน ได้ผลไม่ค่อยดี เหนื่อย และที่สำคัญ
    มีเสื่อมได้แน่นอน พอเข้าใจที่พูดนะครับ....

    แต่ถ้าบอกว่า ท่านพระอาจารย์ทั้ง ๒ ไม่ได้มีปัญญาทางธรรม
    เพียงพอในระดับที่จะทำให้ท่านหลุดพ้นได้ ณ เวลานั้นอย่างนี้
    ถือว่าเชื่อได้ครับ หรือบอกว่าท่านทั้ง ๒ เข้าใจว่า
    สภาวะอรูปฌานนั้นเป็น สภาวะในการหลุดพ้นหรือหลงว่าเป็นนิพพาน
    ณ เวลานั้นอย่างนี้พอเชื่อได้ครับ
    ปล.เข้าใจที่พูดนะครับ
     
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,041
    ประเด็นนี้ขอตอบว่า
    เป็นไปไม่ได้ ที่อาจารย์ทั้ง ๒ ชักชวนเจ้าชายด้วยเรื่องลาภ สักการะ แน่นอน
    ล้านเปอร์เซนต์เต็ม ถ้าเป็นกลุ่มพราหม์บางกลุ่ม
    ที่ขาดเมตตา ที่ติดในลาภ ยศ สุข สรรเสริญ
    ที่คิดว่าสิ่งที่ตนปฏิบัติดีกว่า นั้นอาจเป็นได้
    เพราะเรื่อง ลาภ ยศ สุข สรรเสริญเจ้าชายท่าน มิได้ยึดติดแน่นอน
    นึกออกไหม เจ้าชาย อยู่ในวังนะ ไม่ใช่คนทั่วไป
    ท่านมีอะไรมากกว่าใครในยุคนั้นด้วยซ้ำ ท่านได้ทิ้ง สิ่งเหล่านี้เพื่อออกบวช..
    ดังนั้นการที่ พระมหาฤาษี จะมาชักชวนท่านด้วยลาภสักการะ
    จึงเป็นไปไม่ได้เลย ตัดทิ้งไปได้ครับ....
    และถ้าจะบอกว่า ท่านพระมหาฤาษี ไม่ใช่สัมมาสมาธิ
    ย่อมเป็นไปไม่ได้อีก เพราะไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถ
    เข้าถึงอรูปฌาน และสามารถสอนลูกศิษย์ท่านอื่นๆได้แน่นอน
    เพราะกรรมฐานพวกนี้เกี่ยวกับเรื่องการทำอะไรได้เป็นพิเศษ
    ถ้าผู้สอนทำไม่ได้จริง ไม่เก่งจริง คงไม่มีใครไปเรียนด้วยหรอกว่าไหม

    อ่อๆ ยกเว้นกลุ่มที่อ้างว่าสำเร็จอรูปฌานแบบไม่ขึ้นรูปทั้งหลาย
    ประกันได้ว่า ไม่ได้ทั้งรูปฌานและอรูปฌานแน่นอน
    แม้จะอ้างไม่เน้นเรื่องพิเศษ(เพราะทำไม่ได้)ก็ตาม
    อย่างนี้ไม่ใช่สัมมาสมาธิแน่ เพราะสำเร็จด้วยปาก


    และเป็นเจ้าชายที่ท่านออกไปแสวงหาครูบาร์อาจารย์เอง...
    หลังจากท่านแรก ซึ่งไม่สามารถสอนอะไรต่อได้แล้ว
    เนื่องจึงแนะนำท่านที่ ๒ ให้พระองค์ แต่เมื่อพระองค์
    เรียนสำเร็จแล้ว ท่านทั้ง ๒ ก็ยกเทียบให้เจ้าชายเป็นอาจารย์เช่นกัน..
    แต่เจ้าชายพบว่า ยังไม่ใช่ทางหลุดพ้น
    ท่านถึงออกมา จากท่านอาจารย์ทั้ง ๒ ท่าน
    จนเจ้าชายท่านตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง
    ครูบาร์อาจารย์เอง ท่านแรกท่านยกให้ท่านเป็นอาจารย์เช่นกัน...

    ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ ที่พระมหาฤาษีทั้ง ๒ ท่านจะไม่รู้จัก
    สัมมาสมาธิ คือ สมาธิที่ฝึกอะไรก็แล้ว มันจะต้องไม่มี ไม่ยึด
    ไม่ติด ในลาภ ในยศ ในสุข ในสรรเสริญแน่นอน
    แต่ไม่ถึงระดับที่จะเกิดปัญญาทางธรรมถึงขั้นที่จะหลุดพ้นได้
    เนื่องจากไปเข้าใจว่า สภาวะอรูปฌานเป็นนิพพานนั่นเอง
    ที่พูดมาคือเล่าให้ฟัง.....

    ปล.เรื่องภายในองค์กร ก็บอกแล้วว่าพูดเป็นกลางๆไว้ก่อน
    เพราะแม้เราจะอยู่ภายใน หรือรู้เรื่องอะไรมากมายก็ตาม
    มันก็เป็นการพูดในมุมที่ตนเองเห็นเท่านั้น....

    จะมาบอกว่า การที่พูดเฉพาะเจาะจงกับ เจ้าของกระทู้เท่านั้น
    มันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่า พูดแล้วมันกระทบกับองค์กรอื่นๆ
    ซึ่งคนมาอ่าน เค้าไม่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรกับเราด้วย...
    และมันมีผลกระทบกับคนที่อยู่ภายใน
    และการเอาเรื่องภายนอกมาพูดในนี้ มันจะกลายเป็นสาธารณะ
    ไปในตัวเองเองแล้ว...เช่น ยกตัวอย่างพูดเรื่องวันนี้
    ในที่นี้ห้องนี้ มันจะถือว่ามาคุยกัน ๒ คนได้ไง ถ้าส่วนตัว
    ไปโทรศัพท์คุยกัน หรือไปคุยใน Pm โน้นครับ
    หรือก็อ้างอองบอกกันตรงไปเลยจะคุยในประเด็นไหน

    ถ้าจะพูดกันส่วนตัว ก็ฉะกันตรงๆไปเลย..จะว่ากันเรื่องการปฏิบัติ
    เรื่องทางธรรมอะไรก็ว่ากันไป อย่าไปดึงภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้อง
    เพราะเค้าไม่ได้มาอ่าน มาเห็นที่เราเขียน
    มันเป็นการไม่แฟร์ ไม่ใช่วิสัยของสุภาพบุรุษที่ควรจะทำ....

    ถึงได้บอกไปว่า ให้พูดกลางๆไว้ก่อน ให้แง่คิด ให้อะไรก็ได้
    แต่อย่าไปตัดสินว่าเป็นอะไร...อย่างไร.เข้าใจที่พูดนะครับ

    ส่วนการปฏิบัติกรรมฐานอะไรก็ตาม แม้รูปแบบไหนก็ตาม
    อย่าไปให้ความสำคัญกับวิธีการมาก ว่าต้องอย่างโน้นนี่นั้น
    หรือว่าจะต้องเหมือนกับที่ตนได้รู้ได้ศึกษามา อย่าไปยึด
    ไม่ว่าจะรู้จากตำรา การได้ยินได้ฟังหรือรู้จากการปฏิบัติก็ตาม...
    ควรเป็นกลางๆไว้ก่อน นอกจากจะหาเหตุที่เชื่อได้ว่า
    การปฏิบัตินั้นมันไม่ควร ไม่ถูก ซึ่งต้องเป็นที่น่าเชื่อถือ
    ไม่ว่าจะมาจากตำราหรือการปฏิบัติก็ตาม
    แต่อย่าทำเพียงเพื่อเอาชนะกันโดยที่ไม่
    ยอมฟังเหตุและผล...มันไม่ใช่แนวที่ควรทำ

    แล้วมาดูว่า ปฏิบัติแล้วทางธรรม มันส่งผลอย่างไรกับตัวเอง...
    ส่งผลว่า นิสัยเราดีขึ้นไหม นิสัยที่ไม่เคยดีต่างๆเราละ เลิกได้หรือยัง...
    เราอยู่กับสังคมได้ดีขึ้นไหม สภาพแวดล้อมเราดีขึ้นไหมอย่างนี้เป็นต้น...
    หรือถ้ามากรรมฐานพิเศษ ก็ให้มาดูว่า เราฝึกมาแล้วมันสำเร็จซักอย่างไหม
    มันใช้งานได้จริงไหม..หลังจากใช้งานแล้ว มันมีการพัฒนาได้เรื่อยไหม
    หรือว่าอยู่ดีๆมันใช้ไม่ได้เลย อย่างนี้คือมิจฉาทิฐิ..อะไรทำนองนี้
    เป็นต้น พอเข้าใจที่พูดเนาะ

     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,041
    เหตุที่เรียกว่า เจ้าชาย เพราะว่า
    ท่านยังไม่ได้ตรัสรู้นะครับ
    แม้ท่านไปในฐานะบุคคลธรรมดา
    จะตัดต้นตระกูลอะไรหรือไม่(ซึ่งเราก็ไม่ทราบว่าจริงหรือเปล่า
    แต่ในหนังก็มีการพยายามไปตามให้ท่านกลับมา
    เป็นไปได้ว่า ยังไงก็ไม่ได้ตัดออกจากตระกูลแน่นอนครับ)
    แต่แม้ว่ายังไงเชื่อว่า
    ทางโลกก็ยังทราบ
    และมองว่าท่านเป็นเจ้าชายอยู่ดีนั่นหละครับ..

    และมาดูในอีกมุมที่จะอธิบายนะครับ....
    ประเด็นแรก อาจารย์ ทั้ง ๒ ไม่ได้ใช้ลาภสักการะ
    ในการชักชวนเจ้าชายแน่ๆ...
    ประเด็นที่ ๒ ก็คือ อาจารย์ ทั้ง ๒ ใช้ นิพพาน
    ในการชักชวน เจ้าชายให้อยู่ในอาศรมหรือไม่

    ตอบว่า ท่านแรกไม่ใช่แน่นอน เพราะท่านเหลือ
    อรูปฌานอีกหนึ่งขั้น...แต่ท่านที่ ๒ ตอบว่า
    ท่านอาจจะเข้าใจว่าเป็นนิพพาน(จริงๆแล้วไม่ใช่)
    แล้วภายหลังเจ้าชาย
    มาพบว่ายังไม่ใช่ทางหลุดพ้น
    คือคำตอบไม่เชิงปฏิเสธ
    ทีเดียวว่า ท่านที่ ๒ ว่าใช่หรือไม่นั่นเอง

    อีกประเด็นต่อมา คำว่า โสดาปฎิมรรค
    ไม่ใช่เครื่องยืนยันว่า บุคคลนั้นจะเป็นพระพุทธเจ้าได้
    หรือจะมีพระพุทธเจ้า ดังนั้น คำนี้ไม่เกี่ยวตกไป...
    ส่วนตัวเห็น ขี้เหล่าเมายาสภาวะจิตเป็น
    โสดาฯเยอะแยะยิ่งอายุ ๕๐ กว่าๆ
    หรือว่าหลังเกษียณราชการ
    นับได้เป็นเข่งๆ เข้าใจที่พูดนะครับ

    ที่คุณ นิวรณ์กล่าวมาว่า ไม่มีฐานใด ที่มรรค ๘ จะเกิดก่อน
    ที่จะมีพระพุทธเจ้าอุบัติหรือเกิดก่อนจะประกาศศาสนา
    ตรงนี้เห็นด้วย แต่เห็นด้วยในทางของภาคตำรา
    ไม่ใช่ทางกิริยาทางจิตครับ...

    เพราะสัมมาสมาธิที่เกิดนั้นมันใช้เป็นเครื่องชี้วัด
    ความสามารถทำได้ทางจิตของบุคคลนั้นๆ...
    แม้จะไม่มี คำว่า ''สัมมาสมาธิ'' อุบัติขึ้นในโลกใบนี้
    ก่อนที่ เจ้าช้ายจะตรัสรู้ แต่ในทางกิริยา
    มันต้องมีแน่นอน ไม่งั้นโลกนี้ในยุคนั้น จะไม่มีพราหมณ์ เก่งๆ
    ไม่มีเจ้าลัทธิต่างๆที่มีความสามารถทางจิตสูง..
    ตลอดจนไม่มีสำนักของ พระมหาฤาษีทั้ง ๒ ท่านแน่นอน....


    แต่ต้องไม่ลืมว่า สัมมาสมาธิ เพียงอย่างเดียวนั้น
    ไม่เพียงพอและสามารถที่จะทำให้หลุดพ้นได้
    เพราะไม่งั้น เซียนสมาธิทั้งหลาย
    คงเข้านิพพานไปหมดแล้วจริงไหมครับ

    การประกาศคำสอน ต่างๆของเจ้าชายหลังการตรัสรู้
    จึงเป็นหนทางที่เราเชื่อกันว่า เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์
    ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มี สัมมาสมาธิเช่นกัน...

    แต่อริยมรรค มี องค์ ๘ ในสำนัก อ.ท่านที่ ๒ มีไหม
    ตอบได้ว่า มีไม่หมด ไม่งั้นท่านก็คงเข้านิพพานไปแล้ว...
    แต่ถามว่า มีข้ออื่นๆไหม ก็อาจจะมีในทางด้านกิริยาของจิต
    แต่ทางด้านภาษาอาจจะไม่มีบัญญัติ


    ส่วนอริยบุคคล คือบุคคลผู้ห่างไกลกิเลส ส่วนตัวมองว่า
    มีมานานแล้ว จากสภาพแวดล้อมของตัวเอง
    แต่ไม่รู้จักคำว่า อริยะบุคคลเป็นอย่างไรเท่านั้นเอง
    เชื่อว่า มีเกือบทุกชนชาติ ไม่งั้นเราจะไม่ได้ยินว่า
    ฝรั่งเข้านิพพาน ได้จากครูบาร์อาจารย์มีชื่อหรอกครับ
    ส่วนคำว่า สัมมาทิฐิ นะจะเกิดก่อน มีพระพทธเจ้า
    นั่นก็ใช่ เพราะถ้ามี อาศรมต่างๆคงเข้านิพพานกันไปหมดแล้ว
    แต่สัมมาทิฐิอย่างเดียวไม่เพียงพอสำหรับนิพพาน
    และใช่ได้ถือว่าเป็น นิพพานแน่นอน
    แต่เป็นเส้นทางที่จะไปให้ถึง นิพพาน นะมีความเป็นไปสูง
    เข้าใจตรงกันนะครับ


    ปล คุณ นิวรณ์ไม่ได้บอกว่า ท่านดาษส ไม่มีสัมมาสมาธินิครับ
    ตรงนี้พอทราบครับ หลักฐานมันมีอยู่..
    เพราะคุณไม่ได้ฟันธง เพียงแต่คุณตั้งแง่ให้คิดเฉยๆ
    ประเด็น ธรรม เรื่อง นิพพาน ก็เพียงให้แง่คิด ร่วมแสดงความเห็น
    ไม่ได้ฟังเปรี้ยงฟังธงอายไปถึงดาวอังคาร
    เหมือน พ่อพุทท่าใหญ่ Prasit5000
    แล้วก็มายก ตนเองให้ดูหล่อภายหลังนิครับ
    ส่วนตัวรู้จักแยกแยะอยู่ เป็นประเด็นๆอยู่ครับ
    เลยมาอธิบายให้ฟังในมุมที่เห็น นี่หละครับ
    พอเข้าใจได้อยู่...
     
  14. ไม่มีเพศ

    ไม่มีเพศ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    134
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +66
    ผมมีครูบาอาจารย์สายฤาษีและพระสงฆ์สายพระอาจารย์มั่น แต่เวลากราบพระสงฆ์ผมกราบ3ครั้งแบบแบมือ อต่กับครูบาอาจารย์สายฤาษีผมกราบครั้งเดียวแบบไม่แบมือ อย่างนี้ถูกต้องมั้ยครับ ผมเข้าใจว่าก่อนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ท่านก็ยกดาบสทั้ง2เป็นอาจารย์ แต่พอพระองค์ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ดาบสทั้ง2ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นอาจารย์ของพระพุทธเจ้าอีกต่อไป ผมเข้าใจผิดรึเปล่าคับ รบกวนท่านผู้รู้ใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายเพื่อสงเคราะห์ปัญญาอันด้อยของผมด้วยคับ ขอบพระคุณคับผม
     
  15. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    .....ผมไม่่รุ้จะอธิบายอย่างไรเรื่อง พุทธญาณ จะยกพระสูตรบางตอนมากล่าว

    ......".....ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เลื่อมใสในพระผู้มี-
    *พระภาคอย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์ผู้อื่นซึ่งจะรู้เกินไปกว่าพระผู้มีพระภาค
    ในทางสัมโพธิญาณมิได้มีแล้ว จักไม่มี และไม่มีอยู่ในบัดนี้ ฯ
    ........พ. ดูกรสารีบุตร เธอกล่าวอาสภิวาจาอันยิ่งนี้ เธอถือเอาส่วนเดียว
    บันลือสีหนาทว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาค
    อย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์ผู้อื่นซึ่งจะรู้เกินไปกว่าพระผู้มีพระภาคในทางพระ-
    *สัมโพธิญาณมิได้มีแล้ว จักไม่มี และไม่มีอยู่ในบัดนี้ ดูกรสารีบุตร พระผู้มี-
    *พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ซึ่งได้มีแล้วในอดีตกาล อันเธอ
    กำหนดซึ่งใจด้วยใจแล้วรู้ว่า พระผู้มีพระภาคเหล่านั้น มีศีลอย่างนี้แล้ว แม้เพราะ
    เหตุนี้มีธรรมอย่างนี้แล้ว มีปัญญาอย่างนี้แล้ว มีวิหารธรรมอย่างนี้แล้ว มีวิมุตติ
    อย่างนี้แล้ว แม้เพราะเหตุนี้ ดังนี้หรือ ฯ

    .....สัมมาสัมโพธิญาณ ของพระพุทธเจ้า คือสิ่งเดียวที่เหล่าสาวกเฝ้าเหงี่ยงหูฟัง ว่าพระองค์จะเอาอะไรจากพระญาณนั้นมาสอนพวกตน

    .....พระพุทธเจ้าต้องการรู้สิ่งได ไม่ว่า จะเป็นอดีต อนาคต จะเป็นวิชาการได เทคนิคไดๆ ก็รุ้ได้ที่ใจของพระองค์อยากรู้
    .....เน้นนะครับ เท่าที่ใจของพระองค์อยากรู้

    .....การบอกว่าพระองค์เล่าเรียนความรู้จากครูคนโน้น ครูคนนี้ แล้วนำมาปฏิบัติ มันเป็นการ ลบหลู่ พระพุทธเจ้า

    .....พระพุทธเจ้า อุบัติขึ้นเมื่อคืนวันเพ็ญเดือนหก ใต้ต้นศรีมาหาโพธิ์

    .....พระพุทธเจ้า ต่างจาก พระโพธิสัตว์ ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่รู้จะกล่าวอย่างไร

    .....ผมชอบพระสูตรนี้จังเลยเอามาอีกทีสิครับ

    " [๓๒๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาชีวกชื่ออุปกะได้เห็นเราผู้กำลังเดินทางไกลที่ระหว่างแม่น้ำ
    คยาและต้นมหาโพธิ จึงถามเราว่า ดูกรอาวุโส อินทรีย์ของท่านผ่องใสนัก ฉวีวรรณของท่าน
    บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ท่านได้บรรพชาเฉพาะใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน หรือท่านชอบใจธรรมของ
    ใคร. เมื่ออุปกะอาชีวกถามอย่างนี้ เราจึงได้กล่าวคาถาตอบว่า
    เราเป็นผู้ครอบงำธรรมทั้งปวง รู้แจ้งธรรมทั้งปวง อันตัณหาให้ติดไม่ได้ใน
    ธรรมทั้งปวง ละเว้นธรรมทั้งปวง พ้น (น้อมใจ) ไปในธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา
    เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเองเราจะพึงแสดงใครเล่าว่า เป็นอาจารย์ อาจารย์ของเราไม่มี
    ผู้ที่ดีเหมือนเราไม่มี ผู้ที่เทียมเสมอเราไม่มี ในโลกทั้งเทวโลก เพราะเราเป็น
    พระอรหันต์ เป็นศาสดาผู้ยอดเยี่ยม เป็นสัมมาสัมพุทธองค์เอก เป็นผู้เย็น
    ดับกิเลสได้แล้ว เราจะไปบุรีของชาวกาสีเพื่อแสดงธรรมจักร โดยหมายจะ
    บันลือกลองอมฤตธรรม ในโลกที่มืดมน.
    อุปกะอาชีวกถามเราว่า เหตุใด ท่านจึงปฏิญาณว่า เป็นอรหันต์อนันตะชินะ? เราจึง
    กล่าวคาถาตอบว่า
    ผู้ที่ถึงอาสวักขัยเช่นเรา ย่อมเป็นผู้มีนามว่า ชินะเพราะบาปธรรมทั้งหลายเราได้
    ชนะแล้ว ฉะนั้น เราจึงมีนามว่า ชินะ.
    เมื่อเรากล่าวตอบอย่างนี้ อุปกะอาชีวกนั้นได้กล่าวว่า พึงเป็นเช่นนั้นหรือ ท่าน สั่น
    ศีรษะ แล้วหลีกทางไป.


    .....ถ้าสำนึกบาป ก็จง ขอขมาต่อพระพุทธองค์ในเวบนี้เสียจะได้ไม่เป็น โทษกับพวกท่านที่เข้าใจว่าพระองค์มีอาจารย์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2016
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,041
    ส่วนตัวก็มีความเห็นคล้ายๆคุณ ไม่มีเพศนะครับ...
    แต่ถ้าคุณ ไม่มีเพศ พูดอย่างนี้ นาย Prasit5000
    จะกล่าวหาว่าคุณเป็นพวกนอกศาสนา
    และนับถือนักบวชนอกศาสนา แบบผมแน่นอนครับ
    เค้าพูดอย่างนี้นี้ แม้ปากจะทำเป็นอ้างพูดประหนึ่งว่าตนดี
    ให้เกียรติ์เพื่อนร่วมโลกทุกคน
    ผมถามทุกคนเลยก็ได้ว่า ฤาษี ชี ไพร พราหมณ์ กับพุทธ
    ใครเกิดใครมีมาก่อนกัน แต่พวกที่ปากอ้างว่าตัวเองเป็นพุทธ
    เจือกไปบอกว่า ฤาษี ชี ไพร เป็นนักบวชนอกศาสนา
    ฤาษี คือ ฤาษี ชี คือ ชี ไพร คือ ไพร
    ท่านเหล่านี้ ถ้าบวชในพุทธก็คือ นักบวช
    ท่านอยู่มาก่อนเกิดศาสนาพุทธอีก
    ดันไปใช้คำว่า นักบวชนอกศาสนาได้ไงครับ
    นักบวชนอกศาสนาต้องใช้กับคนที่มาบวชเป็นพุทธ
    แล้วไม่ได้ดำเนินรอยตามคำสอนของพระพุทธเจ้า โน้นครับ
    ไม่ใช่ทำเป็นจิตดัดจริต คิดว่าตัวเองเป็นพุทธแล้วจะยิ่งใหญ่
    กว่าใครเค้า ทำเป็นไปเรียก เค้าว่านักบวชนอกศาสนา
    ประหนึ่งว่า ตรูนี่หละที่สุด เท่ห์ที่สุดในจักรวาล
    เพราะมีปากไว้อ้าง สรณะ อ้างว่าเป็นพุทธ
    เข้าใจเอาไว้ด้วยครับ เป็นที่มาของคำว่า
    พวกพุทท่าใหญ่



    เพราะส่วนตัวเข้าใจว่า
    ภายหลังที่เจ้าชาย ตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้าแล้ว
    ไม่อาจนับได้ว่า ท่านพระมหาฤาษีเป็นอาจารย์ได้
    เนื่องจาก พระพุทธเจ้า อีกนัยยะหนึ่งคือ
    ผู้เป็นเลิศทั้ง ๓ ภพ คงไม่มีใครที่จะ
    เสมอเหมือนหรือเหนือกว่า....
    และที่สำคัญ การตรัสรู้นั้น
    คงไม่มีอาจารย์ที่ไหน
    สอนเรื่องการตรัสรู้ได้แน่นอนครับ
    ยกเว้น บุคคลที่จะเป็นพระพุทธเจ้าจริงๆไหม
    ถ้างั้นคงมีสำนักสอนเรื่องการตรัสรู้แล้ว
    หรือมีเขียนในตำราให้ได้อ่าน
    ถึงวิธีการตรัสรู้แล้วหละครับ


    แต่ว่าก่อนเจ้าชายท่านจะตรัสรู้ท่านนับ
    ท่านพระมหาฤาษีทั้ง ๒ เป็นอาจารย์ของท่านแน่นอนครับ
    พระว่าเจ้าชายเข้าไปเรียนกรรมฐานกับท่านทั้ง ๒ แน่นอนครับ...
    จำสรุปได้ว่า เจ้าชายนับ พระมหาฤาษี ทั้ง ๒ เป็นอาจารย์
    แต่ภายหลังที่ท่านตรัสรู้แล้ว ไม่สามารถนับได้ว่าเป็นอาจารย์
    แต่ว่า ท่านพระมหาฤาษีเคยสอนเจ้าชายก่อนที่จะตรัสรู้
    มาก่อนแล้วแน่ๆครับ


    ไม่ใช่แบบที่ นาย Prasit5000 ที่กล่าวหาว่า
    ว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยนับพระมหาฤาษีเป็นอาจารย
    ในความหมากก็คือ ก่อนที่เจ้าชายจะตรัสรู้
    ท่านไม่เคยเรียนกรรมฐานแน่นอน แล้วทำมาว่า
    รู้จักสัมมาสัมโพธิญาณไหม มันคนละเรื่อง
    คนละวาระ ถามเกี่ยวกับกรรมฐานว่าเคยมีใครสอนไหม
    แต่เอาตอนตรัสรู้มาแย้งมาอ้าง แล้วใช้วาจาเหยียด
    ท่านพระมหาฤาษีบอกว่าเป็นพวกนักบวชนอกศาสนา
    ลองย้อนไปอ่านที่ อ้างอิงมาได้
    แต่หลังจากที่อ้างอิง ตำรามาข่มแล้ว ยกพระสูตรมาด้วยนะกลัวไม่หล่อ..
    ปากก็จะโม้ว่า ตนเป็นพวกมีสรณะ เป็นคนพุทธ
    และก็จะยืนยันว่าเจ้าชายไม่เคยนับ
    พระมหาฤาษีทั้ง ๒ ท่านเป็นอาจารย์
    และก็จะบอกว่าท่านฝึกสมาธิเองได้
    โดยไม่ต้องมีใครสอนมาก่อนแน่นอนครับ...
     
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,041
    เหอะ ๆ ตอบสีแดงนะตามสไตล์ พวกกลัวเสียฟอร์ม อ้างตำราไว้ก่อน
    แล้วค่อยแทรกความคิดตนเอง เรื่องความสามารถแบบนั้น
    คนฝึกสมาธิมาเค้าก็ทำได้กันหมดนั่นหละครับ ไม่ต้องถึง
    ระดับตรัสรู้หรอกครับ มันเป็นความสามารถที่เกิดขึ้นได้
    ก่อนที่จะสำเร็จอรูปฌานแล้ว นะครับ ถามหน่อยไม่รู้จริงๆใช่ไหม
    ถึงได้ปล่อยไก่ขนาดนี้

    และก็บอกก็ถามแล้วว่าประเด็นอยู่ตรงที่
    เจ้าชายท่านเคยเรียนกรรมฐานมาก่อน
    และนับพระมหาฤาษีทั้ง ๒ เป็นอาจารย์ใช่หรือไม่(เจ้าชายนะ)

    ไม่ใช่ว่าท่านไม่เคยเรียนกรรมฐานจากใคร
    ตอนที่ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วครับ นั่นอีกประเด็นหนึ่ง
    ใครๆก็รู้ทั้งนั้นหละครับ ถ้าตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
    คงไม่สามารถนับใครเป็นอาจารย์ท่านได้
    เพราะท่านตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง
    ที่ถามคือ ก่อนที่จะตรัสรู้ครับ
    ว่าท่านเคยมีอาจารย์ไหม



    ผมถามแค่ว่า ท่านเคยเรียนกรรมฐานมาหรือไม่
    คุณ ก็จะตอบว่า ท่านไม่ได้เรียน ท่านทำเองได้
    ซึ่งคุณไปอ้างตอนที่ตรัสรู้แล้ว ทำมะเขืออะไรหละครับ
    เพราะใครก็รู้ครับ
    ผมถามแค่ว่า ท่านนับพระมหาฤาษีทั้ง ๒ เป็นอาจารย์หรือไม่
    คุณก็ไปอ้างว่า ไม่นับ มากล่าวหาว่า เป็นพวกนอกศาสนา
    เป็นพวกดึงสูงลงต่ำ..ที่ถามคือถามก่อนที่จะตรัสรู้
    คุณก็ไปดึงเอาตอนที่ตรัสรู้มาอ้างอีก
    ซึ่งตรัสรู้ไปแล้วใครๆเค้าก็รู้กันทั้งจักรวาลนั่นหละครับ


    จะมาอ้างความสามารถตอนตรัสรู้ ใครๆเค้าก็รู้กันหมดหรอก
    ใครจะสอนระดับท่านที่เป็นพระพุทธเจ้าแล้วครับ
    ถามจริงๆ แกล้งโง่หรือเปล่าครับ
    คนละประเด็น คนละเรื่อง
    จะอ้างเพื่อเอาชนะอย่างเดียว
    ไม่ดูหน้าดูหลังอะไรเลย


    ตอบสีน้ำงเงินพูดได้ถูกใจจังเลย พ่อท่าใหญ่เล่นมุขนี้
    ยิ่งกลับผมมักจะไม่ได้ผลนะครับ..( ^_^ )
    คุณเนี่ยโชคดีนะ ที่ไม่มีความสามารถทางจิตอะไร
    ไม่งั้นจะสนุกกว่านี้แน่นอนครับ
    ว่ายตัวเห็นพวกที่จำนนด้วยเหตุและผล
    จะชอบมามุขอ้างบุญอ้างบาปแบบนี้หละครับ
    ไม่รู้ว่าเป็นโรคติดต่ออะไรหรือเปล่า
    ในเวบนี้ หรือห้องนี้ ไม่เต็มบาท
    และเพี้ยนๆไปหลายรายแล้วนะครับ
    หรือคุณไม่ค่อยได้สังเกตุบ้างหรือครับ (^ _^)

    ส่วนตัวขอรับไว้นะครับ เพราะเป็นคนยืนยันว่า
    เจ้าชายท่านเคยมีคนสอนกรรมฐาน สอนสมาธินะครับ
    ดังนั้น คู่กรณีน่าจะเป็นผมโดยตรงครับ

    แล้วผมจะรอดูคุณนะครับ
    ผมเนี่ยชอบคนที่มามุขแบบนี้จังเลยครับ
    จะรอดูว่า ลักษณะสภาวะจิตแบบผมกับ
    ของคุณคำพูดใครมันจะศักดิ์สิทธิ์กว่ากันนะครับ
    พวกที่จิตมันดูถูกพระมหาฤาษีอย่างนี้
    กล่าวเรียกว่าเป็นพวกนักบวชนอกศาสนาอย่างนี้
    แล้วภายหลังทำเป็นมาพูดดี.
    อ้างว่าตัวเป็นพุทธ มีสรณะ อย่างนี้
    ยกตนข่มท่านอย่างนี้
    ส่วนตัวนี่ชอบจังเลยครับ (^_^)

    นี่คือคำพูดของผมนะครับ
    ท้าคุณได้เลยว่า ชาตินี้ คุณจะฝึกกรรมฐาน
    อะไรไม่สำเร็จแม้แต่ซักกองเดียวครับ
    แล้วคุณจะรู้เองว่า ใครกันแน่ที่ต้องสำนึกบาป
    ใครกันแน่ที่เป็นคนดึงข้างบนลงมาต่ำ

    ปล..รอจังหวะเล่นมุขนี้มานานหละ
    ตามสูตรพวกขี้โม้หน้าแหก กลัวเสียฟอร์ม
    มันชอบเอามาอ้าง เพื่อให้คนกลัว
    ในฐานะที่เห็นต่างกับมัน..
    แต่บอกตรงว่า พฤติกรรมอย่างนี้ ส่วนตัวชอบนะ
    ชอบแบบว่า จัดให้เป็นกรณีพิเศษครับ (^_^)
     
  18. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    นิวรณ์ ตาหมาน

    ไม่แปลกใจจริงๆหรือว่า ทำไมไม่ค่อยเข้าตอบที่นี่

    แต่กับที่พันทิพแล้ว มีโอกาสมักไปตอบที่นั่น

    เพราะคุณภาพคนต่างกัน

    นิวรณ์ จะพูดอะไรแบบโง่ ๔ จำพวก ก็ทำลงไปได้ ไม่อายใคร แม้ตัวเอง

    ชอบโกหกพกลม อย่างด้านๆ จับได้ก็ไม่รู้จักละอายต่อบาป

    มักพาดพิงถึงบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องและไม่มีโอกาสเข้ามาแก้ต่าง

    ชอบใช้คำด่าโดยเป็นภาษาวิบัติ ยังแปลกใจจริงๆว่าแอคมินให้เล่นอยู่ได้ยังไง

    ส่วนลุงหมาน ไม่ต้องพูดมาก ลุงแกรู้อยู่แก่ใจ

    แต่อายไม่เป็นเท่านั้น เพราะขาดสำนึก ความละอาย

    ผมงี้อายแทนเองเลย

    นานๆระบายสักที เผื่อคนที่เข้ามาใหม่จะได้รู้มั่ง ไม่เป็นเหยื่อง่ายๆ

    ถ้าว่ากันด้วยธรรม ด้วยเหตุด้วยผล คุยยังไงก็ไม่เบื่อ

    ถ้าต้องมาคุยกับพวกที่มี "หัว"ไว้กั้นหูเท่านั้น

    ไปนั่งดูลม ชมความละเอียดของลมที่เข้าออก

    เพื่อระลึกถึงความตายทุกลมที่เข้าออก ยังมีประโยชน์กว่า

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน ไปล่ะ
     
  19. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,398
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,634
    เป็นเรื่องปกติครับ
    ที่บรรลุธรรมได้เร็วฉับพลัน เพราะจิตคิดตามคำสอนไปจนจิตเป็นสมาธิ
    คือ เจริญปัญญาจนจิตเป็นสมาธิ

    ตัวอย่างก็เช่น
    จากที่เรานั่งเล่นคอมอยู่ดี ๆ จิตยังธรรมดา
    นาทีต่อมาไปเจอเว็บโป๊ กิเลสเกิด จิตรักในเรื่องลามกมากจนเป็นมิจฉาสมาธิ
    ตอนนั้นคุณจะลืมเรื่องอื่นไปเลยชั่วระยะเวลาหนึ่ง
    เพราะจิตกำลังรวมตัวกัน
    ตอนนั้นคุณก็มีจิตเป็นสัตว์นรกทันที ไม่ต้องรอให้ใครมาตัดริบบิ้นเลย
    จิตเป็นสัตว์นรกไปเรียบร้อยแล้ว

    หรือ
    ตอนเดินทางกลับบ้าน ในตอนกลางคืน
    กำลังเดินอยู่ดี ๆ ก็โดนผีหลอกกลางทาง
    จากจิตปกติธรรมดา ด้วยความตกใจสุดขีด ทำให้จิตเกิดการรวมตัวฉับพลัน
    จนโดนความกลัวชักจูงให้เป็นสมาธิ

    ผลที่ได้คือ ก้าวขาไม่ออก เพราะจิตมีกำลังเท่ากับปฐมฌาน จิตกับประสาทเริ่มแยกจากกัน
    ด้วยความไม่ชำนาญ ก็เลยไม่สามารถบังคับร่างกายได้ชั่วคราว

    ถ้าเป็นคนที่ไม่เคยฝึกสมาธิเลย ถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้
    ด้วยความที่จิตมีกำลังที่เกิดจากความกลัวมากชังจูง บางคนอาจจะเสียสติไปเลย
    แต่ถ้าเคยฝึกสมาธิมา ก็ไม่ถึงกับเสียสติ
    แต่ก็อาจจะควบคุมร่างกายได้ยากสักหน่อย ถ้ายังไม่ชินกับกำลังจิตระดับนี้

    อันแรก จิตโดนความลามกชักจูงให้เป็นสมาธิ (มิจฉาสมาธิ)
    อันที่สอง จิตโดนความกลัวชักจูงให้เป็นสมาธิ
    ทั้งสองเหตุการณ์ เกิดขึ้นโดยฉับพลันทันที

    นี้คือ ตัวอย่างการเกิดขึ้นโดยฉับพลันของสภาวะธรรมชาติของจิต
    ที่เราพบเห็นได้ในปัจจุบันครับ
     
  20. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,702
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,020
    การฟังธรรมะทำให้ได้บรรลุธรรม หลวงพ่อชา สุภัทโท


    ฟัง clip นี้ได้เช่นกันครับ อนุโมทนาครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...